ในที่สุด #1 ก็เริ่มต้นขึ้น... ก่อนที่จะไปเล่าว่าเที่ยวไหนมาบ้าง ลิสต์ตั้งแต่เล็กจนโตมันเยอะมากจริงๆ ก็เลยตั้งใจว่าอยากจะเริ่มจากทริปที่เราเคยไปเป็นครั้งแรก และประทับใจมากๆ ขึ้นมาก่อน ซึ่งผลโหวตก็ออกมาเป็นเอกฉ้นท์ (เป็นเสียงโหวตจากหัวใจฉันเอง)

การเดินทางออกนอกประเทศครั้งแรก ดูมีความเด๋อๆ อยู่พอสมควร ตั้งแต่กระบวนการเตรียมตัวยันได้ออกเดินทางจนจบทริป ภาพถ่าย เสื้อผ้า หน้า ผมต่างๆ มันมีเสน่ห์ของความเสร่อๆ อยู่หน่อยๆ แต่พอนั่งกลับมาดูรูปภาพเก่าๆ เห็นแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ ภูมิใจในความเด๋อด๋านั้น จนเกิดแรงบันดาลใจว่าจะต้องกลับไปซ้ำอีกให้ได้ ที่จะเล่าต่อจากนี้ จะพยามยามเก็บรวบรวมความรู้สึกในตอนนั้น เก็บมาให้เยอะที่สุด เท่าที่ความทรงจำจากภาพถ่าย จะเล่าได้แล้วกัน

ความเด๋อดอกแรก มันเริ่มขึ้นตั้งแต่จองตั๋วเครื่องบิน จะเล่าแบบสรุปๆ ง่ายๆ ไปเลย

ขั้นตอนก่อนที่จะออกเดินทางของเรา ง่ายมาก

  • ไปไหน | ไปกับใคร
  • เช็คตั๋วโปรใน expredia (ไม่ได้สปอนเซอร์นะ... สาบาน 55 ) | เพจรวมโปรตั๋วเครื่องบินต่างๆ
  • ราคาถูกมั้ย (เน้นถูกค่ะ)
  • บัตรเครดิตพร้อมมั้ย
  • จอง - จบ
  • ลาพักร้อน

อันนี้ขั้นตอนแบบกระชับฉับไว ส่วนเรื่อง แพลนจะไปไหนบ้างไปอย่างไร ใช้เงินเท่าไหร่ จะค่อยๆ ตามมาช่วงใกล้ๆ วันไปอีกที ญี่ปุ่นครั้งนี้ก็เหมือนกัน เราตั้งต้นง่ายมาก ตอนแรกแค่อยากไปเหยียบญี่ปุ่น อยากไปหยอดกาชาปอง ไปกินปลาดิบ เช็คอินโตเกียว เราเลยได้คำตอบ ตามนี้

  • ไปญี่ปุ่น | ผู้ร่วมทริป 4 คน
  • ราคาตั๋ว ไป-กลับ (กรุงเทพ -โตเกียว ) พร้อมที่พัก 3 คืน |คนละ 13,181 บาท (ราคานี้ ปี2015) : AirasiaGo
  • บัตรเครดิต | ยืมของรุ่นพี่ที่ออฟฟิต (ตอนนั้นไม่มีบัตร พกแต่เงินสด )
  • ลาพักร้อน | ช่วงออกเดินทาง 29 Nov.- 4 Dec. 2015

เหมือนจะไม่มีอะไรยาก แต่ขึ้นต้นด้วยครั้งแรกแล้ว มันต้องมีอุปสรรค มีความรุงรัง มีปัญหามาก่อกวนให้เราจดและจำ อยู่เสมอๆ จะว่าไปตอนนั้นโมบายแอพคงจะยังไม่สเถียรเท่าตอนนี้สินะ (นับนิ้วมือย้อนไปก็ 5 ปีแล้วนะคุณ) เริ่มจากเราเข้าเว็บแล้วก็ใส่ข้อมูลในการจองปกติ (ตอนนั้นพาสพอร์ตยังไม่มีเลยนะ) ใส่ๆ เสร็จเรียบร้อย แล้วก็ใส่ข้อมูลบัตรเครดิต (ด้วยความระแวดระวัง เพราะยอดรวมที่ต้องจ่ายตอนนั้น มันห้าหมื่นกว่าบาทอ่ะ ) มือไม้สั่นไปหมด ไม่เคยรูดบัตรยอดใหญ่เท่านี้มาก่อน

และในที่สุด มันก็ ...........

