" เลอกวาเดาะ : ขุนเขาแห่งศรัทธา "
[ เลอกวาเดาะ ] เป็นภาษาปากะญอ = เขาชมมวิว
เขาแห่งนี้ถือว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิของชาวบ้าน มีการสร้างเจดีย์ที่บรรจุสารีริกธาตุไว้บนยอดเขา
ชาวบ้านมักจะเดินขึ้นเขาไปสักการะกราบไหว้เจดีย์ด้านบน
จนกลายเป็นที่รู้จักกันในชื่อ " เลอกวาเดาะ : ขุนเขาแห่งศรัทธา "
- 📍 เลอกวาเดาะ ตั้งอยู่ หมู่ 9 บ้านเกร๊คี ตำบลแม่วะหลวง อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก ใกล้กับอุทยานแห่งชาติแม่เมย อ.ท่าสองยาง จ.ตาก
- 🥾 ระยะทางในการเดินประมาณ 3 กิโลเมตรถึงจุดพักแรม
- ⏰ ใช้เวลาประมาณ 3 - 4 ชั่วโมง (อันนี้แล้วแต่คนนะ)
- 🥾 สามารถเดินต่อไปยังยอดเขาอีกประมาณ 800 เมตร
- 📸 เป็นเขาที่สามารถมองเห็นวิวแบบ 360 องศา
ทำความรู้จักกันแค่นี้ก่อน ต่อจากนี้เราจะพาทุกคนเดินเข้าไปรู้จักกับเขาลูกนี้มากขึ้น การเดิน เส้นทาง ทำยังไงถึงจะได้ไป แล้วค่าใช้จ่ายเป็นยังไง พร้อมแล้วก็ลุยกันเลย
FOLLOW ME
Facebook page : เที่ยวแบบเรา : Once-a-month
Instagram: onceamonth.travel
YouTube : Once-a-month
ทำยังไงถึงจะได้ไปเดิน " เลอกวาเดาะ "
ทริปนี้เริ่มมาจากเพื่อนของเพื่อนอยากไปเดิน " เลอกวาเดาะ " เลยมีการเข้ามาชวนกันในกลุ่ม แล้วก็เริ่มมีคนสนใจ นับไปนับมาก็เกือบจะ 20 คน เลยคิดว่า ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วก็หาให้ครบ 20 คนไปเลย เพราะยังไงก็ต้องเหมารถไปอยู่แล้ว แล้วไม่นานก็ได้สมาชิกครบ 20 คน พอคนครบเพื่อนเราก็จัดการเดินทาง เจ้าหน้าที่ รถตู้ต่างๆ ให้
- เบอร์โทรศัพท์ : หน่วยงานของอบต.แม่วะหลวง 055577400-1
- facebook fanpage : เลอกวาเดาะ ขุนเขาแห่งศรัทธา ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ การผจญภัยในป่าใหญ่
วันเดินทาง
คืนวันเสาร์ที่ 12 ตุลาคม 62 เวลา 20.00 น. ณ จุดนัดพบที่เก่าที่เดิมปตท.สนามเป้า รถพร้อม คนพร้อม ก็เดินทาง พวกเราเหมารถตู้ไปกันเหมือนเดิม นั่งกันไปยาวๆ จากกรุงเทพฯ - ตาก
