“สะ บาย ดี” “สะ บาย ดี” ถ้าใครมาหลวงพระบางจะเดินผ่านร้านไหนก็จะได้ฟังเสียงเจื้อยแจ้วทักทายจากบรรดาพ่อค้าแม่ค้าฟังแล้วมันม๋วนอกม๋วนใจ อดไม่ได้ที่จะกล่าวกลับ นี่ก็คงเป็นสิ่งหนึ่งที่สร้างเสน่ห์ให้กับเมืองมรดกโลกแห่งนี้
เดอะแก๊งของเราเพิ่งเคยหลวงพระบางกันครั้งแรก ดังนั้นที่จุดเช็คอินทั้งหลายเราก็กะว่าจะไปเก็บให้ครบ ภายในเวลา 4 วัน 3 คืน แต่ถามว่ากำหนดตายตัวมั้ยว่าจะไปที่ไหนก่อนหลัง ไม่มีนะจ๊ะ...ก็เที่ยวหน้าฝนนิ มันก็ต้องดูสภาพอากาศด้วย พวกเราก็แค่รู้ว่าอะไรควรไปช่วงไหน เช่น ตื่นเช้ามาตักบาตรข้าวเหนียว กินกาแฟร้านประชานิยม เย็นต้องไปดูพระอาทิตย์ตกที่ยอดเขาวัดพูสี หรือที่สะพานไม้ไผ่ ช้อปปิ้งที่ตลาดมืดยามค่ำ สุดท้ายแล้วจะจบยังงัยต้องติดตาม เพราะเรามีกิจกรรมเสริมเพิ่มเติมกันตลอดทริปจนที่ใครเค้าว่า มาใช้ชีวิตสโลไลฟ์ที่หลวงพระบางนี่อาจจะใช้ไม่ได้กะพวกเรา แต่ความชิค ความชิวมีมาเต็มนะจ๊ะ...
ฝากเพจด้วยจ้า https://www.facebook.com/pg/AuntieJourneyJournal
มือใหม่หัดรีวิว
.......การเดินทางครั้งนี้ เราบินกะพี่หางแดง จองกันล่วงหน้าหนึ่งปีเต็มเลยทีเดียว ราคาที่ได้มันก็จะถูกหน่อย แค่ 1,800+ บาท ต่อคน ก็ใครจะห้ามใจได้เนอะ กะโปร 0 บาท ของ Air Asia มันก็ตรงกับ Concept ของเค้าจริงๆ Now, every one can fly. หรือ ใครๆก็บินได้ แล้วใครที่บินกะพี่เค้าบ่อยๆก็ขอแนะนำให้สมัครบัตรเครดิตของเค้าด้วยนะ เพราะมันก็จะทำให้คุณใช้ชีวิตซีเรเนดขึ้นมา เพราะมันเหมือนเป็นบัตร Fast Track ให้ตั้งแต่ Check-in ยัน Boarding Pass แถมขึ้นบนเครื่องยังได้เครื่องดื่มฟรีอีก และสิทธิพิเศษอื่นๆ ยังงัยเพื่อนๆก็ลองไปศึกษากันดูนะ
.......z Z zzZ ยังไม่ทันจะได้งีบสนิทก็มาถึงสนามบินหลวงพระบางแล้ว โอ๊ย..เร็วก็ขับรถกลับจากที่ทำงานไปบ้านอีก เหอะๆ
สนามบินหลวงพระบางเนี่ย ไม่ใหญ่ไม่โตนะ เหมือนสนามบินตามต่างจังหวัดบ้านเรา แต่เดินออกมาก็จะเจอร้านขายซิม ร้านแลกเงิน อยู่หลายร้าน...พวกเราก็ต่อคิวแลกตังค์ เรทที่พวกเราแลกได้ คือ 1 บาท = 265 กีบ (แต่เวลาเราซื้อของเราก็จะคิดง่ายๆ ว่า 10,000 กีบ เท่ากับ 40 บาท) เสร็จแล้วเลยลืมซื้อซิมมือถือเลย
การเดินทางจากสนามบินไปโรงแรม
มีรถตู้จากสนามบิน ที่สามารถซื้อตั๋วได้ที่ประตูทางออกเลย สนามบินที่นี่ไม่ใหญ่ไม่โต ไม่ต้องกลัวหลง
ค่าตั๋ว 50,000 กีบ/ตั๋ว/3 คน ตอนแรกนึกว่า ราคานี้คือเหมาคันเดียว สรุปว่ารวมกันไปจนกว่าจะเต็มนะจ๊ะ
สรุปกิจกรรมท่องเที่ยวของเดอะแก็งค์เรา พวกเรามากันสามคน ป้ามานี หลานมานะ กะน้าชูใจ นามแฝงน่ะจ้า จริงๆอายุก็รุ่นเดียวกันนั่นแหละ
Day 1
📌 สนามบินดอนเมือง-หลวงพระบาง
📌 เช็คอินเข้าที่พัก
📌 เดินเล่นตลาดมืด
📌 ลองกินตำลาวในตรอกอาหาร
Day 2
📌 ตักบาตรข้าวเหนียว
📌 ล๊านโล๊ะ ตลาดใหญ่ประจำปีช่วงทำบุญเดือนห้า และเดือนเก้า
📌 หมู่บ้านม้ง