ใช่ค่ะ !!! คุณผู้ชมวงเงินห้าหมื่นกว่าบาทมันถูกดึงดราม่าไว้จุดนี้ และ นั่นไม่ใช่บัตรเครดิตของดิฉัน เด๋อด๋าหมาเห่าไปเลยจ้า ทำตัวไม่ถูก เอาไงดีวะ คือมันโหลดนานมากแบบไม่มีสัญญาณว่าจะสิ้นสุดเมื่อไหร่ ก็เลยตัดสินใจ เอาวะ ! ออก ... ! โทรไปหาเจ้าบ้านก่อนเลย Airasia คำตอบที่ได้กลับมาทำใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม "Booking ของคุณจองไม่สำเร็จครับ แนะนำให้ทำรายการเข้ามาใหม่ผ่านทาง เครื่องคอมพิวเตอร์จะดีกว่า " OMG แล้วเงินล่ะ ?


ใช่ค่ะ ... เป็นไปตามที่กลัว วงเงินถูกตัดออกไปแล้วเรียบร้อยแต่ Airasia ยังไม่ได้รับ เพราะฉะนั้นสรุปว่า เงินถูกทิ้งไว้กลางทาง กลืนก็ไม่เข้าคายก็ไม่ออกไปอีก ยืนงงใน Callcenter แบงค์ต้นสังกัดกล่าวเพียงว่า เงินจะคืนให้ภายใน 1 รอบบิลหลังจากที่ได้รับอีเมล์โมฆะการจอง จาก Airasia

คือจริงๆ แล้วกระบวนการ มันซับซ้อนซ่อนเงื่อน ยิ่งกว่าเพื่อนทรยศ แต่คงเป็นเพราะแต้มบุญที่ได้สะสมมา ก็เลยทำให้ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี .... ใช่ค่ะ พี่ที่ออฟฟิตใจดีให้ยืมบัตรอีกใบ มาทำการจองใหม่ (ดิฉันก้มลงกราบแบบแบมือ 10 รอบ) กว่าจะผ่านพ้นไปได้ ต้องขอโทษและขอบคุณพี่เค้ามากๆ ที่ใจกว้าง ให้เรายืมบัตรอีกใบ ฮืออออออออออ

โอเคจองได้แล้วเตรียมตัวไปญี่ปุ่นกันโว้ยยยยยยย


เราก็เริ่มหาข้อมูลไปเรื่อยๆ เริ่มจองตอนต้นปี เดินทางปลายปียังมีเวลาเก็บตังค์ ซึ่งก็เป็นอย่างที่ได้บอกไปค่ะคุณ กว่าจะได้หาข้อมูลเตรียมตัวจริงๆ ก็นั่นแหละค่ะ คุณผู้ชม อีกไม่ถึง 2 เดือนก่อนเดินทาง ลนลานเป็นหนูปั่นจั่นมาก ที่พักอยู่ตรงไหน เดินทางยังไง ต้องมีค่าอะไรเพิ่มอีกบ้าง แพลนที่จะเที่ยวอีก ไหนจะเรื่องอากาศ เสื้อผ้าที่ต้องเตรียม ความหนาวติดลบมันรู้สึกยังไงฟระ เรามันก็คนเขตร้อน (เอามือไปแช่ช่องฟรีซในตู้เย็นก็ไม่เก็ทอ่ะ)