เช้ามืดประมาณ 05.00 น. ก็ถึงตากแต่เราแวะตลาดสดแม่ต้านกันก่อน เพื่อซื้อเสบียงในมื้อกลางวัน และในระหว่างที่อยู่บนเขา แต่พอมาถึงก็เจอกับความเงียบเหงา ตลาดยังไม่เปิดจร้า !!! ( ปกติตลาดที่เคยแวะซื้อของก่อนเดินเนี่ย ตี 5 นี่คือคึกคักแล้วนะ ) แต่ไม่เป็นไรมีร้านบางร้านกำลังเตรียมของอยู่ เรารอกันจน 6 โมง ก็ซื้อข้าวของที่เราต้องการได้ ที่ได้มาคือมื้อกลางวันเป็น ข้าวเหนียว + ไก่ทอด + ปลาทอด คนละ 1 ชุด ส่วนของสด ผักต่างๆ ก็เอาไว้ทำกินตอนมื้อเย็นและเช้าวันกลับ ตรงตลาดมี 7-11 ด้วยนะ ใครอยากจะตุนอะไรเพิ่มเติมก็เข้าไปเหมากันได้เลย พวกน้ำดื่มเราก็ซื้อจากใน 7-11 เนี่ยแหละ 7-11 นี้น่าจะเป็นที่สุดท้ายแล้วนะ
หลังจากนั้นเราก็ออกรถเพื่อไปทานข้าวเช้ากันที่สามแยกบ้านแม่สลิด ก่อนขึ้นอช. แม่เมย จะมีร้านข้าวแกง ก๋วยเตี๋ยว ขมนมเนยอยู่ สามารถเลือกทานได้ตามใจชอบเลย
กินข้าวเสร็จก็เดินถ่ายรูปเล่น รอเพื่อนๆ หลังจากเรียบร้อทุกคนแล้วเราก็เดินทางกันต่อ จากตรงนี้ขึ้นไปที่อุทยานก็ประมาณ 10 กิโล เรานัดขึ้นรถ 4*4 มารับตอน 8 โมง
พวกเรามาถึงอุทยานกันตอน 07.30 น. ขนของลงจากรถตู้และยังพอมีเวลาก็แยกย้ายกันไปทำธุระส่วนตัวกใครจะอาบน้ำ หรือจะแค่แปรงฟันก็เชิญตามสบายเลย ห้องน้ำจะมีอยู่ 2 จุด จุดแรกมีห้องอาบน้ำ 2 ห้อง ส่วนอีกจุดนึงมี 4 ห้องนะถ้าจำไม่ผิด
ทำธุระส่วนตัวกันเสร็จเรียบร้อยก็มาขนของขึ้นรถ 4*4 เพราะเราต้องนั่งรถต่อไปอีก จากที่ทำการอุทยาน - จุดเริ่มเดินเท้าวัดป่าบ้านเกร๊คี น่าจะประมาณ 30 กิโลเมตร
นั่งรถไปเรื่อยๆ ก็เจอกับจุดชมวิว " ม่อนครูบาใส " เห็นหมอกแน่นๆ พวกเราไม่รอช้าบอกพี่คนขับให้แวะก่อนเลย แล้วทุกคนก็ลงมาถ่ายรูปกันหมด เอาจริงๆ แค่จุดนี้ก็ฟินแล้วคิดดูสิถ้าเราได้ขึ้นไปดูหมอกข้างบนจะฟินขนาดไหน
ถ่ายรูปกันเสร็จก็กระโดดขึ้นรถกันต่อ ทางที่มาจากอุทยานจะเป็นทางราดยาง คดเคี้ยวบ้าง แต่หลังจากที่เราเลี้ยวซ้ายขึ้นไปทางเลอกวาเดาะก็จะเป็นเส้นทางที่สนุกสนานกันแล้ว เตรียมตัวให้พร้อม เพราะทางขา้งหน้าจะเจอทั้งทางเรียบคอนกรีต ดินลูกรังเรียบๆ ไปจนถึงเป็นหลุมเป็นบ่อ สำหรับคนที่นั่งข้างหลังก็แนะนำว่าเกาะกันให้ดีๆ นะ
