สวัสดีเด้อออ เจอกันอีกแบ้วว กับ BB-Knight TV วันนี้เราจะพาไปทัวร์อีสานกับทริปที่พูดไปใคร ๆ ก็รู้จัก ถึงขั้นกับบอกเราเลยว่าถ้าจะไปล่ะก็ หึๆๆ ซ้อมเดินไว้เลย.. นั่นก็คื๊อออภูกระดึงนั่นเอง ๆ ๆ ๆ ๆ (เอคโค่เสียงด้วยนะ อิอิ) และก็พ่วงด้วยเชียงคานนิดโหน่ยยย



ทริปนี้ก็อีกเช่นเคย เราไปกับคุณ Navigator ต่อเนื่องกับทริปเมื่อต้นเดือน ธ.ค. ที่เราไปตะลุยนอนเต็นท์ที่ภาคเหนือ นั่นคือทริปนี้ฮะ https://pantip.com/topic/37169117 และก็เช่นกัน ทริปนี้เรานอนเต็นท์ทั้ง 3 คืนเลย เป็นการเที่ยวแบบ Back Pack Style ในช่วงเทศกาลปีใหม่นั่นคือช่วง 29 ธ.ค. – 2 ม.ค. 2561



สิ่งที่อยากจะบอกเลย นั่นคือทริปนี้เราอุ่นใจมาก เพราะคุณ Navigator เคยมาภูกระดึงไม่ต่ำกว่า 5 ครั้งแล้ว (แต่เชียงคานไม่เคยไปกันทั้งคู่) เพราะฉะนั้น ทริปนี้จึงไม่น่าเป็นห่วง เก๊าไม่หลงแน่นวล กิกิกิ



แรงบันดาลใจในการมาทริปนี้ ก็คือมันเป็นทริปที่ควรจะเป็นจุดเริ่มต้นปฐมบทของทริปเดินป่าของ BackPacker น้อย ๆหลาย ๆ คน แต่เราไม่เคยมาเลย ไปตะลอนขั้น Advance กับคุณ Navigator มาก็พอสมควร และก็ได้ไปที่นึง ก็คือ “ลำคลองงู” https://pantip.com/topic/36197935 ทริปแรก ๆ ที่ไปเลย และเป็นทริปแรกที่เราเริ่มหัดเขียนรีวิวลง Pantip ซึ่งมันเป็นที่ ๆ ได้สมยานามว่า “7 ภูกระดึง ไม่เท่า 1 ลำคลองงู” และนี่ล่ะ เราจะมาพิสูจน์กันว่า สโลแกนนี้น่ะ มันจะจริงเท็จแค่ไหนกันฮึ!!!



ทริปนี้เป็นทริปที่มีหลากอารมณ์จริง ๆ มีทั้งทั้งเหนื่อย เครียด ทั้งดราม่า ทั้งสุข สนุกผจญภัย ปะปนกันไป เป็นทริปเค้าดาวน์ ต่างจังหวัดครั้งแรกในชีวิตเราเลย เพราะเราเป็นเด็ก กทม แต่เกิด ปีใหม่นี่นอนข้ามคืนแทบทุกปีล่ะ 555+ ก็ต้องขอบคุณ คุณ Navigator จริง ๆ ที่เข้ามาสร้างความทรงจำดี ๆ ให้กัน และพิสูจน์กันจนถึงวันนี้ ^ ^”

รายละเอียดย่อย ๆ เอ๊ย! ย่อ ๆ ของทริปนี้นั่นก็คือ ทริปนี้เป็น ทริป 4 วัน 3 คืน เป็นทริป Back Pack Style และนอนเต็นท์ทั้ง 3 คืนเลย (สำหรับคนที่ไม่อยากอ่านอะไรยาว ๆ และสรุปค่าใช้จ่ายตลอดทริปแบบละเอียดท้ายทู้จร้า)



ใช้เวลาที่ภูกระดึง 3 วัน 2 คืน

วันที่ 1 เราออกเดินทางคืนวันศุกร์ด้วยรถทัวร์ของภูกระดึงทัวร์ (ทั้งไปและกลับ) ถึงผานกเค้าตอนเช้าและก็ต่อไปภูกระดึงเลย เดินถึงบนนั้นประมาณบ่ายแก่ ๆ หาไรกิน เดินเล่น อาบน้ำนอนเพราะเนื่อยมว๊ากกก



