ทริปวันหยุด 2 วัน ตั้งงบ 2,000 บาท จะไปได้ไกลแค่ไหน .. ก็คิดอยู่คืนนึงก่อนออกเดินทาง
ตัดสินใจ นั่งรถไฟคนเดียวจากลำพูน 500 โล ตั้งใจจะไปเที่ยวจังหวัดเล็กๆแต่มีสเน่ห์อย่าง " จังหวัดอุทัยธานี " ค่ะ
ตอนแรกก็ไม่รู้หรอก สเน่ห์ของเค้าเป็นยังไง แต่
เราเชื่อว่า สเน่ห์ ความน่ารัก และความอบอุ่นของแต่ละจังหวัดน่ะ ไม่เหมือนกันหรอก
เพราะอยากรู้ว่าเป็นยังไง เลยต้องเดินทางไปสัมผัสเอง
สรุป ใช้ไปประมาณ 1,500 บาท รวมค่าเดินทาง ที่พัก ค่าอาหาร
ขอแนะนำตัวอีกทีค่ะ
ชื่อ ชิ นะคะ
ชอบเที่ยวมากและชอบวิ่งด้วย
จากช่วงนึงที่เราเคยเดินทางไปอยู่ต่างประเทศและก็เหมือนเด็กๆทั่วไปที่ร้องไห้อยากกลับบ้าน
มันหลุดห้วงนั้นมาเมื่อไหร่ไม่รู้เหมือนกัน ที่แบบไกลบ้านเมื่อไหร่ มันไม่เคยมีความคิดถึงบ้านเลยค่ะ
เสาอาทิตย์หรือว่างเมื่อไหร่ เราจะหาโอกาสไปเที่ยว ถ้าไม่ไปกับพ่อก็จะไปคนเดียวค่ะ
ถ้าชวนเพื่อนแล้วว่าง ก็จะได้ไปด้วยกัน แต่โอกาสที่เค้าไม่ไปมี 99.99%
เราก็ชวนตลอดนะ แต่ก็แห้วตลอดเหมือนกัน เอิ้กๆ
มาฟังเรื่องราวชีวิตการเดินทางอีกม้วนนึงของเราที่อยากแชร์ความน่ารักของจังหวัดเล็กๆอย่าง อุทัยธานีกันดีกว่า
เรามองหารถไฟฟรีก่อนเลย เนื่องจากการเที่ยวแต่ละครั้งต้องจำกัดงบตัวเอง
ถึงจะสามารถไปเที่ยวได้แทบทุกอาทิตย์ กินง่ายนอนง่าย ไม่ติดหรู ไม่ฟุ่มเฟือย ทำได้จริงๆค่ะ
เช่น ทริปนี้เราจะใช้เงินไม่เกิน 2,000 บาท และเราต้องทำให้ได้
มันน่าสนุกตรงที่ วิธีที่จะทำให้ได้เนี่ยแหล่ะ
เราต้องเลือกใช้ public transportation สองแถวบ้าง รถเมล์บ้าง
ทานอาหาร local foods ยิ่งร้านเก่าแก่ บ้านๆ อยู่มานาน ไม่ใช่ภัตราคาร ราคาจะโอเคและอร่อยมากๆ อิอิ
และเลือกพัก guesthouse หรือ hostel ราคาถูกๆ
แต่รอบนี้ที่จะไป ต้องอดรถไฟฟรี เพราะมีไปเมื่อรอบ 6 โมงเช้าแล้ว
และเราไม่ต้องการเสียเวลาเดินทางช่วงกลางวันและไปถึงดึก มันจะเสียเวลาไปตั้งวันนึง
ถ้ารถทัวร์ แน่นอน +อีก 100 นึง และไปถึงกลางดึกแน่นอน
จึงเลือกเดินทางตอนเย็น รอบสุดท้าย 17:50 น.
และให้ไปถึงตอนเช้า เอาเป็นว่า คืนนี้นอนบนรถไฟละกัน
ตอนแรกชิลๆค่ะ
เดินเล่นถ่ายรูปสวยๆ มีเวลาเพราะมารอก่อน 20 นาที
พ่อมาส่ง เลยเดินเล่นให้พ่อถ่ายรูปให้ สักพักก็ยืนไปรอที่ที่คิดว่าตู้ขบวนของเราจะมาจอด
พอรถไฟมา เรายืนผิดที่ค่ะ
เราต้องขึ้นตู้ 9 แต่ดันมายืนที่ตู้No. 2 จะมาจอด
ทีนี้หล่ะ ระทึกเลย
รูปนี้พ่อส่งlineมาให้ตอนที่ชิอยู่อุทัยแล้วค่ะ
เห็นแล้ว ป๊าดดดดดดดดด
ทำไปได้ 555
คือเรารู้ว่ารถไฟจอดรอไม่นานค่ะ วิ่งจากตู้ 2 ไป 9 ไกลมากนะ
ไม่ได้ร่ำลาพ่อเลย 555555
เดี่ยวกำลังรีรูปไปเรื่อยๆ นะคะ
อาจจะช้าหน่อย แต่อยากชมการออกเดินทางด้วยกัน
อ้อ ถ้าอ่านจบแล้ว มาคุยกันต่อได้ที่เพจเที่ยวหัวหกก้นขวิดได้นะ เพจของเราเอง
https://www.facebook.com/gotravelgotri
หรือมีคำถามเกี่ยวกับการเดินทาง ค่าใช้จ่าย
หลังไมค์มาได้ค่ะ
วันศุกร์ ตัดสินใจไปซื้อตั๋วรถไฟบ่าย 3
ลำพูน-นครสวรรค์
ไม่รู้เลยเที่ยวสุดท้ายคือ 17:50 น. ทำให้มีเวลาเก็บสัมภาระ แพ็คเป้แค่ 3 ชั่วโมงเท่านั้น
แทบไม่มีเวลาทานข้าวเย็นค่ะ
นึกได้ว่า บนรถไฟขายอาหารอยู่ โล่งไปเปราะหนึ่ง
คนแรกที่เดินมาขาย เราก็ไม่เรื่องมาก (หรือตะกละก็ไม่รู้) สั่งเลย เหนี่ยวอั่ว
ขอกินไรก็ได้ ที่อยู่ท้อง 55555555
รสชาติไม่เลวแฮะ
เที่ยวนี้ คนไม่เยอะค่ะ
เบาะทั้งเบาะก็เป็นของเรา คาดว่าคืนนี้นอนบนรถไฟสบายเลย
พอมองออกไปนอกหน้าต่าง
คือ มันใช่อะ
ผู้ร่วมทาง ที่นั่งเบาะถัดไป
และ ประจันหน้ากับลุงหน้าตาขี้เมาคนหนึ่ง
( ก็ภายนอกเค้าดูแบบนั้นนี่นา )
โอเคๆ ปรับโหมด ๆ ก่อน ลองนั่งคุยกับเค้า ถ้าไม่เวิร์ค ปกติก็แค่เดินหาที่นั่งใหม่ เพราะขบวนนี้คนไม่เยอะ
