“Ain’t nothing like me, except me.”

Rocket Raccoon Said...



'คะน้าน้อย' สวัสดีค่าาา ^O^

เปิดตัวทักทายเพื่อนๆ ด้วยประโยคเท่ๆ จากเจ้าแรคคูน เอ้ย! ร๊อกเก็ต จากภาพยนตร์

ที่แฟนๆ ทั่วโลกหลงรัก อย่าง Guardians of The Galaxy นำมาซะขนาดนี้

ชาวอาณาจักร Marvel นั่งไม่ติดกันแล้วจ้าาา 55555


ทริปนี้เป็น Exclusive Blog สำหรับคะน้าเลยค่ะ

เพราะเป็น Blog แรกที่...

ไปคนเดียว!! ❤


และนอกจากทริปนี้จะเดินคนเดียว พาชาวมาร์เวลเลี่ยนไปท่องดินแดนฮีโร่แล้ว

คะน้ายังพาชมทุก Landmarks ให้ตามไปเที่ยวกันได้แบบปั้วะๆ ด้วยน้าาา

ทริปนี้คะน้าแพลนเดินทางทั้งหมด 3 วัน 2 คืนค่ะ กำลังดี...เหนื่อยกำลังดี 5555

เป็นแพลนที่ไม่หนักมาก เที่ยวเองคนเดียวได้สบายสไตล์คะน้าน้อย ตามนี้เลย..


Day 1 :

# เดินสวยๆ Say Hi ทุก Landmarks ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์


Day 2 :

# Little India ย่านแห่งสีสัน เดินเล่นบนถนนพรมแดง

# Thean Hou วัดจีนเก่าแก่และสวยที่สุดใน ใครอยากขอคู่ ไปโลดดด!!

# Genting Hightland อาณาจักรแห่งความเถิดเทิงในปุยหมอก

# Batu Caves ขึ้นเขา-เข้าถ้ำ ไหว้พระขอพรให้สวยและรวยมากแบบพุ่งๆ


Day 3 (Last) :

# ย่านบูกิตบินตัง...ย่านที่ตังค์เราพร้อมจะบิน~

# ปุตราจายา เที่ยวเมือง Cyber ถ่ายรูป Architecture ก่อนกลับไทย



เริ่ม!!

พิเศษ! คะน้ามีภาพเคลื่อนไหวให้ดูใน Vlog นะคะ จะแปะไว้ให้ท้าย Blog นี้เลยค่ะ ^^


Day 1 :



จุดเริ่มต้น...ที่ไทยแลนด์ ดินแดนแห่งสาวสวย หมวย Sex X(L) เช่นคะน้า

คะน้าได้ไฟท์บินเวลา 07:05 am. ณ สนามบินดอนเมืองคู่ใจของชาวแบคแพค

ทริปนี้คะน้าจะโบยบินโดยสายการบินเจ้าบ้านมาเลเซีย อย่าง Air Asia

ในฐานะสมาชิก Big point เครื่องไม่แดงไม่มีแรงบินค่ะ 😍 // แซววววว~



มารอที่สนามบินตั้งแต่ตีห้าครึ่ง

😴 หน้าตาเลยดูครึ่งหลับครึ่งตื่นแบบนี้อ่ะค่ะ 555555



🎶 ลาลาลาลอย ลาลาลาลอย ลาลาลาลอย 🎶

ใช่จ่ะ! ทุก Blog ที่บิน ต้องมีรูปก้อนเมฆจากริมหน้าต่าง คะน้าชอบดูเมฆนี่นาาาา >///<



ผ่านไป 2 ชั่วโมงเศษๆ

🙏🏼 ซาลามัต ดาตัง เกอ กัวลาลัมเปอร์! (สวัสดีกัวลาลัมเปอร์)

คะน้าแลนด์ดิ้ง ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ถึงเร็วไวเหมือนใกล้แค่เอื้อม

ถึงเร็วกว่าตอนที่ขับรถจากแยกอโศกไปลาดพร้าวอีก // หร่องห้ายยย T_T

คะน้ามาไฟลท์ FD311 ตอนเครื่องบินแลนด์ดิ้ง กัปตันเครื่องเป็นผู้หญิง แต่คะน้าจำชื่อไม่ได้

คะน้าอยากชื่นชมมากๆ เพราะว่าลงเครื่องได้นุ่มที่สุดเท่าที่เคยนั่งเครื่องบินมากว่า 40 ไฟลท์

คือตอนลงปกติต้องมีสะเทือนบ้าง แต่ครั้งนี้ไม่มีเลย ลอยลงมานิ่งๆ เหมือนจับวาง ประทับใจจจจ~

คะน้าบินมาลงที่ Kualalumpur International Airport 2

หรือที่คุ้นเคยกันในชื่อสั้นๆ ว่า KLIA 2 ค่ะ // อย่าซื้อตั๋วรถไฟแค่ KLIA นะคะ ต้องมี 2 ด้วย

โดยบนเครื่องเราจะได้ยินประกาศว่า "ประเทศมาเลเซีย ไม่ต้องเขียนใบตม. ที่นี่จะใช้วิธีสแกนนิ้วมือ

เพื่อบันทึกข้อมูลคนเข้าประเทศ" ดังนั้นทริปนี้เราจะไม่ต้องถามหาใบตม.กันให้ยุ่งยาก

แต่ทว่า...คิวตม.แถวยาวม๊ากกกกก!! คะน้าต่อคิวเกือบชั่วโมงเลยนะฮะ ยืนจนจะหลับในแถวอยู่แล้ว



(ขอบคุณภาพประกอบจาก Klook คะน้าใช้ภาพนี้จากใน App ตอนถามทางค่ะ)


หลังจากผ่าน ตม. ที่สุดแสนจะใจดี๊ดีๆ เข้ามาด้านในแล้ว คะน้าก็เดินหาร้าน Tune Talk ต่อค่ะ

คะน้าซื้อ Sim 4G จาก Klook โดยสามารถรับซิมและบริการติดตั้งได้ที่ร้านนี้

คะน้าเปิดภาพนี้ในมือถือให้เจ้าหน้าที่ในสนามบินดู แล้วถามว่าร้านนี้อยู่ตรงไหน 😅 55555

และในที่สุดคะน้าก็หาเจอ มาถึงก็เปิดวาร์ปโชว์ QR Code กายสิทธิ์

แล้วเราจะได้รับ Sim 4G ง่ายเหมือนเสกมา~

อ่ะ! ระหว่างรอพี่เขาติดตั้งซิมให้คะน้าอยู่นั้น คะน้าจะบอกทางเดินมาร้านนี้ไปพลางๆ

เริ่มต้นจากผ่านตม.เข้ามา ให้ก้าวเท้าซ้ายเพื่อเป็นเคล็ดว่าจะโชคดีตลอดการเดินทาง

เดินตรงไปข้างหน้าระวังอย่าให้ชนสิ่งกีดขวาง เจอทางแยกให้เลี้ยวขวาไปหาร้าน KFC

ก่อนถึงร้าน KFC ให้เลี้ยวซ้าย ร้านนี้จะอยู่ซอยเดียวกับร้าน Uniqlo เลยค่ะ



Yeahhhh~ มี Internet เร็วแรงอยู่ในมือ ❤ การเดินทางท่องดินแดนกัวลาลัมเปอร์

แม้จะลำพังก็ไม่ต้องกลัวจะป้ำๆ เป๋อๆ อีกต่อไป 55555 Google Map จงมาาา!!



คะน้าเงยหน้ามองหาป้ายบอกทางไปยัง Bus Station เพื่อเดินทางเข้าเมืองกัวลาลัมเปอร์

ซึ่งการเดินทางเข้าเมืองจากสนามบิน มี 2 วิธีคือ Sky Bus และรถไฟฟ้า KLIA Express

แต่วิถีแบคแพคเช่นคะน้า ขอไป Sky Bus ก็พอค่ะ ราคามันถูกกว่ารถไฟฟ้ามากกก!

ลงบันไดเลื่อนไปชั้น 1 เพื่อซื้อตั๋วและขึ้นรถกันค่ะ // สนามบินกว้าง ทางเดินช่างยาวไกลนัก



ซื้อตั๋วกันก่อน เดี๋ยวเขาไม่ให้ไปด้วย T_T ตั๋วรถ Sky Bus เข้าสู่ใจกลางกรุงกัวลาลัมเปอร์

จ่ายไป 🎫RM12 ใช้เวลานั่งรถ 60 นาทีถึง ปลายทางคือ KL Sentral ค่ะ

บอกพนง. ขายตั๋วว่า "KL Sentral" สั้นๆ

พนง.จะตอบกลับมาว่า "Twelve Ringgit" เรายื่นเงินปุ๊บ! เป็นอันจบพิธี



แต่ถ้าใครมาแล้วอยากนั่งรถไฟฟ้า ให้มองหาป้ายสีชมพูช๊อคกิ้งพิงค์แล้วเดินตามป้ายมาค่ะ

ราคาอยู่ที่ 🎫RM55 ถึงเร็วกว่ารถบัส 30 นาที ในราคาแพงกว่า 80%

อ่ะ! ใครรีบก็ไปก่อนเลยนะฮะ

// คะน้าเดินผ่านเฉยๆ เลยถ่ายรูปมาฝาก เผื่อใครไปแล้วอยากนั่งรถไฟจะได้รู้พิกัด



เดินมายัง Platfrom A07 ที่ระบุในตั๋ว คะน้ายื่นตั๋วให้พี่สุดหล่อคนนี้ พี่เขาก็ให้คะน้าเอากระเป๋า

ไปเก็บใต้ท้องรถ แล้วพอคะน้าหยิบกล้องมาถ่าย พี่เขาก็ใจดีเป็นนายแบบให้อีกด้วย 555555



ในตั๋วคะน้าได้ที่นั่ง 1A ก็ต้องนั่งตามนั้นนะคะ เราจะขี้ตู่นั่งตามใจชอบไม่ได้นะ

มีคนเอากระเป๋ามาวางที่คะน้า พี่คนขับรถก็มาเอาออกให้คะน้านั่งเลยค่ะ 😅



ระหว่างทางจากสนามบินเข้าสู่ตัวเมือง... Snapshot แล้วได้ภาพสวยๆ

นับเป็นความสามารถในการฟลุ๊คอย่างหนึ่งของคะน้า 5555555

ตลอดระยะทาง เราจะเห็นวิวเหมือน กรุงเทพฯ-พัทยา เลยค่ะ เหมือนจนตกใจอ่ะ



ถึงแล้วววว รถ Sky Bus จะจอดส่งเราที่ KL Sentral

[Sentral = Central ในภาษาเขียนของประเทศมาเลเซียค่ะ]

มาถึงตรงนี้ ทุกคนปักหมุดไว้เลยนะคะ เพราะ KL Sentral คือศูนย์กลางการคมนาคม

ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ค่ะ รถบัส รถไฟฟ้า รถ Taxi ต่างๆ กองรวมกันอยู่ที่นี่หมดเลย

หรือแม้แต่บูธซื้อขายกรุ๊ปทัวร์ก็มีบริการค่ะ แต่คะน้างก คะน้าเที่ยวเองได้ 5555555



ลงจากรถมาแล้ว ผู้คนพลุกพล่านไปหมดเลย ตามแพลนของคะน้า

ในวันพรุ่งนี้คะน้าจะไป Genting Hightland ซึ่งตั๋วรถบัสจะหมดไวยิ่งกว่าบัตรคอนเสิร์ต

เพราะงั้นคะน้าเห็นเคาน์เตอร์ Go Genting ขายตั๋วรถบัสอยู่ตรงหน้า (ลงรถมาก็จะเห็นเลย)

คะน้าขอมาซื้อตั๋วล่วงหน้าก่อนก็แล้วกัน กันทริปล่ม



คะน้าซื้อตั๋วสำหรับวันพรุ่งนี้ ในช่วงเช้า ซึ่งพนง.เช็คเวลาให้ คะน้าได้ตั๋วเวลา 09:30am.

คะน้าตอบโอเคทันที // รอบ 09:00am. ตั๋วเต็ม ดีนะมาซื้อก่อน ไม่งั้นพรุ่งนี้ทริปล่มแน่ๆ จ้าาา

แต่ความพีคคือ ตั๋วรถบัสไป Genting Hightland ราคา 🎫RM4.90

ซึ่งคะน้าควรจะจ่ายแค่ค่าตั๋วรถบัส เพราะคะน้ามีตั๋วนั่งกระเช้าลอยฟ้า Avana Skyway แล้ว

โดยมาจาก Klook ล่วงหน้าตั้งแต่ตอนแพลนทริป แต่คะน้าไม่รู้ว่าเคาน์เตอร์นี้

จะขายตั๋วแบบแพคเกจรวมตั๋วกระเช้าลอยฟ้า (ตั๋ว QR code) มาให้อีก RM9 รวมเป็น RM13

ตอนจ่ายเงินก็ว่าทำไมค่ารถบัสมันแพงจัง สรุป...ได้ตั๋วกระเช้าพ่วงมาด้วย อ่ะ! จ่ายฟรีไปค่ะ T_T



เดินลากกระเป๋าแบคแพค มาขึ้นลิฟต์ไปชั้นบนเป็นด้านในสถานี เพื่อไปซื้อตั๋วรถไฟฟ้ากันต่อค่ะ

แต่ถ้าใครสะดวกจะเดินขึ้นบันไดเลื่อน ก็มีนะคะ เดินเลยลิฟต์ตรงนี้ไปอีกหน่อย



พอขึ้นมาด้านบนสถานี เราจะเจอตู้ขายตั๋วอัตโนมัติเหมือน MRT บ้านเรานั่นแหละ

ตู้มีตั้งให้เยอะแยะไปหมด เพราะงั้นถึงคนจะเยอะมาก แต่คิวก็ไม่ยาวค่ะ เพราะตู้เยอะเหลือเกิน



มาถึงเลือกเปลี่ยนภาษาก่อนเลยค่ะ ตอนนี้ที่ตู้เป็นภาษามาลายู คะน้าไม่เข้าใจ 55555

พอกดเลือกภาษาอังกฤษเรียบร้อย ก็เลือกซื้อ "Token" ค่ะ



จากนั้นตู้จะให้เราพิมพ์สถานีปลายทางเอง คะน้าต้องการจะไปสถานี Pasar Seni

ก็พิมพ์ P จะมีชื่อสถานีตัว P ขึ้นมาให้เลือกจิ้มได้เลยค่ะ แต่ทว่าปัญหาเกิด T_T

Pasar Seni (KJL) กับ Pasar Seni (SBK) มันต่างกันยังไง๊!! 555555

คะน้าเลยถ่ายรูป (ก็รูปนี้แหละ) ไปให้ จนท.สถานีรถไฟที่เคาน์เตอร์ดู

แล้วถามว่า "Pasar Seni ที่เป็น China Town คืออันไหน" พี่เขาบอกว่า "SBK" แล้วยิ้มหวานให้

ซึ่งจาก KL Sentral ถัดไปแค่ 1 สถานี คือสถานี Pasar Seni ปลายทางของคะน้าค่ะ

ณ จุดๆ นี้นั้น...หยอดไปทั้งสิ้น 🎫RM1.30 ค่ะ ค่าเดินทางที่นี่ถูกจริงไม่จกตาเด้อ

// ที่ตู้จะมีสัญลักษณ์แบงค์ที่ใช้จ่ายได้ หากมี X สีแดงขีดทับ แปลว่าตู้นั้นไม่มีเงินทอนสำหรับแบงค์นั้น

ให้เปลี่ยนตู้นะคะ (ง่ายกว่าเดินไปหาแลกเหรียญ) หรือถ้ามีเหรียญพอดีค่าตั๋ว ก็จ่ายได้ตามปกติค่ะ



นั่งไหลๆ มาถึงสถานี Pasar Seni ไม่ถึง 5 นาที

ทำไมคะน้าต้องเดินมาสถานีนี้ด้วยเล่าาา?

นั่นเพราะสถานีนี้คือ ย่าน China Town ค่ะ คะน้าจองโฮสเทลไว้ที่ใจกลางย่านนี้นี่เองงง



เปิด Google Map ปลายทางโฮสเทลของคะน้ากันค่ะ

ทริปนี้คะน้าจองห้องพักที่ Kitez Hotel & Bunkz อยู่ใจกลางตลาด China Town เลย

จองไว้ 3 วัน 2 คืน Paid ไปทั้งสิ้น...แถ่นทาดาแด่นแทนแทนนน~

544.36 บาทเท่านั้นค่าาาา 😍 (หรือคืนละ 273 บาท ต่อคืน)

ถูกกว่าทริปต่างประเทศครั้งไหนๆ ที่ผ่านมา รู้สึกชนะ 55555

คะน้าหาได้ยังไงห้องพักถูกขนาดนี้ คะน้ามีผู้ช่วยค่ะ Traveloka เทคนิคการใช้ App นี้คือ

เลือกสถานที่ที่เราอยากจะไปพัก ครั้งนี้คะน้าเสิร์ชว่า "ไชน่าทาวน์ กัวลาลัมเปอร์"

แล้วเลือก "เรียงลำดับจาก ราคาถูกที่สุด" รอโหลดประมาณอึดใจนึง

ก็จะปรากฏห้องพักตั้งแต่ราคา 1XX บาท ไปจนถึงหลักหมื่นให้เลือกเลยค่ะ

แต่เห็นราคาถูกอย่าเพิ่งรีบจองใปเด้อออ!! กดเข้าไปอ่านรีวิวก่อน ต้องอ่านเท่านั้น!!!

เพราะการจองห้องพักออนไลน์ เหมือนหลับตาจิ้มหวยบนแผงลอยในตลาด

ดังนั้น...เมื่อมีคนบอกบุญ เราต้องเชื่อค่ะ อ่านหลายๆ คอมเม้นท์หน่อยนะ ต้องใจเย็นๆ นะลู๊กกก!!

เมื่อมาถึง คะน้าเปิด App โชว์ Booking ของคะน้าให้พนักงาน Reception ดู

เมื่อพนักงานตรวจเอกสารเดินทางของคะน้า เพื่อเช็คว่านี่คือตัวจริงเสียงจริง

ถึงแม้ว่าตัวจริงจะสวยกว่ารูปในพาสปอร์ตมากก็ตาม แต่ก็พอมีเคล้ารางๆ ให้เชื่อถือได้อยู่

การ Check in เข้าพักของคะน้าก็เรียบร้อย พร้อมจ่ายมัดจำ Key card ตามธรรมเนียม RM20 ถ้วน



และนี่คือโฉมหน้าห้องพักค่ะ เหมือนหอพักนักเรียนในโรงเรียนประจำป่ะ 😄555555

แต่นี่คือหน้าตาปกติของโฮสเทลค่ะ คะน้าจองเป็น Female Room with Bathroom มา

ซึ่งที่นี่มีให้เลือกว่า นอนรวม นอนหญิง นอน 4 เตียง นอน 6 เตียง ห้องน้ำรวม ห้องน้ำในตัว

คะน้าเลือก "นอนหญิง 4 เตียง ห้องน้ำในตัว" บรรยากาศเป็นตามภาพ ความสะอาดผ่าน

พร้อมของแถมคือ Free WiFi ตั้งอยู่ใจกลางถนนคนเดิน มันดีม๊ากกกกกกกกกก!~

อ่อ! ที่นี่อยู่ห่างจากสถานีรถไฟฟ้า Pasar Seni เพียง 3XX เมตรเท่านั้นเองนะ



Universal Plug ต้องควักมาใช้นะคะทริปนี้ เลือกปลั๊กแบบ UK ที่มีสามขาแบนๆ ค่ะ

ของคะน้าเป็นแบบเสียบ USB ในตัว

เพราะงั้นสามารถชาร์ตได้ทั้งแบตกล้อง และมือถือในคราวเดียว



เอาล่ะ! เรื่องห้องพักเรียบร้อย เก็บสัมภาระเรียบร้อย เริ่มออกเดินทางวันแรกกันเลยเถอะ

เดินออกจากโฮสเทลมาได้ราวๆ 20 ก้าว จะเห็นป้ายโคมแดงในตำนานนี้เลยค่ะ

Petaling Street คือชื่อย่านไชน่าทาวน์นั่นเอง ร้านค้าจะเปิดกันตอนสายๆ ถึงดึกๆ เลย



ฝั่งตรงข้ามป้ายโคมแดง คือสี่แยกที่มีการจราจรอุ่นหนาฝาคลั่ง



จากหน้าป้าย คะน้าเลี้ยวซ้ายเดินริมถนนไปตามทาง ที่นี่ถ้าต้องการข้ามถนน ให้รอสัญญาณไฟ

เหมือนทุกทริป หลายๆ ประเทศที่คะน้าไปมานั่นแหละ แต่ที่นี่บางจุดก็มีเสียงสัญญาณ

บางจุดก็ไม่มีเสียงค่ะ ต้องคอยสังเกตุสัญญาณไฟเอาเอง และบางจุดซึ่งส่วนน้อย

ที่ไม่มีสัญญาณไฟเลย แต่มีทางม้าลาย ถ้าเราไปยืนบนทางม้าลายแล้ว

รถที่กำลังวิ่งมาจะเบรกให้เราตามมารยาทค่ะ เพราะงั้นเรื่องข้ามถนนที่คะน้ากลัว ถือว่าผ่านฉลุย!