ฮือแม่ ... ช่วยด้วยหนูจะทำทันมั้ย ยิ่งเด๋อๆ อยู่ และในระหว่างที่กำลังเด๋อๆ อยู่ก็มีเสียงกระซิบจากเพื่อนร่วมทริป ว่า " อยากไปดูหิมะ ที่ฮอกไกโด " เอาเลยค่ะงงหนักไปอีก แล้วยังไงอ่ะ มันต้องไปยังไงอีก ฮอกไกโดอยู่ตรงไหน ไกลมั้ย วันเดินทางพอหรอ โอ๊ยยยยยย (เรียกแม่มาช่วยอีกรอบ)

แต่ก็นั่นแหละค่ะ คีย์เวิร์ดคำว่า "หิมะ" ในวันนั้น ทำให้เราหลงรัก ฮอกไกโดมาจนถึงวันนี้

มานั่งคิดๆ ดูแล้ว มีหลายคนเคยสงสัยว่า ทำไมไปเที่ยวแต่ละครั้งมันต้องวุ่ยวายขนาดนี้คะคุณ แต่สำหรับเรา มองว่าเรื่องวุ่นวาย จุกจิกพวกนี้ มันคือกระบวนการที่ทำให้เรามีความสุขแบบนึงนะ เหมือนเรากำลังจะวางแผนสร้างอะไรขึ้นมาซักอย่าง แล้วสุดท้ายเราก็ได้อิ่มเอมกับสิ่งที่เราสร้าง ถ้าไม่ได้ลอง ก็ไม่รู้หรอกว่ามันสนุกขนาดไหน และถ้าถามว่ามันไม่มีอะไรที่ง่ายๆ สบายๆ หรอ ?

ตอบให้สั้นๆ เลยค่ะว่า ไม่ ! ทุกการเดินทางมักให้อะไรกับเราเสมอ ไม่ด้านใดก็ด้านหนึ่ง

ทำเหมือนจะคม แต่ต้องกลับไปแก้ปม หิมะ ก่อน พอเรามีแพสชั่นเข้ามาเพิ่ม ก็เลยต้องค้นหาข้อมูลกันเยอะหน่อย ค้นไปค้นมา ก็พบว่าบรรดากูรู ส่วนใหญ่ ต่างก็ไม่แนะนำให้เดินทางเที่ยวข้ามโซนเช่นนี้ ด้วยเหตุและผลที่แตกต่างกันไป พอเข้าไปดูหลักภูมิศาสตร์ ก็พบว่า ... คุณคะ มันห่างไกลกันเหลือเกิน ถูกต้องแล้วค่ะ ฮอกไกโดเป็นจังหวัดทางเหนือของประเทศญี่ปุ่น และโตเกียวนั้นอยู่ใจกลางประเทศ

เรากับเพื่อนร่วมทริปก็เลยต้องมานั่งรื้อแพลน (ที่จริงๆ ก็ยังไม่ได้แพลนนะ ) ด้วยความอยากลองของ ท้าทายอำนาจมืด อะไรที่ใครเค้าไม่ทำ เราจะทำ และจากการระดมสมอง บวกสองมือ ผลสรุปออกมาได้ประมาณนี้

1. เราต้องเพิ่มวันเดินทางสำหรับไปฮอกไกโก

(เรายอมกั้นใจทิ้งตั๋วเครื่องบินขากลับที่จองไปแล้ว เพื่อจองตั๋วใหม่ ในราคา คนละ 5,583 บาท ไม่รวมโหลด| ขยายวันเดินทางเป็น 29 Nov - 6 Dec. )

2. หาวิธีไปฮอกไกโดจาก โตเกียวแบบถูกที่สุด และเร็วที่สุด

(จองตั๋วจากสายการบิน Peach Air บินในประเทศ ราคาคนละ 2,200 (ไป-กลับ) ไม่รวมโหลด

3. ต้องชัวร์ว่าช่วงที่เราไปหิมะจะตก

(เพื่อเกาะติดสถานการณ์ เพื่อนร่วมทริปของเรา คอยตาม LIVE ของสวนสัตว์ Asahiyama Zoo แบบส่องทุกวันกันไปเลย )