วันที่ 2 ของเช้าวันเสาร์เดินตะลุยบนภูกระดึง เราเดินเก็บเกือบทุกจุดที่เดินได้ (ไม่รวมป่าปิด) ไปชมพระอาทิตย์ตกแสงสุดท้ายส่งท้ายปี ที่ผาหล่มสัก และเดินกลับถึงที่พักประมาณ 4 ทุ่ม (ทำไมถึงเดินนานขนาดนี้ ขอให้ติดตามไปเรื่อย ๆ นะ มันคือไคลแม็กซ์ของกระทู้เลย)



วันที่ 3 เช้าวันอาทิตย์ประมาณตี 5 ไปดูแสงแรกของอาทิตย์ขึ้นตอนเช้าที่ผานกแอ่น และเดินลงจากภูกระดึงประมาณ 9 โมง ถึงข้างล่างประมาณเกือบบ่าย 1 มานั่งรอสัมภาระลูกหาบจนถึงประมาณบ่าย 3 กว่า ๆ จากนั้นต่อรถไปเชียงคาน ถึงประมาณ ทุ่มนึงเช่ามอไซด์ไปกางเต็นท์ที่หน้า สภ.เชียงคาน และก็เดินตลาดคนเดินเชียงคาน จากนั้นกลับมานอน



ใช้เวลาที่เชียงคาน 1 คืน 1 วัน (เหลือ ๆ เลยล่ะ ถ้าไม่ตะลอนกิน)



วันที่ 4 ตะลอนเที่ยวในเมืองเชียงคาน ไปภูทอก > วัดพระพุทธบาทภูควายเงิน > แก่งคุดคู้ > วัดโพนชัย > วัดเชียงคาน และก็กลับมานอนพักตอนบ่ายกว่า ๆ ก่อนออกเดินทางกลับรถทัวร์รอบ 1 ทุ่มเป็นอันจบทริป



How to เตรียมตัว

ช่วงที่เราไปในทริปนี้คือวันที่ 29 – 2 มกราคม เราซื้อตั๋วรถทัวร์ก่อนออกเดินทางประมาณ 1 เดือนเลยที่ขนส่งจตุจักร แต่เนื่องจากช่วงที่เราไปเป็นช่วงปีใหม่ คนจึงต้องการตั๋วเยอะมาก ๆ ทำให้เราไม่สามารถจองตั๋วกับขนส่งได้ทัน เราจึงจองเป็นรถทัวร์เสริมกับเจ้าอื่น (เอาจริง ๆ แนะนำให้จองกับขนส่งโดยตรงดีที่สุดสำหรับเราแล้วนะ แต่นี่สุดวิสัยจริง ๆ อันนี้คุณ Navigator ก็แนะนำมาอีกที)



เราซื้อตั๋วช่วงเทศกาล ดังนั้นตั๋วที่เราได้จึงเป็นตั๋วแบบเหมา ๆ ไปเชียงคาน นั่นก็คือปลายทางของรถทัวร์เลย แต่เราลงแค่ “ผานกเค้า” นะ (ถ้าซื้อช่วงปกติก็ซื้อจากต้นทางไปผานกเค้าก็พอจร้า) ดังนั้นตอนกลับ เราจะกลับจากเชียงคานเลยก็ได้ ไม่จำเป็นต้องขึ้นรถจากผานกเค้าหรอก ซึ่งเป็นที่มาของรูทเชียงคานที่เพิ่มเข้ามาแหละ



สิ่งที่ต้องเตรียมอีกอย่างหนึ่งก่อนจะไปนั่นก็คือร่างกาย และจิตใจ เพราะทริปนี้เราเดินกันเยอะมากๆๆๆๆๆๆๆ ที่ภูกระดึงเราเดินกัน 3 วันรวมระยะทางกว่า 40 กว่ากิโลเมตร และทางก็ไม่ธรรมดาเลย มีทั้งทางชัน ทางวิบาก บลา ๆ แต่เอาจริง ๆ ก่อนที่เราจะไปเราก็ไม่ได้ออกกำลังกายอะไรเลยนะ น้ำหนักเรา 90 โล สูง 175 ก็ถือว่าอ้วนเลยล่ะ ยังเดินไหวเลย เห็นหลาย ๆ คนก็เดินไหวนะ เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วง แค่เหนื่อย แต่ยังไงก็ไหวจร้า