กัวลาลัมเปอร์ คะน้ายกให้เป็นเมืองแห่งสีสันเลยค่ะ เพราะเท่าที่เดินทางผ่านมาครึ่งวันแรก

ตามผนังกำแพง จะมีภาพสตรีทอาร์ตให้เห็นหลายที่เลยทีเดียว ภาพสวยด้วยนะ 📸



เดินตรงมาราวๆ 5 นาที จากไชน่าทาวน์ ข้ามถนนมาอีกฝั่งหนึ่ง จะเห็นตลาดนัดเล็กๆ

ที่นี่คือ ถนนคนเดิน Central Market ค่ะ



ถนนภายนอกเป็นตลาดถนนคนเดิน แต่เลี้ยวซ้ายมาเล็กน้อย

จะเห็นตึกสีฟ้าๆ แบบนี้ ภายในเป็นห้างขนาดเล็ก มีสองชั้น ด้านในขายของจิปาถะ

ตั้งแต่ร้านอาหาร เครื่องดื่ม เสื้อผ้ารองเท้า และของฝากนักท่องเที่ยวต่างๆ ค่ะ

ถนนในซอยมีร้านผ้าบาติก ร้านภาพวาด ภาพเหมือน และร้านขายเครื่องแก้ว

ซึ่งเป็นสินค้าพื้นเมืองของที่นี่ค่ะ คะน้าเดินผ่านไม่กล้าถ่ายรูป เพราะเป็นงานศิลปะน่ะค่ะ



และที่คะน้าเดินมาที่นี่ ก็เพื่อมาหาร้านนี้นี่แหละค่ะ Old Town White Coffee

เป็นร้านกาแฟออริจินอลชื่อดังของมาเลเซีย เพราะงั้นมื้อแรกที่กัวลาลัมเปอร์

คะน้าเลยตั้งใจมาฝากท้องกันที่นี่เลย อยากมาชิมกาแฟมากกก~



ที่โต๊ะจะมีใบ Order ให้เขียนเองค่ะ

เขียนเสร็จ เดินไปส่งที่เคาน์เตอร์ ชำระเงินให้เรียบร้อย



นี่ไงงง~ ☕ กาแฟที่ใครๆ ก็ร่ำลือกันว่าอร่อยนัก

คอกาแฟอย่างคะน้าน้อยต้องห้ามพลาด ^_^



มาแล้วววว~ แก้วใหญ่ไป๊!! กลิ่นหอมกาแฟอ่อนๆ ☕

ปริมาณน้ำกาแฟที่พร้อมกระฉอกตลอดเวลา มาซะแทบล้นเลยนะครับผม

แล้วดูช้อนกาแฟ นี่สั่งกาแฟหรือซุปเห็ดนะ เอาดีๆ 555555 // หยอกๆ



ที่คะน้าสั่งไป เป็นชุดเซตอาหารพร้อมเครื่องดื่มค่ะ

คะน้าสั่งบะหมี่แห้งหมูแดง + กาแฟ White Coffee Original

ปริมาณที่มาเสิร์ฟ เหมือนกลัวคะน้าไม่อิ่มอ่ะ

ส่วนเรื่องของรสชาติ คะน้าชอบมาก กินหมดเกลี้ยงเลย หิว! 55555 ไม่ใช่ว้อยยย~

อร่อยยย!! เส้นบะหมี่นุ่ม ซอสเค็มๆ หวานๆ กำลังดี เหมือนบะหมี่แห้งบ้านเรานี่แหละ

หมูแดงอร่อยเข้มข้น หมดห่วงเรื่องอาหารการกิน ณ ดินแดง KL แล้วค่ะ Yeahhh~



ดูกันชัดๆ แก้วใหญ่จริง น้ำล้นจริงจ่ะ 555555

จุ่มช้อนลงไป กาแฟล้นหกไปอีก งอแงงง!!~

แต่เห็นน้ำเยอะๆ คะน้าคิดว่า รสชาติกาแฟจะอ่อนไปมั้ยนะ ปรากฏว่าไม่เลย

รสกาแฟยังคงเข้มอยู่มาก หวานน้อย นุ่มลิ้น ไม่มีความมันของนม แต่ไม่ขมนะ เริ่ด! ติดใจเด้อ



ทั้งอิ่ม ทั้งอร่อย เซตนี้สนนราคาที่ RM15.80 เท่านั้นนน

// กระเป๋าเหรียญของคะน้า เป็นของฝากจากเชียงใหม่ ถือไปจ่ายตังค์ที่เคาน์เตอร์

อาแปะที่เคาน์เตอร์ทักเลยค่ะ "คนไทยใช่มั้ย" 55555555

คะน้าบอก "Wo shi Thiaguo ren" อาแปะยื่นเงินทอน ขมวดคิ้วเล็กน้อยเหมือนใช้ความคิด

ก่อนจะยิ้มบอกว่า "ขอบคุณครับ"🙏🏼 โอ้ยยย! แปะน่ารักเด้อ มียืนนึกด้วย เอ็นดูแปะ~



จาก Central Market เดินทะลุด้านหลังตลาดถนนคนเดินด้านนอกมาอีกฝั่งหนึ่ง

พอถึงถนนใหญ่ ให้เลี้ยวซ้ายและเดินตรงมาเรื่อยๆ จนถึงสี่แยกไฟแดงแรก

เราจะมาถึง จัตุรัสเมอร์เดก้า (Merdeka Square) หรือ Merdeka Datalan ค่ะ

ที่นี่หนึ่งในแลนด์มาร์กสำคัญของกรุงกัวลาลัมเปอร์

เป็นอนุสรสถานที่ระลึกถึงการประกาศอิสรภาพของประเทศมาเลเซีย

โดยคำว่า "Merdeka" แปลว่า "เอกราช" นั่นเอง



และที่แรกที่คะน้ามาชมคือ...

พิพิธภัณฑ์สิ่งทอแห่งชาติ (National Textile Museum)

ด้านในจะจัดแสดงผ้าทอในสมัยต่างๆ ของกลุ่มชนพื้นเมืองค่ะ น่าสนใจมากๆ เลย



เวลาทำการของที่นี่ เปิดตั้งแต่ 09:00 am. - 06:00 pm. ค่ะ

ไม่เสียค่าเข้าชมด้วยนะคะ แต่รอบนี้คะน้าไม่ได้เข้า ขอติดไว้ก่อนเนอะ 😭 เสียดายเหมือนกัน

แต่คะน้ากลัวไปที่อื่นต่อไม่ทัน ตอนนั้นเวลาประมาณบ่ายสามโมงกว่าแล้ว แงงง้~



ตัวอาคารของพิพิธภัณฑ์เป็นสถาปัตยกรรมแบบอาหรับ ของจริงสวยและเด่นมากๆ

ตั้งอยู่ตรงหัวมุมถนน ตรงสี่แยกของจัตุรัสพอดีเลยค่ะ



เดินตรงมาทางขวามือเรื่อยๆ ข้ามถนนจาก Textile Museum มาฝั่งเดียวกัน

เราจะเจอกับ อาคาร Sultan Abdul Samad

ที่นี่เป็นอดีตที่ทำการรัฐบาล ศาลชั้นสูง และศาลฎีกาของประเทศมาเลเซียค่ะ



ความอลังการที่สวยงามนี้สร้างขึ้นในปีพ.ศ. 2440

และได้ตั้งชื่อตามพระนามของสุลต่านแห่งรัฐสลังงอร์



ตรงกลางของอาคารที่คะน้าพยายามจะแหงนกล้องถ่ายอย่างสุดความสามารถท่ามกลางแดดจ้า☀️

คือหอนาฬิกา ที่มีความสูง 40 เมตร ซึ่งถูกยกให้เป็น Big Ben แห่งมาเลเซียเลยทีเดียว



สถาปัตยกรรมของอาคารแห่งนี้เป็นศิลปะแบบแขกมัวร์ (Moors)

หรือศิลปะแบบมูเดฮาร์ (Mudéjar) เอกลักษณ์ศิลปะทางสถาปัตยกรรมที่เด่นชัดก็คือ

ซุ้มโค้งที่มีรอบๆ ตัวอาคารนั่นเองค่ะ คล้ายๆ กับ อัลคาซาร์ พระราชวังในเซบียา ประเทศสเปน

ก็จะมี Pattern คล้ายๆ กัน เพราะ Base on ศิลปะแบบมูเดฮาร์ (Mudéjar) มาเหมือนกันค่ะ



ฝั่งตรงข้ามกับอาคารสุลต่าน คะน้าเห็นเสาธงสูงลิบ สูงม๊ากกกกก~

ตั้งเด่นอยู่ในสนามหญ้าขนาดใหญ่มากๆ นักท่องเที่ยวเดินกันเต็มไปหมดเลยค่ะ

ซึ่งเสาธงชาติมาเลเซียนี้เป็นอนุสรสถานในการประกาศอิสรภาพของมาเลเซียนั่นเอง

ซึ่งเมื่อประมาณ 446 ปีก่อน ตั้งแต่ ค.ศ. 1511 – 1957 มาเลเซียอยู่ภายใต้การปกครอง

ของชนชาติตะวันตก โดยมีการเปลี่ยนประเทศที่ปกครองมาเรื่อยๆ จนกระทั่งประเทศสุดท้าย

ที่ปกครองมาเลเซียก็คือ สหราชอาณาจักร และในวันที่ 31 สิงหาคม ค.ศ. 1957

หลัง UK ประกาศอิสรภาพให้มาเลเซียเรียบร้อยแล้ว ธงของสหราชอาณาจักรได้ถูกเปลี่ยน

เป็นธงชาติมาเลเซีย และชักธงขึ้นสู่ยอดเสาที่ จตุรัสเมอร์เดก้าในเวลาเที่ยงคืนค่ะ



และความยิ่งใหญ่ของเสาธงแห่งนี้ นอกจากจะเป็นอนุสรสถานที่สำคัญของมาเลเซียแล้ว

ความสูงของยอดเสาที่สูงถึง 95 เมตร ยังมีการบันทึกเป็นเสาธงที่สูงที่สุดในโลกอีกด้วย!!

ซึ่งคะน้ายืนอยู่ตรงนี้ ก็เห็นได้ว่ายอดเสาสูงจนธงชาติเหลือผืนเล็กนิดเดียวเอง

และตรงด้านหน้าเสาธงยังมี น้ำพุวิคตอเรียน (Victorian) ถ้าคะน้ามองไม่ผิด จะเป็นงาน Bronze ค่ะ

น้ำพุนี้ถูกตั้งชื่อตามสมเด็จพระราชินีวิคตอเรียแห่งอังกฤษ สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1904

ขนาดไม่ใหญ่มากค่ะ แต่เลอค่ามากเท่านั้นเอง // คะน้าไม่ได้ถ่ายรูปมา เพราะตอนไปน้ำไม่ได้เปิด 😭

ตรงด้านล่างฐานเสาธง มีการก่อสร้างปรับปรุงพื้นที่กันอยู่ค่ะ ตัวอาคารสุลต่านเองก็เช่นกัน



ด้านหน้าเสาธงมีสนามหญ้าเป็นลานกว้าง สนามหญ้าสวยมากบ่งบอกว่าคนสวนดูแลอย่างดี

สนามหญ้านี้จริงๆ คือลานสำหรับใช้จัดพิธีสวนสนามและเฉลิมฉลองวันครบรอบ

การประกาศอิสรภาพของประเทศมาเลเซียค่ะ สร้างสนามใจกลางจัตุรัสเพื่อการนี้เลย

และที่ด้านในสนามมีอาคารตั้งอยู่ ที่นั่นคือ สมาคมรอยัลเซลังงอร์ (Royal Selangor Club)

เป็นอาคารที่มีสถาปัตยกรรมในยุคทิวดอร์ เอกลักษณ์คือมีจั่วหลังคาเรียงๆ กันค่ะ

เป็นศิลปะที่มีต้นกำเนิดมาจากประเทศอังกฤษ ที่นี่ถูกสร้างขึ้นในปีค.ศ. 1884

เคยเป็นสถานที่สังสรรค์ของเจ้าหน้าที่ระดับสูงชาวอังกฤษ

และใกล้ๆ กันนั้นยังมี โบถส์เซนต์แมรี่ (St. Mary’s Church)

เป็นหนึ่งในโบสถ์เก่าแก่ที่สุดในมาเลเซียอีกด้วยค่ะ



เดินย้อนกลับมาจากจัตุรัสฯ ตรงสะพานข้ามแม่น้ำฝั่งซ้ายมือ

จะเห็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์คของที่นี่ค่ะ มัสยิดจาเม็ก

หรือชื่อเต็มๆ ว่า มัสยิดสุลต่านอับดุล ซามัด จาเม็ก (Jamek Mosque of Kuala Lumpur)



มัสยิดสุลต่านอับดุล ซามัด จาเม็ก เป็นหนึ่งในมัสยิดที่เก่าแก่ที่สุดในกรุงกัวลาลัมเปอร์

มัสยิดนี้ได้รับการออกแบบโดย อาร์เทอร์ เบนิสัน ฮับแบ็ก และสร้างใน ค.ศ. 1909

เป็นมัสยิดแห่งแรกที่ถูกสร้างขึ้นในกรุงกัวลาลัมเปอร์เลยค่ะ

// ถ้าไม่อ่านประวัติ คะน้าจะคิดว่าถูกสร้างขึ้นใหม่นะคะ เพราะของจริงสวยสมบูรณ์มากๆ



จากมุมนี้เราจะได้เห็นด้านหลังของอาคารสุลต่านด้วยค่ะ

สวยกว่ามุมด้านหน้าที่คะน้าไปมาอีกกกก

แล้วคือตัวอาคารก็ใหญ่มาแล้ว มาเจอต้นไม้ที่ใหญ่กว่าอาคาร

เป็นความอลังการที่งดงามเข้ากันมากจริงๆ ค่ะ



ที่ตั้งของมัสยิดจาเม็กตั้งอยู่ระหว่างกลางจุดเชื่อมต่อของ

แม่น้ำกอมบัค (Gombak River) และ แม่น้ำกลัง (Klang River)

ซึ่งได้ให้ชื่อเวิ้งน้ำตรงนี้ว่า แม่น้ำแห่งชีวิต (River of Life)




เดินเก็บบรรยากาศ Landmarks ในย่านนี้จนหนำใจแล้ว

คราวนี้คะน้าจะพาไป Landmarks สำคัญอีกที่หนึ่งค่ะ แต่ถ้าเดินไปลิ้นคงห้อยแน่ๆ

คะน้าจะขึ้นรถไฟฟ้า ที่ สถานี Masjid Jamek ซึ่งอยู่ใกล้ๆ ตรงนี้ไปต่อค่ะ

คือเดินผ่านทางเดินในรูป เดินไป ชมวิวแม่น้ำและมัสยิดไปตลอดทาง

ถ่ายรูปเพลินๆ ไม่นานนักก็ถึงสถานีรถไฟฟ้าแล้วค่ะ (สถานีตั้งอยู่แค่ด้านหลังมัสยิดนั่นเอง)

ปลายทางคือ สถานี Dang wangi อยู่ถัดไปเพียง 1 สถานี หยอดไป 🎫RM1.20



เมื่อมาถึงสถานี Dang wangi คะน้าต้องเดินต่อไปตามทางใน Google Map

อีกประมาณ 15-20 นาทีเลยค่ะ ปลายทางก็คือ หอคอยกัวลาลัมเปอร์ นั่นเองจ้า



เดินมาตามทางฟุตบาธริมถนนจนเหนื่อยหอบ

ในที่สุดก็เห็นป้ายบอกทางเข้าหอคอยแล้วค่ะ



โอโหหหห!! นึกว่าเข้ามาแล้วจะเจอเลย

เห็นบันไดวนๆ ทางด้านซ้ายมือของรูปมั้ยคะ

คะน้าต้องเดินขึ้นบันไดต่อไปอี๊กกก!!

ขุ่นพระ! จะหมดแรงแล้วเด้อ 😅 555555



อ่ะ! เดี๋ยวจะหาว่าแอคติ้ง 😭

ดูความสูงที่คะน้าน้อยแทบจะคลานขึ้นมาสิคะคู๊ณณณ 555555

ตอนถ่ายรูปนี้คือควักยาดมตราโป๊ยเซียนอุดจมูกอยู่ค่ะ

ใจเต้นตุบๆๆ เหนื่อยจริงจังอ่ะ



เจอตู้น้ำ วิ่งปรี่เข้าใส่เหมือนเจอโอเอซิสท่ามกลางทะเลทราย หยอดไป RM1

ได้น้ำกระป๋องเย็นๆ พลังชีวิตค่อยดีขึ้นมาหน่อย Heal มากกก~



พอมาอยู่ใกล้ๆ ไม่ใช่แค่ความสูงนะคะที่ชนะเลิศ ความยิ่งใหญ่ก็ไม่แพ้กัน

เทียบกับกำแพงที่มีความสูงในขนาดปกติแล้ว หอคอย KL ดูมโหฬารล้นพ้นไปมากจริงๆ

หอคอยแห่งนี้สร้างเสร็จเมื่อวันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2538

เป็นหอส่งสัญญาณที่มีความสูงถึง 421 เมตร มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในการสื่อสารค่ะ



ที่นี่ถือเป็นจุดชมวิวที่นิยมของเหล่านักท่องเที่ยวด้วยนะคะ

เมื่อเราเข้าไปด้านใน เราสามารถที่จะซื้อบัตรเข้าชมจุดชมวิวได้ค่ะ โดยจะแบ่งเป็น 2 จุด

Sky Deck ด้านใน เป็นพื้นที่จุดชมวิว 360 องศา อยู่ในภายห้องปรับอากาศ

ชมวิวผ่านกระจกใส และมีกล้องส่องทางไกลไว้บริการ เพื่อความคมชัดระดับ HD

ราคาบัตรเข้าชมน่าจะราวๆ ไม่เกิน 300 บาทไทยค่ะ (เลขกลมๆ ไปนะคะ คะน้าไม่แน่ใจเท่าไหร่)


และจุดยอดฮิตระดับลักชัวรี่ก็คือ Sky Deck ด้านนอกค่ะ

คือ Deck ทางเดินรอบหอคอยแบบ 360 องศาด้านนอก ให้ชมวิวพร้อมรับลมธรรมชาติ

ในระดับความสูงกว่า 275 เมตร ซึ่งบัตรจุดนี้จะขายราคาสูงขึ้นมาหน่อย ราวๆ 600 บาทไทย

แต่ไม่ได้มีแค่ลานด้านนอกเท่านั้นนะคะ สำหรับค่าบัตรราคาพรีเมี่ยม ก็ต้องมีของแถมกันหน่อย

นั่นคือ Sky Box ห้องกระจกที่ยื่นลอยออกมาจาก Sky Deck อีกทีค่ะ

จากในรูปจะเห็นตู้กระจกสี่เหลี่ยมๆ เล็กๆ ที่อยู่ด้านขวามือของเครนสีแดงมั้ยคะ

เป็นจุดพีคที่สุดของที่นี่ค่ะ เป็นห้องกระจกเล็กๆ ยื่นลอยออกไปเคว้งคว้าง

จุดนี้เป็นบัตรร่วมกับ Sky Deck ค่ะ คือซื้อ Sky Deck แถม Sky Box ไรงี้

ซึ่งนักท่องเที่ยวที่จะมาถ่ายรูปตรงนี้ จะมีกำหนดเวลานะคะ ไม่ใช่จะอยู่นานแค่ไหนก็ได้