และแล้วเรื่องที่เราคิดว่าเป็นความรุงรัง ก็กลายเป็นเรื่องเล็กน้อยไปเลย ในที่สุดเราก็เคลียร์ทุกอย่างได้แบบผ่านฉลุย เอาละเว้ยยยย ได้ไปญี่ปุ่นกับเค้าซักที ตอนแรกไม่คิดว่าจะเขียนมาได้ยืดยาวขนาดนี้ แต่อยากจะเก็บความรู้สึกครั้งแรกพวกนี้ไว้ มันเด๋อๆ ดี ย้อนกลับมาดูแล้วก็ชื่นชมตัวเองเบาๆ 555555555

มาถึงตอนนี้คันมืออยากจะเล่าตอนไปเที่ยวแล้วว่าญี่ปุ่นมีอะไรดี ทำไมใครๆ เค้าอยากไปกัน เรื่องแพลนจะเล่าแบบไม่ละเอียดมาก แต่จะเน้นโมเมนต์ที่นึกขึ้นได้ที่ชอบก็แล้วกัน มาดูกันว่าแพลนที่วางเอาไว้ กับการเดินทางข้ามโซนจะรอดไม่รอด

เพิ่มเติมนิดนึง ว่าด้วยเรื่องตอนทำแพลนเที่ยว ครั้งแรกที่จะทำคืองงมาก ไม่รูจะเริ่มตรงไหนก่อน อะไรยังไงบอกไม่ถูก ไปดูแพลนที่กูรู นักรีวิวเค้าแจกก็งงไปอีก (เค้าทำมาให้ดูง่ายๆ ก็ไม่เข้าใจ) งงเก่ง!

เลยตัดสินใจทำเองละกันแบบสไตล์เราไปเลย

จับจุดแค่ อยากไปไหน - อยู่ตรงไหน - ไปยังไง

(ยิ่งเข้าใจสายรถไฟในญี่ปุ่นเร็วเท่าไหร่ ทุกอย่างจะง่ายขึ้น)



DAY 1 : เริงเมือง

ย่านชิบูย่า วัดอาซากุสะ ตลาดอะเมโยโกะ

วันแรกหลังจากผ่านกระบวนการหลับๆ ตื่นๆ บนเครื่องบินประมาณ 5 ชั่วโมงถึงสนามบินนาริตะ ช่วงเช้าเราก็ฟิตพร้อมออกลุยเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา (โดยไม่ได้เกรงใจร่างกายเลย) แพลนมาแน่นมาก เดินจนขาแทบหาย พอนั่งรถไฟเข้าที่พักแล้วไม่หลง ก็ไปลุยกันเลย เริงเมืองมันจุกๆ ไปที่ๆ ใครเค้าบอกว่าเป็นแลนด์มาร์ค เพราะเรายังไม่เคยมาเลย จะไปตรงไหนก็ตื่นเต้นไปหมด แค่เจอสตาร์บัคในมินิมาร์ทก็ร้อง ว้าว แล้วอ่ะ ซึ่งแน่นอนเราชาวพุทธต้องเข้าวัดเข้าวากันก่อน

วัดอาซากุสะ (sensoji temple)

ออกจากวัดมาก็ไปแหล่งช้อปปิ้งสุดยิ่งใหญ่ย่านชิบูย่า ตื่นตาตื่นใจมากแม่ มองไม่ทัน อะไรๆ ก็น่าสนใจ แต่ตรงห้าแยกนี่ไม่กล้าถ่ายจริงๆ กลัวคนเหยียบ 555555 สิ่งที่เราโปรดปรานมากๆ ก็คือตู้กาชาปอง แบบมันเยอะมากกกกกกกก จุใจมาก จะเป็นลม เงินในกระเป๋าสั่นระริก อยากจะกระเด็นเข้าตู้ ให้หมดตัว

