สวัสดีครับ จากที่ก่อนหน้านี้ผมได้ทำการรีวิวในส่วนที่พักของ Beyond Resort Khaolak ตามลิงก์นี้ https://th.readme.me/p/2579 ไปแล้ว มาถึงตอนนี้ก็จะเป็นการรีวิวในอีกส่วนที่ผมติดค้างไว้นะครับ นั่นก็คือเรื่องของอาหารการกินในรีสอร์ทแห่งนี้นั่นเองครับ



โดยปกติแล้วหากเราเข้าพักที่รีสอร์ทแห่งนี้ เราจะได้รับสิทธิ์ทานอาหารเช้าอยู่แล้วทุกห้องตามที่ผมได้เคยเขียนไว้ครับ แต่สำหรับมื้ออื่นๆ เช่น มื้อเที่ยง หรือมื้อเย็นนั้น เราสามารถที่จะเลือกทานเองได้ว่าจะทานข้างในหรือข้างนอกรีสอร์ทครับ แต่สำหรับบางท่านที่จองแพคเกจแบบพิเศษกับทางรีสอร์ทไว้ ก็จะได้รับคูปองสำหรับทานอาหารในมื้ออื่นๆ มาเพิ่มด้วยครับ



สำหรับตัวผมเองนั้นได้รับสิทธิ์ทานอาหารที่รีสอร์ทแห่งนี้ทั้งหมด 4 มื้อด้วยกันครับ แบ่งเป็นมื้อเที่ยง 2 มื้อและมื้อเย็น 2 มื้อครับ โดยมื้อเย็นนั้นจะมีอยู่ 1 มื้อที่ผมว่ามันทีเด็ดมากๆ จนนำมาสู่การรีวิวครั้งนี้ กับมื้อที่ชื่อว่า “Candle Light Dinner" มื้อที่ทางรีสอร์ทจัดโต๊ะทานอาหารเย็นให้คุณกับคนพิเศษนั่งทานอาหารกันในบรรยากาศดีๆ ใกล้ชิดทะเลแบบสุดๆ ในช่วงเวลาที่สวยมากๆ นั่นคือช่วงเวลาที่พระอาทิตย์ตกดินจนถึงช่วงที่พระจันทร์เริ่มฉายแสงครับ เอาล่ะครับ ถ้าพร้อมแล้วเรามาเริ่มชิมกันทีละมื้อๆ เลยนะครับ



อาหารทั้ง 4 มื้อในรีวิวนี้จะเป็นการรับประทานอาหารที่ห้องอาหารที่ชื่อว่า “ @Beach Bar & Restaurant" ทั้งหมดนะครับ โดยห้องอาหารแห่งนี้จะเป็นห้องอาหาร open air มีส่วนที่เป็น indoor กับ outdoor ครับ และห้องอาหาร @Beach Bar & Restaurant นั้นจะเปิดให้บริการทั้งกลางวันและกลางคืนเลยนะครับ



หน้าตาของห้องอาหารประมาณนี้ครับ จะเห็นวิวทะเลแบบใกล้ๆ เลยครับ เรียกว่าก้าวพ้นหลังคาไปก็เหยียบชายหาดได้เลยครับ



เรามาเริ่มกันที่มื้อเที่ยงมื้อแรกของผมกันเลยนะครับ สิทธิ์ของ voucher ที่ผมได้รับก็คือจะมีมูลค่า 750 บาท/คน ครับ (ต้องขออภัยด้วยนะครับที่ผมลืมถ่ายภาพ voucher ไว้) โดย voucher นี้ 1 ใบ จะได้รับเครื่องดื่ม 1 Drink และอาหาร 1 Set ซึ่งตัวอาหาร 1 set นี้ จะมาเป็น set เต็มๆ เลยนะครับ ประกอบไปด้วย 4 อย่าง ดังนี้


- Appetizer

- Soup

- Main Course

- Dessert



โดยทางร้านจะมีแผ่นป้าย Menu Set แบบนี้ให้เราดูครับ ซึ่งจะมีทั้งหมด 2 แผ่นป้าย ได้แก่ Set อาหารสไตล์ยุโรป และ Set อาหารไทย ครับ วิธีการสั่งก็ง่ายมาก เริ่มแรกเราก็ดูก่อนว่าอยากกินอาหารยุโรปหรือไทย เมื่อเลือกได้แล้วก็สั่งเลยว่า Appetizer จะเอาอะไร, Soup จะเอาอะไร, Main Course จะเอาอะไร และ Dessert จะเอาอะไรครับ โดยจะเลือกได้แค่หมวดละ 1 อย่างเท่านั้น และห้ามเลือกข้ามไปมาระหว่างยุโรปกับไทยนะครับ



สำหรับมื้อนี้ผมกับภรรยาแยกกันชิมกันคนละแบบตามนี้ครับ



ผม : Set อาหารไทย โดยเลือกอาหาร 4 อย่าง ดังนี้

- Appetizer : Deep fried battered prawns (กุ้งชุบแป้งทอด)

- Soup : Spicy seafood soup with thai herbs (ต้มยำทะเล)