ซึ่งสำหรับภูกระดึงแล้ว สิ่งที่เราอยากจะบอกเป็นสโลแกนเลยนั่นก็คือ “แค่คุณมีตังคุณก็สามารถบันดาลทุกอย่างได้เลยบนนี้” จะมาแต่ตัวก็ยังได้เลย ถึงหนทางของที่นี่จะค่อนข้างเหนื่อย และลำบาก แต่ตลอดเส้นทางมีร้านค้า มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน แบกของไม่ไหวก็จ้างลูกหาบแบกได้ สบายอะไรเบอร์นี้ พึ่งเคยเจอทริปแรกนี่ล่ะ เพราะปกติ เราจะไปทริปที่ค่อนข้างลำบากและใช้ทรัพยากรที่มีอย่างจำกัด แต่ทริปนี้เรารู้สึกว่าเราไม่จำเป็นต้องจำกัดอะไรเลยแฮะ 555+



ของที่เราเอาไปก็ตามสะดวกเลย คล้าย ๆ ทริปเชียงใหม่ที่เราเขียนรีวิวไปเมื่อต้นเดือน ธ.ค. แหละ

1. ไฟฉาย เอาไว้เดินไปห้องน้ำตอนกลางคืนที่ภูกระดึง และไว้ใช้ในการเดินกลับจากผาหล่มสักตอนเย็น เพราะคุณจะต้องเดินกลับจุดกางเต็นท์ร่วม 10 กว่าโล ต่อให้วิ่งกลับยังไงก็ไม่ทันพระอาทิตย์ลับของฟ้าอยู่ดี (นอกจากนั่งซ้อนมอเตอร์ไซด์เจ้าหน้าที่= =”) และใช้อีกครั้งตอนเช้าของคืนถัดไปเพื่อไปดูพระอาทิตย์ขึ้น แต่อาจไม่จำเป็นเพราะคนเดินไปเยอะมาก อาศัยเดินตามคนอื่นหรือใช้ไฟมือถือก็ได้จ่ะเพราะแปปเดียวเอง



2. Power Bank ถ้าไม่ได้เอาไป เราสามารถเอาไปชาร์จกับ อช.ภูกระดึง หรือร้านค้าบนภูกระดึงได้ หรือแม้แต่ที่เชียงคานก็มีจุดชาร์จที่หน้า สภ.เชียงคาน แต่มันไม่สะดวกหรอก เชื่อเหอะ เพราะต้องเอาไปฝากที่เขา จะไปนั่งเล่นระหว่างชาร์จก็ไม่ได้ เอาไปน่ะดีแล้ว ซึ่งหลัก ๆ แล้วก็เอาไว้ชาร์จมือถือแค่นั้นล่ะ พาวเวอร์แบงค์ก้อนใหญ่ขนาด 30,000 มิลลิแอมป์ เพียงพอสำหรับเราใน 4 วันนี้แล้ว เอาไว้ชาร์จแบตกล้องด้วย จบทริปยังเหลือประมาณ 10% แน่ะ



3. เต็นท์ ไม่จำเป็นต้องเอาไปก็ได้ ที่ อช.ภูกระดึงมีให้เช่าพออยู่แล้วเยอะมาก แต่เราเอาไปด้วยนะ ซึ่งเต็นท์ที่เราเอาไปเป็นเต็นท์โลตัส 599 บาท (ซึ่งตอนนี้ลดเหลือ 199 เป็นที่เรียบร้อย T^T) เพราะฉะนั้น มันไม่มี Fly Sheet พอโดนน้ำค้างแรง ๆ ก็จะมีน้ำค้างเข้ามาในเต็นท์เต็มเลยเหมือนตอนที่เราไปที่ห้วยน้ำดัง ซึ่งคุณ Navigator บอกว่าบนภูกระดึงน้ำค้างแรงมาก ๆ แต่โชคดีที่ตอนเราไปไม่หนาวมาก และน้ำค้างไม่แรง จึงเอาอยู่อีกตามเคย ถ้าไม่โดนฝนซะก่อนนะ = =”



