เขาหลวงสุโขทัย อีกหนึ่งสวรรค์ของคนชอบเดินป่า นอกจากระยะทางที่ไม่ไกลเกินไป และความงามของธรรมชาติ ยังเป็นอีกจุดที่สามารถชมทะเลหมอกที่สวยงาม สะท้อนกับแสงอาทิตย์ที่กำลังเริ่มสาดส่องของวันได้
แก็งค์หมูๆ จะมาแชร์ประสบการณ์ การไปเขาหลวงสุโขทัยครั้งแรก จะเหนื่อย จะสนุก จะสวยขนาดไหน มาชมไปพร้อมๆ กันค่า
เขาหลวงสุโขทัย ตั้งอยู่ในพื้น อุทยานแห่งชาติรามคำแหง อ.เมือง จ.สุโขทัย ระยะทางเดินประมาณ 3.7 กม. ซึ่งถือว่ากำลังพอดี สำหรับนักเดินป่ามือใหม่ แต่ถ้าได้ฟิตร่างมาสักหน่อย จะดีมาก ผ่านด่านเก็บค่าเข้าอุทยานด่านแรก ชำระค่าธรรมเนียมค่าเข้าอุทยาน สำหรับนักท่องเที่ยวและยานพาหนะ แต่ทางผ่านด่านนี้ยังไม่รวมค่ากางเต็นท์นะจ๊ะ
ค่าธรรมเนียม ผู้ใหญ่คนละ 30 บาท และ รถยนต์ 40 บาท
เข้ามาด้านในกันแล้ว หาที่จอดรถกันก่อน ติดต่อเจ้าหน้าที่เรื่องการพักแรมด้านบนเขาหลวง ซึ่งจะต้องเสียค่าพักแรม 30 บาท/คน/คืน และสามารถเช่าอุปกรณ์กางเต็นท์ต่างๆ ได้ที่นี่เลย ทั้งเต็นท์ แผ่นรองนอน หมอน ผ้าห่ม และมีค่ามัดจำขยะ 200 บาท พร้อมถุงขยะ 1 ถุง เพื่อใส่ขยะของเราจากด้านบนเขาหลวง ลงมาทิ้งที่ด้านล่าง แล้วเราจะได้ค่ามัดจำ 200 บาท คืน
หากใครต้องการลูกหาบ สามารถมาติดต่อกับลูกหาบที่หน้าสำนักงานได้เลย กิโลกรัมละ 25 บาท แนะนำให้มาช่วงเช้าๆ หน่อย ถ้าไปสาย ลูกหาบอาจจะมีไม่เพียงพอ
พร้อมแล้วเตรียมออกเดินทาง อุปกรณ์ที่สำคัญ ที่ควรจะมีไประหว่างเดินขึ้นเขา คือ ไม้เท้า และ กระบอกใส่น้ำ สำหรับไม้เท้า หากใครไม่มี Trekking Pole สามารถหาดูไม้เท้า ที่วางไว้แถวๆ ทางขึ้นได้ และน้ำจะมีจุดเติมน้ำให้เป็นระยะ เป็นน้ำจากธรรมชาติ สะอาด ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น หมูๆดื่มมาแล้ว สดชื่นนนนน
มีป้ายบอกระยะทาง และจุดแวะพักแต่ละจุด
จุดเริ่มความสนุก ข้ามสะพานกันมาเลย
ช่วงทางเดินเริ่มต้นจะไม่โหดมาก เดินขึ้นเนินเล็กน้อย
ตลอดทางเดิน จะมีป้ายบอกระยะทางของแต่ละจุดแวะพักเป็นระยะ ซึ่งแต่ละจุดจะมีที่ให้นั่งพัก และแวะเติมน้ำดื่มกันได้
ซึ่งความสนุก ความชัน และความเหนื่อย จะมีมากขึ้นเรื่อยๆ ไม้เท้าถือว่าช่วยได้มาก ในการเดินป่าครั้งนี้
เดินทางกันมาแล้ว ช่วงครึ่งทางแรก ถือว่าเป็นช่วงที่โหดสุดๆ เนื่องจากค่อนข้างชันเลยทีเดียว
ผ่านมาแล้ว 1.6 กม. เดินทางมาเกือบครึ่งทางแล้ว มีจุดพักชมวิว ที่มีวิวสวยๆ ให้ชม นั่งพักอยู่จุดนี้ พักใหญ่ๆ เลย