📌 น้ำตกกวางสี (ตาดกวางสี)
📌 แวะกินไอติมนมควาย
📌 คาเฟ่สำหรับสายชิว UTOPIA
📌 ชมพระอาทิตย์บนยอดเขาวัดพระธาตุพูสี
📌 ตบท้ายวันด้วยนวดลาว (Laos Massage)
Day 3 เช่าจักรยานขี่
📍 ตักบาตรข้าวเหนียว
📍 อาหารเช้า ร้านกาแฟลาว
📍 เดินเล่นตลาดเช้า
📍 ไหว้พระที่วัดเชียงทอง
📍 ดูแข่งเรือยาวริมแม่น้ำคาน
📍 ลองทานข้าวเปียกร้าน เชียงทอง นู้ดเดิ้ล
📍 แลกเงินเพิ่ม..รวยเป็นล้านอีกครั้ง
📍 แวะกินกาแฟ ร้าน SAFFRON COFFEE ริมน้ำโขง
📍 ตอกย้ำความฟินกับการล่องเรือชมพระอาทิตย์ตก
📍 กลับมาเพิ่มพลังด้วยข้าวเย็นร้านก่อนถึงตลาดมืด
📍 ช้อปปิ้งของฝากที่ตลาดมืด
Day 4
📌 ตักบาตรข้าวเหนียว
📌 เก็บตกภาพวัดเชียงทอง และเมืองหลวงพระบางยามเช้า
📌 นั่งเรือเที่ยวชมการทำกระดาษสา ทอผ้าซิ่น แวะวัด Kokpab, วัดหาดเสี้ยว, ข้ามไปฝั่งเชียงแมน –เข้าถ้ำคูหาสักกะลิน วัดล่องคูณ วัดจอมเพชร
📌 แวะสักการะ “พระบาง” ที่ Royal Palace
📌 สนามบินหลวงพระบาง-ดอนเมือง
ใครว่ามาสโลไลฟ์ที่หลวงพระบาง แก็งค์พวกเรานี่ไม่ค่อยนะ กิจกรรมอัดแน่น แต่ก็แฝงด้วยความชิล ว่าแต่กิจกรรมแน่นขนาดนี้หมดเงินกันไปเท่าไหร่นี่ เดี๋ยวตอนท้ายจะสรุปให้นะจ๊ะ แต่เกริ่นก่อนเลยว่า ทริปนี้หมดไปประมาณหกพันบาทเท่านั้น รวมตั๋วเครื่องบินด้วย !!!! แต่ยังไม่รวมช้อปปิ้งนะจ๊ะ
ต่อไปจะสรุปรายละเอียดกิจกรรมของพวกเรา 4 วันที่หลวงพระบางนะ
1. ตักบาตรข้าวเหนียว
#1 กิจกรรมนี้นี่เป็น the must ของการมาหลวงพระบาง ใครมาที่นี่แล้วไม่ได้ใส่ก็เหมือนมาไม่ถึงเนอะ คนอื่นเค้ามาส่วนใหญ่ก็ตื่นมาใส่กันแค่วันสองวันมั้ง แต่พวกเราตื่นมาใส่ครบทุกวันเลยจ้า
เวลาใส่บาตร: 5.45-6.30 (โดยประมาณ)
(คุยกะคุณป้าที่นั่งใส่ข้างๆ บอกว่าพระมาจากทั้งหมด 11 วัด คนที่นี่เค้าจะรู้ว่า ตอนนี้พระมาแล้วกี่ชุด จะหมดหรือยัง ส่วนนักท่องเที่ยวอย่างเราก็ต้องเงี่ยหูฟัง หรือคอยถาม ไม่งั้นข้าวเหนียวอาจจะเหลือได้ )
ของใส่บาตร: ก็ต้อง “ข้าวเหนียว” สิจ้ะ แต่ชุดที่มาคู่กัน บางร้านก็เป็นพวกขนมชิ้นเล็กๆ อย่างเซียงไฮ้ บิสกิตต่างๆ แต่บางร้านก็มากับข้าวต้มมัด
ค่าใช้จ่าย: ชุดข้าวเหนียว 1 กระติ๊บ + ข้าวต้มมัดประมาณ 10 ชิ้น อยู่ที่ 100 บาท (พวกเราก็ไม่เจอเจ้าอื่นด้วยไม่รู้เค้าขายยังงัย อ้อ วันสุดท้ายเค้ามีแต่ข้าวเหนียว ก็เลยคิดแค่ 50 บาท)
การใส่บาตร: ที่นี่เค้ามีป้ายแนะนำวิธีการใส่ด้วย
- รักษาความสงบ
- ให้ความเคารพ
- แต่งกายให้สุภาพ
- รักษาระยะห่าง
และสุดท้ายถ่ายรูปไม่ใช้แฟลชนะจ๊ะ
ช่วงใส่บาตร บรรดาช่างภาพก็ไม่ต้องกลัวจะโดนรถชนนะ เพราะเค้ามีป้ายมากั้นไม่ให้รถวิ่ง
ถ้าอยากได้รูปแบคกราวน์สวยๆ ก็แนะนำใส่ตามหน้าวัด โดยเฉพาะวัดแสนสุขาราม แต่ส่วนใหญ่ก็จะเจอกะกลุ่มทัวร์ที่มีการจองที่ไว้แล้ว
มีหนุ่มสาวลาว มาถ่ายภาพพรีเวดดิ้งตอนตักบาตรด้วย ขอแอบถ่ายมาหน่อย
ชาวต่างชาติทั้งหลายก็สนใจที่จะทำกิจกรรมนี้กันนะ ..แอบเล่นกล้องกันด้วย