4. ถุงนอน ก็เหมือนเต็นท์ล่ะ มีให้เช่าเหมือนกันยันผ้าห่มเลย แต่ถ้าคิดจะไปกางเต็นท์ที่เชียงคาน ควรเอาไปด้วยนะ เพราะที่หน้า สภ.เชียงคาน ไม่มีให้เช่าอะไรทั้งนั้น มีแค่ห้องอาบน้ำก็หรูแล้ว.. อ้อ! พูดถึงห้องน้ำ จะบอกว่าห้องน้ำทุกที่ไม่มีน้ำอุ่นนะ เตรียมใจไว้เลย 555+



5. เครื่องอาบน้ำ สบู่ ยา+แปรงสีฟัน ยาสระผม ผ้าเช็ดตัว บลา ๆ ๆ ตามสะดวกเลยเน่อ



6. เสื้อผ้า กางเกงใน เสื้อกันหนาว ถุงเท้า ส่วนหมอนนั้นเราเอากระเป๋าเรานี่แหละเป็นหมอนนอนเลย



7. กล้องถ่ายรูป ทริปนี้เราใช้กล้อง Compact Sony RX1 และ RX100M3 ช่วยกันถ่ายตลอดทริป ซึ่งรูปทั้งหมดไม่มีการปรับแต่งใด ๆ นอกจากภาพหัวกระทู้ เนื่องจากอยากให้คุณผู้ชมได้เห็นสภาพของสถานที่จริง ๆ ที่ไม่ได้แต่งแบบธรรมชาติ... (เลิกเล่นเหอะมุขนี้ เล่นมาหลายกระทู้ละ ชาวบ้านเอือมแล้วเหอะ -*-)



เมื่อเตรียมตัวเสร็จแล้ว เราไปลุยกันเล้ย!!!!!

ทริปนี้ต่างจากทริปที่เราไปมาก่อน ๆ ทุกทริปที่ไปรถทัวร์ เนื่องจากเป็นช่วงเทศกาล เราจึงจองตั๋วของขนส่งไม่ทัน การนั่งรถทัวร์เสริม ทำให้เราต้องแวะย้อนมานั่งที่ขนส่งหมอชิตเท่านั้น เป็นครั้งแรกในชีวิตเลยที่เรานั่งรถทัวร์ที่หมอชิต และคนก็เยอะมาก ๆ เลย

คุณ Navigator แนะนำว่าให้ซื้อขนมก่อนที่จะออกเดินทาง เพราะตรงจุดที่เราจะลง บวกกับบนภูกระดึง ก็ไม่ได้มีขนมในแบบที่เธอต้องการ และตรงจุดนั้นไม่มีเซเว่นด้วย เราจึงซื้อเสบียงตุนไว้สำหรับการเดินทาง และเดินป่าขึ้นภูกระดึงเลย

รถที่มารับเรา มาไม่ตรงเวลา เนื่องจากรถทัวร์ไปติดอยู่ข้างนอกขนส่ง เพราะรถติดมาก ๆ ซึ่งเราจองตั๋วรถทัวร์ออกตอน 21.25 น. แต่ต้องรอยัน 4 ทุ่ม บรรยากาศตรงจุดนั้น ค่อนข้างตึงเครียดเพราะคนเยอะมาก ใคร ๆ ก็อยากจะไปแล้ว

แต่สุดท้าย 4 ทุ่มกว่า ๆ เราก็ได้ขึ้นรถจากความมีไหวพริบของคุณ Navigator ทำให้เราได้ขึ้นรถทัวร์ที่มาเป็นคนแรก (ถ้าเป็นเราไปคนเดียวคงยืนเอ๋อตกรถไปแล้ว TT) และทำให้เราได้นั่งในที่ประจำของเรานั่นคือข้างหน้า ตามที่เราได้จองในตั๋วไว้ ซึ่งนอกจากจะวางของได้เยอะแล้ว ก็ยังนั่งสบายสุด ๆ เบย ^ ^”

เราถึงขนส่งที่ผานกเค้าของบริษัท ภูกระดึงทัวร์ ที่เรามาในเวลาประมาณ 7.30 น.