หมดเวลาคือนานแค่ไหน?? // You ask

1 นาทีค่ะ // I said

เพราะงั้นถ้าใครจะมาถ่ายรูปตรงนี้ รบกวนคิดท่าโพสมาจากที่บ้านเลยค่ะ 📸

เดี๋ยวไม่คุ้ม! 5555



โอ้ว~ เพิ่งรู้ว่ามีสวนสัตว์เล็กๆ อยู่ที่นี่ด้วยค่ะ



คะน้ารู้ว่ามี Aquarium นะ แต่ไม่เข้า คือไปสิงคโปร์ก็เข้า S.E.A Aquarium

อยู่ไทยก็เข้า Sea Life Bangkok Ocean World

มากัวลาลัมเปอร์จะให้เข้าอีกเหรอ พักก๊อนนน! 55555



คะน้าจะลองเข้าไปด้านในดูค่ะ ว่าเป็นยังไงบ้าง

ที่เห็นในรูปคะน้าไม่ได้ต่อคิวนะคะ คะน้าเดินผ่านมาแล้ว Snap ภาพมุมนี้พอดี แงงง้~

เราเดินขึ้นบันไดเลื่อนไปกันได้เลยค่ะ



พอขึ้นบันไดเลื่อนมาแล้วเจอคนเพียบเลย

ตรงนี้นักท่องเที่ยวกำลังรอต่อคิวซื้อบัตรขึ้นไปชม Sky Deck ค่ะ

แต่คะน้าขอผ่านนะคะ เพราะคะน้าไม่อิน City View คะน้าชอบวิวภูเขา 55555

อยู่กรุงเทพฯ เห็นตึกเอียนมาพอแล้ว T_T



XD Theater ตอนคะน้าเดินเข้ามาได้ยินเสียงกรี๊ดกร๊าด และเสียงโห่ร้อง

ฟังดูน่าสนุกดีค่ะ ใครไปเล่นมาแล้วบ้าง สนุกมั้ยคะ ครั้งหน้าคะน้าไปอีก จะได้ตามรอย 55555



ภาพ Ads เป็น City View จากจุดชมวิว Sky Box ค่ะ

ถ้าใครไปเยือนแล้วอยากได้ราคาบัตรที่ถูกกว่า และสะดวกไม่ต้องต่อคิว

สามารถซื้อบัตรเข้าชมจุดชมวิวทั้ง 2 จุดได้ใน Klook นะคะ

ไปถึง Scan QR Code ได้เลย ไม่ต้องต่อคิวให้เสียเวลา



เดินมาเรื่อยๆ บนชั้นสองของหอคอย คะน้าก็ออกมาด้านนอก Deck ของชั้นนี้ค่ะ

จากมุมนี้เห็นตึกแฝด Petronas อยู่ด้านหลังด้วยนะ



จากตรงมุมเมื่อครู่ คะน้าเดินวนซ้ายมา ก็เจอกับป้ายนี้ค่ะ

ถ้าไม่มีอะไรสำคัญ จะทำป้ายไว้ทำไม คะน้าก็คือคะน้า อยากรู้อยากเห็นไปเรื่อย 55555



พอเจอป้าย ถึงกับต้องเดินถอยหลัง มาถ่ายรูปเต็มๆ ของเจ้าต้น Jelutong ยักษ์เก็บไว้ดูค่ะ

ของจริงสูงและแผ่กิ่งก้านออกไปใหญ่มาก

กล้องตัวน้อยของคะน้าเก็บภาพไม่หมดอีกแล้ว T_T



จากป้ายเล่าว่าต้น Jelutong นี้มีอายุมากกว่า 100 ปีแล้ว

เนื่องจากเป็นพันธุ์ไม้ที่อยู่ในความคุ้มครองของประเทศมาเลเซีย

ตำแหน่งก่อสร้างหอคอยจริงๆ แล้วจะตรงกับต้นไม้ต้นนี้พอดีค่ะ

แต่เพื่อเป็นการอนุรักษ์ต้นไม้ที่เก่าแก่นี้ไว้ ทางทีมก่อสร้างเลยทำการเลื่อนตำแหน่ง

ของหอคอยให้มาก่อสร้างในตำแหน่งปัจจุบันแทน

การอนุรักษ์ต้นไม้ในระหว่างการก่อสร้างมีการวางแผนอย่างรอบคอบ

และจากวิธีการก่อสร้างนั้น คิดเป็นค่าใช้จ่ายทั้งหมดสูงถึง 4,400,000 ริงกิต

ซึ่งครั้งนี้ทำขึ้นเพื่อสืบทอดต้นไม้เก่าแก่นี้ให้คนรุ่นหลังได้ชื่นชมกันต่อไปค่ะ // ซึ้งจังเลย~ ❤



คะน้าขอถ่ายรูปหมู่เก็บไว้เป็นที่ระลึกหน่อยค่ะ

หอคอย ~ ต้น Jelutong ~ คะน้าน้อย ❤

แผ่บานกว่ากิ่งก้านของต้นไม้ ก็หน้าคะน้านี่แหละ 555555



ไปต่อกันเถอะ เย็นมากแล้ว คะน้าเดินออกจากหอคอย KL

มายังด้านหน้าถนนใหญ่ที่เดินมาในตอนแรก

จากนั้นเดินตรงไปเรื่อยๆ ตรงอย่างเดียวเลยนะ จนถึงสี่แยกไฟแดง

ให้ข้ามถนนและเดินตรงต่อไปค่ะ จะผ่านร้านอาหารริมทางเยอะแยะไปหมด

น่านั่งทุกร้าน และทุกร้านจะพร้อมใจกันเรียกเราค่ะ 555555



ไม่นานนัก...คะน้าก็มาถึงแล้ววว 😄

นี่คือ ตึกแฝด Petronas ที่สูงที่สุดในโลกกกก!!

แรร์ไอเทม และ Landmark สำคัญที่ใครๆ มากัวลาลัมเปอร์ก็ต้องมาตรงนี้แหละ

เป็นสัญลักษณ์ของเหล่านักท่องเที่ยวว่า "ฉันมาถึง KL แล้วนะเฟ้ย!!"



📸 ตอนไปสิงคโปร์มีแต่คนถาม "ได้ไปถ่ายรูปกับสิงโตทะเลมั้ย"

มาที่นี่ก็โดนถามอีกเหมือนกัน "ได้ไปดูตึกแฝดมั้ย" อ่ะ! มาแล้วจ้าาา 555555



ตึกนี้มีรถไฟฟ้ามาถึงเลยคือ สถานี KLCC ชื่อเดียวกับชื่อเล่นของตึก

ถ้าใครอยากมาสบายๆ ไม่ต้องเดินเหมือนคะน้า ก็วาร์ปมาเลยค่ะ 55555

แต่ว่าถ้าจะลงสถานี KLCC แล้วเดินไปเที่ยวที่หอคอย KL

จะมีระยะทางก็พอๆ กันค่ะ เพราะงั้นคะน้าเลยแพลนไปหอคอย KL ก่อน

แล้วมาจบทริปวันแรกที่ตึก KLCC เพราะต้องรอถ่ายไฟน้ำพุในตอนค่ำ

จากนั้นค่อยนั่งรถไฟฟ้าจากสถานี KLCC กลับไปไชน่าทาวน์ทีเดียวนั่นเอง



ภายนอกเจ้าตึกแฝดดูโอ่อ่าน่าเกรงขามมากๆ ตึกนี้คะน้าว่าไม่สวยนะ แต่มันโคตรเท่!!

ด้วยความที่ตึกนี้ทั้งสูงทั้งใหญ่ แถมตั้งอยู่คู่กัน ความโอ่อ่านี้ดูน่าเกรงขามมากเลยทีเดียว

ตึกแฝดปิโตรนาสมีทั้งหมด 88 ชั้นค่ะ จริงๆ ความสูงนี่ ถูกตึกไทเป 101 ทำลายสถิติไปแล้ว

แต่เพราะความเป็นตึกแฝด เลยได้ตำแหน่งตึกแฝดที่สูงที่สุดในโลกอยู่ดี

การออกแบบเป็นรูปทรงเรขาคณิต ตามสถาปัตยกรรมอิสลาม คือรูปดาวแฉกๆ นั่นเอง

ออกแบบโดยสถาปนิกเชื้อสายอาร์เจนตินา-อเมริกัน ชื่อ ซีซาร์ เปลลิ

คะน้าเคยเห็นแต่ในรูป พอไปดูของจริง อลังการกว่าที่คิดไว้มากๆ เลยค่ะ 55555 ตื่นเต้น~



ที่นั่งนี่ ไม่ได้คิดจะถ่ายรูปกับน้ำพุอะไรหรอกนะคะ

😅 นั่งพักเหนื่อยเฉยๆ 55555



ระหว่างนั่งพัก ก็ถ่ายรูปเล่นๆ แก้เก้อ >///<



จากด้านหน้าตึก ตรงลานน้ำพุเมื่อครู่ เดินต่อมาทางด้านซ้ายมือ (หันหน้าเข้าตึก)

เราจะเจอกับถนนเส้นเล็กๆ ที่อ้อมตึกแฝดไปยังด้านหลังตึกค่ะ

ซึ่งทางผ่านเราจะเจอกับห้างโรบินสัน และมี Sephora ด้วยนะสาวๆ 55555



เดินผ่านห้างโรบินสันมาเรื่อยๆ ชิดขวาเอาไว้นะคะ

เราจะมาเจอลานกว้างๆ แบบนี้ค่ะ ด้านนี้เรียกว่า KLCC park ค่ะ

เป็นสนามหญ้าเอาไว้นั่งเล่น เดินเล่นของชาวเมือง

และที่สถิตย์ของช่างภาพทั้งหลาย มาตั้งขากล้องรอแต่หัววัน



ฝั่งนี้เป็นฝั่งด้านหน้าห้าง Suria KLCC และ Isetan ค่ะ

คือระหว่างรอชมน้ำพุแสงสีเสียง ไป Shopping รอก่อนได้ค่ะ



แต่คะน้าไม่ใช่สายช้อป และสายกิน คะน้าคือสายบู๊

คะน้าขอหาที่ตั้งขากล้องเหมาะๆ ก่อนนะ

คะน้าดูรูปใน Google มา แล้วมุมดีๆ ที่จะถ่ายรูปสวยๆ ก็คือตรงกลางทางเข้าห้างค่ะ



และแล้วคะน้าก็ได้มุมดีๆ นั่นก็คือ...นั่งในน้ำ! 5555555 // หยอกๆ🙏🏼

นั่งริมน้ำค่ะ ตรงแถวๆ นี้แหละ ได้ที่ปุ๊บคะน้าก็ตั้งขากล้อง เตรียมเซตกล้องให้เรียบร้อย

ระหว่างนั้นก็นั่งพักเหนื่อยไป แล้วจู่ๆ ก็มีหนุ่ม KL มานั่งคุยด้วยเฉยเลย

ท่าทางเป็นมิตร พูดจาสุภาพ คะน้าเลยนั่งคุยด้วยไปเรื่อยเปื่อย



เมื่อสีดำฉาบทาเต็มท้องฟ้า แสงไฟจากตึกอาคารและท้องถนนก็ส่องสว่างแทนที่แสงอาทิตย์

คะน้าตั้งใจจะมารอดูแสงไฟยามค่ำคืนที่ตึกแฝดปีโตรนาส เพื่อถ่ายภาพวิวกลางคืนค่ะ

เป็นทริปแรกที่พกขากล้องมาด้วยแบบกรุบกริบ แต่ว่าคะน้าไม่ได้จะถ่ายไฟจากที่ตึกแฝดเฉยๆ นะ

คะน้าตั้งใจมารอถ่ายการแสดงน้ำพุของที่นี่ค่ะ ต้องรอเวลา 20:00 pm. นี่ก็ใกล้ละ ^^



พี่ชายที่เป็นช่างภาพสอนคะน้าเซตกล้องมาอย่างละเอียดยิบ

เพราะปกติถ่าย📸 Auto Mode ตลอด แต่รอบนี้อยากลองวิชาบ้าง

เวลาไปไหนคนเดียวจะได้เฟี้ยวๆ ขึ้นมาอีกหน่อย...

และนี่คือผลงานการตั้งค่ากล้องเพื่อถ่ายภาพกลางคืนของคะน้าค่ะ 55555555

พี่ชายบอกว่าให้ถ่ายน้ำฟุ้งๆ อีนี่ก็โชว์เหนือ ฟุ้งทั้งภาพไปเลย Cool cool!!

// พี่ชายชื่นชมมาใน Line ว่า "เกรียนไป๊!" เขินเลยอ่ะ 55555555



และราวๆ เวลาประมาณทุ่มครึ่ง ด้านหน้าห้างก็เปิดน้ำพุแล้วค่ะ

แต่ยังไม่ใช่โชว์นะคะ แค่เปิดเฉยๆ ระหว่างนี้คะน้าก็ได้โอกาสลองตั้งกล้องไปเรื่อยๆ

มีน้ำพุมาให้เทสแล้วด้วย เผื่ออะไรๆ จะดีขึ้น 55555



เมื่อถึงเวลาสองทุ่มตรง ผู้คนหลั่งไหลมากันพรึ่บ!

และนี่คือ Lake Symphony ❤

เป็นการแสดงน้ำพุแสงสีเสียงในบริเวณสวน KLCC Park ด้านหน้าของห้างฯ ค่ะ

ภาพรวมของการแสดงจะมีตึกปีโตรนาสอยู่เบื้องหลัง เบื้องหน้าเป็นสายน้ำพุ

ที่เต้นไปตามจังหวะเพลง พร้อมสีสันต่างๆ จากแสงไฟ เรียกเสียงฮือฮาจากผู้ชมเป็นพักๆ



การแสดงดำเนินไปเรื่อยๆ เสียงประกอบถูกเปลี่ยนเพลงไปเรื่อยๆ

คะน้าไม่รู้จักสักเพลง จนเพลงสุดท้ายดังขึ้น ❤ My heart will go on ก็มาาาา~

รู้จักอยู่เพลงเดียว แต่ก็เพิ่มอรรถรสในการรับชมให้กับคะน้าไปอีกเท่าตัว 55555



คะน้าถ่ายภาพกลางคืนไม่ค่อยเก่ง อันนี้คือสุดชีวิตของคะน้าแล้วนะ 555555

เอาล่ะ...ตอนนี้การแสดงจบลงแล้ว ถ่ายรูปเก็บไปเยอะพอสมควร

วันนี้ชื่นใจกับการเดินทางวันแรกของตัวเองมากๆ และก็ตื่นตาตื่นใจมากๆ

เคยเห็นแต่ในภาพถ่ายอ่ะเนอะ พอมาเห็นของจริงก็ตื่นเต้นปนสนุก Happy ❤




ราวๆ สามทุ่มเศษๆ คะน้าเดินย้อนกลับออกมา ผ่านหน้าห้างโรบินสัน

ที่ตอนนี้เปิดไฟสวยเชียวค่ะ คะน้าเลยอดไม่ได้ที่จะยกกล้องถ่าย Snap มาสักหน่อย



Sephora เขาวงกตสำหรับสาวๆ หลายๆ คน อยู่ใกล้แค่เอื้อม

ถ้ามาตึกแฝดแล้วแวะมาช้อปที่นี่กันนะ สบ๊ายยย~




ถึงเวลากลับย่าน China Town กันแล้วล่ะ คะน้าเดินมาขึ้นรถไฟฟ้าที่ สถานี KLCC

กดปลายทางไปยังสถานี Pasar Seni ในราคา 🎫RM1.30

ทางลงอุโมงค์รถไฟ อยู่มุมถนนด้านข้างตึก KLCC นะคะ ก่อนถึงโรบินสันค่ะ



เมื่อลงรถไฟมาที่สถานี Pasar Seni

จะได้เห็นวิวย่านนี้ตอนกลางคืนด้วย



ระหว่างทางบนรถไฟฟ้าซึ่งก็ไม่ได้นานอะไร แต่ท้องร้องตลอดทางเลยจ้าาา 5555

ก็วันนี้คะน้าทานไปแค่มื้อเดียว คือที่ร้าน Old Town นั่นแหละ เพราะงั้นตอนนี้

ไม่ต้องสืบ คะน้าอยู่ China Town ทั้งที มื้อ Dinner ต้องวนๆ อยู่ในนี้แน่นอน



เดินเตร็ดเตร่ Survey ร้านอาหารจนจะหมดแรง

ปรากฏว่าคะน้าเดินเจอแต่ร้านเสื้อผ้า น้ำหอม กระเป๋า รองเท้า และนาฬิกา // หร่องห้ายยย T_T

คิดในใจว่า...คะน้าเอ้ย! เอ็งจะมาอดตายอยู่ที่นี่ไม่ได้นะ! > <

จากนั้นคะน้าก็เดินมาอีกทาง จากทางเข้าไชน่าทาวน์ เจอแยกแรก เลี้ยวซ้ายมา

เดินตรงมาเรื่อยๆ ก็เจอที่นี่ค่ะ Food Court นักท่องเที่ยวนั่งกันเต็มเลย

คะน้ารอดแล้ว แถมยังใกล้กับโฮสเทลแบบมากๆ เลยด้วย สะดวกสุด // ยิ้มแฉ่ง

ทว่าสงสัยวันนี้เราต้องจิ้มๆ เอาแล้วล่ะ ดูรูปภาพเอา อะไรอร่อยบ้างก็ไม่รู้เลย 5555555



และในที่สุดคะน้าก็มาลงเอยที่ร้านนี้ค่ะ ดูมินิมอลดี

และหน้าตาเมนูอาหารก็คล้ายๆ ที่เมืองไทย

แถมพี่เจ้าของร้านก็ท่าทางใจดี ยิ้มให้คะน้าด้วยนะ คะน้าแพ้คนยิ้มให้ 55555

สรุปสั่งข้าวพี่ร้านนี้นี่แหละ 😍 จิ้มรูปเอาบอก "This one" แล้วมานั่งรอ...



และนี่คืออาหารที่คะน้าหลับตาจิ้มมาค่ะ ถือว่าแต้มบุญสูงอยู่นะ

เพราะจิ้มเอาของอร่อยมา เป็นเหมือนข้าวกับต้มเลือดหมูที่ไทยเลยค่ะ

แต่ไม่มีเครื่องในหมูนะ คล้ายๆ เกาเหลา แต่รสชาติต้มเลือดหมู งงมะ 5555555

เอาเป็นว่าคะน้าชอบ อร่อยดีค่ะ กินหมดเกลี้ยงเลย

มื้อนี้คะน้าจ่ายไปแค่ RM17 รวมน้ำส้มด้วยค่ะ น้ำส้มก็อร่อยดี คั้นสดเลย ชื่นจายยย~



อิ่มแล้วจ้าาา ตอนนี้ไม่อยากเดินกลับแล้ว อยากกลิ้งกลับไปเลย เพราะพุงกลมมากในตอนนี้

และนี่คือบรรยากาศยามค่ำคืนของย่านไชน่าทาวน์ ที่คะน้าตั้งใจเก็บภาพมาฝากค่ะ

เดินจนขาลาก ก็พากายหยาบกลับมานอน

ถึงห้องพักแล้ว ขอหลับชาร์ตพลังก่อน พรุ่งนี้ลุยต่อเนอะ

😴zzzZ




Day 2 :



เช้านี้คะน้าออกจากโฮสเทลเช้าม๊ากกกก เช้ากว่าเวลาไปทำงานอีกนะฮะ 5555555

ตอนนี้เวลา 08:00 am. คะน้าเดินทางมาถึงสถานี KL Sentral เรียบร้อยแล้ว

เช้านี้คะน้าเดินเล่นไปทางมัสยิดจาเม็กค่ะ ขึ้นรถไฟจากสถานี Jamek มาที่นี่ ราคา 🎫RM1.30

และจากตั๋วรถบัสไปเก็นติ้งไฮแลนด์ รถจะมาตอน 09:30am.

มาถึงคะน้าก็เดินหาจุดขึ้นรถบัสก่อนเลยค่ะ พอรู้แล้วว่าขึ้นรถตรงไหน (ตรงที่ซื้อตั๋วเลยค่ะ)

คะน้ายังมีเวลาเหลืออีกหนึ่งชั่วโมง ดังนั้นคะน้าเลยเดินออกมาหากาแฟกินค่ะ

จริงๆ ตั้งใจจะเดินไป 7-11 ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับสถานีรถบัส แต่มาเจอร้านนี้ซะก่อน

ติดใจในรสชาติกาแฟมากๆ อย่างที่บอก คะน้าก็เลยไม่ไป 7-11 แล้ว หุหุ > <



แต่เมนูไม่เหมือนกับเมื่อวานนะคะ ตอนนี้ยังเช้าอยู่ เมนูเลยเป็น Braekfast แทน

สาขานี้เปิด 24 ชั่วโมงด้วยนะคะ วิธีการสั่งอาหารก็เหมือนๆ กันเลย



☕ สั่งกาแฟเหมือนเดิม แค่เปลี่ยนบะหมี่แห้ง เป็น แซนวิชไข่สไปร์ซี่

ชุดนี้ราคา RM9.90 เท่านั้นเอง



ได้อาหารมาเสิร์ฟตอน 09:00am. เหลือเวลา 30 นาที

คะน้าก็เลยกินกาแฟไม่หมดค่ะ มันร้อน เป่าไม่ทัน เดี๋ยวตกรถ 55555

// แต่แซนวิชซัดหมดใน 5 นาทีแรก ปรบมือ!! 👏👏👏



จากเคาน์เตอร์ขายตั๋วรถบัสที่คะน้าซื้อตั๋วไปเมื่อวาน

เดินถัดมาราวๆ 50 เมตร สังเกตุป้ายเหลืองๆ ในภาพค่ะ

ตรงนี้คือ Platfrom ของรถบัส Go Genting คันสีแดงเลือดหมูนั่นเอง



รถมาจอดที่ Platfrom พร้อมๆ กับที่คะน้าวิ่งกลับมาจากร้านกาแฟพอดี๊!