เทให้หมดใจไปเลย อีกอย่างที่ชอบคือ sex shop 55555555555555 คุณ... ดิฉันต้องตั้งเป็นเนื้อหา 18+ มั้ยอ่ะ มันโอ้โห แบบ โอ้โหล้านรอบ คือทุกชั้นที่เดินขึ้นไป แบ่งแยกโซนชัดเจน มากกก อุปกรณ์แน่นเวอร์แต่ก็แบบ เราชาวพุทธ อ่ะเนอะ จริงๆ เห็นแบบเต็มๆตาก็เขิลๆ อายๆ ปิดตาดูเหมือนกันนะ แต่ก็ได้เปิดโลกแบบกว้างสุดๆ ไปเลยจ้ะแม่ ...

ย่านชิบูย่า ตลาดอะเมโยโกะ ย่านชินจุกุ



DAY2 : 14 อีกครั้ง

DISNEY SEA

"ซื้อฉันสิ ซื้อฉันสิ ฉันน่ารักนะ ฉันน่ารักนะ" วนๆ อยู่แบบนี้เป็นร้อยรอบ และใช่ค่ะ ดิฉันก็ไม่อาจต้านทาน พลังอำนาจนี้ได้ ส่วนเครื่องเล่นก็หวานเสียวอยู่ ไม่ได้มีแต่สกีลม้าหมุนแบ๊วๆ นะคุณ รอนานหน่อยถ้าไม่ยอมจ่าย fast pass (ราคาค่าตั๋วคนละ 2,075 บาท จองจากไทย H.I.S อันนี้ก็ไม่ได้สอปอนเซอร์นะ )

Tokyo DisneySea



DAY3 : ดื่มด่ำความสงบเงียบ

คุณฟูจิซัง

แน่นอนไปญี่ปุ่นคุณจะต้องไปดูภูเขาไฟฟูจิ ให้เห็นกับตา ความหวังเดียวของเราในทริปนี้คือฉันจะได้เจอกับคุณฟูจิซังอันแสนขี้อายให้ได้ เราเลือกวันที่พยากรณ์อากาศบอกว่าฟ้าเปิดที่สุด (คือไม่มีฝนนั่นแหละ) ด้วยความมั่นใจ และนี่ก็คือคุณฟูจิซังที่เราได้เจอในวันนั้นค่ะ

เห็นคุณฟูจิซังใช่มั้ยคะ 55555555555

ยืนซึมๆ ไปตามระเบียบค่ะ โชคไม่ดี คุณเมฆบังคุณฟูจิซังเกือบมิด ยังดีที่คุณเค้าก็ดูพยายามจะออกมาพบเราอยู่ มิชชั่นเซย์ฮัลโหลกับคุณฟูจิซัง จึงไม่เป็นไปตามที่หวัง

Mt Fuji Kawakuchiko



DAY4 : ยั่งกะแฟนเดย์ หนาวกันได้วันเดียว

โอตารุ ซัปโปโร

ฟ้าจะบินแล้วค่ะ ถึงเวลาที่ทุกคนรอคอย นั่นก็คือการเดินทางข้ามโซนแบบด่วนที่เราตั้งหน้าตั้งตารอ เราจะไปภาคเหนือของญี่ปุ่นกัน ตื่นเต้นมากไปอีก เพราะเราจะได้บินในประเทศด้วย มารอบแรกก็ได้ลองหลายอย่างเรียกว่าคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม แต่แล้วเราก็เจออีก 1 ภาระใหญ่ของเรา นั่นก็คือกระเป๋าเสื้อผ้าข้าวของอุปกรณ์ทั้งหมดทั้งมวลประมาณ 1 คันรถ(เข็น) ใหญ่ๆ ซึ่งพอเช็คค่าโหลดกระเป๋าแล้ว ตัดสินใจได้ทันทีว่า เราเอาของพวกนี้ไปหมด ไม่ได้ค่ะ คุณ งานเข้า !!! คิดกันหัวแทบแตก ทำไงดี ทำไงดี ทำไงดีวะ