• ตอนกำลังจะใส่บาตร คนที่นี่เค้าจะเอาข้าวผ่านขึ้นมาที่หน้าผากก่อนนะ ลองสังเกตกันดู (ดูจากคนเสื้อสีน้ำเงิน)
• ใครเคยสงสัยมั่งว่า ถ้ามีคนใส่บาตรเยอะเกิน พระท่านจะทำยังงัย เพราะที่นี่ไม่มีเด็กวัดคอยเดินตามเหมือนที่ไทย เราก็เห็นคำตอบเองเลย คือ คุณป้าข้างๆแกมีตะกร้า มีถุงกางไว้ พระท่านเดินผ่านก็จะแบ่งหยิบของในบาตรโยนลงตะกร้า
• แล้วหลังจากใส่บาตรเสร็จแล้ว เค้าก็จะนำของที่ได้จากพระ(บางส่วน)ไปไหว้ที่พระพุทธรูปในวัดกัน
• ภาษาลาวที่เกี่ยวข้อง (เรียนรู้มาจากคนขับรถที่พาเราไปน้ำตกกวางสี ลองดูๆกันไม่แน่ใจว่าสะกดถูกมั้ย)
เณร เรียกว่า จั๋ว
พระ เรียกว่า เจ้ามอบ โดยจะมีระดับ เป็นเจ้ามอบเล็ก เจ้ามอบใหญ่ แบ่งตามอายุการบวช
2. ช้อปปิ้ง หาของกินตลาดมืด-เดินเล่นตลาดเช้า
• ตลาดมืดตั้งอยู่บนถนนศรีสว่างวงศ์ (Sisavangvong) ซึ่งเป็นถนนเส้นหลักของเมืองหลวงพระบาง ของที่ขาย ได้แก่ ถุงผ้า เสื้อยืด ผ้าซิ่น และของที่ระลึกอื่นๆ
• ตลาดเช้า ตั้งอยู่บนถนนเล็ก ระหว่างถนนศรีสว่างวงศ์ช่วง night market กับถนนริมโขง บรรยากาศตลาดเช้า ก็จะเน้นของสด ของกิน มีร้านขายผ้าซิ่นและของฝากนิดหน่อย แต่พวกเรายังอุตส่าห์ได้มา แหม ก็ร้านนึงเค้ามีเปรียบเทียบราคาให้ฟัง ส่วนอีกร้านก็บอกว่าที่บ้านทอเอง
ตลาดมืดก็จะมีร้านสองข้างทาง สองซอยต้องเดินวนไปวนกลับถึงจะดูทั่ว
ตลาดมืด ใครมาเจอน้องน้ำ ก็ช่วยอุดหนุนนางหน่อยนะ เรานั่งต่อรองกะนางอยู่นานมาก
จากใบละ 30,000 กีบ เป็น 1 ใบ 20,000 กีบ 2 ใบ 40,000 กีบ เอ๊ะ น้องน้ำคะ มันไม่ลดนี่คะ เอ่อ ไม่งั้นพี่ขอ 3 ใบ 40,000 ได้มั้ย ต่อกันไปต่อกันมา น้องเริ่มมึน พอมีฝรั่งมานางก็หันไปขายก่อน ฟุตฟิตฟอไฟ เก่งเลยทีเดียว
บรรยากาศตลาดเช้า
ร้านผ้าซิ่นราคาถูก
3.น้ำตกกวางสี
น้ำตกกวางสี หรือ ตาดกวางสี (ภาษาลาว) เป็นน้ำตกที่ใหญ่ที่สุดในหลวงพระบาง มีทั้งหมด 4 ชั้น อยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณ 30 กิโลเมตร ช่วงเดือนที่น้ำตกสวยจะเป็นช่วงเดือนตุลาคม – มกราคม
• ค่าเข้าชม: คนละ 20,000 กีบ
• การเดินทาง:
>> รถทัวร์ไปน้ำตก ค่ารถคนละ 50,000 กีบ หรือประมาณ 200 บาท
>> เหมารถไปเอง: 800-1,200 บาท อันนี้ขึ้นอยู่กับความสามารถในการเจรจาต่อรอง
พวกเราเลือกเหมารถไปเอง เพราะสะดวกสบายกว่า และที่อ่านมาเค้าบอกว่าถ้าไปรถรวม รถจะมารับประมาณ 11.30 แต่เราว่ามันจะสายไป คนก็น่าจะเยอะ แล้วเหมารถไปเองสามารถแวะหมู่บ้านม้ง และฟาร์มควายอีกด้วย
จากหลวงพระบางมาน้ำตกนี่ก็หลายโค้งอยู่นะ ใครวิงเวียนง่ายก็พกยาดมกันมาด้วย เรามึนไม่ไหวบอกพี่คนขับ แวะซื้อยาดมข้างทางหมดไป 7,000 กีบ สิ่งที่ได้มาก็คือ ยาดมของไทย ที่แบ่งเป็นสองส่วน น่าจะเดาออกนะว่ายี่ห้ออะไร
..ทางเข้าน้ำตก ซื้อตั๋วที่ป้อมทางซ้ายมือเลย
ที่นี่เค้ามีศูนย์อนุรักษ์หมีด้วย ตัวกลางนั่นไม่ใช่นะ 555