คุยไปคุยมา ที่ไหนได้ แกเป็นบุคคลหนึ่งที่ทำเราอึ้งคนแรกในทริปนี้
แกเล่าว่า นั่งรถไฟจาก กทม มามะวาน แล้วถึงเช้าวันนี้ มาเพื่อไปไหวพระนอนที่อำเภอจอมทอง
มาขอบางสิ่งจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คือ ขอให้แกได้ผ่านไปทำงานในอเมริกา เพราะแกเคยทำงานอยู่อเมริกา หลายปี เป็นช่างซ่อมนู่นนั่นนี่
เราก็คิดในใจ จริงปะวะ จะหลอกอัลไลป่าว ตอนนี้อิชั้นมีสตินะคะ 55555
เราเลยถามโต้งๆไปว่า จริงเหรอลุง ไหน มีหลักฐานมะ
เค้าเอื้อมไปหยิบเป้ของเค้าที่วางอยู่ด้านบนๆ ค้นๆ สิ่งหนึ่งมาให้เราดู
ในมือแก เห็นปะ ถือพาสปอร์ต 3 เล่ม
ใช่ !! 3 เล่ม ค่ะ
ทุกเล่มมีแต่วีซ่าของ USA เรามีรูปถ่ายนะ ที่แกโชว์พาสปอร์ต
แล้วก็หยิบเสื้อคลุมที่แกสวมอยู่ในรูปมาคลุม
เราก็เห้ย ! ลายเสื้อแบบนี้ ของทหารอเมริกันแน่นอน ถ้าไม่ซื้อมือ 2 มา ก็ เค้าก็คงได้มากับมือจริงๆ
เพราะเราก็มีกระเป๋าทหารของยูเอสใบนึงลายเดียวกัน
ได้มาเมื่อตอนไปร่วมทำจ้อบล่ามทหารไทย-ยูเอส ฝึกรบรว่มกันโปรเจค Hanuman Guardian
ที่ปราณบุรี เมื่อปี 2013 ที่ผ่านมา
โอเค เราเชื่อแกละ
หลังจากสแกนลุงแกเรียบร้อยแล้ว เราก็ไม่ได้ลุกไปหาที่นั่งอื่นค่ะ
5 ทุ่มกว่า ก็ได้เวลานอนละ
แต่นอนไม่ง่ายเลย เพราะเค้าไม่ปิดไฟ ไฟแยงตาอย่างแรง
แต่ก็ เอาผ้าพันคอที่เตรียมมาด้วยมาปิดตาไว้ ถึงได้นอนหลับได้ค่ะ
แต่ก็ตื่นแทบทุกชั่วโมง
พอจอสถานีไหน ไม่ว่าจะ ตี 2 ตี 3 ก็จะมีคนขึ้นมาขายอาหาร
"หมูทอด ข้าวเหนียววว ก๋วยเตี๋ยววว ผัดทายยย " ต้องเสียงแหลมๆด้วยนะ
คือเป็นสเน่ห์อย่างหนึ่งค่ะ สำหรับการเดินทางด้วยรถไฟ
เมื่อตี 3 เราเริ่มรู้สึกปวดท้อง
เอ๊ะ จะมาอะไรตอนออกทริป เพราะปกติเป็นคนถ่ายยาก 55555
แต่ก็คิดในใจว่า เดี่ยว ตี 4 ก็ถึง สถานีนครสวรรค์แล้ว อดทนๆ
ก็หลับต่อ ( หลับได้อยู่เพราะง่วงมากกกก)
อารมณ์ง่วง และลืมตั้งปลุก ว่าจะถึงคอนหวันตอนตี 4
หลับเพลินๆๆ จน ได้ยินเสียงประกาศว่า ถึงสถานีปลายทางแล้ว
ก็รีบตื่น บอกลาคุณลุงและ พี่สาวแม่ลูกอ่อน ก่อนจะกระโดดลงชานชลารถไฟแบบเมาขี้ตา
มาถึงปุ๊บ มันถึงคราวด่านจะแตก
ก็ปรี่ไปหาห้องน้ำ แต่มันยังงัวเงีย งงๆ อยู่ เลยถาม จนท ที่สถานี แกเลยให้เข้าห้องน้ำของเจ้าหน้าที่ โอ้วว โชคดีจัง 555555
คิดไปคิดว่า
"เหนี่ยวอั่ว" บนรถไฟแน่ๆ ... TT
พอทำธุระเสร็จ ยังไม่ถึงเวลาล้างหน้าแปรงฟันนะ
เดินออกมาหารถไปขนส่งอุทัยเลยค่ะ เวลาตอนนั้น ก็ ตี 4:15 น.
มีสองแถว สีเขียวๆ
เค้าบอก ไปไม่ถึงขนส่ง ต้องไป 2 ต่อ ไอ่เราก็คิดในใจ ส่งต่อเดียวแล้วเดินไปก็ได้นะ
เค้าก็มาส่งที่หน้าเซเว่น หน้าโรงแรมโบนิโต้ ชิโนส์
ตี 4 กว่าแล้ว ไม่ยักกะมีรถรา หรือผู้คน หรือ ตลาดเช้า
เอ หรือ เราจะขี้เกียจทำการบ้านมากไป จนไม่ได้ดูแมพว่า สถานีรถไฟ มันตั้งอยู่ตรงไหนของจังหวัด
เพราะปกติ เราจะเซฟแผนที่ไปด้วย ใกล้ระยะ 3-4 กม จะใช้การเดินเท้าเอา
มาถึงหน้าเซเว่น เอายังไงดี
เจอพี่คนนึงกำลังกวาดขยะ โอ้ววววววววว ทำงานกันเช้ามาก
ก็เดินเข้าไปถามว่าจะไปขนส่ง มันไปทางไหนคะ ไกลไหม
เค้าก็บอก เดินเลี้ยวๆๆ ไปทางนั้น ทางนี้
เราก็บอก อ่อๆ โอเคค่ะ
ขณะที่พี่ตำรวจอาสาคนหนึ่ง เค้าก็ยืนตรงนั้นด้วย
เค้าก็บอกว่า เดี่ยวรอเดี่ยวนะ เดี่ยวลุงไปส่ง (เค้าแทนตัวเองว่าลุง คงคิดว่าเรา 17-18 ฮ่าๆๆๆๆๆ
เราก็ หืมม (ในใจคิดว่า จะเป็นไรปะวะ แต่ไปส่งก็โอเคเลยนะ สถาพท้องตอนนี้ยังไม่ค่อยไหวแฮะ)
ระหว่างที่รอเค้าทำธุระอะไรของเค้าสักพัก
World war III ก็เริ่มปะทุ อีกแล้ว
มันมาคุเรื่อยๆ ก็เลย ถามลุงตำรวจอาสาว่า พอจะมีที่เข้าห้องน้ำตรงไหนบ้างคะ เค้าก็ใจดีมาก เดินไปส่งที่ป้อมตำรวจที่เขียนว่า ห้องน้ำเพื่อประชาชน ...