ถ้ามัวแต่ซดกาแฟช้ากว่านี้อีกนิด ตกรถแน่ๆ คะน้าเอ้ย!!



บรรยากาศระหว่างการเดินทางจากกัวลาลัมเปอร์ สู่เก็นติ้ง ไฮท์แลนด์

จะเป็นทางขึ้นเขาค่ะ บางช่วงมีหูอื้อๆ บ้าง และทางโค้งเยอะเหมือนถนนทางภาคเหนือของไทย

ถ้าใครเมารถง่ายๆ แนะนำให้หลับไปเลยค่ะ เพราะคนข้างๆ คะน้าตอนแรกนั่งริมกระจก

ระหว่างทางเธอขอคะน้าสลับที่ เพราะจะนอน เวียนหัวทนไม่ไหว

คะน้าเลยได้โอกาสถ่ายรูปวิวมาพอดีเลยค่ะ เห็นภูเขา เห็นต้นไม้ เติบเต็มพลังชีวิตคะน้ามาก ^_^



มาถึงแล้วววว รถบัสจะจอดให้เราลงที่ สถานี Awana Skyway เป็นสถานีกระเช้าลอยฟ้า

ซึ่งจะอยู่ตรงข้ามกับ Outlets พอดิบพอดี

เพราะว่าเก็นติ้งฯ ตั้งอยู่บนยอดเขาค่ะ คะน้าต้องนั่งกระเช้าขึ้นไปราวๆ 10 นาที

ซึ่งที่นี่มีสถานีกระเช้าลอยฟ้าทั้งหมด 3 สถานี คือ

สถานี Awana, สถานี Chin Swee และสถานี Sky Avenue

ส่วนถ้าใครเอารถส่วนตัวมา จะมี Awana Carpark ไว้บริการ

มีค่าบริการที่จอดรถ RM2/hr. หรือ RM12/Day ส่วนขนส่งสาธารณะก็รถบัสนี่เองค่ะ



เข้ามาด้านในอาคารชั้น 1 จะเป็นสถานีรถบัสค่ะ มีเคาน์เตอร์จำหน่ายตั๋วรถบัสเด่นๆ เลย

คะน้าเข้าไปขอซื้อตั๋วรถบัสสำหรับขากลับก่อน แจ้งพนักงานว่า "Afternoon"

เช็คเวลาแล้วมีรอบบ่ายโมง บ่ายสอง เป็นต้นไป คะน้าเลยเลือกรอบบ่ายโมงค่ะ

แปลว่าประมาณเที่ยงครึ่ง คะน้าต้องขึ้นกระเช้ากลับลงมารอขึ้นรถที่นี่ได้แล้วค่ะ

รอบนี้คะน้าบอกว่าขอซื้อเฉพาะตั๋วรถบัส เพราะตั๋วกระเช้าคะน้ามีแล้ว

เพราะงั้นตั๋วรถบัสขากลับ คะน้าจ่ายไปเพียง RM4.90 ค่ะ เย้!!

(จ่ายค่ากระเช้าฟรีไปรอบนึง ฉลาดขึ้นมาเลยนะฮะ 55555)

แต่ถ้าใครไม่ชัวร์เวลากลับ เผื่อติดลมบน ไม่ต้องซื้อล่วงหน้าก็ได้นะคะ ยังไงก็มีรถกลับแน่นอน!!



จากสถานีรถบัสชั้น 1 ให้ขึ้นบันไดเลื่อนมาชั้น 4 ค่ะ

ซึ่งระหว่างทางชั้น 2 ชั้น 3 จะมีร้านอาหาร คล้ายๆ ในห้างสรรพสินค้าเลย

พอขึ้นมาถึงจะมีป้ายบอกทางมาทางขึ้นกระเช้า

ทางเข้ามีตรวจกระเป๋านะคะ ต้องเปิดกระเป๋าให้ตรวจทุกคนค่ะ

กระเป๋ากล้องใบน้อยของคะน้าก็เปิดเหมือนกัน



จากนั้นเดินตรงไปขึ้นกระเช้าเลยค่ะ

และเพราะไม่มีคน ไม่ต้องเดินเข้ารั้วแดงนะคะ เดินตรงไปเลยจ้า



มาถึงตรงนี้ เราก็ใช้ตั๋ว QR Code สำหรับขึ้นกระเช้ายิงได้เลยค่ะ

คะน้าปล่อยท่าไม้ตาย ยื่น QR Code กายสิทธิ์จาก Klook เช่นเคย

ส่วนที่ซื้อเกินมา สรุปหาไม่เจอไม่รู้เอาไปพับเก็บไว้ไหนอีก 😅โถถถถถ~



ตอนนี้คะน้าลุ้นว่า ในกระเช้าคะน้าจะได้ร่วมกี่คน

อยากนั่งร่วมให้น้อยคนที่สุด จะได้ลุกๆ ยืนๆ ถ่ายรูปได้ ไม่ต้องเกรงใจมาก 55555



แอร๊ยยยย~ เบื้องหน้าคะน้าคือ ป่าฝน 130 ล้านปี!!!

ฮือออ T_T สวยสมใจมาก ทีมภูเขาอย่างคะน้าชุ่มชื่นหัวใจที่สุดในโลกกกก

คือมันเวิ้งว้าง และเขียวชะอุ่มไกลสุดสายตา แค่ดูด้วยตาผ่านกระจก

ก็สดชื่นเหมือนดื่มน้ำคลอโรฟิลไปทั้งโอ่ง > <



ดูหมอกนั่นสิทุกคนนน!!

เพราะเก็นติ้งไฮแลนด์ตั้งอยู่บนยอดเขาที่มีความสูงถึง 2,000 เมตร

จึงทำให้ที่นี่มีอากาศที่หนาวเย็น และมีหมอกตลอดทั้งปี ว้าวววว!!~

เพราะงั้นเวลามาเที่ยวที่นี่ควรใส่เสื้อคลุมกันหนาว กันลม มาด้วยนะคะ

คะน้าวันนี้เลือกใส่เสื้อฮูดมา แต่ก็ไม่ได้หนามาก แค่พออุ่น เพราะเป็นคนขี้ร้อน

ตอนนี้เบื้องหน้าคะน้ากำลังทะลุปุยหมอกหนา มโนว่ากำลังขี่เมฆไปหาตงหัวตี้จวิน งื้อออ~



นั่งกระเช้าทะลุปุยหมอกมาได้ราว 5 นาที คะน้าขอแวะลงที่ สถานี Chin Swee ก่อนค่ะ

ซึ่งระหว่างทางที่กระเช้าลอยไหลๆ มา พอมาถึงสถานีนี้ กระเช้าจะจอดอัตโนมัติ

คะน้าก็ Full turn ลงมาเลยจ่ะ // หมุนตัวมาเหรอ? หึ...กลิ้ง!! 5555555



จากในรูปด้านบน จะเห็นอาคารแนวยาว หลังคาสีแดง

ที่เป็นขั้นบันไดตลอดแนวเขา นั่นก็คือ อุโมงค์บันไดทางลงจาก สถานี Chin swee

ไปยังวัด Chin swee ที่อยู่ด้านล่างนั่นเองค่ะ

แต่ไม่ต้องกลัวเหนื่อยไปนะคะ ไม่ต้องเดิน ที่นี่เป็นบันไดเลื่อนค่ะ

เลื่อนลงกันไปยาวๆ 6-7 ชั้นน่าจะได้ ถ้ารีบก็เดินลงไปค่ะ

ถ้าไม่รีบเหมือนคะน้าก็ปล่อยบันไดเลื่อนพาไป

ส่วนวิวรอบข้างระหว่างทางไม่ต้องชมค่ะ ขาวโพลนไปด้วยไอหมอก แถมหนาวอีก 5555



พอออกจากอุโมงค์มาถึงวัด จะเจอป้ายอักษรสีแดง

พร้อมซุนหงอคงมารอต้อนรับค่ะ 🐒




มีทางเดินเป็นอุโมงค์หินด้วยค่ะ ซึ่งจะเป็นทางเชื่อมเข้าไปถึงตัววัดได้

แต่คะน้าขอเดินทางปกติดีกว่าคะ เพราะต้องเดินไปถ่ายรูปไป 📸



นี่เป็นรูปหล่อของผู้ก่อตั้ง เกนติ้ง กรุ๊ป

ผู้บริจาคการก่อสร้างวัดซินสวีค่ะ ชื่อท่าน ตันศรีดาโต๊ะ เสรี ลิมโกห์ตง

สีหน้าท่านดูใจดีมากๆ ตอนมีชีวิตอยู่ ต้องเป็นคุณลุงที่ใจดีมากๆ แน่ๆ เลย






หอคอยสวยงามสถาปัตยกรรมตามแบบของจีน สูงเด่นของวัด

ที่นี่เป็นหอคอยชมวิวค่ะ ซึ่งบริเวณจุดที่สร้างวัด เป็น Location

ที่มีภูมิทัศน์สวยงามที่สุดของ Genting Hightland

ดังนั้น เราจะได้เห็นวิวป่าฝนในความสูงระดับ 4,600 ฟุต เหนือระดับน้ำทะเลได้จากที่นี่ค่ะ




รูปปั้นแกะสลัก เจ้าแม่กวนอิม ตั้งอยู่ชั้นบนเชิงเขา สามารถขึ้นบันไดไปได้ค่ะ

ของจริงสวยมาก เป็นรูปแกะสลักขนาดใหญ่ ถ้าอยู่ด้านล่าง จะเห็นได้ชัดกว่าค่ะ








ตรงนี้คืออาคาร ตัน ศรี ลิม โกห์ ตง ฮอลล์ มีห้องพักทั้งหมด 110 ห้อง

เพื่อให้ผู้แสวงบุญใช้เป็นที่พักผ่อน ขณะมาปฏิบัติธรรมค่ะ





ส่วนมุมนี้ เป็นมุมติดกับหน้าผา ที่คะน้าชอบมากที่สุดของวัด ❤

เป็น พระพุทธรูปสลักจากหินขนาดใหญ่ 🙏🏼 ดูภาพสิคะ สลักเนียนมาก สวยงามไร้ที่ติมากๆ เลย

คะน้าหมุนหามุมถ่ายรูปตรงนี้นานมากๆ เพราะไม่รู้จะถ่ายยังไงให้ออกมาสวยเหมือนของจริง

ตอนนั้นหมอกลงหนามากค่ะ ละอองหมอกพัดผ่านองค์พระพุทธรูปเป็นไอน้ำ

คะน้านี่ยืนตะลึง สวยจนไม่รู้จะอธิบายออกมายังไงดี

เอาเป็นว่าคราวหน้า คะน้าจะจองห้องพักที่ Resort World Genting

แล้วลงมานั่งเล่นที่วัดให้ฉ่ำไปเลยสักวันค่ะ ชอบที่นี่มากจริงๆ #ทีมภูเขาอ่ะเนอะ



ถัดจากพระพุทธรูปหินสลักองค์ใหญ่ มาด้านซ้ายมือ

จะมีรูปปั้นต่างๆ แสดงถึงเรื่องนรก และสวรรค์ค่ะ

สามารถเดินขึ้นบันไดไปชมได้ ทางเดินจะเชื่อมต่อยาวไปถึงองค์เจ้าแม่กวนอิมค่ะ



ด้านล่างของทางขึ้น จะมีรูปปั้นของเทพเซียน ในอิริยาบทต่างๆ ด้วยค่ะ



สำหรับวัดนี้ ขับรถขึ้นมาเองได้ด้วยนะคะ มีลานจอดรถให้ด้านล่าง

คะน้าเห็นรถขับขึ้นมาเรื่อยๆ เลย และด้านล่าง ยังมีร้านอาหารเจไว้บริการด้วยนะคะ



วิวป่าฝนสวยงามในความสูงระดับ 4,600 ฟุต ที่คะน้าตั้งใจมาชม

คะน้าดูด้วยตาเปล่า คะน้ามองเห็นป่าฝนอย่างที่ตั้งใจนะคะ แต่กล้องถ่ายมา มีแต่หมอกอ่ะ

คะน้าหลงรักที่นี่จังเลย สวยและอากาศดีมากๆๆๆ เลยจริงๆ ค่ะ



กลับขึ้นมาที่สถานีกระเช้า Chin Swee กันอีกครั้ง

ใช้ QR Code ใบเดิมแสกนกระเช้าต่อมาที่ Genting Hightland ค่ะ

ซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขาอูลู คาลี (Ulu Kali)

นั่งกระเช้าต่อมาราวๆ 5 นาทีค่ะ รู้สึกไม่พอเอาซะเลย อยากนั่งนานกว่านี้

เพราะบรรยากาศระหว่างทาง ดีต่อใจมากจริงๆ ค่ะ



พอลงจากกระเช้ามา จะเข้าสู่ First World Plaza ค่ะ

เป็นห้างสรรพสินค้าและเป็นที่ตั้งสวนสนุกในร่ม Skypolis Theame Park นั่นเอง

ภายในห้างฯ จะแบ่งออกเป็น 6 โซน ตั้งชื่อตามชื่อเมืองสำคัญต่างๆ ได้แก่ ฝรั่งเศส (ชองเอลิเซ่)

อังกฤษ (ลอนดอน) อิตาลี (เวนิส) อเมริกา (ไทมส์สแควร์และยูนิเวอร์ซัลวอล์ค)

สวิสเซอร์แลนด์ (สวิสแอลป์) และมาเลเซีย (เกนติ้งวอล์ค)



คะน้ามายืนดู Skytropolis Indoor Theme Park

มีเสียงเครื่องเล่นต่างๆ ดังสนั่นหวั่นไหว ฟังเสียงแล้วอยากวิ่งเข้าไปเล่นมากเลยค่ะ

คราวหน้าต้องไม่พลาดแล้ววว 😭



เดินชมภายใน First World Plaza จนเกือบทั่วแล้ว

คะน้าก็เดินมาต่ออีกด้านหนึ่งค่ะ เดินมาแบบไม่รู้ว่าจะมาเจออะไรด้วยนะ

และในที่สุดก็มาโผล่ที่นี่ค่ะ Genting Grand Complex



ที่นี่ด้านบนเป็นโรงแรมค่ะ แต่ด้านล่างที่คะน้าอยู่ เป็น Gamer zone ค่ะ

มีเครื่องเล่นเกมล้ำๆ เยอะแยะไปหมดเลยค่ะ

แต่ละเครื่องน่าเล่นทั้งนั้นเลย ฮืออออ~ ทำไมที่นี่มันเถิดเทิงขนาดนี้นะ

และสำหรับเครื่องเล่นเด็กๆ แล้ว ยังมีสำหรับผู้ใหญ่ด้วย นั่นคือ Casino ค่ะ

มีป้ายบอกทางนะคะ แต่คะน้าไม่ได้เดินไป ถึงไปก็ห้ามถ่ายรูปอยู่ดี 555555



ร้านอาหารกองรวมกันอยู่นี้ตรงทุกแบรนด์เลยค่ะ

ตรงนี้เป็นทางเชื่อมระหว่าง Genting Grand Complex กับ First World Plaza ค่ะ

คะน้ากำลังเดินกลับไปขึ้นกระเช้า เพื่อกลับลงไปด้านล่างแล้วค่ะ

// ตอนนั้นเวลาประมาณ 12:30pm. คะน้าจะตกรถมั้ย มาลุ้นกัน 😅5555555



ทางออกากระเช้าสำหรับทางลง จะอยู่ฝั่งตรงข้ามกับทางเข้าห้างในตอนแรกนะคะ

ต้องสังเกตุกันนิดนึง คนไม่เยอะค่ะ กระเช้าก็หมุนเวียนอยู่ตลอดเวลา

เรียกว่าสะดวกสบายมากๆ เลยค่ะ ติดใจเลยเนี่ย

ต้องกลับมา...ต้องกลับมาเท่านั้น!! 😍



ระหว่างทางกระเช้าลอยกลับ เวลาเที่ยงครึ่งแล้ว หมอกยังคงหนาอยู่

แต่ก็ไม่หนาเท่าตอนเช้าเท่าไหร่นัก จากมุมนี้คะน้าเห็นวิวตึกสีรุ้งอันโด่งดัง

ที่นี่คือ รีสอร์ทเวิลด์ เก็นติ้ง (Resorts World Genting) ที่คะน้าพูดถึงนั่นเองค่ะ



ส่วนด้านล่างตรงนี้เป็น Outdoor Theme Park สวนสนุกภายนอก

เพิ่งเปิดใหม่เมื่อปี 2017 ที่ผ่านมานี้เองค่ะ ชื่อว่า 20th Century Fox World Malaysia



มาถึงตรงนี้คะน้าก็เดินจนทั่วแล้วนะคะ ถือว่ามาเปิดหูเปิดตา จริงๆ คะน้าชอบเที่ยวภูเขามาก

ตั้งใจมาที่นี่เพราะอยากขึ้นเขา อยากมาเห็นป่าฝนดึกดำบรรพ์ อยากชิลกับไอหมอกเย็นๆ

และอยากมาดูด้วยว่าที่นี่เถิดเทิงยังไงบ้าง คะน้าชอบนะ รวมๆ คือดีมากๆ เลยอ่ะ

เป็น Location เหมาะที่จะมาพักผ่อน ระดับ Full option

ของเล่นเยอะ ร้านอาหารก็เพียบไปหมด ธรรมชาติดี บรรยากาศดี วิวสวย เริ่ดจริงๆ!