หายเหนื่อยแล้วก็เดินทางไปยังจุดถัดไป "ตะเคียนคู่" ยังคงมีที่นั่ง ให้นั่งพัก และถังน้ำ ให้นักเดินทางได้เติมน้ำ ไว้ใช้ดื่มระหว่างทาง น้ำจากธรรมชาติ สะอาด สดชื่น
เดินทางสู่ Station ถัดไป "ผาน้ำดิบ" ซึ่งเป็นจุดสุดท้าย ที่มีน้ำให้เติม ใครมาถึงจุดนี้แล้ว เตรียมเติมน้ำดื่ม ไว้ดื่มระหว่างเดินทางให้เรียบร้อย
ระหว่างนี้ ยังมีที่ให้แวะพักบ้าง เดินกันไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็พัก อย่าหักโหม ต้องเก็บแรงไว้เหนื่อยที่ด้านบนอีกเยอะ ซึ่งแก็งค์หมูๆ ได้แวะถ่ายรูปกันตลอดทาง จุดสวยๆ มีเพียบ
หลังจากจุดพักผาน้ำดิบ ทางเดิน ไม่ค่อยโหดชัน เหมือนช่วงครึ่งทางแรก
หนึ่งไฮไลท์ของทางเดินเส้นทางเดินป่า เขาหลวงสุโขทัย คือ ต้นไทรงาม ต้นไทรต้นใหญ่ที่แผ่กิ่งก้าน ช่างดูสวยงาม และน่าเกรงขามยิ่งนัก
จุดหมายปลายทางของเรา เริ่มเข้าใกล้มาทุกที Station ถัดไป ปล่องนางนาค เป็นปล่องหลุมลึก ซึ่งไม่มีใครทราบว่าลึกเท่าไร
เดินไปอีกนิดนึง ก็ถึง "พระยาเรือแล่น" เป็นทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ พร้อมป้ายบอกว่า ค่ายพักแรมอีก 200 ม.
เดินไป พักไป พี่ลูกหาบเริ่มแซงหน้าเราไปแล้ว
จุดสุดท้ายค่อนข้างหิน และชันมาก ช่วงฝนตก น่าจะลื่นสุดๆ ไปเลย เงยหน้าขึ้นไป เห็นเส้นชัยแล้ว
และแล้วก็ขึ้นมาถึงยอด เขาหลวงสุโขทัย วันที่ไปลมแรงมาก ด้านบนอากาศเย็นสบาย
ขึ้นมาจุดหมายถึงด้านบนแล้ว รู้สึกเกือบหายเหนื่อยเลย ต่อจากนั้นมาติดต่อที่เจ้าหน้าที่ด้านบน เพื่อรับอุปกรณ์ กางเต็นท์ ที่จะเช่าได้เลย ส่วนของขายมีเล็กน้อย เช่น น้ำอัดลม มาม่า และมีเตาแก็สปิคนิค และหม้อให้เช่า
มีแผนที่บอกเส้นทางของจุดชมวิวบนยอดเขา จะเดินวนทางซ้าย หรือวนทางขวาก็ได้
รอพี่ลูกหาบของเรามาถึง ก็ไปหาที่กางเต็นท์ได้เลย
**เต็นท์ของทางอุทยาน จะกางไว้เรียบร้อย แต่แก็งค์หมูๆ เอาเต็นท์ขึ้นไปกางเองจ้า
หาทำเลที่ชอบ แล้วกางเต็นท์กันได้เลย (เต็นท์สีฟ้า ของพวกเราเอง)
ด้านข้างมีก็อกน้ำ และพื้นที่เตรียมอาหาร น้ำที่นี่เป็นน้ำธรรมชาติ สามารถดื่มได้ค่ะ
สำหรับจุดชมวิวบนเขาหลวง จะมีทั้งจุดชมพระอาทิตย์ขึ้น อย่าง "ผานารายณ์" และจุดชมพระอาทิตย์ตก ที่ "เขาพระแม่ย่า" และ "เขาเจดีย์"
สำหรับช่วงเย็นของวันแรกนี้ เราจะไชมพระอาทิตย์ตกที่เขาเจดีย์กันก่อน ห่างจากจุดพักแรม ประมาณ 400 ม. เอง (แต่เดินขึ้นมาขาตึงขนาดนี้ ไม่เองแล้วจ้าาาาาา)
