ใครยังไม่อ่าน Ep.1 คลิกอ่านเลยนะคะ https://th.readme.me/p/22045?fbclid=IwAR1ybDGZglCKmRoXj5thdxHxI0VVgBp1lznDNh3UgO3A-V3FtUAVQxjkmwc

ส่วนนี่เป็นวิดีโอ วิวสวยๆ บางส่วนค่ะ https://www.youtube.com/watch?v=mdGTqJ5IPJc

ขอบคุณเเผนที่จาก www.dreamstime.com

ต่อจาก Ep.1 จาก Tbilisi ใช้รถไฟนอนมาตั้งแต่เมื่อคืน ถึงเมือง Zugdidi ตอนหกโมงเช้า

เรา 5 คนก็ขึ้นรถแท็กซี่ มีจุดหมายปลายทางเดียวกันคือเมือง Mestia (เมสเทีย)

ลุงคนขับแท็กซี่ก็พูดอังกฤษไม่ได้หรอก แต่เราสื่อสารด้วยมือ แต่ก็พอเข้าใจกันค่ะ

หน้าก็ไม่ได้ล้าง ฟันก็ไม่ได้แปรง หน้าก็สด แล้วก็มาทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ในรถอีก555

การเดินทางของพวกเรามาพร้อมกับฝนไปตลอดทาง ในใจก็ลุ้นว่า เราจะเจอแดดถ่ายรูปสวยๆบ้างมั้ยน้าาาา

ระหว่างนั่งรถไปนี่พูดเลยว่าเกร็งก้นทุกการเข้าโค้ง5555 ลุงแกเล่นเร่งเข้าโค้งทุกโค้งเลยก็ว่าได้

คงชินเส้นทางสินะ แต่เราไม่ชิน เราไต่เขาขึ้นไปสูงไปเรื่อยๆ

เวลาเจอวิวสวยๆ ลุงคนขับก็จอดให้ลงไปถ่ายรูป ส่วนใหญ่ได้แต่รูปวิว เพราะหน้าเราตื่นใหม่ ไม่พร้อมที่จะออกสื่อ555

นั่งไปก็ถนนหนทางลำบาก

โค้งหักศอกในบ้านเรานี่ชิดซ้ายเลยค่ะ

นี่มันเทือกเขาคอเคซัส รถเรานี่เล็กยังกะมดเมื่อเทียบกับภูเขา


นั่งไปซักพัก ลุงคนขับก็จอดให้เราแวะทานมื้อเช้าที่ร้านอาหารร้านหนึ่ง

เรา 5 คนก็ลงไปสั่ง ไม่มีใครพูดภาษาอังกฤษได้เลย เราก็ใช้วิธีเปิดหารูปในเนตแล้วชี้ๆ เอา

ใช้แม้กระทั่งเดินไปโต๊ะข้างๆ แล้วชี้อาหารของโต๊ะเค้า55

ผลที่ได้คือ ก็ไม่ได้อาหารตามที่สั่ง5555 แต่มีมาเสิร์ฟอย่างเยอะ ก็กินๆไป อร่อยยยยนะเออ

แป้งร้อนๆ มีไส้เป็นเนื้อ รสชาติเค็มค่อนไปทางเค็มมาก แต่กินไปก็อร่อยดี กินได้ 2 อันก็อิ่มแระ

กินเสร็จเลยหาข้อมูล ปรากฏว่ามันคือ Kubdari เป็นพิซซ่าที่มีไส้ทำจากเนื้อวัวนั่นเองค่ะ

ชาร้อนๆ ก็มา

ขนมปังร้อนๆ สรุป อิ่มจนพุงกางค่ะ ได้ห่อไปคนละสองสามชิ้น

อาหารเช้ามื้อนี้ 30 GEL (360 บาท) ทาน 5 คน ตกคนละ 6 GEL (72 บาท) เองค่ะ ราคาดี๊ดี

เมื่อดื่มชา กินมื้อเช้าเสร็จ

เราก็มุ่งหน้าเดินทางต่อ ห้องน้ำก็มีประตูนะคะรอบนี้ แต่ไม่มีน้ำค่ะ


ระหว่างนั่งรถก็เจอสภาพถนนหนทางขรุขระ ในใจก็คิดว่า ไกลขนาดนี้ก็ยังเป็นจุดหมายปลายทางของใครหลายคน แสดงว่าต้องมีวิวที่สวยแน่ๆ