เห็นหมีกันมั้ย นอนกลิ้งอยู่เลย
มีบางส่วนก็จะอยู่ในตู้กระจก
น้ำตกชั้นล่างๆ ยังไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ เดินขึ้นไปเรื่อยๆก่อนเลย ทางเดินขึ้นน้ำตกที่นี่ไม่ลำบาก เดินได้เรื่อยๆ
ช่วงนี้น้ำเยอะ บางจุดก็จะลงเล่นไม่ได้ แต่โซนที่ลงเล่นได้ก็มีคนเล่นน้อยมาก มีแค่ฝรั่งกะโอปป้า กลุ่มละสองสามคน
น้ำตกชั้นสูงสุด ยิ่งใหญ่ และแรงมาก
ชื่นชมกับความสวยงาม
หลังจากถ่ายรูปเล่นเสร็จแล้ว ก็ค่อยลงมาเล่นน้ำชั้นล่างๆ อีป้ามานีกะหลานมานะ ไปนั่งทำมิวสิคอะไรกันตรงนั้น อยากจะบอกว่าน้ำเย็นมากกกก
หลานมานะขอโพสต์ท่าเกร๋ๆ
• หมู่บ้านม้ง
หมู่บ้านม้ง ช่วงที่พวกเราไปไม่ค่อยคึกคัก เพราะเป็น low season ร้านในหมู่บ้านเลยเปิดไม่กี่ร้าน แต่ของที่ขายก็เหมือนๆกันหมด แล้วเค้าก็มีกลยุทธ์ในการให้เด็กๆเป็นคนขาย “ช่วยซื้อหน่อยคะ หนูไม่มีเงินไปโรงเรียน” น้องๆกล่าว กับ “3 ใบ ร้อย” ต่อรองราคากันไม่ได้นะ น้องเค้างง อาจจะยังไม่ถนัดภาษาไทยมากนัก
ค่าเข้า: ฟรี
• ฟาร์มควาย ไม่ได้เข้าไปดู เพราะเสียค่าเข้า เลยแวะชิมไอติมควาย เค้าขาย scoop ละ 15,000 กีบ
ค่าเข้า: มีหลายราคา ต้องไปดูเอง
• วิวทุ่งนาสวยๆข้างทาง
มาต่อกันค่ะ
4. วัดเชียงทอง (ວັດຊຽງທອງ)
สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2103 สร้างโดยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ตั้งอยู่ใกล้แม่น้ำโขง เป็นวัดที่มีสถาปัตยกรรมแบบล้านช้างที่สวยงามมาก จนได้รับการขนานนามว่าเป็น"อัญมณีของศิลปะล้านช้าง" (wiki)
พิกัด: ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของตัวเมืองหลวงพระบาง ใกล้บริเวณที่แม่น้ำคานไหลมาบรรจบกับแม่น้ำโขง หรือบนถนนเรียบแม่น้ำโขง (Suvanhnakhamphong Rd.) ใกล้กับท่าเรือเชียงทองเลย
ค่าเข้า: 20,000 กีบ
พระอุโบสถ (สิม - ภาษาลาว) หลังไม่ใหญ่มาก หลังคาเป็นสามชั้นลักษณะแอ่นโค้ง โดยส่วนหลังคามีช่อฟ้า 17 ช่อ ซึ่งเป็นเครื่องบ่งบอกว่าเป็นวัดที่ชพระมหากษัตริย์สร้าง ส่วนคนสามัญสร้างจะมีช่อฟ้า 1- 7 ช่อเท่านั้น ภาพภายในพระอุโบสถจะเป็นภาพพุทธประวัติเรื่องพระเจ้าสิบชาติ และพระสุธน – มโนราห์
ในพระอุโบสถมีพระประธานเหลืองอร่าม หรือที่ชาวลาวเรียกว่าพระองค์หลวง
และด้านข้างมีองค์จำลองของพระบางตั้งอยู่
วิหารน้อย ด้านข้างและด้านหลังของพระอุโบสถเป็นที่ตั้งของวิหารสองหลังนี้ จุดเด่นของวิหารนี้คือผนังด้านนอกมีการตกแต่งด้วยกระจกสี ตัดเป็นชิ้นเล็กๆและนำมาต่อเป็นรูปต่างๆเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับนิทานพื้นบ้าน บนพื้นสีชมพู ภายในวิหารเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางไสยาสน์ พระพุทธรูปนี้เคยถูกนำไปจักแสดงที่กรุงปารีส ในปี พ.ศ. 2474 และนำไปประดิษฐานที่นครเวียงจันทน์หลายสิบปี ก่อนจะนำมายังหลวงพระบางในปี พ.ศ.2507 (ที่มา: Oceansmile.com)