และเค้าก็ขับมอไซต์ไปส่ง
ขึ้นรถ ออกตัว เค้าเลี้ยวไปคนละทางกับทางที่บอกตอนแรก เราโพล่งขึ้นเลย นี่ไปทางลัดเหรอคะ
คือยังพูดให้เกียรติอยู่ ฮ่า ๆ แต่ทั้งๆที่ในใจคิดว่า เห้ยลุง คนละทางแว้ววววววววววว อะไรยังไงกันนี่
ความคิดมันเร็วมาก โอเค ถ้าเกิดโดนทำอะไร ใช้ความสามารถที่มีอยู่คือ แม่สาวน่องเหล็ก วิ่งอย่างเดียวจ้า
ปล. ด้วยความที่ชอบวิ่ง ก็เลยซ้อมวิ่ง อาทิตย์ละ 2-4 วัน แล้วแต่โอกาสจ้าา
ขับผ่านสวนสาธารณะคอนหวัน เขาบอกว่า มีคนมาวิ่งตอนเช้าๆ ทุกวันเยอะมากกก
เราก็ตาโต โหหห จริงเหรอ เค้าบอก เดี่ยวแวะจอดให้ไปถ่ายรูป มีมังกรด้วย โหววว ชิลอ้ะ
สุดท้ายก็มาถึงขนส่งคอนหวัน ตอนตี 5
รถจะออกพอดี
รีบร้ำลา กราบไหว้ลุงแกงามๆ ทั้งๆที่ตอนแรก ยังคิดไม่ดีกับเขาอยู่เลย 5555 เห้ย แต่เราซาบซึ้งจริงๆนะ
ก็เลยบอกแก ขอให้เจริญๆ โชคดี และรักษาสุขภาพด้วย
รถวิ่ง 1 ชั่วโมง 15 นาทีเป๊ะ
มาถึงปุ๊บ สนอย่างเดียวคือ ส้วม !! OMG
สภาพตอนนี้ บอกเลยยย
ยางไหววววว
ฟ้าสว่างแล้ว
โอเค ทำไงต่อ รีบเรียบเรียงความคิดแล้วเดินออกจากห้องน้ำไป
เท่าที่หาข้อมูลมา เมืองนี้ หาจักรยานไม่ยาก
แต่เอาจริงๆ มันก็หาไม่ง่าย =_=
เราจำมา 3 ที่ ที่ที่ให้เช่า
- ร้านกาแฟอู่ไท ( ได้เบอร์โทรมาเมื่อคืนเพราะทักไปหาที่แฟนเพจเค้าแล้ว)
- เจริญกิจ อะไรสักอย่าง น่าจะรับซ่อมด้วย มโนๆ
- ชมรมจักรยานอุทัยธานี
ตอนนี้มึนๆ จะเดินไปทิศไหน ดี
ขนส่งที่นี่ ดูจะมีทางเดินไปได้หลายทาง
ตอนนี้ แบตมือถือไม่ไหวแล้วค่ะ เราต้องใช้เป็นก๊อกสุดท้ายเผื่อไว้โทรหาร้านกาแฟอู่ไทย
ทำไมต้องเลือกตั้ง 3 ที่น่ะหรือ
เพราะคนขี้งกแบบเรา อยากได้สิ่งที่ถูกที่สุด
คุณค่าที่อิชั้นคู่ควร 5555555555
ตอนนี้รู้ราคาอยู่ที่เดียว ร้านกาแฟอู๋ไทย คันละ 100 บาท/วัน
สรุป เราจะไปตรอกโรงยาก่อน
ดูเหมือนจะเป็นศูนย์กลางในทริปนี้ของเรา
ชิเดินไปตามทาง ที่คนแรกบอกมา
เขาบอกว่า เดินไปไม่ได้หรอก ไกลมากก ซับซ้อน เราก็บอกเค้าไปว่า หนูมาเพื่อเดิน น่ะค่ะ
เค้าบอกแค่ว่าเลี้ยวขวาข้างหน้า แล้วไปถามคนข้างหน้าเอาอีกที
เราก็บอก โอเค้
เดินมา 5-10 นาทีได้ละมั้ง
เจอหอนาฬิกาแล้ว เดี่ยวก็จะเลี้ยวซ้าย
เดินค่ะเดิน
วันนั้นเช้าๆ คนที่ตื่นมาทันช่วงนี้ ก็จะเห็นน้องนางสะพายเป้ หน้าหลังสองใบ บวกกล้องอีกตัวนึง
เดินดุ่มๆๆๆ เหมือนจะหาบางสิ่ง
ใกล้ถึงตรอกโรงยาแล้ว มีสามแยกอยู่ พอหันไปขวามือก็เห็น...
เห้ย บนยอดเขานั่น มีอะไรน่ะ
จะไปๆๆๆๆๆ คิดแต่สิ่งนี้
( ทริปนี้ ทำการบ้านมาน้อยค่ะ รู้แต่จะไปปั่นจักรยานรอบเกาะเทโพ วัดท่าซุง และ วัดเข้าสะแกกรัง สิ่งเหล่านี้คือ wish lists ที่ตั้งใจมาดู )
ถามคนมาตลอดทางค่ะ
คนที่นี่ยิ้มแย้ม เป็นกันเอง ใจดีมากอะ ยิ้มให้ชิทุกคนที่เดินผ่าน
ตอนนี้มาถึงตรอกโรงยาแล้ว เย้ สัก 30 นาทีได้มั้ง
ดูเก่าแก่ มีมนต์ขลัง
ปักหมุดเลย คืนนี้เราจะมาเดินที่นี่
ว่าแต่ตอนนี้หิวมากค่ะ
ถ่ายโอนข้อมูลกันจนตอนนี้ฮาร์ดดิสว่างเปล่า
ไปหาอะไรทานที่ตรอกโรงยากัน
เห็นร้านนี้คนเยอะ ก็เดินเข้าไปเลย
ชื่อร้าน"หน่อย" คือ ได้ยินลุงเค้าตะโกนเรียก ป้าหน่อย เราก็คิดในใจ โอ้ววว เถ้าแก่ ซ้อเจ้าของร้านทำเองเลยนะเนี่ย
มื้อนี้ค่าเสียหาย 30 บาท อิ่มและอร่อยมากค่ะ
น้ำจิ้มที่ทานกับข้าวขาหมู ไม่เหมือนที่ไหน อร่อยเด็ดจริงๆ
ระหว่างเลือกหาที่พัก กับ จักรยาน
ชิขอเลือกหาจักรยานก่อนค่ะ ถ้าได้จักรยานแล้ว อะไรๆ มันก็จะสะดวกขึ้น
อากาศก็เริ่มร้อนแล้ว เดินมาไกลพอสมควรเลยค่ะ
เดินไปเรื่อยๆ ตามที่ถามคนข้างทาง ถามมัน 3 ร้านเลย เค้าก็ชี้ๆไป สุดท้ายก็ได้ใจความว่า ร้านอยู่ข้าง กศน.
เดินมาถึง อ้าว เป็นร้านกาแฟอู่ไทนี่เอง
มีจักรยานให้เลือก 3 คัน บอกพี่ปาล์ม( พี่เจ้าของร้าน ) เอาคันที่ดีที่สุดเลย
ก็ได้เป็น จกย อาม่า มีตะกร้าและมีเกียร์
โอเคใช้ได้เลยค่ะ ลื่นๆ ใช้ได้
ได้จักรยานแล้วก็ นั่งพัก โทรหาโรงแรม ที่เราเซฟเบอร์มาตั้งแต่ก่อนขึ้นรถไฟเมื่อวาน
ราคาเตะตามาก 250บาท ต่อคืน เดี่ยวไปดูเลย สภาพห้องจะเป็นยังไง
แต่พอจะเดาได้ว่า ถ้าไม่เก่าหรือโทรมมาก ก็แบบผีดุแน่ๆ
ห้องพักคืนละ 250 บาท เจอแต่เบอร์โทรในเน็ต ก็โทรถามทาง เค้าบอกว่ามาง่ายมาก
เราก็ปั่นมาเลย เป็นตึกสูง 4-5 ชั้น อยู่ตรงข้ามกับ รพ อุทัยธานีเลย
มันจะโอเคมาก ถ้าไม่อยู่ตรงข้าม โรงพยาบาล
จริงๆห้องก็ไม่โอเคเท่าไหร่ อาศัยว่าเคยพักที่แย่ๆกว่านี้มาเยอะ
อย่างเก้าอี้ไม้ สองตัวนี้ จะวางคู่กันไว้ปลายเตียงทำไมมมม
จินตนาการดิชั้นล้ำเลิศเกินใครนะจะบอกให้ 5555
ที่บอกว่า ทำไมอยู่ตรงข้ามโรงพยาบาลแล้วแย่นั่นหรือ
เพราะเราชอบอ่านเรื่องผี แล้วก็ฟัง The Shock 5555555555555
แบบว่า เล็บกรีดดดกระจก ครูดดๆๆๆๆ ไม่ก็มาเคาะหน้าต่าง คือเอิ่ม เราก็เป็นตุเป็นตะ
โอเค้ คืนนี้เราจะนอนห้องนี้กัน
เก็บสัมภาระเรียบร้อย ปิดไฟปิดทุกอย่าง ล็อคห้อง ลงไปปั่นจักรยาน
แพลนของวันนี้คือ ปั่นรอบเกาะเทโพ และตอนเย็น จะไปเดินตรอกโรงยาค่ะ
อ้อ ดีอย่างนึง เปิดหน้าต่างไปเจอวัดเขาสแกกรังค่ะ
เริ่มปั่นมาเริ่มต้น ที่วงเวียน เพื่อจะไปวัดโบสถ์ก่อนที่แรก นี่ต้องปั่นขึ้นทางนี้ไปสินะ
มุมด้านหลัง
จัดการจูงจักรยานขึ้นมาบนสะพานค่ะ
เห็นวิวคุ้งน้ำ แจ่มมาก มองเห็นวัดโบสถ์ไม่ไกล อยู่ริมฝั่งน้ำ ในใจก็คิดว่า จะเป็นตำนานของคำกล่อมเด็กป่าว
"วัดเอย วัดโบสถ์" ไรงี้ และก็คิดว่ายังไงก็ขอรู้ประวัติวัดมั่งหล่ะ วันนี้มีเวลาทั้งวัน
มองไปที่คุ้งน้ำ สังเกตดีดีจะเห็น หมู่บ้านลอยน้ำ ถ้าฟังไม่ผิดเพื่อนชาวอุทัยบอกว่ามีตั้ง 200 กว่าหลังคาเรือน
แต่ภาพที่เรามีจะเป็นภาพประวัติศาสตร์ เนื่องจากเค้าจะไม่สร้างบ้านเพิ่มแล้วค่ะ
เจ้าของบ้านลอยน้ำที่สร้างมาแล้วเป็นร้อยๆปี ตอนนี้ก็เริ่มทะยอยขึ้นมาอยู่บนบกแล้วบ้าง
เป็น unseen จริงๆค่ะ ที่นี่
ให้เดา ว่าหน้าจะวัดพื้นไหม
พอมาถึงหน้าวัดโบสถ์ มองเห็นนักเรียนกลุ่มหนึ่ง
เหมือนกำลังทัศนศึกษาหรืออะไร มีคนพากษ์ใช้ไมค์เสียงดัง
เรารีบจอดจักรยานแล้วก็รีบไปแจม
เค้ากำลังเล่าประวัติวัดนี้อยู่เลยค่ะ
ไม่คิดไรมาก ตามเลยค่ะ ชอบฟัง นี่เป็นเรื่องโชคดีที่สุดของทริปเราก็ว่าได้ โชคดียังไงเดี่ยวค่อยๆเล่าไปนะคะ ^ ^
อ้อ พอข้ามสะพานมา จุดนี้ เค้าเรียกว่า "เกาะเทโพ" ค่ะ
เป็นเกาะน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
ถ้าหากจะไปปั่นจกย รอบเกาะ จะมีระยะทางให้ปั่นประมาณ 33-35 กม.