ดันไม่ได้คิดเรื่องนี้มาก่อน ..... สุดท้ายมันสมองและสองมือของเราก็จัดการได้ค่ะ

ที่ญี่ปุ่นมีตู้ล็อคเกอร์ อยู่แทบจะทุกโซนคมนาคมทั่วประเทศจ้า เรามีทางออกแล้วค่า และเราก็ได้รู้ว่าตู้เค้ามันใหญ่มากจริงๆ คุณ สามารถใส่กระเป๋าเดินทาง 24 นิ้วเข้าไปได้ พร้อมกับตุ๊กตาหมีอีก 1 ตัว และสัมภาระรุงรังอีกจำนวนหนึ่ง ค่าเช่าตู้ก็ไม่แพง คิดเป็นรายวัน (ราคาประมาณหลักร้อย ถ้าจำไม่ผิด)

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ทุกปัญหา ย่อมมีปัญหา เอ้ย ! มีทางออกเสมอ เอาล่ะ ตอนนี้ทุกอย่างเบาสบายตัวพร้อมที่จะไปเจอหิมะกันแล้ว มาดูซิว่า เราจะได้เจอหิมะมั้ย

จังหวะเครื่องบินใกล้จะแลนด์ดิ้ง เราก็เปิดกระจกขึ้นมาเช็คอากาศด้านนอก

และใช่ค่ะ นี่คือภาพที่ทำให้เราตื่นตะลึง ขนลุกไปทั้งตัว

(ต้องเข้าใจคนที่มันไม่เคยเห็นหิมะมาก่อนด้วยอ่ะเนอะ จะหาว่าเว่อร์ก็ไม่ติด 55555555 )

" หิมะ หิมะอ่ะ หิมะโว้ยยยยยยย "

ขาวโพลนเหมือนใครเอาแป้งมาโรย อย่างที่เห็น

CHITOSE AIRPORT

ตอนตาเห็นหิมะสีขาวๆ ปกคลุมไปรอบๆ นี่มันฟินบอกไม่ถูก สวยยยมาก แต่พอออกไปโดนความเย็นเท่านั้นแหละชีวิตเปลี่ยนเลยคุณ ... คือมันสวยแหละ แต่มันหนาวโว้ย คือมันหนาวแบบทรมานเลยแหละ ตอนช่วงยังไม่มืดนี่ยังพอไหว แต่พอค่ำนี่คือตายได้เลยนะ (อุณหภูมิสูงสุดคือไม่เกิน 3 องศาอ่ะ ) ที่เราเจอคือ -1.2 องศาไปเลยจ้า เราซื้อถุงร้อนแทบจะทุกแบบ ลองมันทุกอย่าง อะไรที่มันทำให้อุ่นได้บ้างเอาหมด แต่มันก็ช่วยเราได้ระยะสั้นๆ นะ แต่ใจเราก็สู้ไง เพราะเมืองมันสวยมากกกกก ใครจะไปยอม จริงๆ แล้วมือ คอ เท้า นี่สำคัญสุด 3 ส่วนนี้ต้องอุ่น เราใช้ลองจอนไม่ดีด้วย ถุงเท้าก็คู่ละ 20 บาทแถวบ้าน รองเท้ายิ่งแล้วใหญ่ ถุงมือคือแบบซื้อในมินิมาร์ท ราคาถูกๆ ปกป้องได้แบบเบาบาง คือตอนถ่ายรูปอย่างสวย แต่หลังกล้องนี่พังมากแม่ แต่ยอมใจเค้าจริงๆ แถวคลองโอตารุคือ ชนะเลิศร้อยล้านมงไปเลยจ้าาาาาา มันคือยั่งกับในหนังแฟนเดย์เลยแหละ

โอตารุ (Otaru)