นอกจากนี้ภายในวิหารน้อยยังมีพระพุทธรูปองค์เล็กที่เห็นด้านหน้านี้ให้อธิษฐานขอพรแล้วดูว่าจะเป็นจริงหรือไม่ ถ้ายกองค์พระขึ้นสามรอบแสดงว่าจะเป็นจริง พวกเราลองยกแล้วองค์พระหนักมากๆๆ
หลังจากกราบพระเสร็จ พวกเราก็ออกไปถ่ายรูปด้านนอกอุโบสถกัน หันมาอีกทีเห็นสามเณรกำลังเดินปิดประตูทุกสิ่งอย่างภายในวัด
สังเกตที่ประตูจะเห็นว่ามีรูอยู่
เมื่อมาส่องดูก็จะเห็นองค์พระภายใน
พระอุโบสถ์ก็ปิด
โรงเมี้ยนโกศก็ปิด
พวกเรานี่งงเลย เอ๊ะๆ ที่นี่มีเวลาปิดระหว่างวันด้วยเหรอ เลยไปถามเจ้าหน้าที่ได้ความว่า บ่ายนี้ทุกคนจะไปดูแข่งเรือจึงต้องปิดจ้า
แต่คือ พวกเรานี่เพิ่งเข้ามาได้แค่ 15 นาทีเอง เค้าเลยบอกให้มาใหม่เอาบัตรมาด้วย
มองในแง่ดี คือ เราได้เห็นทั้งแบบปิด และแบบเปิดคือ ดีย์ เพราะได้เห็นจิตรกรรมที่ประตูได้อย่างชัดเจน
แล้วพวกเราก็กลับมาในเช้าวันถัดมา ประตูเปิดแล้วจ้า
โรงเมี้ยนโกศ หรือโรงเก็บราชรถพระโกศของเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวัฒนา สร้างขึ้นในปีพ.ศ. 2505 ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของวัด ลักษณะเป็นโถงกว้าง ผนังด้านหน้าตั้งแต่หน้าบันลงมาจนถึงพื้นสามารถถอดออกได้เพื่อให้สามารถเคลื่อนราชรถออกมาได้
กลางโรงเมี้ยนโกศเป็นที่ตั้งราชรถไม้แกะสลักปิดทองคำเปลวรอบคัน มีพระโกศสามองค์ตรงกลางเป็นองค์ใหญ่ของเจ้าสว่างศรีวัฒนา ด้านหลังเป็นของพระราชมารดา ส่วนด้านหน้าเป็นของพระเจ้าอา โรงเก็บราชรถนี้ออกแบบโดยเจ้ามณีวงศ์ และใช้ช่างชาวหลวงพระบางชื่อ เพียตัน นับว่าเป็นช่างฝีมือดีประจำพระองค์ มีความชำนาญทั้งด้านงานเขียนและงานแกะสลัก
• จุดเด่นของโรงเมี้ยนโกศยังอยู่ที่ประตูด้านนอกคือเป็นภาพแกะสลักวรรณคดีเรื่องรามเกียรติ์ตอนสำคัญๆ เช่น ตอนพิเภกกำลังบอกความลับที่ซ่อนหัวใจของทศกัณฑ์ให้กับพระราม ถัดลงมาเป็นตอนที่ทศกัณฑ์ต้องศรของพระรามเสียบเข้าที่หัวใจ ถัดลงมาเป็นตอนที่พระรามพระลักษณ์ต่อสู้กับทศกัณฑ์ ด้านล่างสุดเป็นตอนที่นางสีดาลุยไฟเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์กับพระราม เดิมที่ภาพแกะสลักเหล่านี้เป็นการลงรักปิดทอง ต่อมาได้มีการบูรณะใหม่โดยทาสีทอง ภายในวัดยังมีเขตสังฆาวาสและยังมีพระจำพรรษาอยู่เช่นวัดทั่วไป
(ที่มา Oceansmile.com)
หลังจากดื่มด่ำกับความวิจิตรตระะการตาของศิลปะล้านช้างแล้ว ขอพักยกมาเล่าถึงคาเฟ่สุดฟิน ชิวเป็นอย่างยิ่งอีกแห่งหนึ่งของหลวงพระบาง
5. ร้านอาหาร Utopia Riverview Garden Restaurant & Bar
พิกัด: ร้านนี้อยู่ติดกับแม่น้ำคาน ต้องเดินเข้าซอยไปประมาณ 200 เมตร
เวลาเปิดปิด: 8:00 AM - 11:30 PM
ราคา: $$-$$$
อาหารแนะนำ: พิซซ่า เบอเกอร์ (ไม่ได้ลองเองเพราะเพิ่งอิ่มกันมา แต่แค่ได้กลิ่นจากโต๊ะข้างๆและเห็นหน้าตาก็รู้ว่าอร่อยแล้วอ่ะ)