- Main Course : Deep fried fish with sweet & sour sauce (ปลาสามรส)

- Dessert : Fresh mango with passion fruit ice cream (ไอศรีมเสาวรสกับมะม่วง)



ภรรยา : Set อาหารยุโรป โดยเลือกอาหาร 4 อย่าง ดังนี้

- Appetizer : Caesar salad (ซีซ่าสลัด)

- Soup : Lobster bisque soup (ซุปล็อบสเตอร์)

- Main Course : Sirloin steak with red wine sauce (สเต็กเนื้อเซอร์ลอยราดซอสไวน์แดง)

- Dessert : Cheese cake (ชีสเค้ก)



หลังจากสั่งอาหารหลักเสร็จ ทีนี้ก็มาดูในส่วนของเครื่องดื่มกันครับ เราจะได้เครื่องดื่ม non-alcoholic คนละ 1 Drink หรือ 1 แก้วเท่านั้น หากใครอยากจะทานเพิ่มก็ต้องจ่ายเงินเองครับ ซึ่งรวมไปถึงน้ำเปล่าด้วยนะครับ เนื่องจากที่ห้องอาหารแห่งนี้ไม่มีบริการน้ำเปล่าให้ครับ



เมนูน้ำที่เราเลือกทานได้จะมีทั้งหมด 2 หน้าครับ ซึ่งจะเป็นเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ครับ ตัวผมเองเลือกสั่งเป็นน้ำมะนาว ส่วนภรรยาผมเลือกเป็นน้ำมะพร้าวปั่นครับ



หมายเหตุ : ราคาของเครื่องดื่ม 2 หน้านี้มีความแตกต่างกันพอควรตั้งแต่แก้วละ 95 บาท จนถึงแก้วละ 170 บาท ซึ่งเราสามารถสั่งอะไรก็ได้นะครับ



นั่งรอได้ประมาณ 5 นาที น้ำทั้ง 2 รายการก็มาเสิร์ฟครับ โดยน้ำมะพร้าวปั่นนั้นจะมาเสิร์ฟแบบเป็นลูกมะพร้าวเลยครับ ภายในน้ำจะมีการปั่นผสมเนื้อมะพร้าวมาแล้ว และก็ยังมีเนื้อมะพร้าวที่ติดที่เปลือกอีกครับ หนา นุ่มเลย แต่สำหรับคนที่ต้องการจะทานเนื้อมะพร้าวนั้นต้องขอช้อนจากพนักงานเพิ่มนะครับ เพราะตอนแรกที่มาเสิร์ฟนั้นเค้ามีแค่หลอดมาให้ครับ ><



นอกจากน้ำ 2 แก้วแล้ว ทางพนักงานยังได้นำตะกร้าใส่ขนมปังพร้อมกับเนยมาให้ด้วยนะครับ ซึ่งตะกร้าขนมปังและเนยนี้เราจะได้รับทุกมื้อที่ทานอาหารแบบเป็น Set นะครับ รสชาติขนมปังโอเคครับ มีทั้งหมด 2 แบบ คือขนมปังธรรมดาและขนมปังโฮลวีทครับ



หลังจากที่ผมทานขนมปังกับเนยไปได้ซักพัก พนักงานก็เริ่มนำเมนูแรก Appetizer ของแต่ละคนมาเสิร์ฟครับ มาเริ่มชิมกันไปพร้อมๆ กันนะครับ



เริ่มจาก Set อาหารไทย คือกุ้งชุปแป้งทอด จะมีกุ้งทั้งหมด 3 ตัว ขนาดค่อนข้างใหญ่ รสชาติดีครับ ส่วน Set อาหารยุโรป จะเป็นซีซาสลัด จานนี้ผักสดดีแต่ติดขมนิดหน่อยครับ



ต่อกันที่ซุปครับ Set อาหารไทยจะเป็นต้มยำทะเล มาเสิร์ฟในถ้วยขนาดกลาง เส้นผ่าศูนย์กลางยาวประมาณ 1 คืบของผมครับ จานนี้อัดแน่นด้วยเนื้อค่อนข้างเยอะครับ โดยเฉพาะกุ้ง ส่วนรสชาติผมว่ายังไม่จัดจ้านเท่าไหร่ และรวมๆ รสชาติคล้ายต้มข่ามากกว่าครับ



ส่วน Set อาหารยุโรปจะเป็นซุปล็อบสเตอร์น้ำข้น รสชาติอร่อยดีครับ มีเนื้อมาในซุปด้วยครับ



ต่อกันที่จานที่ 3 Main Course ครับ ของ Set อาหารไทยจะเป็นปลาสามรสครับ มาเสิร์ฟพร้อมข้าวสวยร้อนๆ เนื้อปลามีทั้งหมด 2 ชิ้นใหญ่ๆ รสติดหวานนิดนึง แต่โดยรวมสอบผ่าน และที่สำคัญเนื้อล้วนๆ ไม่มีก้างมาเจือปนครับ