มาฮอกไกโดอย่าลืมเบียร์ซัปโปโรนะคะคุณ มันดีมาก ช่วยให้ร่างกายอุ่นได้อยู่นะ แต่ต้องหลายกระป๋องหน่อย คุณจะลืมไปเลยว่าน้ำแข็งคืออะไร ใช่ค่ะ ! เปิดปุ๊บกินปั๊บชื่นใจเลยแหละ แต่ถ้าจะให้ร่างกายวอร์มทันทีก็ต้องสาเก (หรือเหล้าขาวญี่ปุ่น) อันนี้บอกเลยว่าชนะเลิศ

ไอเท็มที่เราปลาบปลื้ม

สิ่งที่ทำเราเลิฟมาก ของโอตารุ ก็คือพิพิธภัณฑ์กล่องดนตรีโอตารุ คือคุณ... มันแบบอะเมซิ่งมาก มันอลังการ ยิ่งกว่าดาวล้านดวง มันน่ารัก ปุ๊กปิ๊ก จุ๋มจิ๋ม บวกกับความเป็นญี่ปุ่นเข้าไปด้วยแล้วคือจบ ชนะทุกสิ่งบนโลกหล้า เราเดินอยู่นานมาก จำได้ว่า เดินจนเพื่อนมาตามหลายรอบ 55555555 (ข้างนอกมันก็หนาวจัดมากอ่ะ ขออยู่ในนี้ดีกว่าแบบฟินๆ ) เคยแบบเดินเข้าไปในร้านอะไรแล้วอยากจะดูของทุกชิ้นมั้ยอ่ะ .... เนี่ยเราเป็นแบบนั้นเลย คือภายในร้านนอกจากจะขายกล่องดนตรี ที่เป็นแบบ DIY คือเราสามารถ MIX ตัวกล่อง กับเพลงเองได้เลย แล้วกล่องอ่ะมีเป็นร้อยๆๆๆๆๆๆๆๆ แบบ เต็มไปหมด มันเพลินจริงๆ นะคุณ นอกจากจะขายแบบฉลาดแล้ว เค้าก็ยังมีโซนพิพิธภัณฑ์ เล่าประว้ติเรื่องเมืองโอตารุด้วยนะ น่ารักสมเป็นญี่ปุ่นจริงๆ อย่าพลาดเลยที่นี่ ที่สำคัญราคาไม่แพงด้วย เหมากลับมาแจกเพื่อนทั้งหมู่บ้านยังได้ (รวยจัด )

พิพิธภัณฑ์กล่องดนตรีโอตารุ (Otaru Music Box Museum)


ภาพสวยๆ ที่ได้ทั้งหมด เบื้องหลังมันคือความพินาศเช่นนี้ค่ะคุณ



DAY5 : น้องงงงงงงงงงงงง

สวนสัตว์ อะซาฮิยาม่า (Asahiyama zoo)

เดินทางมาถึงวันสุดท้ายแบบรวดเร็วมาก เที่ยวจนลืมทุกอย่างไปเลย และวันนี้ไฮไลท์ของเราก็คือ - น้องงงงงงงงงงงง - ขบวนพาเหรดกวิ้น (นกเพนกวิ้นตัวเป็นๆ) และนี่ก็คือพระเอกของเราค่ะคุณผู้ชม

เอ็นดูน้องงมั้ยคะ :)

Asahiyama zoo

นอกจากน้องกวิ้นแล้ว บรรดาสัตว์เมืองหนาวด้านในก็หน้าตาน่าเอ็นดูกันทุกตัว ไม่ว่าจะเป็นคุณหมีขาว คุณแมวน้ำ คุณนกฮูก น่ารักไปหมด เหมือนเข้าไปอยู่ในสารคดีขั้วโลกเหนือเลยล่ะค่ะ ยิ่งไปกว่านั้น แม้กระทั่งอาหารการกิน ก็น่ารักน่าชัง สาหร่ายเป็นรูปน้องอุ๋งงงงงงี้ แทบจะไม่กล้ากินกันเลยทีเดียว ถ้าไปถึงฮอกไกโด ก็อย่าลืมแวะไปเดินเล่นกันที่นี่ได้ (ค่าเข้าสวนสัตว์รวมตั๋วรถบัสไป-กลับ คนละ 1,797 บาท )