เราก็ยังคงลุ้นกับสภาพอากาศว่าจะมืดครึ้มตามพยากรณ์อากาศรึเปล่าเอ่ย

ยิ่งใกล้ถึง Mestia ภูเขาก็เริ่มมีหิมะปกคลุมบนยอดเขา

สภาพบ้านเรือนก็เริ่มมีหอคอย เหมือนที่เราดูจากอินเตอร์เน็ตมาเลย

ระยะทาง 129 กิโลเมตรแต่ใช้เวลาเดินทาง 4 ชั่วโมงเลยค่ะ เพราะเส้นทางขึ้นเขาตลอด

พอถึง Mestia ตอนประมาณ 10.30 น. คนขับรถส่งเราไว้ที่หนึ่ง ซึ่งมีคนขับอีกคนมาบอกว่าจะไปส่งถึงที่เรา และถ้าอยากจะทำกิจกรรมหรือไปที่ไหนให้ติดต่อเขา

เราตัดสินใจไม่ไป เพราะเปิดดูแผนที่แล้วที่พักเราอยู่แถวนั้นเอง เราสามคนก็แยกย้ายกับเพื่อนใหม่ทั้งสองตอนนั้น ต่างคนต่างลากกระเป๋าไปหาที่พัก

ถ้าไม่อยากเหนื่อยเหมือนพวกเราเอาเป้ใบใหญ่พอ นี่เราขนพร้อพไปเยอะแยะมาก555 เลยได้ลากกระเป๋าใหญ่

ซักพักพวกเราสามคนก็อยู่หน้าบ้านที่เราจองผ่าน Booking.com ไว้ แต่ไม่กล้าเปิดรั้วเข้าไป

คนข้างบ้านมาเห็น เค้าก็ใจดีโทรหาเจ้าของบ้านพักให้มาต้อนรับพวกเรา

และบ้านหลังนี้เองที่ทำให้เกิดเรื่อง เดี๋ยวเรามาเล่าต่อ Ep ถัดไปนะคะ ว่ามีเรื่องอะไร ที่ทำให้เราต้องระมัดระวังตัวมากขึ้น และอยากจะให้เพื่อนๆระมัดระวังตัวด้วยค่ะ

เราเข้าไป เค้าก็ต้อนรับเราด้วยของทานเล่นเล็กๆน้อยๆ เราก็นั่งรอไป ง่วงไป เพื่อให้เค้าทำความสะอาดเพราะเพิ่งมีคนเช็คเอ้าท์ออก

พอได้เวลาห้องพร้อม พวกเราก็ขนกระเป๋าขึ้นห้องค่ะ

โซนหน้าห้องพักค่ะ

โซนหน้าห้องพักค่ะ

ในห้องพักค่ะ เราจองห้อง Family room ค่ะ มี 1 เตียงใหญ่และ 3 เตียงเดี่ยว

ห้องกว้างเลยแหละ บรรยากาศก็ดี

พวกเราเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางมา เลยขอชาร์จมือถือให้เต็ม พักงีบ และอาบน้ำ ตอนแรกกะจะไม่ไปไหนไกล

หลังบ้านค่ะ

แต่เมื่อจู่ๆ โชคเข้าข้างพวกเรา แดดก็ออก ฟ้าก็สดใส เราสามคนเลยชวนกันออกไปหาไรทานที่ในเมือง (เมืองเล็กๆค่ะ) และถ่ายรูปสวยกันค่ะ

ระหว่างเดินไปในเมือง วิวภูเขาหิมะทำให้พวกเราตื่นตาตื่นใจมากเลยค่ะ



เมืองก็ดูเงียบๆหน่อยค่ะ เพราะลานสกีต่างๆก็ปิดแล้ว

เริ่มเข้า Low season แล้ว เราแอบเสียดายที่มาไม่ทันลานสกี อดเล่นสกีเลย

สถานีตำรวจดีไซน์เก๋ๆ


City center



น้องหมาในสวนสาธารณะตรงข้ามร้านอาหารตัวใหญ่มากกก


เราเลือกทานร้านนี้ค่ะ ตอนแรกก็ไม่มีคนนะ ซักพักคนก็เริ่มเข้ามาทาน

เมนูบางส่วนค่ะ ราคาไม่ได้แพงเลยค่ะ

อาหารเราสั่งก็มั่วๆเอา มีภาษาอังกฤษให้อ่านค่ะ สรุปว่า อร่อยนะ

อาหารมีผักชีลาวใส่ด้วย เหมือนกับแกงอ่อมบ้านเราเลย555

เราชอบอันนี้ค่ะ มันเหมือนแกงเนื้อตุ๋นค่ะ มีกลิ่นเครื่องเทศ

ส่วนถ้วยนี้นั้นเค้าว่าเป็นซุปไก่ พอกินดูมันมีข้าวด้วย มีไก่ แต่แอบมันไปหน่อยค่ะ


ข้าวก็ใส่ผักชีลาว เอาเป็นว่า อาหารเค้าคือการผสมผสานระหว่างเอเชียและยุโรป เพราะเค้ามีเครื่องเทศ ทำให้มีรสชาติไม่จืดไป