ส่วน Set อาหารยุโรปเป็นสเต็กเนื้อเซอร์ลอยราดซอสไวน์แดง จานนี้ได้เนื้อมาชิ้นใหญ่มาก และในจานจะมีมะเขือเทศกับมันอบมาให้ด้วย เรียกได้ว่าค่อนข้างคุ้มค่ามาก รสชาติโดยรวมอร่อยสอบผ่าน มีแอบติดเค็มเล็กน้อยครับ



ปิดท้ายมื้อนี้กันด้วยของหวานครับ Set อาหารไทยเป็น ไอศรีมเสาวรสกับมะม่วง อร่อย ชื่นใจ คลายร้อนได้ดีเลยครับ จนผมอยากจะทานเพิ่มอีกลูกเลย ส่วน Set อาหารยุโรเป็นชีสเค้ก มีทอปปิ้งเป็นขนุน กีวี และแยมสตรอเบอรี่ครับ อร่อยเช่นกันแต่อาจจะหวานไปนิดสำหรับบางคนครับ



ก็จบแล้วสำหรับมื้อเที่ยงมื้อแรก มื้อถัดไปจะเป็นมื้อเย็นนะครับ สถานที่เป็นที่เดิมนะครับ คือที่ @Beach Bar & Restaurant แต่จากเดิมที่ผมนั่งในร่มเมื่อตอนกลางวัน ตอนนี้ผมขยับมานั่งข้างนอก (Outdoor) แทนเพื่อที่จะได้สัมผัสอากาศดีๆ และไอทะเลให้ใกล้ขึ้นครับ



สำหรับภาพใน Set นี้จะไม่ค่อยสวยงามเท่าไหร่นะครับ เพราะแสงน้อยมาก ส่วนกติกาการสั่งยังเหมือนเดิมครับ 1 Drink กับ 1 Set เมนูที่เป็นไทย หรือ ยุโรป เมนูอาหารก็เมนูเดิมเลย สำหรับมื้อนี้ผมกับภรรยาเลือกเป็น Set อาหารยุโรปทั้งคู่ โดยแบ่งกันรับผิดชอบดังนี้ครับ



ผม : Set 1 มีอาหาร 4 อย่าง ดังนี้

- Appetizer : Chicken salad hawaiian (สลัดไก่ฮาวายเอี้ยน)

- Soup : Consomme soup (ซุปใส)

- Main Course : Grilled red snapper fillet with lemon herb butter (ปลาหิมะย่าง)

- Dessert : Ice cream (ไอศรีมสตรอเบอรี่เชอเบท)



ภรรยา : Set 2 มีอาหาร 4 อย่าง ดังนี้

- Appetizer : Mixed salad (สลัดรวม)

- Soup : Onion soup (ซุปหัวหอม)

- Main Course : Lasagna al forno (ลาซานญ่าเนื้อ)

- Dessert : Tiramisu (ทีรามิสุ)



สำหรับเครื่องดื่มผมเลือกเป็น Pineapple Pleasure ซึ่งมีส่วนผสมของสับปะรด, มะม่วง และกล้วยครับ ส่วนภรรยาผมเลือกเป็นช็อคโกแลตปั่นครับ รสชาติโอเคทั้งคู่ครับ



เรามาไล่ดูอาหารกันทีละรายการเลยนะครับ เริ่มจาก Appetizer ได้แก่ สลัดไก่ฮาวายเอี้ยน และ สลัดรวม



สลัดไก่ฮาวายเอี้ยน จะมีองค์ประกอบมาค่อนข้างครบครันเลยตั้งแต่ผัก ไก่ ไข่ สับปะรด และลูกเกด เรียกได้ว่าเมนูนี้ถูกปากผมมากเพราะผมเป็นคนชอบทานส่วนประกอบแทบทุกอย่างในเมนูนี้อยู่แล้วโดยเฉพาะลูกเกดครับ



ส่วนสลัดรวมจานนี้มาแต่ผักรวมกันสมชื่อจริงๆ ไม่มีเนื้อมาเจือปนเลย โดยผักที่ใส่มานั้นเรียกว่าเป็นผักหลากสี น่าจะได้สารอาหารและวิตามินมากโขอยู่ครับ



มาดูกันที่ซุปครับได้แก่ ซุปใส (Consomme soup) และซุปหัวหอม



สำหรับใครที่ไม่ทราบว่า Consomme soup นั้นมันคือซุปอะไรผมขออธิบายสั้นๆ ดังนี้นะครับว่า Consomme soup คือ ซุปที่ใสมากจนมองเห็นก้นถ้วย โดยผ่านกระบวนการที่ใช้ไข่ขาวเป็นตัวทำให้น้ำซุปใส ซึ่งโปรตีนในไข่ขาวเมื่อโดนความร้อนจะจับตะกอนในน้ำซุปให้รวมตัวกันเป็นก้อน ทำให้ตักและกรองออกตะกอนได้ง่ายขึ้น และมีผลทำให้น้ำซุปใสมากครับ



ซึ่งตอนที่พนักงานมาเสิร์ฟนั้นก็ต้องบอกเลยว่ามันเป็นน้ำซุปที่ใสมากจริงๆ ครับ ส่วนรสชาติ ขอบอกว่าอร่อยมากกก ซุปถ้วยนี้ผมยกให้เป็นซุปที่อร่อยที่สุดตลอด 4 มื้อที่ผมได้ทานอาหารที่นี่เลยครับ