จากนั้นแวะร้านเจ๊กิมทันที่ เพื่อแวะกินข้าวเช้า และซื้อขนมบางอย่าง

ด้านหลังของร้านเจ๊กิมมีที่นั่งพักสำหรับนักเดินทาง ที่มาเที่ยวหรือรอรถกลับ และมีห้องน้ำให้เข้าด้วย เพื่อเตรียมตัวก่อนออกเดินทางล่ะ

และเมื่อเราเตรียมตัว กินข้าว เข้าห้องน้ำเสร็จแล้ว เราก็เดินทางกันต่อด้วยรถสองแถวหน้าร้านเจ๊กิมนั่นเลย คนละ 30 บาทล่ะ

ค่าเข้าก็ตามนี้เบย ผู้ใหญ่คนละ 40 บาทจร้า

เราถึงจุดบริการนักท่องเที่ยว อช.ภูกระดึง ประมาณ 8.30 น. เห็นจะได้

และก็เข้ามาในตึกเพื่อทำการติดต่อเพื่อขอกางเต็นท์ได้เลย ค่าธรรมเนียมคนละ 30 บาท/คน/คืน รวมเป็น 60 บาท/คน นิ

ที่นี่มีให้ซื้อประกันคุ้มครองด้วย คนละ 6 บาท แต่เราไม่ได้ซื้อนะ เพราะเชื่อใจว่าคุณ Navigator จะไม่พาเราเดินสะดุดหินลื่นตรงไหน 555+

มีของที่ระทึกด้วยนะ เหรียญผู้พิชิต เหรียญละ 200 บาทล่ะ

จากนั้นเราก็มายังจุดที่ติดต่อขอลูกหาบแบกของขึ้นภูกระดึง ซึ่งเราจะต้องซื้อ Tag สำหรับติดสัมภาระแต่ละชิ้นก่อนใบละ 5 บาท/แผ่น

จากนั้นก็เอาไปติดที่สัมภาระและที่เหลือก็เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่และลูกหาบ เรามีหน้าที่ขึ้นไปเอาระเป๋าก็พอจร้า

ปล.แนะนำให้แยกเสื้อผ้าและเครื่องอาบน้ำที่เราจะเปลี่ยนออกมาก่อน เพราะลูกหาบใช้เวลาพอสมควรก่อนที่จะถึงยังจุดกางเต็นท์ เราจะได้มีเสื้อผ้า และได้อาบน้ำรอเลย ไม่เสียเวลาจร้า

ก่อนที่เราจะขึ้นไป ต้องมาลงชื่อตรงนี้ก่อน ซึ่งใครมีบัตรประชาชนที่มีบาร์โค้ด ก็ใช้สแกนได้เลย ไม่ต้องเสียเวลาลงชื่อในกระดาษล่ะ

อ้อ! ลืมบอก ที่นี่เปิดให้ขึ้นได้ช่วง 7.00 น. – 14.00 น. เนอะ ถ้าไปสายกว่าบ่าย 1 เราว่าคงไม่ไหว เพราะใช้เวลาเดินพอสมควรเลย อย่างเราขึ้นประมาณ 9.00น. ถึงหลัวแป (ลานทางราบ) เดินแบบก็ไม่ได้ช้ามากมาย มีพักบ้างไรบ้าง ก็ถึงประมาณบ่าย 2 แล้ว (5 ชม.) นี่แค่ 5.5 โลนะ เพราะระยะทางถึงจุดกางเต็นท์ จากหลังแปอีก 3.5 โล เลยแนะนำว่าให้เดินขึ้นช่วงเช้า ๆ ไม่เกิน 9 -10 โมงดีที่สุดแล้วฮะ จะได้ไม่เครียดมาก เพราะจะได้ถึงจุดกางเต็นท์ไม่เย็นมากจร้า

ก่อนที่เราจะไปเริ่มเดินทางกันมาดูแผนที่กันก่อน ซึ่งเราใช้แผนที่นี่แหละในการใช้ชีวิตบนภูกระดึงแห่งนี้ โดยอธิบายตามภาพคือเราจะต้องเดินขึ้นเขาประมาณ 5.5 กิโลเมตร จากศูนย์บริการบ้านศรีฐาน ถ้าคนปกติทั่วไปที่ไม่ได้แกร่งมาก หรืออ่อนเกินไป ตรงช่วงนี้ก็น่าจะเดินกันประมาณ 5 ชั่วโมง ซึ่งมันเป็นทางชันเดินขึ้นเขา แต่ไม่ต้องห่วง ระหว่างทางมีร้านค้าแทบทุกจุดพักในแผนที่ ซำ ๆ ทั้งหลายนั่นแหละ 555+