คราวหน้าคะน้าจะมาตะลุย Genting แบบทั้งวันทั้งคืนสักครั้งให้ได้เลย

// 😍รอตั๋วโปรใจจดใจจ่อ 55555



แลนด์ดิ้งเรียบร้อย คะน้ากลับลงมายังชั้น 1 แล้วค่ะ จากนั้นไม่รู้ว่าต้องขึ้นรถบัส

ที่ Platfrom ที่เท่าไหร่ เพราะในตั๋วไม่มีระบุ คะน้าเลยถามพี่คนนึงแถวนั้น

เอาตั๋วให้เขาดู พี่เขาเลยสอนคะน้าให้ไปดูที่จอ (ในรูปจะเห็นมี TV ติดอยู่)

ในจอจะระบุ เวลารอบรถ สถานีปลายทาง และ Plantform ที่รถเข้าจอดค่ะ

จากนั้นบังเอิญว่าพี่เขากลับรถเที่ยวเดียวกับคะน้าพอดี

ก็เลยเรียกคะน้าให้ยืนรอด้วยกันซะเลย // ทริปนี้เจอแต่คนใจดีอ่ะ 55555



เมื่อกลับมาถึง KL Sentral เวลาประมาณบ่ายสองนิดๆ

คะน้าก็ตรงปรี่มาที่เคาน์เตอร์นี้ค่ะ KL Komuter เพื่อนั่งรถไฟฟ้า

ไปยังถ้ำบาตู สถานที่เที่ยวสุดท้ายของวันที่ 2 ตามแพลนของคะน้าน้อย ^^

เราต้องซื้อเหรียญที่เคาน์เตอร์นี้เท่านั้นนะคะ จริงๆ คือคะน้าเดินหาตู้กดแล้วไม่มี

เลยรู้ว่าต้องซื้อที่เคาน์เตอร์เท่านั้น ค่าตั๋วราคา 🎫RM2.60 ค่ะ



ต้องอ่านป้ายดีๆ นะคะ การเดินที่กัวลาลัมเปอร์ ไม่ว่าไปที่ไหนก็ตาม

ป้ายเยอะมาก และสำคัญมากๆ ค่ะ เพราะบางสถานีที่คะน้าไป

ที่นี่ไม่เหมือนบ้านเรานะคะ แบบว่าซื้อตั๋วแล้ว ขึ้นบันไดเลื่อนนิดเดียวถึง

ที่นี่เดินไกลม๊ากกกกก!!! ทางแยกไปแต่ละ Platfrom หรือ สายรถไฟสีต่างๆ

กว่าจะเดินถึงแต่ละชานชลา กายหยาบแทบชราภาพตามไปเลยค่ะ

บางทีเดินไกล ยังมีต่อขึ้น-ลงบันไดเลื่อน หรือขึ้นบันไดเดินเท้าไปอีกหลายร้อยเมตร

เพราะงั้น...อ่านป้ายไว้นะคะ ถ้าหาไม่เจอจริงๆ ต้องถามทางค่ะ ไ่ม่งั้นตกรถกันสนุกแน่ 55555



ได้มาเป็นเหรียญ Token นั่งรอรถไฟมา

ตรงนี้แอบร้อนนะฮะ เพราะอยู่ใต้ดินสุด มีไอร้อนพลุบๆ มาเป็นระยะๆ



ที่นี่มีโบกี้แยกสำหรับผู้หญิงด้วยนะคะ

อบอุ่นหัวใจเว่อร์ คะน้าก็นั่งรออยู่ใน Area ภายใต้ป้ายสีชมพูนี่แหละค่ะ



รถไฟผ่านมาขบวนแล้วขบวนเล่า

แต่ป้ายไฟที่ขบวนรถ ไม่เห็นป้ายชื่อว่า "Batu Caves" สักที

เพราะ สถานี Batu Caves เป็นสถานีปลายทางสุดสายเลยค่ะ

ดังนั้น ป้ายไฟนำทางที่โชว์บนขบวนรถไฟ จะต้องขึ้นชื่อสถานีปลายทาง

แต่ทว่าคะน้าไม่เห็นสักที เลยไปถามเจ้าหน้าที่ พี่เขาบอกว่า "14:57 pm. ครับมาดาม"

คะน้าผู้ที่บอกให้ทุกคนว่าให้อ่านทุกป้ายอยู่ตะกี้ กลายเป็นตัวเองแหละไม่ยอมอ่านที่จอ

โชว์เด๋อเก่งงงง!!! 55555555



ในที่สุดรถไฟก็มา โบกี้ผู้หญิง จะมีป้ายสีชมพูแปะอยู่ที่ประตูทางเข้าด้วยค่ะ

เข้ามาถึงจะมีแต่เด็กและสตรี และสตรีที่สวยอย่างคะน้าน้อย 55555



จำไม่ได้ว่านั่งรถไฟมานานแค่ไหนค่ะ และพอมาถึงสถานี Batu Caves

เดินออกมาทางขวามือ (เอาจริงๆ ตอนเดินมาใช้เซ้นท์ล้วนๆ เลยค่ะ เพราะเห็นภูเขา 55555)

พอออกมาก็จะเจอทางเข้าวัดถ้ำบาตูแบบนี้เลย ก่อนเข้ามามีร้านของที่ระลึก และเครื่องดื่มนะคะ

ราคา RM1-3 เท่านั้น ไม่แพงค่ะ



เดินเข้ามาจะเจอเคาน์เตอร์นี้ก่อนเลยค่ะ

ขายตั๋วดูสัตว์แปลกๆ ในถ้ำ แต่คะน้าไม่สู้นะ T_T



เซอร์ไพรส์มาก ไม่รู้มาก่อนเลยค่ะว่ามาที่นี่จะได้เจอลิงด้วย 🐒 555555

ยกกล้องขึ้นจะ Snap shot ตอนเดินผ่าน ได้จังหวะน้องยิ้มพอดีเลย น่ารักกก~



เดินตรงเข้ามาเรื่อยๆ จะเห็นมุมนี้ค่ะ มีปลาเพียบเลย น้ำที่นี่ใสมาก เห็นปลาชัดแจ๋วเลย

แต่คะน้าไม่รู้ว่ามีร้านขายอาหารปลาหรือเปล่านะคะ ไม่ทันได้ดู > <



โอโหหห! นกก็เยอะไม่แพ้กันค่ะ นกมากันทั้งโลกแล้วมั้ง เยอะไป๊!!

รวมคะน้าไปอีกนก นกเก่ง นกไม่หยุด นกตลอดชีวิต // หร่องห้ายยย~



อีกด้านหนึ่งมีร้านขายอาหารและเครื่องดื่ม และของที่ระลึกไว้บริการด้วยนะ

ที่นี่จะมีรถบัสนักท่องเที่ยวมาลงอยู่ตลอดเวลา ค่อนข้างครึกครื้นทีเดียว



มาถึงลานด้านหน้าแล้ว เราจะเห็นทางขึ้นเขา เพื่อไปเข้าถ้ำบาตู

ด้านหน้าจะมีรูปปั้นที่เป็นสัญลักษณ์สำคัญของที่นี่ค่ะ

เป็นรูปปั้นเทพเจ้าในศาสนาฮินดู ชื่อ มูรูแกน (Murugan) หรือที่คุ้นหูกันในชื่อว่า "ขันธกุมาร" ค่ะ

ขันธกุมารอยู่ในท่ายืนมีความสูงถึง 42.7 เมตร!!

และได้รับการบันทึกว่า เป็นรูปปั้นที่สูงที่สุดในโลกอีกด้วย โอโหหหห!~

ของจริงสูงเกือบๆ จะเท่าภูเขาด้านหลังอยู่แล้วค่ะ คะน้าอึ้งไปเลย > <

โดยความพิเศษของรูปปั้นนี้คือ โครงสร้างทำจากคอนกรีตราวๆ 1,550 คิว

ใช้เหล็กแท่งถึง 250 ตัน และใช้สีทองนำเข้าถึง 300 ลิตร จากประเทศไทย ว้าวววว!!



ยังอีก ยังนกไม่หยุดอีก!!

หมายถึง นกเยอะเหรอ?

เปล่า! คะน้าเอง 5555555



ก่อนจะขึ้นไปด้านบน คะน้าขอเดินชมวัดบาตูที่อยู่ด้านล่างก่อนค่ะ

จริงๆ คะน้าชอบวัดฮินดูนะคะ หลังจากที่ไปเที่ยวหลายๆ ที่และพบเจอวัดฮินดูมามากมาย

จนระยะหลังๆ คะน้าก็เริ่มศึกษาเกี่ยวกับศาสนานี้ขึ้นมาซะอย่างนั้น

เหมือนว่าคะน้าไปเที่ยวแล้วคะน้าไม่รู้จักว่าตรงนี้คืออะไร เรียกว่าอะไร มันรู้สึกเข้าไม่ถึง 55555



นี่เป็นภาพจิตรกรรมฝาผนังตรงประตูทางเข้าค่ะ แต่วันที่ไปวัดปิด

คะน้าไม่รู้ว่าวันอื่นเปิดหรือเปล่า หรือเปิดเป็นช่วงเวลานะคะ คะน้าเลยได้ชมแค่รอบๆ ภายนอกเท่านั้น

ตรงภาพวาดและภาพสลักที่ประตู เป็นรูปพระพิฆเนศและขันธกุมารค่ะ

ขันธกุมาร ตามประวัติเป็นเทพเจ้าแห่งนักรบ บุตรแห่งพระศิวะและพระแม่อุมามหาเทวี

เป็นหนุ่มรูปงาม ผิวพรรณดี และสง่างาม มีพระพักตร์ 6 พักตร์ และมี 12 กร

และที่เห็นอยู่คู่กับพระพิฆเนศ เพราะทั้งสองพระองค์ เป็นพี่น้องกันค่ะ

จริงๆ มีซีรี่ส์ด้วยนะคะ หาดูได้ทางช่อง 8 เรื่อง กำเนิดขันธกุมาร พี่ชาย พระพิฆเนศ นั่นเองค่ะ



เอาล่ะ! คะน้าพร้อมแล้วค่ะ เตรียมตัวพิชิตบันไดสีรุ้ง 272 ขั้นเพื่อทุกคนแล้ว!!

// ว่าแต่...ตอนถ่ายคะน้าไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังโดนแก๊งค์หลังแย่งซีน 5555555



เดินเข้ามาใกล้ๆ มาชมกันชัดๆ ^^

เลอค่าจนไม่รู้จะบรรยายยังไงแล้วจ้า งานละเอียดมาแม่!



ถ้าสาวๆ คนไหนแต่งตัวไม่เรียบร้อย

มีบริการผ้าถุงให้ตรงทางขึ้นนะคะ



แต่คะน้าผ่านฉลุย ไม่ต้องใส่ผ้าถุงเหมือนใครๆ

เพราะเตรียมตัวมาดี เสื้อผ้าที่เตรียมมานี่ปิดตั้งแต่คอหอยถึงตาตุ่ม 55555



เดินขึ้นมาได้หน่อยนึง...พี่ลิงก็มานั่งนิ่งๆ คะน้าอดใจไม่ไหว ขอเซลฟี่ด้วย

🐒 พี่ลิงก็นั่งมองเฉยๆ เลย น่ารักกกก >///<

// ทุกคนเบื่อจะเจอลิงใน Blog คะน้าหรือยังคะ เจอมันทุกทริป ก็คะน้าชอบอ่าาา 5555555



เพื่อนักอ่านของคะน้าน้อย

คะน้าจะสู้นะ!! 55555

// เหงื่อแตกแล้วจะแม่ >O<



อย่าถือสาที่คะน้าถ่ายรองเท้านะคะ 🙏🏼🙏🏼🙏🏼

คะน้าแค่อยากให้ดูว่าน้องๆ เชื่องแค่ไหน คือพวกเขาเข้าใกล้เรามากๆ

แต่ไม่กระโจนเข้าใส่ และไม่แย่งของจากในมือด้วย

พวกเขาน่ารักมาก มากๆ จริงๆ ค่ะ แววตาบางตัวก็น่าสงสาร

ถ้าคะน้ารู้ว่าจะเจอน้อง คะน้าจะพกขนมลิงไปหว่านให้แล้วเนี่ย T_T



ดูสิคะ น่ารักมากกก ถ่ายใกล้ขนาดนี้ ไม่ลุกหนีเลย เฉยมากกกก

เป็นลิงที่เชื่องที่สุดเท่าที่เคยเจอฝูงลิงมาทุกทริป อยากอุ้มกลับบ้านเลยว้อยยย~ 🐒



❤ ตัวนี้อุ้มลูกน้อยวิ่งกระเตงๆ ไปทั่วเลยค่ะ น่าเอ็นดู๊! ❤

นักท่องเที่ยวหยุดเดินเลย เพราะฮือฮาลิงแม่ลูกอ่อน คะน้าก็ด้วย 55555



บันไดแถวริมซ้ายสุด จะติดกับน้ำตกที่ไหลลงมาจากภูเขา

เป็นแหล่งที่อยู่ของลิงค่ะ พวกลิงจะเล่นน้ำ และกินน้ำกันตรงนี้แหละ



เดินขึ้นบันไดไป หยุดเล่นกับลิงไปมาตลอดทาง

ในที่สุดคะน้าก็ขึ้นมาถึงซะที ด้านบนมีซุ้มประตูวัด เหมือนด้านล่างเลยค่ะ



ลงบันไดต่ออีกนิดนึง...ตรงนี้มีร้านขายน้ำนะคะ

เดินขึ้นมาเหนื่อยๆ หิวน้ำไม่ต้องกลัวค่ะ ซื้อเลย! 55555



เข้ามาด้านในถ้ำ จะเจอวัดฮินดูค่ะ ตอนที่คะน้ามาถึง

ด้านในกำลังมีสวดมนต์กันอยู่พอดีเลยค่ะ คะน้ายืนดูอยู่ครู่นึง

แต่ดูไปก็ไม่เข้าใจว่าคือพิธีอะไรอยู่ดี T_T

// นี่เลยเป็นเหตุผล ที่พอกลับมาไทยก็อยากจะศึกษาเพิ่มเติมขึ้นมา พอไม่รู้แล้วอึดอัดชะมัด



รอบถ้ำ จะมีรูปปั้นชาวฮินดูอยู่ตามจุดต่างๆ ค่ะ แต่ไม่ได้มีเยอะนัก

ภายในยังคงความเป็นถ้ำตามธรรมชาติอยู่มากค่ะ มีน้ำไหลตามผนังถ้ำ

ทำให้ภายเย็นสดชื่นมาก ไม่อับนะคะ มีแสงไฟพอสลัวๆ และมีม้านั่งให้นั่งพักด้วย



ตรงเข้าไปด้านใน มีทางขึ้นต่อไปอีกนิด

เพื่อไปชมถ้ำด้านบนค่ะ แต่คะน้าไม่ได้ขึ้นไปแล้วค่ะ

เอาตรงๆ คือเหนื่อย 😅 และมองจากตรงนี้ก็เห็น พอใจแล้ว 55555



และนี่ภาพที่คะน้าบังเอิญเห็นและถ่ายรูปไว้ได้ทันค่ะ

ระหว่างเดินลง นักท่องเที่ยวเล่นกับลิงอย่างในรูป บ้างก็แบ่งขนมให้ค่ะ

ดูแววตาน้องๆ สิคะ ฮือออ~ หัวใจพี่บางไปหมดแล้วน้องงง❤❤❤❤



จาก สถานี Batu Caves คะน้านั่งกลับมาลงที่ สถานี Kualalumpur

ราคา 🎫RM3 ค่ะ ที่ลงสถานีนี้ เพราะดูจากตารางสายรถไฟแล้ว

สถานี Kualalumpur มีทางเชื่อมเป็น Sky Walk เดินไปยัง สถานี Pasar Seni ได้ค่ะ

แปลว่าคะน้าก็กลับถึงโฮสเทลได้เลย ในต่อเดียวนั่นเอง ^_^

// แต่เดินไกลอีกเหมือนเคย T_T



เมื่อเราเห็นว่าท้องฟ้ายังคงสว่างวาบ!

ใจเราเลยยังไม่อยากกลับบ้านนอน 555555



และแล้วคะน้าก็พาตัวเองเดินออกนอกทิศทาง

จาก สถานี Pasar Seni ที่ควรจะเดินไปถึงตั้งนานแล้ว

แต่เดินเล่นมาเรื่อยๆ ก็มาโผล่ที่นี่ค่ะ ตึก Komplexs Dayabumi

ตึกนี้เคยเป็นที่ตั้งของศูนย์ฝึกอบรมและคลังรถไฟภาษามลายูตั้งแต่ปี 1981-1900

ก่อสร้างเริ่มในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2525 ปัจจุบันตึกนี้อยู่ภายในการดูแลของ

KLCC Properties Holdings Berhad (KLCCP) เจ้าของเดียวกับตึกแฝดนั่นเองค่ะ

ภายในตึกนี้มีทั้งหมด 35 ชั้น ปัจจุบันมีที่ทำการไปรษณีย์ และศูนย์การค้าซิตี้พ้อยท์



ตึกนี้สูงระฟ้าโดดเด่นในย่านไชน่าทาวน์ จริงๆ เราสามารถมองเห็นตึกที่มีรูปธงชาติ

ได้จากด้านหน้า Central Market นะคะ แต่ตอนนี้คะน้าเดินมาอยู่ตรงทางเข้าเลย

คะน้ามาตอนเย็นมากแล้ว เหมือนพนักงานภายในตึก พากันทยอยออกกลับบ้าน

พวกเขาเดินสวนคะน้าออกมากันเป็นพักๆ และมีคะน้าเดินกลับเข้าไปอยู่คนเดียว!

อะไรจะหน้ามึนขนาดนั้นอ่ะ 55555 >///<



ในเมื่อพลังยังไม่หมด เราก็จะไม่พักง่ายๆ

เมื่อคะน้าเดินกลับมาถึงย่านไชน่าทาวน์แล้ว

คะน้าเลยอยากไปเดินดูบรรยากาศตอนกลางคืนที่จัตุรัสเมอเดก้าค่ะ

โคตรฟิตเลยนะฮะ 555555



นี่คือที่ไหนจำกันได้หรือเปล่า?

นี่คือ พิพิธภัณฑ์สิ่งทอแห่งชาติ (National Textile Museum) ค่ะ

รอบนี้คะน้าข้ามถนนมาถ่ายมุมกว้างให้เห็นกันชัดๆ

คะน้าต้องยืนรออยู่ตั้งนานแน่ะ กว่าถนนจะไม่มีรถผ่าน 555555

พอจังหวะรถผ่านไป ต้องรีบกดชัตเตอร์ เพราะรถก็มากันเรื่อยๆ ค่ะ

ไม่ได้เงียบเหงาอย่างในรูปนะคะ รถเยอะค่ะ อาจจะเพราะยังเป็นช่วงหัวค่ำอยู่



และนี่คือ อาคาร Sultan Abdul Samad ค่ะ

ถ่ายมุมกว้างจากอีกฝั่งนึงเช่นกัน พอเห็นมุมนี้แล้ว

ใหญ่โตมโหฬารมากๆ เลยใช่มั้ยคะ สวยงามเหมือนพระราชวังเลยเนอะ



และนี่คือพีคสุด คะน้าไม่ได้คาดหวังว่าจะเดินมาเจออะไรแบบนี้เลย

พอขากลับเดินมาที่มัสยิดจาเม็ก สวยผิดไปจากตอนกลางวันมากกกก!!

มีเปิดละอองหมอกในแม่น้ำด้วยค่ะทุกคนนน~

ของจริงคือไอหมอกฟูฟ่องจนขาวโพลนไปหมดเลยค่ะ ได้ไอเย็นๆ จากละอองน้ำด้วย

เป็นภาพที่งดงามเนรมิตมาเหมือนอยู่ในฝันเลย ประทับใจจจจ ❤❤❤



และนี่คือหอนาฬิกาที่คะน้าเดินผ่านไปเมื่อตอนเช้า

ตอนที่เดินไปสถานี Jamek ค่ะ แต่ไม่ได้ถ่ายรูปไว้ เพราะคนเยอะ

แต่ตอนนี้ไม่มีคนแล้ว คะน้าเลยถ่ายเก็บมา เพราะว่าสวยดี

ที่นี่ชื่อว่า Medan Pasar Clock Tower (Old Market Square Clock Tower) ค่ะ

เป็นหอนาฬิกาใจกลางย่านตลาดเก่า รอบข้างรายล้อมไปด้วยร้านรวงต่างๆ

แต่คะน้ามาตอนมืดแล้ว บริเวณนี้เลยเงียบเหงาหน่อยๆ



เดินมาถึง Central Market พอใกล้ดึกๆ ร้านค้าก็เริ่มปิดแล้วเหมือนกันค่ะ

ที่นี่คงจะมีแต่ย่านไชน่าทาวน์แล้วล่ะ ที่ครึกครื้นทั้งวันทั้งคืน ^^



พอเดินกลับมาถึงไชน่าทาวน์ คะน้าก็ตรงไปยัง Food court ที่เดิมค่ะ

อย่างที่บอกว่าคะน้าไม่ใช่สายกิน ถ้าจะหวังให้คะน้าพาไปทานอะไรอร่อยๆ

คะน้าไม่รู้เรื่องหรอกนะคะ แต่ถ้าถามว่าที่ไหนสนุก ไปค่ะ คะน้าจะพาไป!! 5555

และมื้อนี้คะน้าสั่งผัดหมี่กับน้ำแอ็ปเปิ้ลค่ะ ทั้งหมดนี้ RM17

อร่อยดีค่ะ แต่ปริมาณเยอะจนกินไม่หมด ที่นี่สั่งอาหารแล้วให้เยอะทุกร้านเลยนะคะ อิ่มแปล้~



เดินกลับมาถึงโฮสเทล ห้องพักคะน้าอยู่ชั้น 3 ค่ะ แต่อยากลองเดินบันไดดู

พอขึ้นมาก็เจอภาพวาดฝาผนังไปตามทาง โคตรอาร์ตเลย ยิ่งตรง Lobby ยิ่งเท่!!