เข้ามาใกล้จะถึงจุดเริ่มเดินพี่คนขับก็ชี้ให้เราดูว่ายอดเลอกวาเดาะที่เราจะไปอยู่ข้างบนโน่น ที่หมอกกำลังปกคลุมอยู่ สูงเหมือนกันนะเนี่ย
แล้วเราก็มาถึงจุดเริ่มเดินแล้ว ก็จะเห็นมีรถจอดเรียงรายเต็มลานไปหมด เป็นรถของบรรดาพี่ๆ ลูกหาบ และก็รถของกลุ่มที่มาก่อนเรา
รถจอดแล้วเราก็ทยอยขนของลงจากรถอีกครั้ง แบ่งของส่วนไหนที่จะให้ลูกหาบ ส่วนไหนจะแบกเอง พวกเราจ้างลูกหาบสำหรับแบกของส่วนกลาง อาหาร น้ำ อุปกรณ์เต็นท์ต่างๆ ส่วนกระเป๋าสัมภาระก็แบกกันเอง
แยกของเสร็จพี่ๆ ลูกหาบเค้าก็จะเอาของไปชั่งน้ำหนักเพื่อใส่ลงตะกร้า ลูกหาบ 1 คนแบกได้ไม่เกิน 25 กิโล
เริ่มเดินเท้า
แต่ก่อนที่จะเดินก็ต้องทำการเซลฟี่กันก่อน แล้วก็เริ่มเดินกันได้เลย
ทางเดินช่วงแรกนี้จะเป็นทางดิน เดินสบายๆ เฮฮากันไปก่อน
อ้อ ตรงนี้เป็นส่วนของวัดป่าบ้านเกร๊คี ก็จะมีสามแยก ซ้ายขึ้นไปโบสถ์ด้านบน ขวาเป็นทางเดินไปยอดเขา ด้านขวามือก็จะเจอกับพระพุทธรูป ไหว้พระเอาฤกษ์เอาชัยแล้วค่อยเดินต่อ
ช่วงแรกทางก็จะเป็นทางดินเรียบๆ เดินได้เรื่อยๆ ยังไม่มีอุปสรรคอะไรมากนัก
เดินมาได้สักระยะก็จะเริ่มเข้าสู่ทางป่าจริงๆ แล้ว เริ่มมีต้นไม้ใหญ่เยอะขึ้น อาจจะมีต้นไม้ล้มมาขวางทางบ้าง ทางก็ชันขึ้นนิดหน่อย เดินเข้ามาเริื่อยก็จะได้ยินเสียงน้ำตก
แล้วไม่นานเราก็เจอกับธารน้ำที่ไหลมาจากน้ำตก ตรงช่วงนี้เราก็ต้องเดินลุยน้ำกันหน่อย จุดไหนที่น้ำเยอะหน่อยก็จะมีไม้วางพาดไว้ให้เดินข้าว นอกนั้นก็จะเดินลุยน้ำจะมากจะน้อยก็แล้วแต่เลือกเดินเลย จุดนี้ชอบมาก รู้สึกเย็นและสดชื่นมาก
หลังจากที่ผ่านน้ำตกมาแล้ว เราก็จะมาเจอกับบันได ต่อจากนี้ไปจะเป็นทางที่เป็นขั้นบันไดสลับกับทางดิน แล้วจะมีป้ายแขวนอยู่ว่าเป็นทางขึ้นสวรรค์ 6 ชั้น เดาว่าน่าจะเป็นชื่อของจุดพักใหญ่ๆ ตามทางเดิน
เดินตามขั้นบันไดขึ้นมาเรื่อยๆ บันไดบางขั้นอาจจะมีพุพังบ้าง บางขั้นแคบมาก ยังไงก็ระมัดระวังกันด้วยนะ
ทางจะค่อยๆ เพิ่มระดับความชันขึ้นไปเรื่อยๆ พ้นบันไดเจอทางดิน พ้นทางดินเจอบันไดเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ เป็นการฝึกขาก่อนเจอของจริง