หลังจากเลยทางขึ้นเขาไปยังหลังแปแล้ว ก็จะเดินต่ออีกประมาณ 3.5 กิโลเมตร ซึ่งเป็นทางราบเดินชิล ๆ เพื่อไปยังศูนย์บริการวังกวาง ซึ่งเป็นจุดหมายการกางเต็นท์ของเราจร้า

หลังจากนี้จะเป็นทางเดินจริง ๆ แล้วนะ *0*

เส้นทางก่อนถึง “ชำแฮก” จะเป็นเสมือนจุดวัดใจเลย เพราะจะเหมือนเป็นเส้นทางรับแขกที่ชันมาก เราให้เป็นอันดับ 2 เลย อันดับ 1 คืนเส้นทางหลังจาก “ชำแคร่” ในรูปแผนที่ด้านบน ซึ่งยอมรับเลยว่าตอนแรกที่เดินยังคิดเลยว่ามันจะเป็นอย่างงี้ตลอดมั้ยเนี่ย ถ้าเป็นงี้ตลอดนี่มันโหดกว่าลำคลองงูอีกนะ และทำไมถึงยังเป็นทริป มือใหม่ดาวเดียวได้เนี่ย!!

(ทางหลังจากที่ผ่าน Check In ทางเข้ามาแล้ว เดินขึ้นไปเรื่อย ๆ เลย)

บางช่วงชันมาก ก็ต้องมีบันไดให้ขึ้นเหมียนกัน ซึ่งเราเริ่มจะออกอาการเหนื่อยแถวช่วงนี้ละ...

เราจะเจอลูกหาบแบกของเป็นระยะ ซึ่งจากการเผือกฟังชาวบ้านเขาคุยกัน ก็ได้ความว่าลูกหาบแต่ละคนถ้าเป็นผู้ชาย จะแบบน้ำหนักพีค ๆ เลยคือ 70-80 กิโลกรัม *0* แต่ถ้าเป็นผู้หญิงก็จะได้ประมาณ 30-40 กิโลกรัม ซึ่งเราจ้างพวกเขากิโลกรัมละ 30 บาท(ไม่แน่ใจว่าราคานี้ทั้งปีมั้ย) ซึ่งคูณเล่น ๆ พีค ๆ เลยรอบนึงก็ได้ประมาณ 2,400 บาท ถ้าได้ทั้งขึ้น – ลง วันนึงก็เกือบ 5 พันละ แต่เราว่าต้องมีหักหัวคิวบ้างล่ะ และคนก็ไม่ได้พีคทุกวันเหมือนปีใหม่ ดังนั้นก็ต้องให้เขาล่ะเนอะ

และแล้ว... เราก็มาถึงป้ายชำแฮกจนได้ แฮ่กๆๆๆๆๆๆ ว่าละทำไมถึงเรียกชื่อนี้ เพราะมันแฮ่ก ๆ ๆ สมชื่อเลย -*-

และก็อย่างที่บอก Check Point แต่ละที่ ที่เป็นชื่อชำๆ ทั้งหลายจะมีร้านค้าอยู่ แทบทุกชำ และเราก็พักชำนี้เป็นชำแรก เพราะ ก่อนที่จะถึงจุดนี้เลาเหนื่อยเหลื๊อออ เกินนนน *0*

แต่ละซำที่มีร้านค้า ส่วนใหญ่ก็จะขายอาหารตามสั่ง ก๋วยเตี๋ยว เครื่องดื่ม ของกินขนมต่าง ๆ และพวกเสื้อผ้าของที่ละทึก! เอ้ยละลึกสิ อิอิ... แต่ราคาจะแพงกว่าซื้อข้างล่างพอสมควร เพราะต้องจ้างลูกหาบแบกขึ้นมา เขาก็คิดต้นทุนในตัวสินค้าทั้งหมดแล้ว อย่างน้ำเปล่าขวดเล็กขวดนึงซื้อเซเว่น 10 บาท ถ้ามาซื้อที่ชำแฮก จะราคา 20 บาท แต่ถ้าขึ้นไปเรื่อย ๆ ราคาก็จะ Add ขึ้นไปเรื่อย ๆ ตามระดับความสูง และพีคสุดที่ขวดละ 30 บาท เป็นต้น