จริงๆ คะน้าฝันมาตั้งนานแล้วว่าจะต้องมีสักทริปที่มาคนเดียว อยากมาชิลๆ ไหลๆ

เพลินๆ อยากทำอะไรก็ทำ ไม่ต้องรู้จักใคร และไม่มีใครรู้จักเรา และพอเอาเข้าจริงๆ

เฮ้ย! มัน Feel good โคตรรร! นอกจากความอิสระ เรายังได้พักสมองขั้นสุด

เพราะเราไม่ต้องคิดอะไรมาก คิดแต่ว่า...จะเดินไปทางไหน ถ่ายรูปมุมไหนดี แค่นี้เอง

แต่อย่าหวังจะได้พัก ไปเที่ยวไม่ใช่การพักผ่อน มันคือความเหนื่อยที่มีความสุข 55555

หมดไปอีกวันแล้ว...พรุ่งนี้เที่ยววันสุดท้าย ตามคะน้าไปต่อนะคะ ❤



Day 3 (Last) :



วันสุดท้ายของทีมเยือน วันนี้ต้องกลับไทยแล้ว ไวจังงงง~

คะน้า Check out ออกจากโรงแรมราวๆ 10:00am. ค่ะ วันนี้ขอตื่นสายหน่อย

คะน้าพร้อมกระเป๋าแบคแพค 1 ใบอันหนักอึ้ง เลยเดินมาขึ้นรถไฟฟ้าที่สถานี Pasar Seni

ที่อยู่ใกล้ๆ (ปกติจะเดินชมวิวไปขึ้นรถไฟทางมัสยิดจาเม็ก) เพื่อไปสถานี KL Sentral ค่ะ

ราคาตั๋วจากสถานีนี้ถูกกว่าขึ้นที่สถานีจาเม็กนะคะ ที่นี่แค่ 🎫RM1.20 ค่ะ



เมื่อมาถึงสถานี KL Sentral คะน้าก็เกิดเปลี่ยนแผนขึ้นมากะทันหันค่ะ

เพราะดูเวลาแล้วน่าจะเพิ่มที่เที่ยวอีกสักที่หนึ่งได้ นั่นก็คือ วัดเทียนหัว ค่ะ

วัดนี้ดังมากๆ อยู่เหมือนกัน มาถึงแล้วก็อยากไปเยือนสักครั้ง

จากที่คิดว่าจะฝากกระเป๋าไว้ระหว่างเที่ยวในวันนี้ เลยเปลี่ยนใจไม่ฝากแล้วค่ะ

// แต่ที่ถ่ายรูปมา เพื่อให้นักอ่านของคะน้าที่อยากฝากกระเป๋า จะได้มีข้อมูลไง 😊



เปิด Google Map ดูว่าวัดเทียนหัวอยู่ที่ไหน ปรากฏว่า...

ถ้าเดินจาก KL Sentral ใช้เวลา 30 นาที โดยระหว่างทางจะผ่านย่าน Little India ด้วย

หรือถ้านั่งรถไฟฟ้าไป ก็จะต้องลงที่สถานี Bangsar และเดินเท้าต่อไปอีก 20 นาที

สายบู๊อย่างคะน้าเลยเลือกที่จะเดินค่ะ เพื่อจะได้ของแถมคือ ชมย่าน Little India เพิ่มด้วย

น่าสนุกจะตายไป ❤❤❤




จาก KL Sentral เดินลัดเลาะมาริมถนนใหญ่ ถนนใหญ่เลยจริงๆ ค่ะ

ทางเดินเป็นแบบขึ้นเนิน ขึ้นสะพาน ลงเนิน คือทางเท้าเดินสบายค่ะ

แต่คนที่แบกกระเป๋าแบคแพคมาด้วยอย่างคะน้า ก็ไม่สบายเท่าไหร่ 55555

ด้วยกระเป๋าที่หนัก จะใช้ล้อลากก็ไม่สะดวก คะน้าเลยต้องสะพายและเดินช้าๆ เอาค่ะ

เพื่อไม่ให้กินแรงเกินไปนัก และราวๆ 15 นาทีแรก เบื้องหน้าของคะน้าคือ ย่าน Little India ค่ะ



คะน้าจำซุ้มประตูและถนนเส้นนี้ได้ คะน้าเคยผ่านมาทางนี้แล้ว

โดยรถ Sky Bus ที่มาจากสนามบินในวันแรกนั่นเองค่ะ

จำได้ว่าวันนั้นคะน้ามองถนนเส้นนี้จนเหลียวหลัง เพราะรู้สึกว่าบรรยากาศที่นี่สวยดี

มีเอกลักษณ์ และมีสถาปัตยกรรมที่สวยงามดึงดูดน่าสนใจ ซึ่งก็คือซุ้มประตูอันโดดเด่นนี้เองค่ะ

ซึ่งนี่คือสิ่งก่อสร้างที่ทางประเทศอินเดีย มอบให้ประเทศมาเลเซียเป็นของขวัญนั่นเอง



ย่านนี้ประดุจเดินบนพรมแดง

เพราะถนนที่นี่ปูด้วยอิฐสีแดงไปทั้งผืนเลยค่ะ



สองข้างทางประดับด้วยซุ้มประตูตกแต่ง

ทำให้ถนนตลอดเส้นนี้ในย่าย Little India ดูมีชีวิตชีวา สดใสมากๆ เลย

เหมือนหลุดเข้ามาอยู่ในงานเลี้ยงของเจ้าหญิงโลกนิทานยังไงยังงั้น



สองข้างทางเต็ไปด้วยร้านรวงสินค้าอินเดียค่ะ

มีโปสเตอร์หนังอินเดียด้วยนะคะ นี่ไม่เหมือนอยู่มาเลเซียเลยค่ะ

แตกต่างออกไปมาก คะน้าเดินเล่นอยู่คนเดียว

ผู้คนที่นี่มองคะน้ากันหมดเลย 55555



และนี่คือภาพรวมของย่าน Little India ที่คะน้าเก็บภาพมาฝากค่ะ

ที่นี่สวยงามและมีเอกลักษณ์มากๆ จริงๆ ที่เดินมาตั้งไกล หายเหนื่อยเลยค่ะ คุ้มนะ!!



เดินต่อมาจากย่าน Little India มาตามถนนใหญ่ ยังดีที่อุตส่าห์มีฟุตบาธให้เดิน

คะน้าเดินอยู่บนสะพานลอย (สำหรับรถ) เลยถ่ายรูปเล่นมาตามไปเรื่อยๆ



เดินมาถึงป้ายนี้ ใน Google Map บอกว่าอีก 990 เมตรคะน้าจะถึงค่ะ

คะน้าก็เลยเอาวะ! อีกนิดเดียวเอง เดี๋ยวก็ถึงแล้ว ✌

// เพราะกระเป๋าที่หนักมากๆ คะน้าเลยคิดจะโบกเรียกแท็กซี่อยู่ในใจ แต่สุดท้ายก็อยากเดินต่อ



และนี่คือสิ่งที่ Google Map ไม่ได้บอกคะน้า!!!!!!

990 เมตรที่บอก...มันคือทางเดินแบบขึ้นเนินเขาค่าาาา 😭😭😭

และมันก็ไม่มีรถแท็กซี่อะไรผ่านแล้วทั้งนั้น มีแต่บ้านคนตลอดสองข้างทาง

คะน้าต้องแบคเป้อันแสนสาหัสและเดินไปอย่างช้าๆ ขึ้นเขาไปเรื่อยๆ อย่างอดทน

// ถ้าใครได้ดู VDO จะเห็นว่าคะน้าหน้าเหนื่อยมาก พร้อมเป็นลมแล้วค่ะ 555555



จากที่ Google Map บอกว่า 30 นาทีถึง คะน้าใช้เวลาไป 1 ชั่วโมงถ้วนค่ะ!!

และในที่สุดคะน้าก็มาถึงแล้ว ที่นี่คือ วัดเทียนหัว (Thean Hou)

เป็นวัดจีนค่ะ เป็นที่ประดิษฐานเทพธิดาทะเลจีน และเจ้าแม่กวนอิม อยู่ภายในวัด

// เอาล่ะ ขอคะน้าบอกตรงนี้เลยค่ะ ใครแพลนจะมาวัดนี้ เรียก Grab เท่านั้น!!!

ราคาไม่แพง ไม่ต้องกลัวถูกโกงมิเตอร์ และไม่ต้องเดินมา อย่าเดินนะ ไม่ควรเลยจริงๆ 55555



ด้านหน้าทางเข้า จะมีรูปปั้นเทพเซียนอยู่ค่ะ ชื่อท่านเหย่เหลา (Yue Lao)

❤ เป็นเทพเจ้าแห่งการแต่งงานและความรักในตำนานจีน

กรี๊ดดดดด!! ทำตัวหนาๆ เลยค่ะ เน้นๆ!!

คะน้าจะได้ขอคู่แล้ว 5555555

โดยสมุดในมือท่านคือสมุดที่บันทึกรายชื่อคู่แท้ของคนที่ขอพรไว้นั้นเองค่ะ ❤❤❤



มีสวนด้านข้าง พร้อมรูปปั้นสิบสองนักษัตรตามโหราศาสตร์จีนค่ะ

มีนักท่องเที่ยวถ่ายรูปเล่นกันอยู่ประปราย



ก่อนจะถึงทางขึ้น จะมีป้ายประวัติวัดค่ะ แต่คะน้าอ่านไม่ออก 55555

รู้แค่ว่า ภาพผู้หญิงในป้ายคือ เทพธิดาทะเลจีนมาซู (Mazu) หรือ เทียนโฮ่ว (Thean Hou)

หรือมีอีกชื่อว่า หลินโมเหนียง (Lin Mo Niang)

โดยวัดนี้สร้างขึ้นเพื่อบูชาเทพธิดาองค์นี้เป็นหลักค่ะ วัดนี้จึงตั้งชื่อตามชื่อของพระองค์



บันเทิ๊งงงง!!!!

ทางเข้าวัดต้องขึ้นบันไดวนไปอีก 5 ชั้นค่ะ

ขุ่นพระ! จากในรูปที่เห็นยิ้มๆ สู้ตาย แต่จริงๆ อยากหงายหลังนอนไปเลยจ่ะ 55555



ขึ้นมาถึงแล้วววว 😅 คะน้าวางกระเป๋าทิ้งไว้ตรงม้านั่งเลยค่ะ ไม่ไหวแล้วจริงๆ

จากนั้นก็พาตัวเองมาเดินรอบๆ วัดค่ะ ที่นี่เป็นวัดจีนเก่าแก่ที่ได้ชื่อว่าสวยที่สุดในมาเลเซีย!

วัดนี้สร้างขึ้นโดยชาวไหหลำที่อาศัยอยู่ในมาเลเซีย สร้างเสร็จในปี พ.ศ.2532 ค่ะ



ภาพบรรยากาศรอบๆ วัดค่ะ

ที่นี่เป็นสถาปัตยกรรมจีน เน้นสีแดงที่เป็นเอกลักษณ์แห่งความโชคดี

ประกอบไปด้วยศิลปะตามแบบพุทธศาสนา ลัทธิเต๋า และลัทธิขงจื๊อค่ะ

เสาด้านหน้าจะสลักอักษรมงคลเป็นภาษาจีน



ภาพจิตรกรรม เป็นเรื่องเล่าในตำนานจีนค่ะ

ตามเสาหินอ่อนจะสลักลายนูนของมังกรไว้สร้างสวยงาม



คะน้าไหว้พระแบบจีนไม่เป็น เลยหยิบธูปสามดอกตามที่ไหว้ในวัดไทยค่ะ

คะน้าไม่รู้ว่าตัวเองมีเหรียญอยู่กี่ริงกิต คะน้าก็หยอดตู้ไปหมดกระเป๋าเลยค่ะ



ไหว้พระขอพร เสริมสิริมงคลให้ตัวเองสักนิด

แต่ไม่ได้ขอคู่นะคะ ไม่ต้องแซวเลย 5555555



เทียนดอกบัวบูชา ราคา RM10 ค่ะ ซื้อได้ที่เคาน์เตอร์ด้านในวัดเลย



เข้ามาด้านในวัด จะมีรูปปั้นเจ้าแม่ทับทิม



เจ้าแม่กวนอิม



และเทพธิดาเทียนหัว เทพธิดาแห่งทะเลจีนค่ะ



คะน้าเดินชมภายในวัดอยู่ไม่นานนักค่ะ

เดินถ่ายรูปเก็บเป็นที่ระลึกมาพอประมาณ



นี่คือภาพเพดานภายในวัดค่ะ ถึงจะเป็นวัดจีนที่เก่าแก่ที่สุดในมาเลเซีย

แต่ยังคงสวยงามไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบมากๆ เลยค่ะ



Grab มาค่ะ 55555555

ไหว้พระขอพรเสร็จเรียบร้อย หัวใจชุ่มชื่นหายเหนื่อยจากการเดินทาง

คะน้าก็เรียก Grab ค่ะ ไม่ถึง 5 นาที ราชรถก็มาเกยถึงหน้าประตูวัด

คะน้ากดเลือกปลายทางไปยัง ห้าง Pavillion ย่านบูกิตบินตัง

ราคาค่าโดยสาร RM13 ค่ะ เป็นราคาที่ดีงามรับได้เลยทีเดียว



คะน้าซื้อน้ำมาจากที่วัดค่ะ ด้านล่างตรงทางเข้า ใต้อาคารเป็นร้านขายของที่ระลึก

ขายอาหารและเครื่องดื่มค่ะ แต่ค่อนข้างเงียบเหงานะ ตอนคะน้าไปนักท่องเที่ยวไม่เยอะเท่าไหร่

น้ำเย็นๆ แอร์เย็นๆ และเพลงเพราะๆ ที่พี่โชเฟอร์เปิดให้ฟังในรถ Heal พลังชีวิตขึ้นมาก 55555



อันนี้ไม่ได้แวะนะคะ บังเอิญรถติด เห็นว่าสวยดี

คะน้าเลย Snap เก็บภาพมาเฉยๆ 📸



มาถึงแล้วจ้าาาา~ ย่านบูกิตบินตัง ย่านที่เราจะพร้อมจะบิน เย้!!

เพราะว่าย่านนี้ก็เหมือนๆ โซนสยามแถวบ้านเราค่ะ ที่มีห้างเยอะๆ ติดๆ กันนั่นเอง

และเป็นห้างฯ หรู ระดับไฮเอนด์ทั้งนั้นเลยค่ะ เหมือน Paragon, Central World ไรงี้

สายช้อปปิ้งต้องมาแดดิ้นตายกันแถวนี้แหละ 55555



และที่คะน้าจะมาเยือนก็คือที่นี่ค่ะ ห้าง Pavillion อันโด่งดังนั่นเอง

แต่อย่างคะน้าไม่ได้มาช้อปปิ้งแน่นอนค่ะ ไม่ใช่ทาง5555555



ก่อนเข้าไป ขอถ่ายรูปเป็นที่ระลึกหน่อยเนอะ 😄



และนี่ค่าาาา!! คือปลายทางที่คะน้าตั้งใจมา

ที่ห้าง Pavillion ตอนนี้มีจัดงานนิทรรศการ Marvel Studion Exhibition

Ten Years of Heros อยู่ค่ะ และแน่นอนว่า คะน้าจะพานักอ่านของคะน้ามาชมงานนี้กัน ❤❤❤



กรี๊ดดดดดด!! สามีแห่งชาติ Wakanda ของคะน้าน้อย

มารอคอยคะน้าถึงหน้าลิฟต์เลยค่ะ 😍 เขินเลยยยย



กดไปชั้น 10 ที่คะน้าจะไป จะบอกเลยว่า เป็นงาน Marvel Studio Exhibition

ด้วยความที่ห้างนี้ใหญ่โต ง่ายต่อการหลงทาง คะน้าชอบปุ่มกดลิฟต์แบบนี้จัง 55555



โอโหหหห!!! เข้ามาเจอบิลบอร์ดขนาดมหึมา ขนกันมาหมดทั้งอาณาจักรเลยค่าาา

ชอบใคร รักใคร ไปยืนอยู่ตรงนั้นค่ะ คะน้ารักทีชัลลา คะน้าก็ไปยืนเซลฟี่มาเหมือนกัน 55555



ที่เคาน์เตอร์จำหน่ายบัตร จะแบ่งเป็นสองช่องนะคะ

ช่องแรกคือ สำหรับคนที่มี QR Code จาก Klook

สามารถยิง QR Code แลกสายรัดข้อมือเข้างานได้เลยค่ะ

และอีกแถวนึงเป็นแถวซื้อบัตรปกติค่ะ ราคาจะสูงกว่าบัตรจาก Klook นิดหน่อย ^^



พอได้รับสายข้อมือแล้ว เราก็เดินเข้ามาเล้ยยยย!!

ห้องแรกที่คะน้าเจอ เป็นอารัมภบทรวมๆ ค่ะ ว่าข้างในที่เราจะเข้าชมเนี่ย มีเรื่องอะไรบ้าง



จากนั้น ก็ก้าวเข้าสู่ประตูอาณาจักร Marvel กันเลยค่าาา ❤



Zone 1 : Stark เห็นชื่อก็แทบกรีดร้อง 555555

มาถึงก็เจอป๊าเลย ตื่นเต้นนนน ❤



เข้ามาด้านน จะเจอกับชุด Iron Man จากภาคต่างๆ

มาจัดแสดงให้ชมกันแบบใกล้ชิดเว่อร์!!



อะไรเอ่ยไม่เข้าพวก?? 55555555

ตรงนี้บริการถ่ายรูปจาก Samsung Galaxy S10+ ให้ด้วยค่ะ

แต่รูปนี้คะน้าใช้ Samsung Galaxy S9+ ให้เจ้าหน้าที่ถ่ายให้นะ

ส่วนรูปจาก S10+ ก็เหมือนกันแหละค่ะ เพียงแค่ภาพจะ Wide กว่าเท่านั้นเอง 5555



และนี่คือชุดล่าสุดของป๊าค่ะ จาก End Game 2019 เลย เฟี้ยวเว่อร์!!



ต่อมาเป็นการจำลองห้องประดิษฐ์ชุด Iron Man ของดร.สตาร์คค่ะ

หุ่นที่เห็นจริงๆ คือหุ่นสีขาวนะคะ แต่ถูกแต่งตัวด้วยเทคโนโลยีภาพเสมือนค่ะ

// คะน้ามีภาพเคลื่อนไหวให้ดูใน Vlog นะคะ จะแปะไว้ให้ท้าย Blog นี้เลยค่ะ ^^



มีจอแสดงผลกายภาพ เหมือนที่เราเห็นในภาพยนตร์ด้วยค่ะ

คะน้าฟินมากกกก เหมือนหลุดไปในโลกของหนังเลย ❤❤❤



มาถึง Zone ที่ 2 ค่ะ เป็นห้อง Captain America

ห้องนี้จะโชว์อาวุธคู่กาย ซึ่งก็คือโล่ของกัปตันในภาคต่างๆ ค่ะ

เป็นของจริงที่อยู่ในภาพยนต์เลยนะ ชื่นใจคอหนังแท้ๆ ❤



เนี่ย!! หุ่นยังหล่อขนาดนี้ ตัวจริงจะหล่อขนาดไหนอ่ะ

แงงง้!! อยากอุ้มกลับบ้านนนน~



บอกแล้วว่าของแท้ อยู่ในตู้กระจกกันเลยทีเดียวค่ะ

ของจริงสวยมาก เท่มาก และดูเรียลเหมือนตัวละครเป็นเรื่องจริงที่อยู่บนโลกนี้อ่ะ ❤



จะถ่ายก้นแห่งอเมริกามา Blog ก็จะดูติดเรทไปหน่อย

เอาเป็นว่าดูกำปั้นอันแข็งแกร่ง และใบหน้าอันหล่อเหลาไปก็พอเนอะ 555555



มาแล้วววว สะพานไบฟรอสท์ในตำนาน ทำดีม๊ากกกก!!!

คะน้าลอยล่องอยู่ในทางเดินนี้นานมากค่ะ ถ่ายรูป 55555

// คะน้ามีภาพเคลื่อนไหวให้ดูใน Vlog นะคะ จะแปะไว้ให้ท้าย Blog นี้เลยค่ะ ^^



มาถึงคะน้าก็เจอธอร์ยืนเรียกสายฟ้าอยู่ค่ะ คะน้าเดินเข้าไปใกล้ๆ เพื่อที่จะถ่ายรูปเซลฟี่ด้วย

ปรากฏว่ามีเสียงฟ้าผ่าลงมา คลื่นนนน~ คะน้าสะดุ้งเลยเด้อ 5555555

และคะน้าก็ลองเทสอีกครั้ง คือเดินเข้าๆ ออกๆ จากตัวธอร์ ปรากฏว่าเป็นจริงๆ ค่ะ

คือเมื่อเราเดินเข้าไปใกล้ๆ จะมีเสียงฟ้าผ่าลงมาให้เราสะดุ้งเล่นๆ 55555



ค้อนจิ๋วแต่แจ๋ว ของธอร์ MJOLNIR จาก The Dark World 2013



Stormbreaker จากเรื่อง Infinity War 2018 ค่ะ

ภายในห้องนี้ได้จัดแสดงอาวุธคู่ใจของธอร์ไว้ให้ได้ชมกันอย่างใกล้ชิดสุดๆ

คะน้าตั้งใจถ่ายให้เห็นรายละเอียดชัดๆ มาฝากทุกคนเลยนะคะ



ส่วนนี่คืออาวุธคู่กายของโลกิค่ะ ของจริงสวยม๊ากกกกก!!