วัดอุโปสถาราม หรือ วัดโบสถ์
สร้างขึ้นในตั้งแต่200 กว่าปีที่แล้ว ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำสะแกกรัง
ซึ่งเราก็พึ่งรู้ว่า แม่น้ำสะแกกรังมีต้นกำเนิดมาจากเทือกเขา"โมโกจู"
สังเกตุดีดีจะเห็นว่า วิหาร โบสถ์ สร้างให้สูงขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง
ซึ่งเป็นการคำนวนของผู้สร้างค่ะ ว่าน้ำจะท่วม แต่ เมื่อครั้งน้ำท่วมใหญ่ก็ อันนี้ก็เกินความคาดหมาย ไปหน่อย-_-
เราใช้เวลาอยู่ที่วัดแห่งนี้นานมากเลยค่ะ
เพราะ เดินตามพี่ไกด์เค้าไปฟังด้วย
ด้านในโบสถ์ สวยมากเลยค่ะ หาชมได้ยากมาก เป็นภาพจิตรกรรมฝาผนัง
ที่มีเรื่องราวของพุทธประวัติยาวต่อเนื่อง วาดได้ละเอียด แถมพี่เค้าก็ยังเล่าได้ละเอียดมากๆด้วย
เล่าให้เป็นฉากๆ จนคนที่เคยไป 4 สังเวชนีย์สถานแบบไม่รู้อะไรมาก ตอนนี้ประติดประต่อกันเป็นเรื่องราวได้เป็นอย่างดี
ภาพความทรงจำของสถานที่ที่เราเคยไปกราบไหว้ ที่ซึ่งพระพุทธเจ้าเคยประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพานของจริง งานนี้ มโนออกเลย
พี่คนนี้ ชื่อ คุณ จเร ศรีสุข ( นามสกุลถ้าจำผิดขอโทษด้วยค่ะ)
แกไม่ได้เป็นไกด์ แต่ด้วยความที่แกรักบ้านเกิด เมื่อไดก็ตามที่ได้กลับบ้านอุทัยธานี
แกก็จะมาทำความดี เล่าเรื่องประวัติบ้านเมืองตัวเอง ที่วัดโบสถ์แห่งนี้ค่ะ
แกทำงานอยู่ที่กรุงเทพ กลับบ้านเดือนละครั้ง หรือ นานๆ ครั้ง
คืชิโชคดีมาก ที่ได้เจอแก
ถัดจากโบสถ์ไปจะเป็นวิหารค่ะ
ก่อนขึ้นโบสถ์ไป พี่จเรก็จะให้อธิษฐานขอพร ก่อนเข้า ค่ะ
เห็นผู้ชายกลุ่มนึง ด้านหลังพระพุทธรูปไหมคะ
เป็นการแต่งกายของชาวขุนนางฝรั่งที่เข้ามาเมืองไทยในยุคนั้นเลยค่ะ
พระพุทธรูปด้านหน้านี้ มี 2 องค์ที่ถูกขโมยไปเมื่อต้นปีที่ผ่านมา
โจรได้นำไปทิ้งไว้ที่กลางทุ่งนา อันนี้จากคำบอกเล่าของเพื่อน
คิดว่า สิ่งศักดิ์สิทธิคงดลใจให้เลิกทำความชั่ว จึงได้พระพุทธรูปกลับคืนมา
ก่อนจะจากกัน (เจอกันแบบ งงๆ เหมือนมาเอาความรู้จากเค้าฟรีๆ เลย 555)
ก็ขอถ่ายรูปกับแกซักหน่อย
แต่ เรื่องไม่จบ
เราบอกจะไปปั่นจักรยานรอบเกาะเทโพ
เนื่องจากเห็นเรามาคนเดียวและดูจะสนใจบ้านเมืองเค้ามาก 5555
เค้าจึงอาสาปั่นแนะนำเส้นทางและเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง
เห้ย เป็นเกียรติมากอะค่ะ
จากนั้นเค้าก็พาเราเดินชมรอบๆวัด
วัดนี้หมาเยอะนะคะ และก็ดุด้วย โปรดระวังด้วย
นี่คือชุมชนบ้านลอยน้ำที่หลงเหลืออยู่ค่ะ
มาเริ่มปั่นจักรยานรอบเกาะน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยกันเหอะ
ให้พี่แกนำเลยค่ะ
อากาศตอนนี้ร้อนมากๆ ถ้าไม่ได้หยิบเสื้อแขนยาวมา มีร้องอะ
ฟาร์มจระเข้ร้างไปตั้งแต่ตอนน้ำท่วม ก็ย้ายไปที่อื่นค่ะ
โอทอปของที่นี่เป็นปลาย่างค่ะ
เดี่ยวไปดูว่าเค้าย่างปลากันยังไง มันถึงได้เป็นโอท็อปประจำจังหวัดอุทัย
ปั่นเข้าไปบ้านของชาวบ้านเลยค่ะ
พี่จเรก็ตะโกน มีใครอยู่มั้ยๆ
ก็มีคุณป้าคนนึงเดินออกมา
ดูเหมือนพี่จเรจะเป็นคนที่ทุกคนบนเกาะรู้จักเป็นอย่างดี
เค้าก็เปิดเตาให้ชมเลยค่ะ
เปิดเตามานี่ โอ้โห
ไม่ได้หอมนะ
ควันพุ่งใส่หน้า
เค้าบอกว่า ต้องรมควันแบบนี้ 2-3 วัน ถึงจะเอาออกมาได้
ซื้อที่นี่ก็ไม้ละ 20 เองค่ะ
ถ้าไปซื้อที่ตลาดนอกเกาะ ไม้ละ 30-35 บาท แต่เนื่องจากยังเอาออกมาไม่ได้ เลยไม่ได้อุดหนุนเบยย
(อยากกินง่ะ 555555555X
โรคภูมิแพ้กำเริบจนทนไม่ได้
หมอก็ขอให้หนีจากกรุงเทพไป
พี่เลือกมาจังหวัดนี้เพราะเห็นว่าอากาศดีกว่าที่ใด
5555555555
ปั่นไปก็คิดถึงเพลงนี้จริงๆนะ
พี่จเรพามาสะพานแขวน ที่หนึ่ง
ซึ่งห่างจากวัดโบสถ์ไปสัก 4 โลได้ ซึ่ง ตอนนี้ก็แปลว่า พวกเราปั่นมาได้ สัก 4 โลแล้วหล่ะ
วัดขุมทรัพย์ ถ้าจำไม่ผิด
( เมมน้อย แถมแรมต่ำด้วย เนื่องจากนอนไม่พอ แต่ก็พยายามเก็บให้ได้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ค่ะ )
วัดนี้ มีประตูโบสถ์สวยค่ะ ฝั่งด้านซ้ายเป็นรูปเทพบุตร อีกฝั่งเป็นเทพธิดา ด้านขวา สวยค่ะ
ปั่นไปเรื่อยๆ ไม่รู้สึกเหนื่อยเลย แถมเอนจอยด้วย
ดูนาฬิกาอีกที เห้ย มันบ่ายโมงกว่าแล้ว
นี่เราก็เกรงใจเค้าเหมือนกันนะ ยังไม่ได้ทานข้าวกันเลย
เค้าบอกว่า ข้างหน้ามีร้านอาหารร้านนึง อร่อยด้วย เราก็บอกโอเค
ในใจก็คิดว่า จะได้เลี้ยงข้าวตอบแทนด้วย