เราเดินต่อไปสักพักก็จะมีห้องน้ำบริการด้วย และก็มีทุกชำที่มีร้านค้าล่ะ

ทางหลังจากชำแฮก ก็จะเป็นทางเดินราบ และก็มีทางชันบ้างประปราย แต่ไม่โหดเท่าก่อนชำแฮกแล้ว สบายใจได้ เดินชิลพอสมควรเบย

เราเจอกันอีกแล้วนะจ๊ะคุณลูกหาบบบ

เดินมาซักพักก็ถึงป้ายซำบอน และซำกกกอก ตามลำดับ ซึ่งตรงนี้ไม่มีร้านค้านะ เป็นเหมือนจุดบอกชำแต่ละจุดในแผนที่เท่านั้น ที่จะบอกว่าเดินไปในจุดต่อ ๆ ไปอีกกี่ร้อยเมตร ให้นักท่องเที่ยวมือใหม่อย่างเรา ๆ ได้มีความชื้นใจบ้างว่า เราไม่ได้เดินอย่างไร้จุดหมายน้า T^T

จุดต่อมาคือชำกอซาง ซึ่งห่างจากชำแฮกที่เรานั่งพักไปไกลนัก มีร้านค้าเช่นเดียวกับชำแฮกแหละ แต่ตอนนี้เรากำลังฟิต ๆ เพราะได้พักละ ก็ทำได้แค่เดินผ่านปายยย

ทางหลังชำกอซาง จะเริ่มโหดขึ้นมาอีก Level ละ แต่ยังไงก็ไม่เท่าชำแฮกหรอกน่า อิอิ

มีทางเดินลัดด้วยนะ ถ้าไม่อยากเดินตรงราวเหล็ก สาย Adventure อย่างเรามีหรือจะมองข้าม รีบขึ้นไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้คุณ Navigator เดินตรงราวเหล็กนั่นแหละ กรัก ๆๆ

มีป้ายบอกทางให้เราชื้นใจเป็นระยะ ๆ ให้เราดูจากแผนที่ที่เราโพสข้างบน ก็จะมีกำลังใจขึ้นว่ามันถึงจุดไหนละน้า

ฮึบๆๆๆ

และแล้วเราก็ถึงจุด Check Point ที่ 2 ของวันแรกละ ซึ่งเป็นเวลาประมาณเที่ยงพอดี ถ้าขึ้นมาประมาณ 9 โมงเหมือนเรา และเดินแบบ Slow Life เช่นพวกเราด้วย ก็น่าจะถึงจุดนี้ประมาณพวกเราเนอะ แล้วก็พักกินข้าวเที่ยงกันที่นี่แหละ

มีแผนที่ให้เราดูด้วยว่าจุดไหนเป็นจุดไหน ซึ่งเอาจริง ๆ เราพึ่งหัดดูแผนที่หลังจากที่ขึ้นไปเดินบนภูกระดึงได้ซักพักเอง ระหว่างทางถามคุณ Navigator จนเธอโกรธเลย ว่าทำไมไม่หัดดูแผนที่ ซึ่งเก๊าขอโต๊ดดดดด T^T

กระเพราะบ้าน ๆ แต่จานละ 50 เลยนะ คิดค่าหาบวัตถุดิบมาแล้วล่ะ

เดินกันต่อไปจร้า

โอยยย ของแท้แน่นอน ของแท้จาก Bandai ไง... เอิ่ม... เล่นแบบเขารู้อายุเลยนะ = =”

เจอป้ายอีกล้าววว ถ่ายทุกป้ายเบยยย

เอ้าเดินเข้าไป!! ครึ่งทางได้ละเฟ้ยยยย

และแล้วเราก็ถึงชำกกโดน เป็นจุด Check Point ที่เรามองเห็นวิวได้ชัดเจนเลย และมีห้องน้ำที่ดีที่สุดในบรรดา ซำต่าง ๆ ที่เราเดินผ่าน และแน่นอน เราเดินมาเกินครึ่งทางแล้ววววว

เราเจอใบเมเปิ้ลใบแรกที่นี่แหละ

มีร้านค้าอีกเช่นเคยที่จุดนี้ แต่เราเลือกที่จะเดินต่อ เพราะว่าพึ่งแดร๊ก.. เอ้ย!รับประทานข้าเที่ยวมาแล้ว (ทำไมพูดเพราะจุง*-*)