ชื่อ Loki Scepter จาก The Avengers 2012 ค่ะ



แหม่ะ! พอเห็ฯประตูแล้วรู้เลยนะคะ ว่า Zone ต่อไปคือที่ไหน 555555



แถ่นแท๊นนนน~ ห้องนี้เป็นห้องจัดแสดงของ ดร.สเตนจ์ค่ะ

หุ่นไม่มีมา มาแต่ชุด และเป็นชุดจริงๆ ด้วยค่ะ คะน้าฟินไม่ไหวแล้ว ❤



และอีกด้านก็โชว์คัมภีร์เวทมนตร์ต่างๆ ไว้ค่ะ เป็นมุมถ่ายรูปสวยๆ



และนี่ก็คือ ฮอร์ครักซ์ในตำนานค่ะ // เดี๋ยวๆ ผิดเรื่อง 555555

ล้อเล่นน้าาา~ นี่คือสร้อยของดร.สเตนจ์ที่ใส่ Time Stone ไว้นั่นเองค่ะ

ของจริงอีกนั่นแหละ ดูขลังเกินเรื่องไปมาก สายสร้อยดูสมบุกสมบันมามากจริงๆ ค่ะ



โซนนี้มีมุมให้เล่นสนุกๆ ด้วยนะคะ

คะน้าก็ไปยืนร่ายคาถาแยกร่างลวงตาเล่นอยู่ 55555



มาต่อกันที Zone ของ The Guardians of the Galaxy กันบ้างค่ะ

โซนนี้น่ารักตะมุตะมิหน่อยๆ ค่ะ เจ้ากรู๊ทที่อยู่ในจอ 3D มารอต้อนรับเราค่ะ

ถ้าเรามายืนตรงหน้าจอ และขยับท่าทาง เจ้ากรู๊ทก็จะทำท่าทางตามเราด้วยนะคะ น่ารักดี 55555

// คะน้ามีภาพเคลื่อนไหวให้ดูใน Vlog นะคะ จะแปะไว้ให้ท้าย Blog นี้เลยค่ะ ^^



และนี่คือ Star-Lord Blasters

จาก The Guardians of the Galaxy 2014 ค่ะ



Gamora's Swords ก็มาโชว์ความเท่กับเค้าด้วยน้าาา > <



❤❤❤❤ Wakanda Forever ❤❤❤❤❤

พอมาถึง Zone นี้ คะน้าน้อยก็จะดี๊ด๊าเกินหน้าเกินตาไปมากนะคะ 55555555

และนี่คือ Zone บ้านเกิดสามีของคะน้าเองค่ะ (หืมมม?) ดินแดนแห่ง Black Panther ค่าาา



เข้ามาถึงจะเจอรูปปั้นเท่ๆ ของ T'challa หล่อๆ อยู่แบบนี้เลย >///<



😍 ฉันก็รักของฉัน เข้าใจบ้างม้ายยย~

รูปปั้นรูปเดียวเนี่ย วนถ่ายรูปอยู่นั่นแหละ 5555555



รักมากอ่ะ 😍 แค่ Costume ยังถ่ายซูมจนเจ้าหน้าที่แอบอมยิ้มแล้วอ่ะ 5555555



ต่อมา ที่นี่ยังมีโชว์แผนภูมิประเทศ และภาษา

พร้อมทั้งวิวัฒนาการเกี่ยวแร่ไวเบรเนี่ยมด้วยค่ะ

คะน้ายืนดูอยู่นานเลย...อ่านไม่ออก 5555555 // ของอย่างงี้ ใช้ใจล้วนๆ ฮิ้ววว~ ❤



มา Zone ของ Ant Man กันบ้างค่ะ

โซนนี้ไม่มีอะไรแล้วนอกจากในรูปค่ะ มีพี่มดเขามายืนเท่ๆ ให้ถ่ายรูปด้วยแค่นี้เลย 😅



เรามาต่อกันดีกว่าค่ะ Zone เป็นห้องของ Captain Marvel

แสดงชุดคอสตูมที่ใช้จริงๆ ในภาพยนต์เช่นกันค่ะ



เรียกว่า จัดแสดงให้ดูกันอย่างใกล้ชิดจริงๆ ค่ะ

คะน้าถ่ายมาชัดแจ๋วยันเส้นด้าย นักอ่านของคะน้าฟินเหมือนไปดูเองแล้วแน่ๆ อ่ะ 55555

ถ้าชื่นชอบ Blog นี้ของคะน้าน้อย

ช่วยให้กำลังใจคะน้า คนละ 1 Share นะคะ 🙏🏼🙏🏼🙏🏼 // ขายตรงเฉ๊ย~ 55555



อันนี้เซอร์ไพรส์มากค่ะ คิดว่าจะหมดแค่ชุดเมื่อกี้นี้

นี่มีโชว์ชุด Starforce ด้วย สะดุ้งมากเว่อร์ 55555

เขียวปีกแมงทับเด่นมาแค่ไกลเลยค่ะ ชอบบบบ~



อ๊ะ! มีอะไรให้ลองจิ้มๆ ด้วยค่ะ ✌



เมื่อจิ้มแล้ว Tap Tap ไปเรื่อยๆ บนหน้าจอใหญ่จะปรากฏกัปตันมาเวล

ในชุด Starforce กำลังชาร์ตพลังค่ะ โดยที่เราเป็นคน Heal ให้ เก๋ๆ นะ ✌



ยืนล่ำบึ๊กตัวเหลืองเด่นอยู่ไกลๆ นี่คือ Zone Avengers ค่ะ

นำทีมโดย ธานอส ตัวโกงสาย Blip ของเรานั่นเอง ไม่เซลฟี่ด้วยหรอก โกรธ!

// อินี่ก็อินเกินเบอร์ไปมาก 5555555






ภายในห้องนี้จะจัดแสดงภาพของหินทั้ง 6 ค่ะ

แฟนๆ หนังรู้อยู่แล้วอ่ะเนอะ สีไหนคือหินอะไรบ้าง ❤




เดินเข้ามาอีกหน่อย ก็จะเห็นหน้าจอแบบนี้ค่ะ

บอกให้เราไปยืนที่หน้าจอ...อ่ะ! ยืนก็ยืน




ยืนอยู่แป็บนึง ธานอสก็ออกมาบ่นอะไรก็ไม่รู้

แถมกำมือแบบพร้อมดีดนิ้วตลอดเวลา อย่าเพิ่งดีดนะ คะน้ายังยืนอยู่ 55555




นั่นง่ะ!!! เผลอแป็บเดียว ดีดเฉ๊ยยยย~

ภาพคะน้าที่ยืนสวยอยู่ดีๆ กลายเป็นขี้เถ้าไปแล้วจ้ะ

อิธานอสสสส!!! แกจะมา Snap ฉันดื้อๆ แบบนี้ไม่ได้นะว้อยยย!! 😭




มาให้โดย Blip ซะงั้นอ่ะ 555555




สักพักหน้าจอก็กลับเป็นรูปคะน้าแบบครึ่งคนครึ่ง Blip

พร้อม QR Code ให้เราใช้ Download ภาพของตัวเองตอนโดน Snap เป็นที่ระลึกค่ะ

คะน้าก็เปิดกล้อง QR Code โหลดมาปั๊บเลย!!




และนี่คือรูปที่คะน้าได้มาจากการดาวน์โหลดค่ะ เท่ดีนะ ❤





และแล้วในที่สุด คะน้าก็เป็นผู้ถูก Blip ให้กลับมาแล้วจ้ะ 5555555

ตรงนี้โชว์ถุงมือธานอส ของแท้ให้ดูเต็มๆ ตา อันเบ้อเร่อเลย!!







และ Zone สุดท้ายของที่นี่ค่ะ The Collector’s Museum

เป็นพิพิธภัณฑ์นักสะสมที่ปรากฏในเรื่อง Thor The Dark World ในปี 2013 ค่ะ

จัดแสดง Collection โบราณวัตถุและเหล่าสายพันธุ์เอเลี่ยนที่ใหญ่ที่สุดในกาแล็กซี่ทุกชนิด

รวมถึงฟรอสต์ไจแอนท์และตัวอย่างของวัสดุจากดาวที่ชื่อว่า Aether ค่ะ



มุมนี้เป็นมุมระบายสีค่ะ คะน้าลองไปกดๆ ดูแต่ไม่อิน

แต่ถ้าเด็กๆ ไปน่าจะชอบค่ะ ป้าแก่แล้วลู๊กกกก~ 5555555



ระบายสีไม่อิน แต่มาโซนนี้ชอบแน่นอนค่ะ

เป็นร้านค้าขายสินค้าที่ระลึกจาก Marvel Studio ค่ะ

มาแบบหลากหลาย และมีการนำ Rare Items ก็มาโชว์ด้วยนะคะ

ตามคะน้าไปดูกันเลย รับรองว่าถูกใจแน่นอน ❤



มุมแรกเลย ก็จะขายเป็นเสื้อยืด ฟิกเกอร์ต่างๆ ค่ะ



หมวกเท่ๆ และ Collection กระเป๋าก็มาาาา

มีตั้งแต่กระเป๋าใส่เหรียญยันกระเป๋าเดินทางกันไปเลย



นี่เป็นสมุดสะสมเหรียญตัวละครค่ะ สวยดีนะคะ ดูเลอค่า

ซึ่งในความเลอค่า จะแปรผันตามราคาค่ะ 55555



และก็มีของที่ระลึกชิ้นเล้กๆ น่ารักๆ ราคาจับต้องได้ด้วย

ตรงนี้เป็นแม่เหล็กค่ะ สินค้ายืนหนึ่งของวงการของที่ระลึก 😅



มาละจ้าาา~ ความ Rare มันอยู่ตรงนี้!!

สาวกนักสะสมฟิกเกอร์ต้องนั่งไม่ติดแน่ๆ อ่ะ เพราะสวยน่าสะสมทุกตัวริงๆค่ะ

และคะน้ายังคงยืนยันนะคะ ว่าความเลอค่า จะแปรผันตามราคาค่ะ 55555

และนี่คือฟิกเกอร์ Iron Man ในราคา 3X,XXX บาทค่ะ กรี๊ดดด!



และชิ้นนี้อยู่ที่ 5,XXX บาท Iron Man น้อยจะหมุนไปเรื่อยๆ ค่ะ

คล้ายกล่องดนตรี แต่ไม่มีเสียงนะ



และนี่คือบรรดาแก๊งค์ Avengers ตัวจิ๋วๆ ความสูงไม่ถึง 10 cm.

ราคาไม่แน่ใจ แต่น่าจะไม่เกิน 2,XXX บาทไทยค่ะ น่ารักมากๆ เลยเนอะ

เห็นแบบนี้แล้วอยากรวยขึ้นมาเลยค่ะ 555555



และนี่ก็คือฟิกเกอร์แบบ Limited Edition ค่ะ

ราคาไม่ระบุ แต่มีทะลุ 5X,XXX บาทแน่ๆ ค่ะ



และนี่คือ Masterpiece ของงานนี้ค่ะ มีเพียง 3,000 ชิ้นในโลกเท่านั้น

และชิ้นนี้เป็นชิ้นที่ 1925/3000 ถือว่าเลขสวยเลยทีเดียวนะคะ

ราคาไม่ระบุ ระบุแต่ลายเซ็นของท่านนายกรัฐมนตรีแห่งมาเลเซียค่ะ

เราลองมาทายกันเล่นๆ ดีมั้ยคะว่าจะกี่บาทดี 5555555



และนี่คือหุ่นป๊าที่โชว์อยู่ตรงทางออกค่ะ

จากมุมนี้ ถ้ามองออกไปด้านหลัง จะเห็นวิวตึกแฝด Petronas พอดีเลยนะคะ

เป็นตำแหน่งที่เก๋มากๆ เลยค่ะ ดูเข้า Theme of Malaysia สุดๆ ไปเลยค่ะ ❤



และใครว่า งานนี้คะน้าน้อยจะกลับบ้านมือเปล่า 55555555

นี่คือ เซตเข็มกลัด Limited Edition Box Set ที่มีเพียงในงานนี้เท่านั้น!!

ที่สำคัญคือไม่มีขายในร้านขายของที่ระลึกนะคะ คือไม่วางขายทั่วไปด้วย หยิ่งมาก 55555

ถ้าอยากได้ เพียงแค่เข้าชมนิทรรศการด้วย QR Code จาก Klook

แล้วชำระเงินเพื่อแลกซื้อ Box Set นี้ในราคา RM39 เท่านั้น!!

เป็นความ Limited Edition เลอค่าในราคาที่จับต้องได้ ❤ แบบนี้คะน้าเลิฟ ❤

ถ้าใครอยากมาชมนิทรรศการนี้นะคะ งานมีถึงวันที่ 27 ตุลาคมนี้ค่ะ

ไปค่ะ! จองตั๋วบินราคาโปรฯ จาก Air Asia และบัตรเข้านิทรรศการจาก Klook กันมาเลยจ้าาา~



เอาล่ะ ข้ามสะพานไบฟรอสต์กลับมาที่โลกแล้วค่ะ

กลับมาปุ๊บ หิวเลย ที่มาเลเซีย มีร้านโดนัทอันโด่งดัง ชื่อ J.CO

คะน้าเดินผ่านพอดี๊! เลยแวะเข้าไปชิมสักหน่อยค่ะ

ชิ้นนี้คือ โดนัทอัลมอนต์ ราคา RM3.15 แป้งนุ่มมากกกกก~

ครีมหอมหวานมันๆ ไม่เลี่ยน และถั่วก็หอมมากค่ะ อร่อยสมคำร่ำลือมากๆ เชื่อแล้วจ้า~

ถ้าไม่ติดว่าพะรุงพะรัง ก็อยากจะซื้อหอบกลับไทยมาด้วย แต่ใจไม่สู้จริงๆ ค่ะ 55555



ความระทึกมาเยือนจนได้ฮะ เมื่อออกจากห้างฯ มาแล้วฝนเกิดลงเม็ดขึ้นมาซะอย่างนั้น

คะน้าลากกระเป๋าหลบฝนไปยัง สถานี Bugis Bintang ซึ่งอยู่ถัดจากด้านหน้าห้างฯ

ไปราวๆ 200 เมตร และเมื่อไปถึง คะน้ากดซื้อตั๋วรถไฟเพื่อไป KL Sentral RM1.90

ซึ่งวันนี้คะน้ามีแพลนจะเดินทางต่อไปยัง เมืองปุตราจายา (Putrajaya)

ก่อนที่จะไปสนามบินค่ะ แต่ฝนตกแบบนี้ คะน้าจะเที่ยวยังไง



คิดอยู่นานจนกินเวลาร่วมชั่วโมง ในที่สุดฝนก็หยุดตก

ตอนที่คะน้ามาอยู่ที่ KL Sentral พอดี ตอนนั้นราวๆ บ่ายสี่โมงเย็นแล้วค่ะ

คะน้าไม่รู้ว่าเมืองปุตราจายาเดินทางไปนานมั้ย คะน้าจะตกเครื่องบินหรือเปล่า

กังวลไปหมดเลย แต่สุดท้ายคะน้าก็คือคะน้า...เที่ยวค่ะ ต้องไปให้สุด!!



คะน้าซื้อตั๋วรถไฟฟ้า KL Transit ในราคา RM14 ปลายทางคือ สถานี Putrajaya

รถไฟจะมาเป็นเวลา แต่รอไม่นานมากนักค่ะ คะน้าเลยพอใจชื้นขึ้นมาหน่อย ❤



รถไฟใช้เวลาเดินทางมาถึงเมืองปุตราจายาราวๆ 15-20 นาทีน่าจะได้นะคะ

// จำไม่ได้ว่านานเท่าไหร่แน่ค่ะ แต่รู้ว่าไม่นานมาก

พอมาถึงสถานี ที่นี่เป็นสถานีที่ใหญ่พอสมควรค่ะ

มีร้านอาหาร ร้านขนม และร้านขายของที่ระลึกเรียงรายเลยค่ะ

แต่คนน้อยมาก เงียบกว่าที่คิดไว้เยอะเลยค่ะ



จากนั้นเดินตามป้ายมายังสถานีรถบัส Putrajaya Sentral ค่ะ

ที่นี่เดินไม่ได้เลยค่ะ ถ้าเข้าไปในเมืองปุตราจายา ต้องนั่งรถบัสเท่านั้นเลย

คะน้าไปที่เคาน์เตอร์ เจอพี่ผู้ชายใจดี๊ดียิ้มหวานรออยู่

คะน้าบอกว่า คะน้าจะไป "Masjid Putra" พี่เขาก็เข้าใจง่าย ยื่นบัตรนี้มาให้คะน้า

ในราคา RM10 คะน้าถามต่อว่า "One way or two way?"

พี่เขาตอบว่า "Two way" ค่ะ คือใช้บัตรนี้ได้ทั้งไปและกลับเลย

โดยรถจะเป็น No.L15 Platfrom 5 ค่ะ

// สายรถและชานชลา ให้ถามเอาชัวร์ๆ ตอนซื้อบัตรดีกว่านะคะ



นั่งรอน๊านนนนนนน~ กว่ารถจะมาค่ะ ร่วมๆ ครึ่งชั่วโมงได้เลย

คะน้าก็นั่งลุ้นใจจะขาด กลัวว่าจะเที่ยวไม่ทัน

หรือถ้าเข้าไปในเมืองปุตราจายาแล้ว จะกลับออกมาไม่ทัน

คะน้าตกเครื่องบินต้องแย่แน่ๆ เลย 😭

และในที่สุดรถก็มาค่ะ ทั้งคันมีคะน้ากับพี่ผู้ชายอีกคนนึง

ขึ้นนั่งกันอยู่ 2 คน ไม่นานนักรถก็ออกค่ะ



รถบัสขับด้วยความไวปานกลางมาตลอดเส้นทาง จากสถานีรถบัส

เข้ามาถึงด้านในเมืองปุตราจายา คะน้าเริ่มเห็นตึก อาคารใหญ่ๆ และมีดีไซน์สวย ยิ่งใหญ่ อลังการ

ตลอดสองข้างทาง คะน้ายกกล้องคู่ใจ Snap shot ไปตลอดทาง ถ่ายทันบ้างไม่ทันบ้าง ก็สนุกดีค่ะ

และนี่คือที่คะน้าถ่ายทัน ที่นี่ชื่อ อาคาร Jabatan Pendaftaran Negara (JPN)

เป็นสำนักงานทะเบียนค่ะ มีไว้บริการจดทะเบียนสมรส แจ้งเกิด ประมาณนี้



ส่วนนี่คือตึกอะไรก็ไม่รู้ เห็นว่าสวยดีก็เลยถ่ายมาค่ะ 😅

คือที่ เมืองปุตราจายา นี้นะคะ จะโด่งดังมากๆ ในเรื่องของสถาปัตยกรรมค่ะ

จะเห็นได้ว่าแต่ละตึก จะแข่งขันกันก่อสร้างได้ยิ่งใหญ่อลังการจนขนลุก

และสวยจนสะดุ้งนั่งไม่ติดต้องลุกมาถ่ายรูปกันตลอดทาง

ที่นี่ถูกเรียกว่า "เมืองใหม่ปุตราจายา" คะน้าก็สงสัยว่า "ใหม่" แค่ไหน?

คะน้าเลยไปค้นที่สารานุกรมอาเซียนมาค่ะ มีประวัติของเมืองนี้ย่อๆ ว่า...