ถ้าเกิดให้เด็กอย่างเรา ให้ทิปเค้าไป กลัวจะน่าเกลียดค่ะ นี่เป็นสาเหตุที่ทำไมถึงไม่ให้เป็นทิปเค้าไป
มื้อนี้สั่ง คอหมูย่าง ต้มยำหมูสับ ( อันนี้เกิดมาพึ่งเคยกิน ) และ ส้มตำ
สั่งมาแบบไม่เกรงกลัวลำไส้ 55555555
เย้ยฟ้า ท้าสำไส้
อร่อยค่ะ ฟาดเรียบบบบบ
ค่าเสียหาย 100 เดียวเองอะ
ทานเสร็จ พวกเรา ก็ปั่นต่อ แต่ โค้งกลับแล้วนะ
ถ้าไปต่อ จะสามารถไปจรดถึงชายแดนติดกับจังหวัดชัยนาทเลยหล่ะ
แต่ เรามีโปรแกรมจะไปวัดเขาสะแกกรังและเดิน ถนนคนเดินตรอกโรงยา ตอนเย็น
จึงต้องเก็บแรงนิดนึงค่ะ
ตรงนี้เค้าตั้งใจจะทำทะเลน้ำจืดกันค่ะ นกเป็ดน้ำมาสุมกันเต็มเลย ตอนเย็นๆ ลมคงพัดเย็นสบายดี
กระเป๋าฟ้า เอาไว้บรรจุกล้อง 5555
ไม่มีการแบกกระเป๋ากล้องค่ะ คนนี้ ฝากล้อง ก็ ไม่ต้องถามหาหรอก 5555555
สี่โมงกว่า พวกเราปั่นกลับมาที่เดิม
แยกย้ายและบอกลากันตรงนี้ บอกเค้าว่า พรุ่งนี้ ถ้ามีเวลา
จะมาเจอพี่เค้าอีกทีที่วัดโบสถ์แห่งนี้
ซึ้งงง
โปรแกรมถัดไป ว่าจะไปเดินขึ้นเขาสะแกกรังและลงมาเดินถนนคนเดินตรอกโรงยาค่ะ
แต่ว่าจะกลับโรงแรมเพื่อไปเอาขาสั้น เอาไว้เปลี่ยนตอนลงจากวัด ไปเดินถนนคนเดินจะได้สบายๆ
แต่ก่อนหน้าที่จะกลับโรงแรม ขอแวะหาไรเย็นๆ กินหน่อย ร้อนสุดๆ
เมื่อไหร่ที่หน้าด้านขอ ก็จะได้
อายเมื่อไหร่ ก็จะอดเมื่อนั้น
วอนขอคนรอบตัว เวลาต้องการถ่ายรูปค่ะ
ถึงแม้จะไม่ได้สวยงาม แต่มันเป็นช่วงชีวิตนึงที่คุณจะได้จดจำมันได้เมื่อย้อนกลับมาดูอีกที
ตัดภาพมาที่โรงแรมผีสิง เอ้ยยย ไม่ใช่
มันเป็นชื่อโค้ดของชิ ที่ชอบเรียกพวกโรงแรมน่ากลัวๆ แต่เอาจริงๆ ไม่มีหรอก..มั้ง 5555
เข้าห้องมา
สิ่งแรกที่ทำให้ตกใจคือ
พัดลมมันหมุนอยู่
ซึ่งเรามั่นใจมาก
เราหมุนปิดกับมือค่ะ
เอาแล้วไง
เราก็ไม่ได้สนใจต่อนะ ทำเป็นลืมๆไป นอนเล่น สักแปป พักหน้าค่ะ กลัวฝ้าขึ้นที่สุด 555555 แต่ไม่เคยกลัวดำเลยนะ
อยากได้ผิวสีแทนมากกว่าสีผิวจริง แต่ตาตี่ๆแบบนี้ แล้วผิวสีแทน ไม่รู้จะไปกันได้ป่าว 5555
สักพักก็ได้เวลา ปั่นไปวัดเขาสะแกกรัง ซึ่งเป็นที่ที่มองเห็นได้จากหน้าต่างห้องเราเนี่ยแหล่ะ
ตื่นเต้นๆๆๆ
เข้าไปไหว้พระก่อน
ขอพรให้คืนนี้หนูอย่าเจออะไร 55555555
เอ้ย ไม่ใช่ ขอให้ร่ำให้รวย ( งานการไม่ทำ จะรวยได้ไงลูก ) 555 นี่ก็ไม่ได้ขออออ
ส่วนใหญ่ก็ขอให้พระคุ้มครองเท่านั้นแหล่ะค่ะ นอกนั้น หนูจัดการเอง !!!!
พอไหว้เสร็จ หันหลังกลับเท่านั้นแหล่ะ
เห้ย มุมนี้สวยยยยยย เดี่ยวชิจะวิ่งขึ้นค่ะ
มาดูว่าจะใช้เวลาเท่าไหร่กับ ระยะทางบันได 449 ขั้น
วิ่งไปได้ 3 ช่วงบันได เริ่มหอบ 5555555555
ฟิตมากกกกกกกกกก
คนข้างๆมอง เห้ย มันคงบ้า แต่สนุกดี
หันกลับมามองข้างหลังเป็นพักๆ
โหยยย สูงนะ
ถึงแล้วววววววววววววว เย้
5 นาที ค่ะ
นั่งเล่นอยู่บริเวณนี้นานพอดูเลยค่ะ
แต่ไม่ได้เดินไปไกลถึงหมุดโลกนะ อยากไปมาก แต่เย็นแล้วค่ะ แทบไม่มีคนแล้ว
นั่งรับลมเย็นๆ ชมเมืองดีกว่า
ยืนคิด เรามาไกลถึง 500 กว่าโลคนเดียว จากบ้านเลยเชียวนะ
นี่ภาคกลาง ไม่มีคนพูดกำเมืองเลยสักคน
รู้สึกดีเป็นบ้าเลย 55555555555
ก่อนหน้านี้ เราแค่คิดอยากจะไปสักที่ ที่ไกลกว่าบ้าน ไม่มีคนพูดภาษาเดียวกับเรา
อยากรู้ ว่า คนที่ไม่พูดกำเมืองเหมือนกับเรา เค้าจะใจดีกับเรา ยังจะช่วยเหลือเกื้อกูลเราเป็นอย่างดีไหม
ปรากฏว่า ที่นี่ เราเจอคนที่ดี และใจดีกับเราเยอะมาก
อินกับเมืองเล็กๆ อย่างอุทัยธานีมากค่ะ
ได้เวลามาย่ำตรอกโรงยากันแล้ว
ดูๆแล้ว เหมาะจะเป็นที่ฝากท้องได้อย่างดีเลย
จอดจักรยานแล้วก็รีบเข้าไปหาอะไรกินก่อนเลยทันที 555
ของเยอะมากจริงๆ ทั้งๆที่เป็นตรอกสั้นๆ มีความยาวแค่ 150 เมตรเอง
อันนี้เป็นถุงทอง เค้าบอก เป็นขนมกินเล่นของคนจีนสมัยก่อน ก็เป็นเกี๊ยวห่อหมูน่ะค่ะ อร่อยๆใช้ได้
ร้านข้าวขาหมูป้าหน่อย ที่ไปทานมะตอนกลางวัน
อ้อ มีพี่เค้าบอกจะขับมอไซต์ไปส่งเราที่ร้านจักรยานตอนกลางวันด้วย ใจดีมากๆเลย
แต่ปากดี และแอบเกรงใจ เพราะเค้ากำลังง่วนกับการขายอาหาร เราก็เลยขอเดินไปเอง บอกเค้าว่า ถ้าระยะ 2-3 โล หนูเดินได้ค่าา
ฝากขอบคุณตอนนี้เลยด้วยนะ ถ้าเกิดเปิดมาอ่านเจอ อิอิ
เจ้านี้ คนตอม เอ้ย มุงเยอะมาก คิดว่าน่าสนใจแฮะ
ตอนแรกนึกว่าผัดไท แต่มองใกล้ๆ ไม่ใช่
มันคือ ขนมเบื้องโบราณ !!