มาถึงเขาเจดีย์ คาดว่าไม่สามารถมองเห็นพระอาทิตย์ตกได้แน่นอน เลยเดินต่อไปยังทางไปเขาพระแม่ย่า ซึ่งระหว่างทางไปเขาพระแม่ย่า ก็มีผาให้เราชมพระอาทิตย์ตกแล้ว
แต่วันนี้ท้องฟ้าไม่ค่อยเป็นใจเท่าไร เมฆค่อนข้างเยอะ ถ่ายรูปเล่นแทนละกัน
ยอดเขาสองลูกนั้น คือ เขาพระแม่ย่า (ขวา) และเขาภูกา (ซ้าย) ส่องไว้ก่อน พรุ่งนี้จะไปพิชิต
สำหรับวันแรก จะใช้เวลาส่วนใหญ่กับการเดินเขาหลวงซะมากกว่า ถ้ามา 3 วัน 2 คืน จะกำลังดี มีเวลาเดินเที่ยว และไม่บีบตัวเองมากเกิน
วันแรกบนเขาหลวงใกล้ผ่านไป เรามาบ๊ายบายพระอาทิตย์ และเตรียมตัวกลับไปพักผ่อน เพื่อเจอความสนุกสนานไปวันถัดไปจะดีกว่า เราจะเดินไปให้ครบทุกจุดชมวิวเลย
ปล. หากใครมาชมพระอาทิตย์ตก ให้เตรียมไฟฉายไว้ส่องตอนเดินกลับค่ายพักแรมกันด้วย
วันที่ 2 บนยอดเขาหลวง เริ่มต้นวันด้วยการไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ ผานารายณ์ ถ้าดวงดี เราจะได้เจอทะเลหมอกด้วย แต่วันนี้ของเราไม่เจอหมอกจ้า เพราะคืนที่ผ่านมา ไม่มีฝนเลย
หนึ่งไฮไลท์สำคัญของจุดชมวิว "ผานารายณ์" คือหินที่มีลักษณะเหมือนกบ ยื่นออกไปที่หน้าผา
และเจดีย์ทองที่ปลายผา ก็เป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ที่สวยงาม ของผานารายณ์
ชมพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว กลับมาพักผ่อน กินอะไรเอาแรงสักหน่อย ความสนุกกำลังจะเริ่มต้นขึ้นในอีกไม่ช้า
หากใครมาเขาหลวง ควรจะมีเสบียงติดตัวมาบ้างนะ ด้านบนมีแต่อาหารแห้ง น้ำอัดลม มีเตาปิคนิคให้เช่า อย่าได้คิด จะมาหาเอาดาบหน้าเลย เตรียมไว้สักหน่อยจะดีกว่า ที่เตรียมมานี่ก็กินแบบประหยัดมากๆ กับการมา 3 วัน 2 คืน และที่เห็นอยู่นี่ คือสำหรับ 2 คน
พักเอาแรง เติมพลังกันแล้ว ประมาณ 9 โมง แก็งค์หมูๆ ได้เริ่มออกเดินทาง เที่ยวบนยอดเขา ตามจุดชมวิวต่างๆ และเราได้กลับไปที่ผานารายณ์ ถ่ายรูปกับหินกบอีกครั้ง
ชมวิว ถ่ายภาพกันหนำใจแล้ว เราไปต่อกันที่ผาชมปรง เป็นหินบนผา ชมวิวได้สุดลูกหูลูกตา สวยมาก
แอบมองจุดหมายถัดไป จากผาชมปลง คือ เขาพระแม่ย่า และเขาภูกา วันนี้ เริ่มเดินทางมานิดหน่อย ขาก็ตึงไปหมดแล้วจ้า
ใกล้ๆ ทางไปผาชมปลง มีลานจอดฮอล์ด้วย
เดินต่อไปที่เขาพระแม่ยา ซึ่งเป็นอีกจุด ที่สามารถชมพระอาทิตย์ตกได้
เตรียมเสบียงติดตัว ไว้กินระหว่างเดินทาง ก็จะดีนะ ที่สำคัญ เก็บขยะกลับไปกันด้วย
เขาพระแม่ยา เป็นอีกหนึ่งผาที่มีวิวสวย และสามารถชมพระอาทิตย์ตกได้ ห่างจากค่ายพักแรม ประมาณหนึ่งกิโลเมตร แต่ถ้าจะอยู่ชมพระอาทิตย์ตกที่นี่ ระหว่างทางเดินกลับต้องมืดแน่ๆ