เมื่อขั้นบันไดหมดไปทางเดินของจริงก็กำลังจะเริ่มต้นขึ้น คุณพระ !!! แล้วที่ผ่านมายังไม่เริ่มอีกหรอ บอกเลยว่าอันนั้นคือขั้นเบสิค
ถ้าถามว่าทางชันแค่ไหน เราก็จะบอกว่าชันเกิน 45 องศา บางจุดชันจนเงยหน้ามองคนข้างหน้าแล้วท้อ 555 ดีที่ทางช่วงนี้มีเชือกผูกไว้ ยังพอทุ่นแรงขาใช้พยุงตัวเราก้าวขึ้นไปได้
เดินไปเรื่อยๆ สภาพรองเท้าเพื่อนของเราก็ใกล้จะลาโลกแล้ว แต่ยังไงก็ต้องใช้เดินกันต่อซ่อมได้ก็ซ่อมไปก่อน
เดินจนเหนื่อยจนท้อก็ยังไม่ถึง เหนื่อยและล้าขาสุดๆ ไปเลย แล้วตอนเดินก็ไม่ค่อยมีลมพัดเลย ยิ่งร้อนอบอ้าวเข้าไปอีก
น้องหมาที่นี่เยอะมาก เราเดินอยู่ก็จะมีน้องหมาเดินแซงเราไป ตัวแล้วตัวเล่า
หลังจากที่เราพ้นป่าก็จะมาเจอกับวิวนี้ ตรงนี้มีลมโชยทำให้รู้สึกหายใจหายคอได้โล่งขึ้น ตรงจุดนี้เรียกว่า จุดชมวิวอมก๋อย
ตรงจุดนี้ถ้าเงยหน้าขึ้นไปจะเจอกับยอดสูงสุดของเลอกวาเดาะ จากตอนที่เรานั่งรถเห็นยอดอยู่ไกลๆ ตอนนี้เราเข้าใกล้ยอดมากๆ แล้ว บนยอดก็ยังคงมีเมฆหมอกปกคลุมอยู่เรื่อยๆ
พักสูดอากาศ ถ่ายรูป ดื่มน้ำดื่มท่ากันจนพอหายเหนื่อย เราก็เดินกันต่อจากจุดนี้ไปไม่ไกลมากเราก็จะถึงจุดกางเต็นท์ของเราแล้ว แต่จากที่สอบถามบรรดาพี่ๆ ลูกหาบว่าทางข้างหน้าเป็นยังไง ก็ได้คำตอบว่า " อ้อ ... เดินขึ้นยอดนี้ แล้วลง แล้วขึ้นอีกยอดนึงก็ถึงแล้ว " ได้ยินแบบนั้นแล้วอยากจะขอนั่งพักต่อเลย 555
เดินต่อกันมาเรื่อยๆ ก็เจอกับยอดโล่งๆ ต้นไม้ไม่สูงมากนัก แต่เราก็เจอสิ่งที่ไม่คาดฝัน ระหว่างที่เดินกันอยู่เราก็ได้ยินเสียงคล้ายลม และเสียงค่อยๆ ดังขึ้นเรื่อยๆ มองออกไปก็เจอกับกลุ่มสีขาวกลุ่มใหญ่ ตอนแรกยังมีการถกเกถียงกันอยู่ว่านั่นใช่กลุ่มฝนมั้ย แต่หลังจากที่เถียงกันได้ไม่นานก็ ซู่ !!!! ฝนตกจร้า เก็บกล้อง คว้าเสื้อกันฝนมาใส่กันแทบไม่ทัน เดินลุยฝนมาสักพักฝนก็พัดผ่านไป อีกนิดเดียวก็จะถึงจุดกางเต็นท์แล้ว แต่ก็เปียกจนได้