ต่อคิวค่ะ ๆ ต่อคิว
แต่เนื่องจากคนรอคิวเยอะ และนานมาก เราจึงตัดสินใจเดินเล่นไปเรื่อยๆก่อน เดี่ยวจะกลับมา
เราเดินไปเรื่อย ๆ 5 รอบได้ค่ะ กลับมาแล้ว ก็คนยังเยอะ ก็เดินต่อ กลับไป-กลับมาแบบนี้
จนรอบสุดท้าย เออ ถ้าอยากกินจิงๆต่อแถวเหอะ จะเดินทำไมเยอะเนี่ย 55555555555 งง ตัวเอง
ซื้อเสร็จ ก็ดูๆ เห้ย กินไงอะ ห่อมายังก่ะข้าวมันไก่ ไม่มีช้อนนะ
แต่ไม่เป็นไร ถือไปก่อนละกัน กลับโรงแรมค่อยกิน 5555
เล็งไว้ร้านนี้ค่ะ ว่าจะมาซื้อpost card แจก เพื่อนๆ
ร้าน "บ้านนกเขา" รูปนี้ถ่าย ตอนเดินวนรอบแรกๆ 5555555
คือของเก่า โบราณ เยอะแยะเต็มไปหมด
ต้องลองเข้าไปดูค่ะ
เจ้าของชื่อลุงนกเขาค่ะ ชินั่งคุยกับแกจนแกปิดร้านเลยแหล่ะ
มานั่งร้านแก แกเห็นเราหิ้วหนมเบื้องมา ก็ถามว่า อยากได้จานก่ะช้อนไหม
ด้วยความคิดไม่ได้คิดอะไร ก็บอกว่า เอาค่ะ
คือปากไวมากอะ ใจคิดไง ปากบอกไวมาก ทำไมเป็นคนแบบเน้เนี่ยยย
เอิ่ม !!
จริงๆไม่ควรใช่มั้ย ...
ขนมเบื้องคือ แป้งผสมไข่ บวกไข่ เพิ่มตัง 5 บาท
เอาจริงๆ คนท้องถิ่นบอกว่า หนมเบื้อง ต้องกินกรอบๆ เพราะฉะนั้น ไม่ควรเติมไข่
นั่นไง ! ไอ่เราก็นึกว่า ทุกสิ่ง เมื่อใส่ไข่
มันจะเป็นสุดยอดของสุดยอดอาหาร
ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
มันไม่เสมอไปเน๊อะ
เราก็นั่งคุยกะลุงนกเขา นานมาก แกบอกว่า แกต้องการเล่าเรื่องราวของจังหวัดอุทัยธานี ผ่านบ้าน ผ่านของเก่าเก็บ ที่มี
พูดถึงด้านดี ก็มีคนสนับสนุน แต่โลกนี้มันก็เป็นแบบนี้ คนไม่สนับสนุนแถมยัง บอกว่า จะทำทำไม ให้มันได้อะไร
เค้าก็อธิบายให้ฟังว่า ( ขอเล่าเป็นภาษาตัวเองนะ )
เค้าไม่ได้โฟกัสที่เม็ดเงิน แต่เค้าสุขใจที่ได้ทำ
เห็นไหม ไม่ว่าที่ไหน ลูกหลานพอเติบใหญ่ ได้ไปเรียนไปทำงานต่างที่ต่างถิ่น แล้วก็มักจะหายไป แทบไม่กลับมาทำงานที่บ้านเกิด
เป็นเพราะอะไร !!
เพราะจิตสำนึกรักบ้านเกิดมันไม่มี
โรงเรียนแทบไม่ได้สอนประวัติศาสตร์บ้านตัวเอง แต่ข้ามไปสอนประวัติศาสตร์ชาติไทยซะละ
ซึ่ง สิ่งที่เค้าทำอยู่ ลูกหลานสมัยนี้เริ่มจะสนใจมากขึ้นแล้ว ว่าสมัยก่อนบ้านเราเป็นยังไง
พอคราวนี้หล่ะ เวลาเกิดอะไรขึ้นมา ลูกหลานที่รู้สึกหวงแหนบ้านเกิดตัวเอง จะเป็นผู้ปกป้อง ลุกฮือขึ้นมา
เป็นพลังที่ยิ่งใหญ่เลย
เราว่า เป็นทัศนคติที่ดีเลยทีเดียว แต่น้อยคนที่คิดเหมือน คนคิดต่างก็เยอะ
พี่จเรมาเป็นโฆษกให้กับถนนคนเดินที่นี่ด้วย
โหวววว คราวนี้รู้แล้ว เค้าป้อบจริงๆ
ตรอกโรงยา
เป็นแหล่งอยู่อาศัยของชุมชนชาวจีน และสมัยก่อนคนที่นี่จะสูบฝิ่นกันเยอะ คนจึงเรียกที่นี่ว่า ตรอกโรงยา
จะเห็นว่า มีธงไทย โบกสะบัดอยู่ทุกบ้านเลยที่ตรอกนี้
แสดงให้เห็นว่า คนจีนที่มาอาศัยอยู่ที่นี่นั้นมีความเคารพและสำนึกในผืนแผ่นดินไทย ที่ให้เค้าเข้ามาอยู่ค่ะ
เค้าจึงตอบแทนได้โดยการชูธงไว้ที่หน้าบ้าน
พร้อมเพรียง สวยงามดีค่ะ
เรานั่งคุยก่ะลุงนกเขา จนร้านรวงปิดหมด สองทุ่มกว่าๆ ก็ได้เวลาขอตัวกลับโรงแรม
ไม่คิดว่าจะกลับดึกขนาดนี้ เพราะมาต่างบ้านต่างเมือง ต้องไม่ประมาท 5555
สองทุ่มกว่า มาคนเดียว กลับจักรยาน นี่คือประมาทที่สุด
ฮ่า ๆๆๆๆๆ
กลับห้องนอน อาบน้ำ ชาร์ตแบททุกอย่าง มือถือ powerbank กล้องถ่ายรูป
อ้อ ได้หนังสือจังหวัดอุทัยธานีมาเล่มนึง อาบน้ำเสร็จก็มานอนอ่าน
วันนี้ทั้งวัน ก็มีสอบถามคนท้องถื่นเกี่ยวกับการไปสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งใกล้กับ อำเภอลานสัก
เป็นป่าดึกดำบรรพ์ unseen ที่นึงของเมืองไทย
ทุกคนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ไปไม่ได้หรอกถ้าไม่มีรถส่วนตัวไป
จิตตกทั้งวันค่ะ มันไม่น่าจะเป็นข้อเสียของการแบ็คแพ็ค
เราไม่อยากเสียใจ ถ้าไม่ได้ไปในสถานที่ที่เหมือนรังสรรค์มาเพื่อคนมีรถส่วนตัวเค้าไปกัน
แต่พอได้หนังสือมา
มันเหมือนได้สิ่งเร้า สิ่งกระตุ้นมา ต่อมความบ้าก็กระตุกเลย
ถ้าออกทริปแล้วไม่ได้ไปเข้าดงมั่ง ทริปนั้นจะเจื่อนๆนิดนึงอะ 5555