มองไปทางผาชมปรง และผานารายณ์ไกลๆ
ไปต่อที่จุดหมายถัดไป "เขาภูกา" ทางไปเขาภูกา จะค่อนข้างไกลเล็กน้อย และต้องออกนอกวงเวียนทางเดินบนยอดเขา
มาถึงทางแยก จะมีป้ายบอกไปเขาภูกา อีก 1 กิโลเมตร ซึ่งจะต้องไป และกลับมาที่จุดเดิมนี้ แก็งค์หมูๆ ใช้เวลาตั้งแต่เดินไป ชมวิว และเดินกลับ ประมาณ 2 ชั่วโมงได้ หากใครต้องการมาชมวิวที่เขาภูกา ควรจะเผื่อเวลาเดินทางไว้สักนิดนึง
จากระยะทาง 1 กิโลเมตร ช่วง 500 ม. แรก ทางไม่โหดมาก เดินขึ้นนิดเดียว แต่อีก 500 ม. ที่เหลือทางจะชัน ซึ่งตอนนี้ ขาตึง จนแทบจะไร้ความรู้สึกแล้ว 55
เขาภูกา ก็มีเจดีย์ ที่เป็นอีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญของ เขาภูกา ซึ่งเจดีย์ที่นี่จะแตกต่างจากผานารายณ์
ถ่ายรูปที่นี่กันนานหน่อย ให้สมกับความเหนื่อนที่เดินทางมา มีทั้งผา และทุ่งหญ้า ที่ไม่เหมือนกับจุดอื่นๆ มันสวยมากๆ จริงๆ นะ และมีความเป็นธรรมชาติสุดๆ
จบจากจุดนี้ เรากลับไปที่ค่ายพักแรมก่อน โดยเดินผ่านไปยังเขาเจดีย์ (เดินเป็นวงกลม)
และเมื่อใกล้พระอาทิตย์ตก เราได้กลับมาที่จุดชมพระอาทิตย์ตก ที่ระหว่างทางเดินไปเขาพระแม่ยา จากเขาเจดีย์อีกครั้ง หวังจะได้ชมอาทิตย์ตก แบบค่อยๆ ลับขอบฟ้า
แต่ท้องฟ้าไม่เป็นใจเช่นเคย ยังคงมีเมฆบดบัง สำหรับการชมวิวบนยอดเขาหลวง ในวันที่ 2 จึงได้จบลงเพียงเท่านั้น และกลับไปพักผ่อน เตรียมตัวเดินทางกลับในวันถัดไป
วันที่ 3 บนเขาหลวง เป็นวันที่ต้องลงจากเขาแล้ว แต่เรายังคงไปลุ้นทะเลหมอก ที่ผานารายณ์อีกครั้ง แต่ไม่ประสบความสำเร็จอยู่ดี น้องหมอกขี้อายสุด จึงเตรียมตัวเดินทางกลับในช่วงสายๆ เลย
ก่อนลงจากเขา ต้องไปชั่งน้ำหนักขยะกับทางเจ้าหน้าที่ด้านบนเขา และจดน้ำหนักขยะกันก่อน เมื่อลงมาถึงด้านล่าง จึงมาติดต่อเจ้าหน้าที่ เพื่อรับเงินมัดจำขยะคืน จากนั้นก็นำขยะไปทิ้งได้เลย ซึ่งเป็นนโยบายที่ดี ที่ด้านบนเขาจะไม่มีกองขยะอยู่ ไปเที่ยวกันแล้ว ต้องช่วยกันรักษาด้วย
จบทริปเขาหลวงสุโขทัยครั้งแรก แบบปวดขา และตึงขามาก แต่ได้รับประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ดีมากๆ หากมีโอกาส ก็อยากจะไปอีก
---------------------------------------------------------
ฝากติดตาม รีวิวอื่นๆ กิน เที่ยว ฉบับหมูๆ ที่
http://www.facebook.com/piggydiarytravel
Piggy Diary กิน เที่ยว หมูๆ
วันพุธที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2562 เวลา 00.57 น.