ขนมปัง ชีส เเละไข่ นั่นก็คือ Khachapuri ค่ะ พิซซ่าชีสจอร์เจียนั่นเองค่ะ ร้านไหนๆก็เจอน่าจะมีชื่อเสียงที่สุด เอาเป็นว่ามื้อนี้ผ่านค่ะ

สเต็กหมู อร่อย แต่เนื้อไม่นุ่มเลย

ไม่ได้หิวไรมากมายนะคะ แต่ก็เกือบหมด555

มื้อนี้ค่าเสียหาย 66 GEL 3 คนก็ตกคนละ 22 GEL (264 บาทค่ะ)

ในระหว่างที่นั่งนั้น มี ผู้ชายคนนึงมาถามว่ามาจากไหน เคยไปธารน้ำแข็งรึยัง

พวกเราตอบว่ายัง เค้าเลยเสนอราคา 80 GEL (960 บาท) พวกเราก็ไม่ได้ต่อนะ

จริงๆ เราอาจจะได้ถูกกว่านี้ แต่เราโอเคกับราคานี้แล้ว เอาเป็นว่าใครอยากได้ถูกกว่านี้ลองถามหลายๆคนนะคะ แล้วต่อราคาดู ไม่ได้ราคาที่โอ ก็หาใหม่ได้ค่ะ

เราสามคนตัดสินใจปุบปับที่จะออกนอกเมืองไปดูธารน้ำแข็งกัน

เราไปแบบไม่ได้คาดหวังอะไรเพราะไม่มีข้อมูลไรเลย

นั่งออกนอกเมืองไป ยิ่งเห็นความชัดเจนของภูเขาหิมะ ยิ่งตื่นเต้น ผนวกกับเสียงเพลงในรถที่ได้ใจวัยรุ่นอย่างพวกเรามาก เหมือนมาออก Road trip อย่างนั้นเลย

เจอวิวสวยก็ขอพี่แกจอดรถลงถ่ายรูป

กระโดดจนหอบ555

ประหนึ่งว่าถนนนี้เป็นของข้า555

นั่งมาประมาณ ครึ่งชั่วโมง ก็ถึงค่ะ จะมีทหารขับรถไปมา เพราะอยู่ติดชายแดนรัสเซียค่ะ

คนขับรถให้เวลาเราเดินขึ้นบนเขาไปชมวิว เขาบอกว่าให้เดินตามลูกศรสีน้ำเงินนะ

เดินข้ามสะพานไปก่อนค่ะอันดับเเรก

วิสวย

พอมาถึงที่จนได้รู้ชื่อว่าที่ที่เรามาคือ Chalaadi Glacier นั่นเอง



พอเริ่มเดินขึ้นเขาก็จะเจอแต่ต้นสนค่ะ

ชุดพวกเรานี่อาจจะทำให้ผู้คนที่พบเห็นตกใจว่า ดูชุดไม่พร้อมกับการเดินเขาเลย5555 เพราะเป็นการตัดสินใจเร่งด่วนมาก

เเต่ the show must go on ค่ะ 555

เดินขึ้นเขาไปซักพัก เจอทั้งทางชัน ทางเรียบ และขรุขระ

อุปสรรคก็คือ เดินไปลื่นไปเพราะหิมะเริ่มเยอะขึ้น


แต่เราค่อนข้างตื่นตาตื่นใจ ตื่นเต้นมากกับวิวที่เราเจอ

เหมือนในหนังเรื่องนาร์เนียเลย


มองไปทางไหนก็เจอหิมะ ชอบๆๆๆ

ทฤษฎีการวางหินเป็นชั้นๆ คงจะแพร่ไปทั่วโลกซินะ ไม่ใช่มีแค่ไทยใช่มั้ย

มีเสียงน้ำในลำธารที่ละลายมาจากหิมะบนเขา สบายตา สบายใจ แต่เหนื่อยกาย5555 หอบแฮ่กๆกันเลยค่าาาท่านผู้ชม

เราสามคนนี่เดินไปถ่ายรูปไป ใช้เวลาแต่ละจุดนานพอสมควร


คือแบบไม่ได้ซีเรียสด้วยว่าจะเดินถึงธารน้ำแข็งรึเปล่า แค่ตามทางเราก็ได้รูปเป็นล้านรูปแล้วค่ะ555