หลังจากที่เดินขึ้นเขา ลงเขา แล้วก็ขึ้นเขามาตามที่พี่ๆ ลูกหาบบอก เราก็มาถึงแล้วจุดกางเต็นท์พักแรมที่รักของเรา วางเป้ กระดกน้ำ เอาข้าวที่ห่อมาออกมานั่งกินกันแบบผู้หิวโหย พอมีแรงขึ้นมาก็ลุกขึ้นมากางเต็นท์ เก็บของเข้าเต็นท์ แล้วก็มาช่วยกันจัดที่จัดทางตั้งแคมป์เพื่อเอาไว้นั่งเล่น กินข้าวกันต่อ
กางเต็นท์ ตั้งแตมป์กันเสร็จก็เห็นกลุ่มเมฆดำลอยมาอีกแล้ว ยังดีที่ไม่ตกลงมาอีก ระหว่างนี้แยกย้ายกันพักผ่อนตามอัธยาศัย เราเดินขึ้นมากลุ่มหลังสุดใช้เวลาก็น่าจะประมาณ 3 ชั่วโมงกว่าๆ ขอพักขา พักร่าง นอนเล่นรับลมก่อนละกัน
ระหว่างที่เรานอนพักร่าง พักขา ตัวจี๊ดในกลุ่มของเราก็ชวนกันเดินขึ้นยอดเจดีย์กัน จากจุดกางเต็นท์ขึ้นไปยอดสูงสุด ระยะทางประมาณ 800 เมตร เป็นทางที่เดินไต่เขาขึ้นไปเรื่อยๆ บางจุดมีจุดที่ต้องเดินตามสันเขาหรือบางคนเรียกสันคมมีด จากการสังเกตการณ์อยู่ตรงนี้ท่าทางเดินยากเอาการเลย
ตัวเราไม่เดินไป เราเลยใช้เลนส์ของเราไปเก็บภาพยอดเขามาแทน 555 ดูขี้โกงมั้ย
ระหว่างที่รอเพื่อนๆ เดินลงมาจากยอดสมาชิกที่อยู่ที่แคมป์ ก็ช่วยกันเตรียมมื้อเย็นกันอยู่ เริ่มจากทยอยุงข้าวกันก่อน เพราะเรามีแต่หม้อสนามต้องหุงหลายหม้อ หลังจากที่หุงข้าวเสร็จแล้วก็ทำกับข้าวที่เหลือ
กับข้าวเราก็พยายามทำอะไรที่ง่ายๆ กุนเชียงทอด ผัดผัก แกงจืด (อันนี้เราไปยืมหม้อใหญ่ของพี่ลูกหาบมา) ต้องขอบคุณพี่ลูกหาบไว้ ณ ที่นี้ด้วย ไม่งั้นเราคงไม่ได้กินแกงจืด
กับข้าวเสร็จแล้ว เพื่อนๆ ที่ลงมาจากยอดก็ถึงแล้ว ท้องก็หิวแล้ว ลงมือกันเลยดีกว่า เราไม่ได้ถ่ายรูปตอนกินข้าวมาเลย แต่เรากินข้าวเย็นกันพร้อมบรรยากาหศแสงสวยๆ ของพระอาทิตย์ที่กำลังจะตกดิน หลังจากกินเสร็จ ล้างอุปกรณ์เสร็จก็อยู่นั่งคุยกันสักแปนึงก็แยกย้ายกันเข้าเต็นท์พักผ่อน
อากาศตอนหัวค่ำก็เริ่มจะเย็นๆ เข้าเต็นท์ไปตอนแรกแอบร้อนนิดนึง แต่พอดึกๆ ก็เริ่มเย็นต้องหยิบถุงนอนมาห่ม ทุกอย่างราบรื่นดีนอนพักเอาแรง ฝันดี ราตรีสวัสดิ์
เช้าวันใหม่
เช้านี้ตื่นมากันตอนตี 4 ทำไมต้องตื่นเช้าขนาดนี้น่ะหรอ ก็เพราะว่าเพื่อนเราและสมาชิกบนนั้นเค้าจะไปเดินขึ้นยอดกัน เลยต้องตื่นเช้านิดนึง แต่เราตัดสินใจแล้วว่าจะไม่เดินขึ้นไปก็นอนต่อ เช้านี้อากาศกำลังเย็นสบาย แอบเปิดเต็นท์ออกมาเห็นหมอกกำลังขึ้นเลย รอสว่างกว่านี้ก่อนละกันค่อยออกไปถ่ายรูป