พวกเราสั่งแค่เครื่องดื่ม รสชาติก็ใช้ได้นะ แต่มะพร้าวสดเนี่ยหลานมานะบอกสด อร่อยมากๆ
พวกเรา search ข้อมูลร้านนี้เจอ จากการที่พยายามหาร้านกาแฟ และบาร์เก๋ๆ ไปนั่งชิว มาช่วงกลางวันก็ได้อารมณ์นึงชมวิวแม่น้ำคาน และภูเขากันไป กลางคืนก็น่าจะชิวๆชิคๆอีกอารมณ์นึง
นอนเอนหลังผ่อนคลาย ดื่มด่ำกับแม่น้ำคาน
โชคดีได้เห็นเค้าซ้อมพายเรือด้วย
มองไปทางขวา ก็เห็นสายหมอกและภูเขา
ฟินๆกันไป
เอาเมนูมาฝากด้วย
อยากให้ลองมากันนะ คุณจะได้สัมผัสกับธรรมชาติพร้อมกับวิถีฮิปสเตอร์ไปพร้อมๆกัน
หลังจากฟินกับวิวแม่น้ำคาน และเพิ่มพลังกันเต็มที่แล้ว เราก็ต้องตัดสินใจแล้วว่าจะดูพระอาทิตย์ตกที่ไหนดี ตอนแรกคิดว่าจะไม่ได้ไปไหนเลย เพราะช่วงที่นั่งที่ Utopia เนี่ย ฝนตกเรื่อยๆเลย แต่พอหยุดสักพักก็เริ่มเห็นแดดรำไร เราเลยตัดสินใจจะขึ้นไปชมวิวบนเขาพระธาตุพูสี
6. วัดพระธาตุพูสี
วัดพระธาตุพูสีอยู่บนยอดเขาใจกลางเมืองหลวงพระบางเลย ความสูงประมาณ 150 เมตร ทางเดินขึ้นพระธาตุพูสีมี 2 ทาง
- ด้านหน้าอยู่ตรงข้ามกับพระราชวัง (ทางนี้ดูจะเดินง่ายกว่า แถมตอนลงมาถึง เจอตลาดมืดพอดี ช้อปกันต่อได้เลย)
- ด้านหลังอยู่ติดกับแม่น้ำคาน (ทางนี้จะมีพระพุทธรุปปรางค์ต่างๆให้ชมระหว่างทาง มีจุดให้แวะชมวิวก่อนถึงยอดด้วย)
ค่าเข้า: 20,000 กีบ
เวลาเปิด-ปิด: ไม่มี ช่วงเวลาแนะนำ คือ ขึ้นมาก่อนพระอาทิตย์ตก เผื่อเวลาหอบแฮก และแวะไหว้พระกันด้วยนะ
แม้วันนี้จะไม่ได้เห็นพระอาทิตย์ตก แต่วิวบนยอดเขาพูสีนี้ก็ทำให้ฟินได้แล้ว
พวกเราขึ้นกันจากทางด้านหลังที่ติดกับแม่น้ำคาน เพราะว่าเดินมาจาก Utopia
ถึงยอดแล้วก็อย่าลืมไปยืนถ่ายรูป ณ ก้อนหินก้อนนั้นด้วยนะจ๊ะ
ขาลงกลับทางด้านหน้า รู้สึกว่าเดินง่ายกว่าด้านหลังเยอะ
มาถึงอีกกิจกรรมที่เราไม่ได้วางแผนล่วงหน้ามาก่อน พอดีมีคนมาชักชวนก็ใจง่ายเลย
6. ล่องเรือชมพระอาทิตย์ตก
ฟังดูเหมือนจะเป็นกิจกรรมหรูๆ ที่ไม่คู่ควรกับหมู่เฮา อิอิ แต่ถ้ามันคุ้มพวกเราก็ขอลอง
ค่าใช้จ่ายต่อคน: 85,000 กีบ โหหหห เกือบแสนเลย คำนวณเป็นเงินไทยก็ประมาณ 340 บาท แต่มันไม่ใช่แค่นั่งเรือเฉยๆนะ เค้ามีค็อกเทลให้ด้วยคนละแก้ว เห้ย.. คือ ดีอ่ะ ชมวิว จิบค๊อกเทล แบบว่า ราคานี้ร้านหรูในกรุงเทพบางทียังไม่ได้เลย นี่ได้ชมวิวหลักล้าน รับลมเย็นๆ
#Sasasunsetcruise ที่เรารู้ว่ามีกิจกรรมนี้ก็เพราะได้รับแจกนามบัตรตอนไปนั่งอยู่ที่ยูโทเปีย แหม การตลาดเค้าดีจริง รู้กลุ่มเป้าหมาย
ระยะเวลา: 5.00-7.00 PM (แต่ให้เริ่มมารอเรือตั้งแต่ 4.30 นะ)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://www.facebook.com/sasacruiselaos/
เรือนี้สวยดี คิดว่าน่าจะเป็นที่พักด้วย
เห็นเครื่องบินกันมั้ย
โน่น..เห็นพระธาตุพูสีด้วย
นี่ก็บรรยากาศ เพื่อนร่วมทริป ก็มีทั้งฝรั่ง จีน เกาหลี ส่วนคนไทยที่เห็นมีแต่พวกเรา
จะมานั่งเล่นถ่ายรูปที่หัวเรือก็ได้นะ