Asahiyama zoo

กาชาปองชิ้นโปรดของเราบางส่วน จากฮอกไกโด


จบทริปได้เดินทางกลับบ้านเกิดอย่างปลอดภัย สรุปแล้วได้รับความสุข สนุก ทรมาน ตื่นเต้น แปลกใหม่ และอีกร้อยความรู้สึกที่บรรยายออกมาเป็นตัวอักษรไม่ไหว เป็นทริปเปิดโลกจริงๆ ทำให้รู้ได้เลยว่า เฮ้ย ! มันไม่เห็นจะยากตรงไหนเลย แค่การเดินทางออกไปในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย ภาษาไม่คุ้น วัฒนธรรม ผู้คน แปลกหูแปลกตาไปหมด แต่นั่นแหละ การได้ออกไปเที่ยวมันเหมือนเป็นโรงเรียนให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่ๆ ได้ไม่มีวันจบสิ้น คมคายขนาดนี้ คงจะใกล้จบแล้วสินะ ใช่ค่ะ ถ้าจะเขียนยาวกว่านี้ ดิฉันกลัวว่า คนที่เผลอเข้ามาอ่าน คงจะต้องใช้เวลาเป็นปี 55555555 (ก็เค้าบอกว่าคนไทยอ่านหนังสือวันละ8บรรทัด)

เล่ามากกว่านี้คงไม่ไหว ของแบบนี้คุณต้องไปลองเอง แล้วจะรู้ ว่านี่แค่เริ่มต้น

" ทุกการเดินทางมีรายละเอียดเล็กน้อยให้เราจดจำเต็มไปหมด

แต่ก็อีกนั่นแหละ เรื่องดีๆ แบบนี้ ของใครของมันนะคุณ

จะมีแค่เราและเพื่อนร่วมทางเท่านั้นแหละ ที่มองตาแล้วก็จะรู้กัน"

สรุปทั้งหมดทั้งมวล

  • ญี่ปุ่นไปครั้งเดียวไม่เคยพอ ต้องกลับไปเริงเมืองอีกแน่ๆ
  • ฮอกไกโดถ้ามีโอกาสคุณต้องไปให้ได้ซักครั้งในชีวิต ช่วงหน้าหนาว |พ.ย.-ธ.ค/ หรือต้นปีไม่เกิน มี.ค
  • ข้อมูลโดยละเอียดไม่ถนัดทำจริงๆ แต่ถ้าอยากรู้อะไรถามได้จ้า
  • ลงทุนกับอุปกรณ์กันหนาวทุกชนิด ถ้าไม่อยากหนาวตาย (ฮีทเทคของยูนิโค่เอาอยู่)
  • ที่พักโตเกียว ย่านอุเอโนะ ( Ueno) Hotal Mystays Ueno lnaricho |ห้องเล็กแต่เครื่องอำนวยความสะดวกครบครัน ราคารวมอยู่ในแพ็คเกจ
  • ที่พักฮอกไกโด THE STAY Sapporo | ที่พักสะอาด แต่ต้องปูที่นอน หมอนมุ้งเองนะ 5555 มันจะเหนื่อยๆ หน่อย 2 คืน ตกคนละ 1,400 บาท
  • รวมค่าใช้จ่ายทั้งทริป 31,600 บาท (รวมทุกอย่างแล้ว)

หมายเหตุ : ข้อมูลทั้งหมดเกิดขึ้นเมื่อปี 2015 อาจมีบางอย่างไม่อัพเดต หรือเปลี่ยนแปลงไปแล้ว นะจ๊ะ


ไปจริงๆ แล้วนะ เจอกันใหม่ #2 ขอไปเลือกก่อนว่า จะเอาที่ไหนมาชวนคุณไปเริ่มต้นออกเที่ยวกับเรา

ความคิดเห็น