โอเค้ พรุ่งนี้ เราจะเดินทางไปนอกเมือง เข้าป่ากัน ค่อยไปหาทางเอาดาบหน้า
ที่นี่เลย
"หุบป่าตาด" และ "เขาปลาร้า"
ตอนกลางคืนก็นอนหลังมั่งไม่หลับมั่ง
เนื่องจากเปิดไฟห้องน้ำทิ้งไว้ มันเลยสว่างๆ พอพลิกตัว ก็ตื่น แต่ก็ไม่เจออะไรนะ 5555
ตื่นมา 6 โมงกว่า ก็เก็บๆ ของทุกสรรพสิ่งที่มันกองอยู่ที่เก้าอี้สองตัวปลายเตียง 5555 แบบว่า เป้ใบเดียวแต่มันมีทุกอย่าง
ทำให้ห้องระเนระนาดได้
เช้านี้ตั้งใจจะปั่นไปตลาดนัดสวน๒๐๐ปีค่ะ มีเฉพาะวันอาทิตย์วันเดียว
อันนี้เป็นสภาพชั้นสองของโรงแรมที่ชินอนเมื่อคืน 555
ปั่นไป ก็ถามทางคนที่เจอไป
แป๊บๆก็ถึง
ตลาดใหญ่มากค่ะ แต่ดูๆแล้ว ใหญ่มาก คนเยอะมากด้วย
ในเมื่อวันนี้เราจะเดินทางออกนอกเมือง เพราะฉะนั้น ทำเวลาดีกว่า
ไปเดินหาของกินซะแล้วกลับไปเอาเป้ที่โรงแรม แล้วไปคืนจักรยาน
ได้เป็นโจ๊กหมู ไม่ไข่ 15 บาท อร่อยมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
และถูกสุดๆ ทานเสร็จก็ปั่นไปเอากระเป้ แล้วปั่นไปร้านกาแฟ เพื่อเอาจักรยานคืน
ฝากเป้แดงไว้กับร้านพี่ปาล์ม คืนจักรยานพร้อมได้มัดจำ 500 บาทคืน
บอกแกว่า อาจจะกลับเย็นๆ
เสร็จแล้ว ก็ต้องหาทางไปขนส่ง เพื่อไปขึ้นรถไป อำเภอลานสัก แต่ตอนนี้เริ่มจะสายแล้ว
ถ้าจะทำเวลาต้องเสียเงินนิดหน่อย จ้างรถไปส่ง
เลยขอพี่ปาล์มโทรหาสามล้อให้ ก็บอกกับพี่ปาล์มว่า มันจะช้ามั้ยอะ อยากจิปั่นเอง 555
พี่แกบอกว่า ไม่ใช่สามล้อถีบ แต่เป็นรถมอไซต์
ไม่นานลุงแกก็แว๊นมาจอดหน้าร้าน
เราขออนุญาตแกก่อนถ่าย แกบอก โอเคเล้ยยย 5555
เมื่อไปถึงขนส่ง ก็จะมีลุงๆตะโกนถามว่าไปไหน
คือที่นี่ เราวางใจที่จะตอบว่า ต้องการจะไปไหน เพราะถ้าเป็นที่อื่น แทบไม่อยากคุยด้วยเลย
คนชอบฟันราคาเยอะ ยิ่งเห็นแบกเป้มางี้ โอ้ยยย
ก็บอกว่า เราอยากไปหุบป่าตาด
ในใจยังหวั่นๆอยู่ กลัวเค้าจะบอกว่า ไปไม่ได้
โชคดีเค้าตอบมาแค่ว่า รถไปไม่ถึง
เราก็บอกเค้าว่า ไม่ถึงไม่เป็นไรค่ะ เดี่ยวหนูหาทางไปต่อ
เราถามเค้าเท่าไหร่ เขาบอก 25 บาท
ต้องนั่งรถ อุทัย- หนองฉาง ไปลง หนองฉาง จะมีรถขาว ให้ขึ้นรถขาวไปอีกที แต่รถขาวก็ส่งไม่ถึง
เราก็โอเคค่ะๆๆ เดินขึ้นรถไป สักพักรถก็ออก
ทั้งคันมีเราอยู๋สองคน
คุณป้า ไม่ทราบเป็นแม่ใคร อิอิ ก็นั่งคุยกันก่ะเรา มาจากไหนมาทำอะไร เค้าก็บอกว่า โอ้ยๆๆๆ ไปหุบป่าตาดคนเดียว
ไปได้ยังงายยยย (( จุดๆนี้ ชิไม่สนใจคำห้ามปรามใดๆแล้ว เตรียมที่รัดน่องมาแล้วด้วย
แล้วตอนนี้ใส่มันแล้ว เดินไปก็ได้น่าา กะมาวิ่งเลยเนี่ย 55555 ))
รถที่นั่งมา
สักครึ่งชั่วโมงก็มาถึง อำเภอหนองฉาง ( 22 กม.)
ต้องเปลี่ยนรถ ขึ้นสองแถวสีขาว เพื่อจะไปให้ใกล้หุบป่าตาดที่สุด
คุณลุงคนขับน่ารักใจดีมาก
คนที่นี่น่ารักค่ะ
มีตอนนึง จอดรับยายข้างทาง พอถึงที่หมาย คุณยายลงรถมาจ่ายตัง
ลุงเตรียมเหรียญ 10 รอแล้ว ยาย ก็พูดว่า "โถ เจ้าประคุณรุณช่อง" ... คือพูดเพราะ คุณลุงคนขับใจดี เก็บตังค์แค่ 10 บาทเอง
อชิรญาณ์นี่แหมมม เกิดมาไม่เคยได้ยินจากปากคนตัวเป็นๆเลย ประโยคนี้
เคยได้ยินแต่ในหนัง
อยากบอกว่า แถวบ้าน หรือ ภาคเหนือ นี่ ไม่มีให้ได้ยินหรอกค่ะ
คนที่นี่พูดน่ารักจุงเบยยยย มันทำให้เราอินกับเมืองนี้มากๆ อะ ชอบบบบบบมาก
พอสองแถวขาวมาจอดที่สามแยกปุ๊บ ลุงชี้บอกให้เดินเข้าไปทางนั้น เพื่อไปหุบป่าตาด
เป็นระยะทาง 5 กม.
จ่ายเงินเรียบร้อยก็ตั้งหน้าตั้งตาจะเดิน
เดินมาได้สัก 10 เมตรได้มั้ง เห้ยมีรถขับผ่านมาด้วย
ซึ่งจริงๆ ตอนที่เดินไปนั้น มันเงียบมากเ หมือนไม่มีใครมาเที่ยวเลย
ก็ชั่งใจสักพัก แล้วก็โบกเลยจ้าาาา
ถามป้าเค้าว่าผ่านไปข้างหน้าไหม เค้าบอกว่าไป แต่แค่รีสอร์ท เราก็บอกว่า ถึงไหนก็ได้ ขอไปด้วยยยยยย 55555
จริงๆก็แอบเกรงใจเค้าอยู่นะ แบบว่า เค้าจะกลัวเรารึเปล่า
เราเป็นภาระเค้ารึเปล่า คิดไปเรื่อย
แต่หน้าตาระรื่นมากอะ 55555555555
เปลี่ยนหมวกแระๆๆ คิกๆ
สักแป๊ป ป้าก็มาถึงรีสอร์ท ดูเค้าจะเป็นห่วงเรา เค้าขับเลย เราก็ถามว่าเอ้าป้า รีสอร์ท!!