ตรงนี้เป็นช่วงที่แม่น้ำโขงมาเจอกับแม่น้ำคาน (แม่น้ำคานมาจากทางขวา)
เอ้าชน..... ใครไม่ดื่มแอลกอฮอล์ก็บอกเค้าได้นะ ส่วนใครหิวเค้าก็มีบาร์บีคิวขายนะ ราคาไม้ละ 10,000 กีบ
พระอาทิตย์จะตกแล้ว แอบไปตกอยู่หลังเขา พวกเราก็เลยได้เห็นแค่แว๊บเดียว
พรุ่งนี้มาต่อทริปเรือไปฝั่งเชียงแมนนะคะ หลังจากนั้นจะรีวิวกิจกรรมงานบุญเดือนเก้า ร้านอาหาร แนะนำพี่คนขับรถของเรา และสรุปค่าใช้จ่ายในทริปนี้ให้เห็นกันไปเลยว่า ไม่เกินหกพันบาทจริงๆนะออเจ้า คืนนี้ฝันดีราตรีสวัสดิ์ค่ะ
ก่อนจะไปต่อ พักชมวิว กินลม ชมแม่น้ำโขงกันก่อนจ้า
ต้องบอกเลยว่ารีวิวที่เราอ่านเจอที่เที่ยวนอกเมืองนอกจากน้ำตกกวางสี ก็มีแต่ "ถ้ำติ่ง" เป็นถ้ำที่อยู่แถวปากอู ไกลจากหลวงพระบางประมาณ 30 กม. ซึ่งก็มีคนรีวิวว่าไปไม่คุ้มกับที่ต้องนั่งเรือขาไปสองชั่วโมงขากลับอีกชั่วโมงกว่า แต่บางคนก็บอกว่าดีงาม จริงๆสามารถไปทางรถได้เช่นกันแล้วค่อยนั่งเรือข้ามฝากก็ถึง แต่เค้าบอกว่าช่วงนี้ถนนไม่ดี ไปได้แต่ทางเรือ
และหลังจากที่พวกเราเก็บที่เที่ยวหลักในหลวงพระบางเกือบครบแล้ว ก็เลยตกลงใจจะไปเที่ยวถ้ำติ่งกันในวันสุดท้าย ตั้งใจกันดิบดีให้โรงแรม
แพคอาหารเช้าใส่กล่อง แต่สุดท้าย ไหงแผนเปลี่ยนไปแค่ข้ามฝากแม่น้ำโขงไปได้ละ
หลังจากใส่บาตรเสร็จพวกเราก็เก็บของออกตามหาท่าเรือไปถ้ำติ่ง ถามที่โรงแรมบอกมีท่าเรือสองท่า ตรงวัดเชียงทอง กับตรงร้าน Saffron Coffee แต่พอเราไปท่าวัดเชียงทอง ก็เจอแต่เรือเหมา แต่พี่คนขับเรือนี่แหละที่เสนอว่า ไปทำไมถ้ำติ่งไปแค่ฝั่งโน้นก็พอ มีวัดพระเทพฯ วัด ร.5 และถ้ำสวยๆ พี่เค้าบอกพร้อมชี้มือไปฝั่งโน้น และเมื่อบอกราคามา พวกเราก็ว่าแพงไปนะแหมแค่ข้ามฝากเอง ก็เลยตัดสินใจเดินไปดูที่อีกท่านึง สรุปว่าเรือไปถ้ำติ่งกำลังจะออกเลย แต่พวกเราเริ่มเปลี่ยนใจละ เที่ยวแค่นี้ก็พอเพราะเดี๋ยวบ่ายๆก็ต้องเตรียมตัวบินกลับแล้ว สักพักก็มีคุณลุงมาเสนอทริปฝั่งเชียงแมน ราคายังไม่น่าพอใจ ลุงบอกเดี๋ยวพาไปดูเค้าทำกระดาษสา ทอผ้าซิ่นด้วย สรุปสุดท้ายได้ราคาที่คนละ 100 บาท หรือ 25,000 กีบ
ชมวิวข้างทาง
มองไปฝั่งตรงข้ามแม่น้ำโขง หรือฝั่งเชียงแมน
ชมวิถีชาวบ้าน
นั่งเรือมาทางโขงชนคาน ประมาณ 10 นาที พวกเราก็มาถึงจุดหมายแรก ชุมชนที่ทำกระดาษสาและทอผ้าซิ่น
ต่อไปข้ามไปฝั่งเชียงแมนกันละ
วิวทิวทัศน์รอบแม่น้ำโขงนี่ มองยังงัยก็ฟินนะ ไม่ว่าจะช่วงเช้าช่วงเย็น
เริ่มกันที่วัดแรก Vat Kokpob อ่านภาษาลาวก็ไม่ออก
พระพุทธรูปงดงามภายใต้บรรยากาศร่มรื่น
ซากเจดีย์เก่าแก่
พระพุทธรูปองค์สีขาวใหญ่หน้าพระอุโบสถ
พระที่นี่เค้าลงแรงงานก่อสร้างกันเองเลย
มาต่อกันที่วัดต่อมา
วัดหาดเสี้ยว
เดี๋ยวเราต้องไปขึ้นกันตรงศาลานั้นนะ
พระอุโบสถโดนล็อคอยู่นะ หลวงพี่เห็นพวกเราอยากเข้า ก็จะไปเอากุญแจมาเปิดให้ พวกเราเลยบอกไม่เป็นไร
วัดนี้ก็ร่มรื่น และมีรูปปั้นพระพุทธรูป และยักษ์อยู่กลางสวน