ส่วนซุปหัวหอม จานนี้มาเสิร์ฟพร้อมขนมปังกับชีส น้ำซุปรสชาติโอเคแต่ถ้าใครไม่ชอบทานขนมปังนิ่มๆ เพราะถูกแช่ในน้ำอาจจะไม่ชอบเมนูนี้ได้ครับ



ต่อกันที่ Main course ครับ นั่นคือ ปลาหิมะย่าง และ ลาซานญ่าเนื้อ



ปลาหิมะย่างจะได้เนื้อปลา 2 ชิ้น ขนาดแต่ละชิ้นไม่เล็กไม่ใหญ่ครับ มาเสิร์ฟพร้อมกับมันอบและผักอีกเล็กน้อย รสชาติโอเคถูกปากครับ



ส่วนลาซานญ่าเนื้อ จานนี้เรียกได้ว่าเด็ด อร่อยมากครับ ใครชอบทานลาซานญ่าต้องจัดเลยครับ



และก็ปิดท้ายมื้อค่ำมื้อนี้ด้วยของหวานครับ ไอศครีมสตรอเบอรี่เชอร์เบทที่หวาน เปรี้ยว เย็น กำลังดี กับทีรามิสุครับ ตัวไอศรีมสตรอเบอรี่เชอร์เบทนั้นจะมาเสิร์ฟแบบโล้นๆ เพียวๆ ไม่มีทอปปิ้งอะไรมาเลยนะครับ ส่วนทีรามิสุนั้นมีช็อคโกแลตเป็นทอปปิ้งและราดกาแฟตามมาแบบชุ่มฉ่ำครับ



ตอนนี้เราก็จบกันไป 2 มื้อแล้วนะครับ ไม่รู้ว่าแต่ละท่านเริ่มอิ่มกันหรือยังครับ สำหรับอีก 2 มื้อที่เหลือนั้น บอกเลยว่าดีงามและแตกต่างจาก 2 มื้อแรกพอควรเลยครับ ถ้าพร้อมแล้วตามไปดูกันต่อเลยนะครับ



เริ่มจากมื้อกลางวันกันอีกมื้อครับ มื้อนี้ผมยังใช้ voucher มูลค่า 750 บาท/คน เป็นพระเอกเหมือนเดิม แต่ว่าทีนี้จะมีความแตกต่างเกิดขึ้นจาก 2 มื้อที่ผ่านมาแล้วเพราะผมทราบว่าทุกท่านคงเริ่มจะเอียนกับ Menu set กันแล้วแน่ๆ เนื่องจากจัดกันมาถึง 4 set เต็มๆ แล้ว



เจ้า voucher นี้ นอกจากจะสามารถรับอาหารเป็น Set ตามที่ทางห้องอาหารจัดไว้ให้แล้ว เรายังสามารถใช้แทนเงินสดได้อีกด้วยครับ โดยกติการในการใช้ก็มีดังนี้ครับ

1. สามารถเลือกทานอาหารในเมนูรายการใดๆ ก็ได้ ซึ่งจะมีเมนู 2 แบบเหมือนเดิมคือ อาหารไทย กับ อาหารยุโรป แต่จำนวนรายการอาหารที่มีให้เลือกนั้นจะมากกว่าที่เป็น Set มากๆ ครับ โดยอาหารแต่ละรายการจะมีราคาบอกไว้ในเมนู

2. เราสามารถเลือกอาหารกี่จานก็ได้ ปนกันระหว่างไทยกับยุโรปก็ได้ และไม่จำเป็นต้องเลือก Appetizer 1 จาน, soup 1 จาน อะไรแบบนี้ครับ ใครอยากจัดแบบไหนเยอะกว่าก็จัดได้ตามสบายเลยครับ

3. มูลค่าอาหารที่รวมทั้งหมดนั้น ต้องไม่เกิน 750 บาท/คน อย่างของผมมี 2 ใบก็จะมีมูลค่าในการสั่งถึง 1,500 บาท ในมื้อนี้ครับ

4. หากมูลค่าอาหารเกินมูลค่าของ voucher ที่เรามี เราต้องจ่ายส่วนต่างที่เกิดขึ้น แต่หากเราใช้ไม่ถึง ทางห้องอาหารจะตัดมูลค่าเงินที่เหลือทิ้งทันทีไม่มีการทอนให้นะครับ

5. การเลือก option ทานอาหารแบบนี้ เรายังได้รับเครื่องดื่มคนละ 1 Drink ตามเคย โดยไม่สูญเสียมูลค่าใน voucher นะครับ



หน้าตาของเมนูอาหารจะประมาณนี้ครับ เรียกได้ว่ามีให้เลือกเยอะมาก และยังมีหน้าหลังอีกด้วยนะครับ รวมๆ แล้วมีรายการอาหารเกินกว่า 60 รายการครับ



ภาพที่เห็นนี้เป็นเมนูของอาหารยุโรปอย่างเดียวนะครับ จะมีเมนูที่เป็นอาหารไทยอีก 1 ใบ เรียกได้ว่าเป็นมื้อที่ผมใช้เวลาในการเลือกอาหารนานมากครับ

.