จากเมืองร้อน ไปเจอเมืองหนาวก็จะตื่นเต้นกับหิมะหน่อย

ถามว่าหนาวมั้ย ตอนนั้นเดินจนหอบ เหงื่อออกด้วยเลยค่า

นี่แต่ละคนอยู่กับตัวเองคนละมุมเลย ใช้เวลาเซลฟี่ให้พอใจไปเล้ยย

เอาเป็นว่าให้ภาพบรรยายแระกันเนอะ ว่าวิวตราตรึงใจขนาดไหน

ถ่ายกับพื้นดีๆไม่ถ่าย ยังจะปีนต้นไม้ไปถ่ายอีก555 ต้นไม้มันล้มอยู่แล้วนะคะ บอกก่อนเดี๋ยวมีดราม่า หุหุ

เดินไป ลื่นไป ก็ยังสนุกอ่ะคิดดู

สรุปว่าเราใช้เวลาระหว่างทางและถ่ายรูปเยอะมาก

เลยตัดสินใจกลับกันค่ะ เดินไปไม่ถึงที่หมายก็ไม่เสียใจค่ะ เพราะวิวระหว่างทางสวยมาก

ตอนเดินกลับนะ หิมะเยอะ ลื่นทุกคน แต่เราใส่บูทก็จะไม่ค่อยลื่นเท่าผ้าใบค่ะ

เอาเป็นว่าเล่นสไลด์เดอร์แล้วกัน

เราใช้เวลาไป-กลับ ร่วม 2 ชั่วโมง เป็น 2 ชั่วโมงที่สนุกมาก และก็เหนื่อยมากค่ะ

พอเดินลงมาก็เจอรถทหารก็ขับไปมาค่ะ

เราชอบที่นี่มาก เพราะเหนือความคาดหมายค่ะ

วิวก็สวยมาก เพลงในรถก็ได้ใจวัยรุ่นต้นๆอย่างพวกเรามาก555

ได้เวลานั่งรถกลับแล้ว


โรงเรียนของที่นี่ค่ะ ให้พี่คนขับแวะซักหน่อย

พี่แกก็ใจดี พาเข้าไปดูบริเวณในโรงเรียน

ก่อนแยกย้าย พี่แท็กซี่เสนอราคาไป หมู่บ้าน Ushguli ในราคา 150 GEL (ใช้เวลา ประมาณ 3-4 ชั่วโมง) ให้พวกเรา เราเห็นว่าราคาดีพอสมควรเลยตกลง นัดให้พี่แกไปรับที่บ้านพักตอน 8 โมงเช้าพรุ่งนี้

ระหว่างทางกลับบ้านพัก แวะร้านขายของชำซะหน่อย มีผลไม้ เครื่องเทศ และไวน์ขาย และพวกเราก็ได้ไวน์มาลิ้มลองค่ะ

สรุปวันนี้กินหนักตั้งแต่มื้อเช้ายันมื้อเที่ยง อิ่มกันอยู่เลย

พวกเราเลยพักผ่อนกัน พอมืดค่ำก็ขี้เกียจเดินไปหาไรทานที่ในเมืองด้วย

อีกทั้งอากาศตอนกลางคืนก็หนาวเย็นเหลือเกิน คือตอนกลางคืนที่นี่อุณหภูมิ - 3 องศาเซลเซียสเลยทีเดียว

นั่งจิบไวน์ จิบน้ำอุ่น กินขนม เม้าส์มอย

ไวน์หมด รุ่นพี่เรายังไม่หนำใจ วิ่งออกไปซื้อมาอีกขวด 555

เอาเป็นว่าราตรีสวัสดิ์นะคะทุกคน ^^

พรุ่งนี้เรามีนัดกับพี่แท็กซี่คนเดิมไป Ushguli หมู่บ้านที่สูงที่สุดในยุโรป เป็นมรดกโลกด้วยนะเออ

ได้ข่าวว่าการเดินทางแสนหฤโหด อีกทั้งเรายังชวนเพื่อนคนไทย และคนฮ่องกงแชร์รถไปกับเราด้วยค่ะ

ติดตามการเดินทางอันเเสนหฤโหดและวิวสุดอลังการได้ใน Ep.3 ตอน Ushguli... หมู่บ้านอันไกลโพ้น นะคะ

พูดคุย แลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้เพิ่มเติมที่ เพจ Facebook : Be Cool by Kru Gib ได้เลยค่ะ ตามลิงค์นี้เลยค่ะ https://www.facebook.com/becoolbykrugib/




ความคิดเห็น