ป้าบอกว่า เดี่ยวไปส่งร้านขายของชำละกัน
เราก็บอก โอเคๆๆๆค่ะ
อีก ไม่ไกลก็มาลงที่ร้านขายของชำ ชาวบ้าน ก็นั่งกันอยู๋ 3-4 คน
มองชิเหมือนตัวปะหลาด
ป้าตะโกนจากอีกฝั่งพูดกับคนที่ร้านขายของชำว่า ไอ่หนูนี่มันจะไปหุบป่าตาด ให้ใครก็ได้ไปส่งที
เราก็ เห้ยยยยยย ป้า ไม่เป้นไรค่ะ อีกกี่โลเนี่ย เดี่ยวหนูเดิน แป๊บๆก็ถึงน่า
คนร้านขายของชำ ก็ตะโกนหากันใหญ่เลย ว่า ใครว่างมั่ง ไปส่งอีหนูคนนี้หน่อยเร้ววว
เราก็แบบ เห้ยยยๆ ๆๆๆ "ไม่เอานะเกรงจายย ไม่ดีหรอกเกรงจายยย ไม่เอานะเกรงจายยยย" 555555
สุดท้าย ก็อุดหนุนขนมเค้าไป
ทราบมั้ย ใครขับมอไซต์มาส่งอีกต่อจนถึง หุบป่าตาด
เป็นไอ้หนุ่มตัวน้อยคนนี้ ที่ขับมาส่งอีกต่อหนึ่ง
คือ ชิก็เป็นผญ คนนึงที่ไม่ค่อยจะกลัวอะไร เพราะเราคิดว่าเรา handle ได้ ทุกสถานการณ์
ทุกอย่างต้องมีทางออกเสมอ เราคิดแบบนั้น
แต่ เรื่อง มอไซต์ ...
ไม่ค่อยถูกกันเท่าไหร่แฮะ แบบ กลัวตายขึ้นมาทันที
ไอ่หนูน้อย เอาน้องชายมาด้วย ขับเร็วมาก น่าจะสัก 60-70km/hr
แถมพี่แกไม่จับแฮนด์ด้วยอีก มาจับแฮนด์อีกทีก็ตอนเข้าโค้งสุดท้ายจะเข้าหุบป่าตาด
โอ้ยยย พี่ใจเต้น หัวใจจะวาย
ความคิดที่ไวยังก่ะปรอทของเราคิดว่า ถ้าเกิดรถมันล้ม อิชั้นจะลงท่าไหนดี คือคิดไว้แล้วอะ
เนื่องจากมีความทรงจำที่ไม่ค่อยดีนักกับมอไซต์ ทริปที่อยากขี่มอไซต์ไปที่ต่างๆ ต้องเปลี่ยนเป็นการเดินทางโดยรถโดยสารหรือรถส่วนตัวแทน
อันตัวเราก็กลัวตาย
แต่ยังมิวาย รื่นรมณ์ ถ่ายรูป วิว ชิลๆ อยู่ 555555
นี่คือโฉมหน้าของวีรบุรุษผู้ใจดี พาเรามาส่งถึงที่อย่างปลอดภัย
ติ๊บให้เด็กน้อยไปกินหนม ๒๐ บาท
ถ่ายวิดิโอ ที่หุบป่าตาดมาค่ะ
เสียงหอบหน่อยๆ ต้องขออภัย ฮ่าๆ
เพราะงั้นจะลงรูป เพิ่มเติมอีกนิดนึงนะคะ ในวิดิโอจัดเกือบเต็มละค่ะ
คือเราคิดไปถึง ป่าคำชะโนด ที่อยู่อีสาน ที่มีตำนานผีจ้างหนัง คิดว่าคล้ายๆกัน และอีกความคิดคือ ยุคจูราสสิค ฮ่าๆๆๆ
ป่าที่นี่จะออกแนวดึกดำบรรพ์ ก็ชอบนะ
ถ้ามาเมื่อหลายสิบปีที่แล้ว คงสวยน่าดูเลยหล่ะ
ตอนนี้ทางเดินสะดวก
สะดวกเกินไปอะ (คหสต)
แล้วใส่ที่รัดน่องทามมายยย ไม่ได้วิ่งเลยสักกะติ๊ด 555555555
เอ้าพร้อมไว้ก่อน
ขากลับออกมา ก็นั่งรอนักท่องเที่ยวที่ดูจะใจดี ไว้ใจได้
รถนักท่องเที่ยวเริ่มทะยอยมากันละ
เราก็นั่งรอๆๆ ให้เค้าเดินชมกันให้เสร็จ
รอนานมากก ก็ไม่มีใครออกมาเลย เกือบชั่วโมงละ เลยคิดว่า จะเดินออกไปละดีกว่า เผื่อใครขับออกมาค่อยโบกตอนนั้น
แต่ก่อนหน้านั้นเริ่มหิวแล้ว เที่ยงกว่าแล้วอะ เลยไปซื้ออาหารทาน แถวนี้มีร้านเล็กๆ ที่แบ่งกันขายลูกชิ้นทอดบ้าง ส้มตำบ้าง
เราก็ไปซื้อลูกชิ้นมาทาน
ก็มานั่งโต๊ะหินอ่อนกะกลุ่มพี่คนนึง
ไอ่เราก็ชวนคุยก่อนเลย ตามสเตป ว่าพี่เค้าเที่ยวกันรึย้ง อะไรยังไง
ตกลง เค้าลงรถปุ๊บมานั่งกินข้าวกันก่อนเลย มากัน 4 คันรถ เค้าก็สืบๆ ว่าชิมาจากไหน ยังไง
เราก็บอกโต้งๆ ไปอีกละ ว่ารอคนออกจากที่นี่ จะได้ติดรถไปด้วย 55555
สรุปก็รอกลุ่มพี่เค้าแล้วก็ออกไปด้วยน่ะ
ใกล้ๆกันกับหุบป่าตาด จะมีเขาปลาร้า
ซึ่ง บนเขามีภาพเขียนสีคล้ายๆกับที่ผาแต้ม อุบลราชธานีอยู่ด้วย มันเป็นหนึ่งใน wishlist ของเราที่ว่าจะมาพิชิตวันนี้
จนท เบรคทันทีที่รู้ว่าชิมาคนเดียวแล้วก็อยากจะขึ้นไปมาก
แกบอกว่า ขึ้น 3 ชั่วโมง ลง 3 ชม เราก็บอกว่าไหว แต่พูดให้ตายยังไงจนท ก็ไม่ให้ขึ้นไปค่ะ เค้าบอกว่าขอแค่ให้มีผช สักคนไปด้วยก็จะปล่อยไป
คือเราก็คิดในใจ ทำไมเจ้าหน้าที่ไม่นำให้เลยหล่ะ หรืออาจจะกลัวรับผิดชอบไม่ไหวด้วยมั้ง
อีกอย่างช่วงนี้คนเข้าไปเก็บเห็ดเยอะ เขาบอก อาจจะไม่ปลอดภัย
เห้อออ เสียดายจังง
ติดรถพวกพี่ๆ มาลงปากทาง ขึ้นสองแถวกลับอุทัย มาถึงประมาณ บ่าย 3 กว่าๆ
เพื่อนทักมาว่า อยู่ไหน จะไปหา
คือ พูดตรงๆว่า ลืมไปเลย ว่ามีเพื่อนเป็นคนอุทัยอยู่คนหนึ่ง 5555
สรุปแล้วก็ได้เค้าไปส่งขึ้นรถที่ขนส่งคอนหวัน และคืนนั้นก็กลับถึงบ้านตี 2 ค่ะ
ทริปสนุกสุดๆ คุ้มค่าสุดๆ ประทับใจสุดๆ
มันอะไรๆ ก็สุดๆไปหมด ชอบมากๆเลย
ถ้ามีโอกาส จะไปห้วยขาแข้ง
นี่เป็นเพราะฝากเป้แดงไว้ที่ร้านกาแฟ ของทุกสิ่งเราอยู่ในนั้นค่ะ ถ้าไปห้วยขาแข้งต้องไปพัก 2 วัน 1 คืน คืออาจจะต้องแพลนกันใหม่ แพลนดีดี 555
มีสถานที่ท่องเที่ยวรอบนอกตัวเมืองอุทัยอีกเยอะแยะมากมาย
ไว้จะกลับไปใหม่ค่ะ
คนอุทัยน่ารักมาก พูดเหน่อหน่อยๆ ทีแรกก็ฟังไม่ค่อยเข้าใจ เพราะยังไม่ชิน 555555
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามค่ะ
ทริปหน้าจะมาเล่าเรื่องให้ฟังใหม่นะ
มีอะไรติชม หรือแนะนำได้เลยค่ะ บางทีเราก็อาจพลาดๆ อะไรไปบ้าง จะได้แก้ไข
ขอบคุณมากค่ะ
เที่ยวหัวหกก้นขวิด
วันพุธที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2562 เวลา 13.03 น.