การมาเที่ยวในช่วงหน้าฝน ทางมันก็จะทุลักทุเลหน่อย คุณลุงบอกก่อนหน้านี้น้ำแม่น้ำโขงสูงกว่านี้เกือบสองเมตรเลยทีเดียว
เราต้องเดินแล้วปีนข้ามรั้วศาลาเพื่อขึ้น-ลงเรือ
นั่งมาต่ออีกไม่ไกล
และแล้วเราก็มาถึงวัดไฮไลท์ที่ใครๆก็มากัน พอเริ่มมีนักท่องเที่ยวมา ก็จะมีคนมาเก็บเงินค่าเข้า คนละ 10,000 กีบ
จุดที่ลงนี้ ได้เที่ยวสองวัด
คือ วัดล่องคูณ และ วัดถ้ำสักลิน
เราเริ่มกันที่ วัดถ้ำสักลิน ก่อนเลยละกัน จ่ายค่าผ่านเรียบร้อยแล้วก็เดินไปทางขวาของบันไดที่เดินขึ้นมา เดินไปอีกประมาณร้อยเมตร จะเจออุโบสถนี้
แล้วก็ต้องเดินขึ้นบันไดต่อไปอีก
ปกติ ถ้ำสักลินนี้ ประตูหน้าถ้ำจะโดนล็อค ดังนั้นก่อนจะเดินมา อย่าลืมให้เค้าหาคนไปเปิดให้ แต่ตอนเรามามีกลุ่มนึงมาเที่ยวอยู่ก่อนแล้ว
ภายในถ้ำก็จะมีองค์พระพุทธรูปให้สักการะ
ถ้าลึกๆเข้าไป มีค้างคาวด้วย
สามารถเดินเข้าไปภายในได้อีก มีไฟติดตามทางเดิน
ไม่แกร่งจริงอาจมาไม่ถึงจุดนี้นะคะ
มาต่อกันที่อุโบสถวัดล่องคูณ
จากอุโบสถ เหมือนจะเดินทะลุไปไหนได้อีก ป้าที่เฝ้าประตูชี้ให้เราเดินไปต่อ แต่พอเดินไปเห็นทางเดินนี้มองขึ้นไป ดูเหมือนป่าและกุฏิพระแล้ว พวกเราเลยขอหยุดอยู่แค่แถวนี้ ทางเดินหินตรงนี้สวยดี เขียวชอุ่ม ให้อารมณ์เหมือนอยู่บาลีมากๆ
มาถึงอีกวัดสุดท้าย "วัดจอมเพชร" ว่าแต่เห็นบันไดแล้วเริ่มต๊อแต๊ ก็ขึ้น-ลง กันมาตั้งกี่วัดแล้วอ่ะ
จ่ายค่าเข้าตรงนี้จ้ะ คนละ 10,000 กีบ
ฟ้าใสมากวันนี้
ของแท้ต้องเจอสองเจดีย์เอียง
ลองหายอดพระธาตุพูสีกันสิ... วิวจากฝั่งนี้ก็สวยไม่แพ้กัน
อุโบสถ์ด้านหน้า
แวะกราบพระ ทำบุญก่อนจากลา
เมื่อมาถึงท่า ท่ายากก็มา
เรือลำอื่น คือ ไม่ได้ออก หรือกลับมาก่อนนะ
ลุงคนขับเรือของเรา ผู้มีความอดทนรอ จากเดิมที่บอกว่าทริปคงจะแค่ชั่วโมงกว่า สุดท้ายแล้วจากเก้าโมงเสร็จเกือบสิบเอ็ดโมงครึ่งได้
โปรแกรมไปฝั่งเชียงแมนทั่วไป ส่วนมากน่าจะแวะแค่ วัดจอมเพชร วัดล่องคูณ และวัดถ้ำสักลินเท่านั้นนะ ส่วนของเราลุงแถมให้เพียบเลย
พรุ่งนี้มาต่องานบุญเดือนเก้า ที่มาเจอะกันแบบไม่ได้ตั้งตัว ดูสิว่าชาวหลวงพระบางเค้ามีจัดกิจกรรมอะไรมั่ง
ส่วนร้านอาหารท้องถิ่น ร้านเบเกอรี่ คาเฟ่ชิคๆ คงต้องแยกเป็นอีกกระทู้ รู้สึกจะเริ่มยาวเกิน
ส่วนวันนี้
มาที่ไฮไลท์ก่อนเลยละกัน ค่าใช้จ่ายทั้งหมดในทริปนี้ (ไม่รวมช้อปปิ้ง)
- ส่วนภาพอาหารการกินค่อยตามมา ส่วนใหญ่เรากินก๋วยเตี๋ยว กินข้าวร้านทั่วๆไป ค่าใช้จ่ายเลยอาจไม่สูงมาก
- ตั๋วเครื่องบินได้ราคาโปร
- ที่พักไกลไปหน่อยก็เลยได้ราคาถูกมากกกก แต่จริงๆแล้วที่พักหลวงพระบางถือว่าราคาไม่แพงเลยจริงๆ
อยากให้ทุกคนได้ออกไปสัมผัสโลกกว้างกันนะคะ เริ่มจากเพื่อนบ้านเรากับเมืองน่ารักมีเสนห์อย่างหลวงพระบางก่อนก็ได้นะคะ
Mai Manisa
วันจันทร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2562 เวลา 22.19 น.