พอสว่างขึ้นมาหน่อยคนที่ไม่ได้เดินขึ้นยอดก็ทยอยกันออกมาดูหมอก ชื่นชมบรรยากาศยามเช้า เราเองจากที่นอนอยู่จนไม่ไหวลุกขึ้นมาดูด้วยก็ได้ ต่อจากนี้จะเป็นภาพหมอกล้วนๆ เลยนะ เอากันให้ฟินไปเลย ถือว่าโชคดีมากที่เจอหมอกแน่นๆ แบบนี้
นี่คือคนที่ไม่ได้ขึ้นยอด ลงไปดูหมอกตรงด้านล่าง ทางนี้ทางเดียวกับทางที่จะขึ้นยอด
มองยอดเขาจากมุมนี้ก็สวยดีเหมือนกัน
ชื่นชมดื่มด่ำหมอกและบรรยากาศจนหน่ำใจก็มาหาอะไรกินกันดีกว่า เช้านี้ด้วยกาแฟ 1 แก้ว แล้สค่อยต่อด้วยข้าว
ข้าวเช้าของพวกเราก็แกงจืดร้อนๆ ราดข้าว เป็นมื้อเคลียของก่อนกลับ
หลังจากกินข้าวเสร็จก็เตรียมตัวเก็บเต็นท์ เก็บของแล้วเดินกลับ ภาพบรรยากาศตอนขากลับจะไม่ได้นะ เพราะเราเก็บกล้องลงกระเป๋าหมดเลย แต่เดี๋ยวจะเอาจากเพื่อนๆ มาให้ดูอีกทีนะ
ขากลับนี่เดินยากมั้ย ตอบได้เลยว่าขึ้นมายังไงก็ลงแบบนั้น แต่ทางอาจจะลื่นกว่าตอนขาขึ้นเพราะเมื่อวานฝนตก และเช้านี้น้ำค้างแรงมาก ยังไงก็เดินระมัดระวังกันด้วย ค่อยๆ ก้าวไม่ต้องรีบ ขากลับนี้ใช้เวลาประมาณไม่น่าจะเกิน 2 ชั่วโมง เดินจนปวดเข่าก้าวขาไม่ออก แต่ก็ถึงรถโดยสวัสดิภาพกันทุกคน
ภาพบรรยากาศจากกล้องเพื่อนๆ ในทริป
ระหว่างทาง
จุดกางเต็นท์
โฉมหน้าของผู้ที่พิชิตยอดได้
หมอกแน่นๆ จากยอดในตอนเช้า
ก่อนกลับ เก็บของก่อนฝากลูกหาบ
ก่อนเดินลง เก็บภาพป็นที่ระลึกสักหน่อย
ขาลง ชัน ชัน ชัน หน้าจะคว่ำ
พักเล่นน้ำตกกันก่อน น้ำเย็นชื่นใจ
สรุปค่าใช้จ่าย
- ค่าใช้จ่าย - รถตู้ไป - กลับ 10,500 บาท / คัน
- รถ 4*4 ไป - กลับ 3,000 บาท / คัน
- ลูกหาบ 1,000 บาท / คน (น้ำหนักไม่เกิน 25 กิโลกรัม
- ค่าเข้าอุทยาน 50 บาท / คน
- นอกเหนือจากนั้นก็เป็นค่าอาหารการกินต่างๆ อันนี้ก็แล้วแต่กรุ๊ปเลยน้า
แล้วเจอกันใหม่ในทริปหน้า
. . . . . . . . . b y e . . . . . . . . .
เที่ยวแบบเรา : Once-a-month
วันอังคารที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2562 เวลา 17.47 น.