.

.

.

ที่เลือกนานนี่ไม่ใช่เพราะอะไรนะครับ หลักๆ เพราะกลัวเกินงบ ฮา



หลังจากที่ผมกับภรรยาใช้เวลาในการพิจารณาเลือกเมนูอาหารไปราวๆ 20 นาที นี่คือ 4 รายการที่พวกผมเลือกทานในมื้อนี้ครับ


- Roast pork spare rib (ซี่โครงหมูอบ) ราคา 320 บาท

- Spaghetti carbonara (สปาเกตตี้คาโบนาร่า) ราคา 280 บาท

- Pizza four season (พิซซ่า) ราคา 420 บาท

- Beyond beach burger (เบอร์เกอร์) ราคา 320 บาท



รวมมูลค่า 4 รายการนี้คือ 1,340 บาท เหลือมูลค่าให้ใช้ได้อีก 160 บาท ซึ่งผมตั้งใจไว้ใช้กับของหวานครับ



สำหรับเครื่องดื่มมื้อนี้ผมเลือกเป็นน้ำมะนาวปั่น ส่วนภรรยาผมเลือกทาน Orange Miss ซึ่งมีส่วนผสมของส้ม, ,มะนาว (lime) และโยเกิร์ตครับ



มาดูกันที่อาหารกันดีกว่าครับ ถ้าเทียบจำนวนจานแล้ว หากผมเลือกทานเป็น Set สำเร็จแบบมื้อที่ผ่านๆ มา จะได้ทานรวมทั้งหมด 8 จาน แต่การเลือกเมนูเองแบบสามารถเลือกได้แค่ 4 จานเท่านั้น มูลค่าใน voucher ก็จะหมดแล้ว เดี๋ยวเราจะมาดูกันครับว่าสรุปแล้วมันจะขาดทุน คุ้ม หรืออะไรจะดีกว่าอะไรครับ



เริ่มเสิร์ฟจานแรกได้ กับ ซี่โครงหมูอบ จานนี้ให้ซี่โครงมาค่อนข้างชิ้นใหญ่เลยครับ เรียกได้ว่าสมน้ำสมเนื้อกับราคา 320 บาทเลยครับ รสชาติอร่อย เนื้ออบมาเปื่อย ทานง่ายดีครับ ในจานจะมีเฟรนฟรายและสลัดมาให้ด้วยนะครับ



จานที่สอง สปาเกตตี้คาโบนาร่า หน้าตาน่าทาน มาเสิร์ฟพร้อมกับขนมปังกับชีส และแน่นอนว่าก่อนจะทานเราจะต้องโรยชีสลงไปครับ ><



รสชาติจานนี้กลางๆ ครับ ไม่ได้มีอะไร comment เป็นพิเศษ



จานที่สามเป็น Pizza four season โดยจะมีทอปปิ้งเป็น ซาลามิ (Salami) , พริกหวาน, แซลมอนรมควัน แล้วก็เห็ดครับ



พิซซ่าเป็นแบบแป้งบางและมาในรูปร่างที่ไม่กลมนัก มีทั้งหมด 6 ชิ้นครับ รสชาติของจานนี้ผมไม่ค่อยประทับใจเท่าไหร่ครับ เนื่องจากมีหลายร้านในเขต กทม. ที่ให้รสชาติดีกว่านี้ครับ รวมทั้งราคาไม่สูงขนาดนี้ด้วยครับ



ปิดท้ายมื้อนี้กันด้วย Beyond beach burger ครับ เป็นเบอร์เกอร์เนื้อขนาดใหญ่มาก มาเสิร์ฟพร้อมเฟรนฟราย, สับปะรด, ชีส, เชอรี่, ผัก และราดด้วยน้ำผึ้งบางๆ ครับ



จานนี้รสชาติอร่อย ถูกปากเลยครับ ปริมาณค่อนข้างเยอะมาก เรียกได้ว่ากินแค่จานนี้จานเดียวก็สามารถอิ่มได้แล้วครับ



ก็ครบทั้ง 4 รายการสำหรับมื้อนี้แล้วครับ อาจจะดูว่าได้จำนวนจานน้อยเมื่อเทียบกับแบบ Set เมนูแต่บอกเลยว่าแต่ละจานที่ได้มานั้นจานใหญ่มากครับ บอกตรงๆ ว่ามื้อนี้เป็นมื้อที่ผมกับภรรยาทานกันไม่หมดด้วยครับ เรียกว่าอิ่มมากยัดไม่ลงเลยทีเดียว อิ่มมากกว่าที่ผมทานแบบ set ซะอีกครับ และด้วยปริมาณความอิ่มที่สูงขนาดนี้ทำให้ผมจำใจต้องปล่อยให้มูลค่าเงิน 160 บาทที่เหลือใน voucher นั้นสูญสลายไปฟรีๆ เพราะไม่อาจจะทานของหวานลงไปได้อีกแล้วครับ @_@