"ปุตราจายา (Putrajaya) นับเป็นเมืองใหม่ของสหพันธรัฐมาเลเซีย

ถูกเนรมิตขึ้นจากแนวความคิดของอดีตนายกรัฐมนตรี ดร.มหาเธร์ โมฮัมหมัด

ที่จะสร้างเมืองเพื่อเป็นที่ตั้งของฝ่ายบริหารและประมุขของประเทศอยู่ทางตอนใต้ของกัวลาลัมเปอร์

ปุตราจายาเป็นเขตปกครองพิเศษที่เกิดขึ้นจากแนวคิดของ ดร.มหาเธร์

ที่ต้องการจะเนรมิตเมืองใหม่ขึ้นมาในปี พ.ศ. 2538

คำว่า “ปุตราจายา” มาจากชื่อนายกรัฐมนตรีคนแรกของมาเลเซีย

นามว่า “ตนกู อับดุล รามัน ปุตรา อัลฮัจ” นอกจากนี้คำว่า “ปุตราจายา” ในภาษาสันสกฤต

ยังมีความหมายว่า “ชัยชนะของเจ้าชาย” หรือในภาษาอังกฤษเรียกว่า “The Victory of Prince”

เกิดจากการสมาสคำ ระหว่าง “Putra” แปลว่า เจ้าชาย กับ “Jaya” ที่แปลว่า ความสำเร็จ หรือชัยชนะ"



รถบัสยังพาคะน้าชม City View ไปตลอดทาง

ตึกสวยๆ และโอ่อ่ายิ่งใหญ่อลังการนี้ชื่อว่า Menara Usahawan

เป็นสถานที่ราชการ ใหญ่โตซะจนคะน้านึกว่าหลงเข้ามาเมืองยักษ์เลย



Lembaga Pembiayaan Perumahan Sektor Awam

คะน้าก็ไม่รู้ว่าคือตึกอะไร เลยเอาชื่อไปเสิร์ช ที่นี่คือ สำนักงานว่าการสหพันธรัฐมาเลเซีย ค่ะ



Istana Kehakiman

ศาลรัฐบาลกลางแห่งประเทศมาเลเซียเป็นศาลชั้นสูงสุด

และศาลอุทธรณ์ขั้นสุดท้ายในประเทศมาเลเซีย



ราวๆ สิบห้านาทีได้ ในที่สุดรถก็มาถึงด้านหน้ามัสยิดปุตราแล้วค่ะ

พอลงจากรถมา คะน้าก็สะดุดตากับลานกว้างที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับมัสยิดก่อนเลย

ที่นี่คือ ปุตราสแควร์ (Putra Square) ค่ะ เป็นลานคอนกรีตกว้างๆ ภายในมีรูปดาว 13 แฉก

และมีธงทั้ง 13 รัฐของประเทศมาเลเซียอยู่รอบๆ โดยตรงกลางเป็นธงชาติมาเลเซีย

และด้านหน้าก็มีป้ายให้นักท่องเที่ยวไปถ่ายรูปเป็นที่ระลึกเขียนว่า "Putrajaya" ด้วยค่ะ



เดินมาจากป้ายรถบัสไม่ไกลค่ะ คะน้าลากกระเป๋าแบคแพคมาอีรุงตุงนัง

เมื่อเดินมาถึง โอโหหหห! มัสยิดยิ่งใหญ่อลังการมากกก แค่ทางเข้าก็ตะลึงแล้วค่ะ

มัสยิดสีชมพูในตำนาน พอมาเห็นจริงๆ ชมพูอมแดงไปอีก ฮือออ งามแท้เด้อ~



เข้ามาถึงด้านใน จะมีรปภ.ใจดีดี๊ รอรับอยู่ค่ะ คือด้านในคะน้าคิดว่าเขาจำกัดคนเข้าชม

คือเปิดเป็นรอบๆ ไม่ได้ให้เข้าไปพร้อมๆ กัน คะน้ามาถึงก็ต้องรอราวๆ สิบนาที

(ตอนนั้นก็ยกกล้องขึ้นมาถ่ายภายนอกไปรอบๆ ระหว่างรอไปพลางๆ ได้ค่ะ)

เมื่อถึงคิวคะน้าเข้าไปด้านใน พี่รปภ.ก็เรียกให้คะน้ามารับเสื้อคลุมที่นี่ก่อน

(สำหรับ ผญ. แต่งตัวเรียบร้อยมาขนาดไหนก็ต้องใส่เสื้อคุมนะคะ)

จากนั้นให้ฝากกระเป๋าแบคแพคไว้ได้ด้วย จะได้เดินเข้าไปสบายตัว



ทาด๊าดาาาา~ สีเสื้อคลุมคุมโทนกลมกลืนกับมัสยิดไปเลยทีเดียว

ภาพนี้ถ่ายโดยพี่รปภ.ทางเข้า คนนั้นแหละ 55555

พอถ่ายเสร็จถามว่า "ญี่ปุ่นใช่มั้ย" คะน้าบอก "ไทยแลนด์"

พี่เขาเลยตอบกลับว่า "สวัสดีครับ" เนี่ย! น่ารักไปอี๊กกก~




และนี่ภาพถ่ายบรรยากาศภายนอก ที่คะน้าถ่ายเล่นๆ ระหว่างรอเข้ามาด้านในค่ะ

เป็นลานกว้าง มีม้านั่ง และบ่อน้ำพุ ตรงนี้ใช้เป็นลานสวดมนต์ในพิธีทางศาสนาด้วย

ซึ่งที่นี่สามารถจุปริมาณคนได้ถึง 15,000 คนเลยทีเดียว ที่นี่กว้างใหญ่มากจริงๆ ค่ะ

พื้นของลานกว้างปูด้วยหินแกรนิตสีชมพู เข้ากับตัวมัสยิด มองไปทางไหนก็มีแต่สีชมพู

จะเห็นได้ว่ามีนักท่องเที่ยวเวียนมาเรื่อยๆ นะคะ มาแบบวนเข้า วนออกตลอดเลย




และเมื่อถึงเวลาเดินเข้ามาด้านใน ต้องถอดรองเท้าคล้ายๆ กับเวลาที่เราจะเข้าวัดไทย

ด้านหน้าทางเข้ามีจำหน่ายหนังสือสวดมนต์ คะน้าเห็นว่าสวยดี เลยถ่ายรูปมาเก็บไว้

ปกหนังสือสวย เหมือนหนังสือเวทมนต์เลยเนอะ ^^




เมื่อถอดรองเท้าแล้ว เข้ามาถึงจะเป็นเฉลียงค่ะ

โซนนี้จะมีทางขึ้นไปชั้นลอยด้านบน




และเมื่อเข้ามาด้านใน คะน้าไม่รู้ว่า ใครเป็นเหมือนคะน้าบ้างมั้ย

ที่เวลาเข้าไปในสถานที่ที่ไหนสักแห่ง จะต้องมองด้านบนก่อน

คะน้านี่ไปไหนแหงนหน้าก่อนตลอดเลย 55555

และนี่คือมุมแรกที่คะน้าเห็น เพดานและโคมไฟ งดงามและดูขลังในคราวเดียว




เมื่อเดินตรงเข้ามา จะเป็นพื้นพรมนิ่มๆ สีชมพู มีเชือกกั้นไว้ค่ะ คือให้เข้าได้เท่านี่

แต่เท่านี้ก็เหลือเฟือแล้วค่ะ เมื่อไปยืนชิดเส้นแดง ก็จะได้มุมถ่ายรูปที่สวยทั้ง 360 องศาพอดี

ไม่ถ่ายติดเสา ติดผนังอะไรให้บังตา รำคาญใจแน่นอน ได้ยืนชื่นชมความสวยกันจุกๆ ไปเลย

ภาพนี้คะน้าขอให้นักท่องเที่ยวคนหนึ่งช่วยถ่ายให้ พอถ่ายเสร็จพี่เขาก็หันไปพูดกับเพื่อน

ด้วยภาษาไทย คะน้าก็ อ้าว! คนไทยเหรอคะ 55555 คือต่างคนก็ไม่รู้ว่าต่างก็เป็นคนไทย

ยังไงขอบคุณพี่ทั้งสองคนมากๆ นะคะที่ช่วยถ่ายรูปให้คะน้า // เผื่อพี่จะฟลุ๊คมาเห็นนะ ^^




มัสยิดปุตรา หรือที่คนไทยชอบเรียกว่า "มัสยิดสีชมพู" เริ่มก่อสร้างเมื่อปี 1997 ค่ะ

ภายในมัสยิดแบ่งเป็นสามโซนหลักๆ คือ

ลานนอกมัสยิด ที่คะน้าถ่ายรูปรัวๆ ด้านนอกนั่นเอง

ห้องสวดมนต์ คะน้าเข้าใจว่าคือห้องที่คะน้ายืนถ่ายรูปอยู่ตรงนี้แหละ

สุดท้ายคือ ห้องเรียนกับห้องประชุมค่ะ






อีกจุดเด่นของที่นี่คือ หอคอยสูง 116 เมตร รูปดาวห้าแฉกนี่แหละค่ะ สูงจนคะน้าถ่ายเก็บไม่หมด

หอคอยแห่งนี้ได้รับอิทธิพลมาจาก มัสยิดชีคโอมาร์ (Sheikh Omar mosque) ในกรุงแบกแดด

ทั้งยังเป็นหอคอยที่สูงที่สุดในภูมิภาค // มาเลเซียนี่มีแต่สถาปัตยกรรม "สูงที่สุด" ทั้งนั้นเลยนะเนี่ย


หอคอยแห่งนี้มีห้ายอด เป็นชั้นสัญลักษณ์ของเสาหลักทั้งห้าในศาสนาอิสลาม ได้แก่

1. ซะฮาดะห์ คือ การประกาศความศรัทธาทุกวันว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระอัลเลาะห์และมูฮัมหมัด

2. ซอลาห์ คือ การทำละหมาดวันละห้าครั้งเป็นภาษาอารบิกในช่วง เช้าตรู่ หลังเที่ยง ช่วงบ่าย หลังพระอาทิตย์ตกดิน และ พลบค่ำ

3. ซะกาด คือ ข้อบังคับของชาวมุสลิมในการบริจาคเงินเก็บของตนอย่างน้อย 2 .5% ให้คนจนทุกปี

4. เซาวม์ คือ การถือศิลอดอาหารระหว่างเดือนเก้าตามปฏิทินมุสลิม คือ เดือนรอมดอน

5. ฮัจญ์ หมายถึง พิธีการแสวงบุญของชาวมุสลิม โดยเดินทางไปที่นครเมกกะครั้งหนี่งในชีวิต




จากด้านนอกริมทะเลสาบปุตรา มัสยิดตั้งอยู่ริมน้ำพอดี ทำให้หากมองจากอีกฝั่งหนึ่ง

สามารถมองเห็นเงาสะท้อนสีชมพูของมัสยิดบนผิวน้ำ จะได้มุมมองดูเหมือนเป็นมัสยิดลอยน้ำค่ะ

แต่คะน้าอยู่ฝั่งเดียวมัสยิด เลยมองไปอีกทาง จะเห็นว่าสิ่งก่อสร้างฝั่งตรงข้าม ก็เหมือนลอยน้ำเช่นกัน




ออกจากมัสยิดมาแล้ว คะน้าไปคืนเสื้อคุมและรับกระเป๋าแบคแพคมาเรียบร้อย

พอออกมาด้านนอก ตรงป้ายรถบัสมีม้านั่ง คะน้าก็เอากระเป๋าแบคแพคไปวางทิ้งไว้ตรงนั้นแหละ

แล้วคะน้าก็เดินตัวปลิวมาทางริมทะเลสาปค่ะ เห็นคนเดินมากันเยอะ เลยเดินตามเขามา 555555




พอมาถึงคะน้าหันไปทางซ้าย เห็นสะพานนี้ก็ตะลึงไปเลยค่ะ สวยม๊ากกกก!

นี่คือ สะพานปุตรา ค่ะ สะพานแลนด์มาร์คชื่อดังของที่นี่เลย สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1997

เป็นสะพานที่สร้างขึ้นเพื่อนใช้เป็นทางเชื่อมต่อเขตราชการกับเขตพัฒนาผสมผสาน

และเชื่อมโยงจัตุรัส Putra กับถนน Boulevard ด้วยความยาว 435 เมตร

สะพานแห่งนี้มีสถาปัตยกรรมแบบอิสลาม อ้างอิงมาจากสะพานคาจู

สะพานที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในประเทศอิหร่าน ตรงเสารูปหอคอยทั้งสี่ที่ตั้งตระหง่านนั้น

เป็นดาดฟ้าสะพาน สำหรับชมวิวเหนือทะเลสาบปุตราจายาได้อีกด้วยค่ะ




อีกหนึ่งสะพานที่ดูทันสมัยอยู่ไกลลิบๆ คือ สะพานเสรีวาวาซาน (Seri Wawasan Bridge)

เป็นสะพานแลนด์มาร์คของเมืองปุตราจายาอีกที่หนึ่งเลย จริงๆ ตอนนั่งรถบัส

คะน้าได้ขึ้นผ่านสะพานนี้ด้วยนะคะ ถึงแม้จะเป็นชะโงกทัวร์ แต่ถือว่าได้มาเยือนก็แล้วกัน 55555

ซึ่งจุดเด่นของสะพานแห่งนี้นอกจากดีไซน์ทันสมัย ความยิ่งใหญ่ และอรรถประโยชน์แล้ว

ยังโดดเด่นด้วยแสงไฟที่ประดับอยู่บนสะพานด้วยค่ะ ในตอนกลางคืนที่นี่จะเปิดไฟสวยงามเลยค่ะ




เมื่อคะน้าเดินกลับมายังป้ายรถบัส ที่เดิมตามที่คนขับตอนขามาบอกไว้

จังหวะซิทคอมมากจ้าาา พอวิ่งมาถึงป้ายแล้วมันไม่มีคนรอรถ รถก็จะไม่จอดไง

แล้วจังหวะนั้นที่คะน้าวิ่งมาคือ รถบัส L15 ขับมาพอดี๊!

คะน้าวิ่งสี่คูณร้อยแปดสิบ พร้อมกางแขนสุดวงสวิง โบกกกกกกก!! 5555555

โชคดีมากที่ความสวยของคะน้าสะดุดตาพี่คนขับ (?) พี่เขาเหยียบเบรคแบบกะทันหันอ่ะ

ทำให้รถจอดเลยป้ายไปเล็กน้อย คะน้าก็วิ่งหลุนๆ พี่คนขับก็เปิดประตูรอ

พอไปถึงก็ถามก่อนอีก "Putra Sentral?"

พี่คนขับบอก "Yes Yes!" คะน้าก็โดดขึ้นเลย 55555



ภาพนี้คะน้าถ่ายได้ตอนรถบัสกำลังขับผ่านค่ะ

ที่นี่คือ เปอร์ดานาปูตรา เป็นทำเนียบรัฐบาลของคณะรัฐมนตรีค่ะ

ที่นี่โด่งดังมาก ในเรื่องความสวยงามและยิ่งใหญ่ของสถาปัตยกรรม

และเป็น Landmark ที่นักท่องเที่ยวต้องพากันมาถ่ายรูปค่ะ

แต่เพราะทริปนี้คะน้ามาแบบชะโงกทั่วร์ เพราะเวลามีน้อยมากๆ

เลยต้องอาศัยรถบัสพาชม City View ตลอดทริปแบบนี้แหละค่ะ 555555




ระหว่างทางที่นั่งรถบัสกลับมาสถานี Putrajaya เพื่อซื้อตั๋วรถไฟฟ้านั่งไปสนามบิน KLIA2

คะน้านับเงินที่เหลืออยู่ เหลือ RM8.30 แต่ค่าตั๋วรถไฟ RM9.00 คิดในใจทำไงดี 55555

ถ้าจ่ายเงินไทย เคาน์เตอร์จะรับมั้ย คิดเยอะไปหมด จนกระทั่งมาถึงสถานี

เดินมาเห็นตู้ Kiosk มี Logo บัตรเครดิต และบัตรเดบิต โชว์หราอยู่ คะน้าเคยใช้บัตรเดบิต

ที่มาเลเซียมาแล้วหนึ่งครั้ง เมื่อสองปีก่อน ก็เลยลองใช้ดู ปรากฏว่าได้จ้าาา ^_^

แถมค่าตั๋วแค่ RM8.50 เท่านั้น เป็นความเปรมปรีของชะนีตกยากที่สุดเลย 555555

// SMS แจ้งเตือน คิดเป็นเงินไทย 64.48 บาทค่ะ ส่วนต่างเรทรูดบัตรประมาณ 2 บาทกลมๆ




จากปุตราจายา นั่งไปสนามบิน KLIA2 ถัดไปเพียง 2 สถานีเท่านั้นค่ะ

สาธุ! ขอให้ทันขึ้นเครื่อง ขอให้ได้กลับบ้านตรงเวลา เพี้ยงงงง!



ยังอุตส่าห์มีอารมณ์จะถ่ายรูปอ่ะ ทั้งๆ ที่ในใจแทบจะสวดชินบัญชรเท่าอายุ ขอพรให้ไม่ตกเครื่อง

คะน้านี่เลิ่กลั่กไปหมดแล้ว...แม่จ๋าถ้าหนูตกเครื่อง แม่โอนเงินมาให้หนูด้วย 555555



กรี๊ดดดดดด!! Check in ทันค่าาาา คะน้ามาทันด้วย ไม่ตกเครื่องแล้วจ่ะแม่

ขอบคุณที่ Air Asia ที่มีตู้เช็คอินให้ตลอดการเดินทาง ตู้ฟุ่มเฟือยเยอะแยะมากมายก่ายกอง

ไม่ต้องเสียเวลาเข้าคิวที่เคาน์เตอร์ เหมาะกับคนลนลานอย่างคะน้าน้อยที่ซู้ดดด!




เช็คอินขึ้นเครื่องเรียบร้อย คะน้าสบายใจ หลังจากลุ้นจนเหงื่อแตกมาตลอดทาง 555555

วันนี้มัวแต่ทำเวลาเที่ยว ไม่มีเวลาแวะกินอะไรเลย กินโดนัท J.Co ไปอันเดียวเอง

คะน้าเลยออกมาหาร้านนั่งทานอะไรรองท้องไปพลางๆ (ทานอาหารไม่ได้ เวลาไม่พออีก T_T)

นึกขึ้นได้ว่า พี่สาวคนนึงแนะนำให้คะน้าลองทานขนมปังปิ้งของ Old Town ดู

คะน้าเลยเข้าร้าน Old Town ซะเลย ไหนๆ ก็กินอยู่ร้านเดียวมาตลอดทริปอยู่แล้ว 55555

และสั่งเจ้าขนมปังอันนี้มาลองกินดู เออออ! อร่อยจริง ขนมปังนุ่ม ไส้ครีมหวานกำลังดี

ไม่เยอะจนเลี่ยน และไม่น้อยจนจืดชืด พอได้กินแล้วเสียดายเลย ทำไมไม่กินตั้งแต่แรก ปัดโธ่ววว~

และเพราะเวลาเหลือน้อย ต้องรีบวิ่งไปเข้า Gate คะน้าเลยต้องพับห่อขนมปังเข้ากระเป๋า

แงงง้! หนูยังไม่อิ่มมม TOT

// ถ้าวิ่งช้ากว่านี้ได้ตกเครื่องจริงๆ แน่เลยจ่ะ คิวตม.ขาออก ช้าไม่แพ้ขาเข้าเลย คิวยาวเฟื้อย~




ขึ้นเครื่องเรียบร้อยยย~ หลังจากเครื่องบินบนฟ้าได้ไม่นานนัก

เสียงประกาศขายอาหารบนเครื่องก็ดังขึ้น และมีชาไข่มุกบุกขายด้วย

คะน้าชะเง้อรอจนคอจะยืดดด~ กว่าจะเข็นรถมาถึงแถวที่นั่งของคะน้า

ลุ้นอย่างเดียวว่า แถวหน้าๆ อย่าแย่งคะน้าซื้อจนหมดไปซะก่อนนะ 555555

เพราะตั้งแต่มากัวลาลัมเปอร์ คะน้าไม่ได้กินชาไข่มุกเลย จะลงแดงอยู่แล้วเนี่ย

และในที่สุดดด!! คะน้าและชาไข่มุกบุกก็ได้มาพบรักกัน ค่าสินสอด 75 บาทไทย~

ชื่นใจจังเล้ยยย!!

ไข่มุกบุกนุ่มอร่อย น้ำชาหอมกลิ่นชา รสชาติเข้มข้น ถูกใจคอชาแน่นอนฮะ ^^


แล้วเจอกันที่ประเทศไทยค่าาา~

จบทริปแล้วจ้าาา เป็นยังไงบ้าง สนุกหรือเปล่า ชอบกันมั้ยคะ

ฝากติดตามทริปเที่ยวของคะน้าน้อยใน Blog หน้าไปเรื่อยๆ เลยน้าาาา

ถ้าคะน้าพาเที่ยวสนุก ช่วยกด 1 Like 1 Share เป็นกำลังใจให้คะน้าสักนิด

และขอบคุณมากๆ จริงๆ จากใจที่ติดตามกันมาถึงตรงนี้นะคะ // คะน้าน้อย




"I love you three thousand."

ถ้าชอบ อย่าลืมกด Share ให้โลกรู้ไปเลย ยัง...ยังไม่กดอีก!! เดี๋ยวตีนะ 55555


ความคิดเห็น