ก่อนจะไปถึงมื้อสุดท้าย Candle Light Dinner ซึ่งเป็นมื้อที่แตกต่างจากมื้ออื่นๆ มากที่สุด ผมขอสรุปให้ความเห็นก่อนว่าสำหรับคนที่มี voucher มูลค่า 750 บาทนั้นควรจะเลือกทานอาหารแบบไหนดี สั้นๆ ง่ายๆ ก็ตามนี้เลยครับ



แบบเป็น Set

- บริหารจัดการง่าย ไม่ต้องกังวลเรื่องการคำนวนเงินว่าจะขาดหรือเกิน

- ได้กินอาหารครบทุกอย่าง ตั้งแต่ Appetizer, Soup, Main course จนไปถึง Dessert

- พนักงานจะทยอยเสิร์ฟอาหารเป็นลำดับๆ เมื่อหมดจานนึงค่อยเสิร์ฟอีกจาน

- มีขนมปังและเนยเสิร์ฟให้ทานก่อนทุกมื้อ

- ไม่สามารถกินผสมกันระหว่างไทยกับยุโรปได้



แบบเลือกเองตามเมนู

- จำนวนเมนูอาหารเยอะกว่า และหลากหลายประเภทกว่า เช่น มีแซนวิช เบอร์เกอร์ สปาเกตตี้ พิซซ่า และของทานเล่นต่างๆ มากมาย

- สามารถกินปนกันได้ทั้งไทยและยุโรป

- ไม่จำเป็นต้องโดนบังคับสั่งอาหารในแต่ละประเภท สามารเลือกสั่งเฉพาะหมวดที่ตัวเองต้องการได้ เช่น บางคนอาจจะไม่ชอบทานซุปหรือสลัดเลย อยากจะเน้นเนื้อเป็นหลักก็สามารถทำได้

- อาหารแต่ละจานค่อนข้างใหญ่ ทำให้เลือกทานได้น้อยอย่าง

- มีความเสี่ยงสูงที่จะขาดทุนมูลค่าใน voucher หรืออาจจะต้องจ่ายเพิ่ม เพราะมูลค่าอาหารมักไม่ลงตัว



โดยรวมๆ ก็ประมาณนี้ครับ ใครชอบแบบไหนก็จัดไปได้เลยครับ และตอนนี้ผมก็พร้อมที่จะพาทุกท่านไปพบกับอาหารมื้อค่ำสุดพิเศษ Candle Light Dinner ที่ผมภูมิใจนำเสนอแล้วครับ



Candle Light Dinner คือ อาหารมื้อค่ำสุดพิเศษของ Beyond Resort Khaolak ครับ โดยจะเป็นการจัดโต๊ะอาหารประมาณ 10-15 โต๊ะ บนหาดทรายที่ชิดกับทะเลที่สุด ในจุดที่สามารถชมพระอาทิตย์ตกน้ำได้สวยที่สุดจุดหนึ่งของรีสอร์ทแห่งนี้ และที่สำคัญ Candle Light Dinner นั้นจะจัดเพียงอาทิตย์ละครั้งเท่านั้นโดยจะจัดในคืนวันศุกร์ของทุกสัปดาห์ครับ หากใครที่สนใจผมแนะนำให้จองโต๊ะไว้ล่วงหน้าได้เลยครับ



สิ่งที่ทุกคนจะได้รับจากการจ่ายเงิน 1,350 บาท/คน นอกจากจะมีอาหาร 1 Set กับเครื่องดื่ม 1 Drink แล้ว ยังจะได้ชมวิวพระอาทิตย์ตกสวยๆ ได้ฟังเสียงคลื่นกระทบหาด ได้มองดูดาวในยามค่ำคืน และได้กินข้าวกับหวานใจภายใต้แสงเทียนปนแสงจันทร์ครับ ซึ่งบรรยากาศเหล่านี้ โอกาสแบบนี้เป็นสิ่งที่เราไม่อาจจะหาได้ง่ายๆ โดยเฉพาะกับคนที่ใช้ชีวิตอยู่ที่กรุงเทพเป็นหลักนะครับ



แหม่ๆ...........แค่คิดภาพตามก็ฟินกันแล้วใช่มั้ยครับ สำหรับบรรยากาศของการจัดโต๊ะก็ตามภาพนี้เลยครับ โต๊ะแถวหน้าที่ทุกคนเห็นนั้นจะเป็นโต๊ะที่จัดวางพิเศษ ตั้งใหม่ในทุกคืนวันศุกร์สำหรับ Candle Light Dinner เท่านั้นครับ หากเป็นคืนอื่นๆ โต๊ะที่นั่งทานข้าวจะอยู่ด้านหลังถัดออกไปอีกราวๆ 10 ก้าวครับ



เวลาที่เริ่มรับประทานอาหารได้จริงๆ คือราวๆ 1 ทุ่มครับ แต่ประมาณ 5-6 โมงเย็นทางพนักงานก็จะเริ่มตั้งโต๊ะตั้งสถานที่กันแล้วครับ ซึ่งบรรยากาศช่วงนี้เป็นอะไรที่สวยงามมากครับ



หมายเหตุ : สำหรับวิวพระอาทิตย์ตรงมุมนี้ คนที่เข้าพักที่รีสอร์ทแห่งนี้ทุกคนก็สามารถเห็นได้หมดนะครับ ไม่จำเป็นต้องทาน Candle Light Dinner ก็ได้ครับ



และภาพนี้เป็นภาพบรรยากาศหลังจากที่พระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไปแล้วครับ โดยแขกที่จอง Candle Light Dinner ต่างก็ทยอยเข้าประจำโต๊ะกันเกือบหมดแล้วครับ สำหรับผมกับภรรยาได้หมายเลขโต๊ะหมายเลข 14 ซึ่งเป็นโต๊ะสุดท้ายในคืนนี้ครับ



สำหรับทุกท่าน ทุกโต๊ะ ที่ทานอาหาร Candle Light Dinner นั้น จะได้รับอาหารคนละ 4 อย่าง เหมือนกันหมดตามนี้ครับ



- Appetizer : Rock lobster cocktail with mango salsa (ค็อกเทลกั้งกระดาน กับมะม่วงน้ำดอกไม้)

- Soup : Chicken consomme with poached egg and parmesan cheese (ซุปไก่ใส่ไข่ดาวน้ำและพามิซานชีส)

- Main Course : Grilled tiger prawn & Beef tenderloin served with red wine sauce & butter, wild kaffir lime sauce (กุ้งกุลาดำ และ เนื้อเทนเดอร์ลอยด์ ราดซอสไวน์แดง)

- Dessert : Fruits crape with vanilla ice cream (เครปผลไม้กับไอศรีมวานิลลา)

ส่วนเครื่องดื่มคนละ 1 Drink นั้น ก็ยังสามารถเลือกเองได้ตามเมนูเดิมก่อนหน้านี้ครับ โดยมื้อนี้ผมเลือกทานน้ำแตงโมปั่น และภรรยาผมเลือกทาน Mango Madness ที่มีส่วนผสมของ มะม่วง, สับปะรด, กล้วย และส้มนะครับ



หมายเหตุ : ผมลืมถ่ายภาพน้ำแตงโมปั่นมานะครับ ต้องขออภัยด้วยครับ T_T



มาดูกันที่ส่วนของอาหารนะครับ เริ่มจาก Appetizer ค็อกเทลกั้งกระดานกับมะม่วงน้ำดอกไม้ จานนี้จัดวางมาเสิร์ฟอย่างสวยงามเลยครับ ในจานประกอบด้วยกั้ง, มะม่วง, ไข่, ผัก และน้ำสลัดในลูกมะเขือเทศครับ



รสชาติโดยรวมๆ ดีครับ แต่ตินินึงตรงผักที่ให้มาขมมากไปหน่อยครับ



จานที่สอง ซุปไก่ใส่ไข่ดาวน้ำและพามิซานชีส รสชาติโอเคครับ อร่อยดีครับ



จานที่สาม Main course กุ้งกุลาดำ และ เนื้อเทนเดอร์ลอยด์ ราดซอสไวน์แดง จานนี้ก็จัดเรียงมาสวยงามอีกแล้วครับ ผมกับภรรยาเลือกระดับความสุกที่ Medium ทั้งคู่นะครับ



รสชาติโดยรวม ตัวกุ้งอร่อยครับ ขนาดค่อนข้างใหญ่ ส่วนเนื้อก็นุ่มละมุนลิ้นดีครับ เพียงแต่ไม่ถึงขั้นละลายในปากและมีแอบเหนียวนิดๆ ตามลักษณะเนื้อทั่วๆ ไปครับ สำหรับจานนี้คนที่ชอบทานเนื้อทุกคนน่าจะประทับใจกันเป็นส่วนใหญ่นะครับ



หมายเหตุ : ตอนที่พนักงานมาต้อนรับเราที่โต๊ะครั้งแรก จะมีการแจ้งว่า Main course จะเป็นการเสิร์ฟเนื้อ ไม่ทราบว่าเรามีปัญหาในการทานเนื้อไม่ได้หรือไม่ ซึ่งผมกับภรรยาไม่มีนะครับ ดังนั้นจึงไม่แน่ใจว่าหากคนที่ไม่ทานเนื้อนั้นทางห้องอาหารจะจัดการเอาอะไรมาเสิร์ฟแทนครับ



และตอนนี้ก็ถึงจานสุดท้าย เครปผลไม้กับไอศรีมวานิลลา ตัวไอศรีมจะอยู่ในแป้งทาร์ต ส่วนตัวเครปจะห่อม้วนมาจำนวน 2 ชิ้น ราดด้วยช็อคโกแลตมาอย่างชุ่มฉ่ำ และยัดไส้ผลไม้มาแบบอัดแน่นเต็มๆ คำครับ



รสชาตินั้นผมว่าไอศครีมอร่อยดีครับ แต่ตัวเครปรสชาติแปลกๆ รู้สึกว่ามีความไม่ค่อยเข้ากันของแป้งเครปและผลไม้ที่ห่อไว้ครับ



และตอนนี้ผมก็พาทุกๆ ท่านตระเวนชิม ตระเวนชมอาหารครบทั้ง 4 มื้อแล้วครับ ไม่ทราบว่าทุกท่านรู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง อิ่มกันหรือเปล่าครับ



สำหรับในช่วงท้ายนี้ผมขอสรุปภาพรวมๆ ของอาหารที่ @Beach Bar & Restaurant ของ Beyond Resort Khaolak ให้ทุกท่านทราบตามนี้นะครับ

- เป็นห้องอาหารภายใน Beyond Resort Khaolak ที่เรียกได้ว่าเปิดบริการแทบจะทั้งวัน ตั้งแต่สายๆ ไปถึงค่ำ

- บรรยากาศดีเนื่องจากด้านขวาเป็นสระว่ายน้ำ และด้านหน้าติดทะเล

- มีทั้งส่วนที่เป็น indoor และ outdoor เลือกนั่งได้ตามใจชอบ โดยส่วนมากตอนกลางวันคงจะนั่งในร่มกัน ส่วนตอนกลางคืนก็ไปสัมผัสบรรยากาศชิวๆ ที่ด้านนอก

- เนื่องจากเป็นห้องอาหาร open air ดังนั้น ตอนกลางวันในบางวันอากาศจะร้อนอบอ้าวพอควร ส่วนตอนกลางคืนก็จะมียุงมาเยี่ยมชมแข้งขาเราเป็นระยะๆ แต่ทางห้องอาหารมีบริการยากันยุงและสเปรย์ฉีดพ่นให้ ซึ่งสามารถช่วยบรรเทาได้พอควร

- รสชาติโดยรวมๆ อร่อย สอบผ่านแทบทุกเมนู และบางจานก็ถึงขั้นกับอร่อยมาก

- มีอาหารให้เลือกหลากหลาย ทั้งที่เป็น Set สำเร็จ ไม่ต้องเสียเวลาคิด หรือเลือกเป็นอย่างๆ ได้ โดยอาหารที่สั่งเองเป็นอย่างๆ นั้น แต่ละจานมีขนาดค่อนข้างใหญ่ คนที่ไม่ใช่สายกินหนัก กินจุ ผมว่ากินเมนูเดียว จานเดียวก็น่าจะอิ่มแล้วครับ

- ราคาถ้าเทียบแล้วตัวที่เป็น Set เมนู 750 บาท อาจจะดูสูงไปนิดนึง เพราะบางมื้อเราก็ไม่ได้จำเป็นต้องจัดเต็มคอร์สขนาดนั้น ส่วนราคาแยกเป็นเมนู ราคาโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 250-350 บาทต่อจาน อาจจะเหมือนสูงแต่เทียบกับปริมาณที่ได้ ถือว่าไม่แพงมากครับ ที่สำคัญสิ่งที่ได้คือบรรยากาศ และความสะดวกในการทานเพราะไม่ต้องเดินทางออกจากรีสอร์ทครับ

- Candle Light Dinner ราคา 1,350 บาท/คน มีราคาสูงแทบจะเป็น 2 เท่าของ Set เมนูมื้อปกติ แต่อาหารที่ได้ก็ถือว่าเป็นอีกเกรดนึงที่ดีกว่าครับ ที่สำคัญการได้สัมผัสบรรยากาศดีๆ กับคนที่เราไปใช้เวลาอยู่ด้วยกัน มันค่อนข้างจะเป็นอะไรที่ประทับใจและน่าลองซักครั้งในชีวิตครับ โดยหากเรามีงบประมาณในการทานค่อนข้างจำกัด โดยส่วนตัวผมยอมลดงบประมาณในมื้ออื่นๆ ลง โดยเลือกไปทานอะไรง่ายๆ ข้างนอกรีสอร์ทแล้วก็นำงบมาลงที่มื้อนี้ครับ เพราะโอกาสแบบนี้ไม่ได้หาได้ง่ายๆ ครับ ได้ไปทั้งทีก็ต้องจัดหน่อยเนอะ^^



ก็จบลงแล้วสำหรับรีวิวนี้นะครับ หากขาดตกบกพร่องประการใดผมก็ต้องขออภัยด้วยนะครับ และการรีวิวนี้เป็นเพียงความเห็นส่วนตัวของผมจากวันที่ไปใช้บริการเท่านั้นครับ แต่ละท่านที่ได้มีโอกาสไปใช้บริการอาจจะได้รับการบริการที่แตกต่างจากนี้ออกไปครับ และหากใครชอบการรีวิวของผม สามารถไปติดตามหรือแนะนำเพิ่มเติมได้ที่นี่เลยครับ https://www.facebook.com/amazingcouples



ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านจนจบ แล้วพบกันใหม่ในรีวิวหน้าครับ ผมขอทิ้งท้ายด้วยภาพนี้แล้วกันนะครับ แล้วก็สำหรับใครที่ต้องการสอบถามข้อมูลของ Beyond Resort Khaolak เพิ่มเติมก็สามารถติดต่อได้ที่ช่องทางตามนี้ได้เลยครับ

www.katagroup.com/beyond-khaolak

https://www.facebook.com/BeyondResortKhaolak/

หรือที่เบอร์โทรศัพท์ 076-592-300



สวัสดีครับ



ความคิดเห็น