ตั้งแต่จุดนี้ขึ้นไปจะเริ่มเห็นป้ายนี้ละ ซึ่งเราไม่ได้เดินถึงในช่วงเวลาที่ดึกมาก ดังนั้นไม่ต้องเป็นห่วงแจ้

เดินกันต่อปายยย

และแล้ว....... เราก็เดินมาถึงจุด Check Point จุดสุดท้ายของทางเดินขึ้นภูแล้ว นั่นคือ “ซำแคร่” นั่นเอง หลังจากนี้จะเป็นทางแคบ ๆ ขึ้นเขาต่างจากที่เราเดินมาตั้งแต่ตีนเขา ประมาณ 500m แต่เป็น 500m ที่ทรมานจิตใจมาก TT... ซึ่งเราก็พักกินขนมกับน้ำดื่มตรงนี้ซักพักแหละตามคำแนะนำของคุณ Navigator

เดินได้อยู่

เริ่มโหดขึ้นเรื่อย ๆ ละ *-*

มีคนเขากิ่งไม้ไปค้ำหินด้วย คิดได้ไงเนี่ย 555+

เริ่มเจอของแท้อีกละ Bandai… เอิ่ม..นายเลิกเล่นเหอะขอร้อง-*-

เริ่มทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ

ถึงหลักกิโล 5 กินโลเมตรแล้ว เราใกล้จะถึงละนะ ขาจ๋า อย่าพึ่งเป็นอะไรไป TT

ทางหลอกลวง มีทางราบจึ๋งนึงให้ชื้นใจเล่น ๆ ก่อนจะเล่นบทโหดชันยาว ๆ เลย *0*

บันไดดูดวิญญาณ โคตรชันและล้าขามากมาย

และแล้วเราก็เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์แล้ นี่แหละบันไดขั้นสุดท้ายก็ที่จะขึ้นไปหลังแป ยุติการขึ้นเขาอันหฤโหดของเราในวันนี้ T^T

นี่แหละที่เขาเรียกว่าหลังแป หรือจุดพัก เรามาถึงที่นี่ประมาณ บ่าย 2 กว่า ๆ ซึ่งจุดนี้จะเป็นจุดที่ลูกหาบแบกของขึ้นมาก่อนจะใส่รถเข็น เข็นไปยังจุดกางเต็นท์ที่ศูนย์บริการวังกวาง ซึ่งตรงจุดนี้เราสามารถได้ว่าจะเดินไปแบบคนส่วนมาก หรือจะเช่าจักรยานปั่นไป ซึ่งจากคำบอกเล่าของคุณ Navigator ให้การว่าเธอเคยเช่าปั่นบนนี้แล้ว ปรากฏว่าไม่เวิร์ค มันเจ็บตูดมาก เลยเดินดีกว่า (ซึ่งถ้าเรามีโอกาสมาคนเดียวจะมาลองเช่ามาปั่นทำรีวิวให้ดูอีกเนอะ อิอิ)

มีวิวสวย ๆ ให้ดู ให้หายเหนื่อยกับการเดินทางอันยาวนาน

ป้ายไฮไลท์ที่ทุกคนที่มาถึงจะต้องถ่ายคู่กับมันไว้ 555+

ไม่แน่ใจว่าใช้ต้นเมเปิ้ลมั้ย ไม่อยากเขียนมั่ว เดี๋ยวคุณ Navigator มาอ่านเก๊าจะโดนด่าอีกว่าทำไมชอบเขียนรีวิวมั่ว ๆ T^T

เส้นทางหลังจากนี้ก็เดินกันยาว ๆ อี 3.5 กิโลเมตรเลย ชิลแล้วววววว อิอิ

วันที่เราไปเป็นช่วงที่มีฝนตกต่อเนื่องกันทุกวันก่อนหน้าวันที่เราไป 2 วัน ทำให้มีบางช่วงที่เดินขึ้นมา และบางช่วงบนแปนี้เป็นพื้นแฉะ ๆ แต่ก็ไม่มีปัญหาหรอก เดินสบาย ๆ จ่ะ

เดินชิล ๆ

ต้นไม้ในตำนาน *0*

เราเดินไปเรื่อย ๆ ประมาณ บ่าย 3 ละ กับอุณหภูมิที่เริ่มจะเย็นเหลือ 22 องศาละ

ถึงล้าววว ศูนย์บริการนักท่องเทียววังกวาง สาเหตุที่ใช้ชื่อนี้เพราะตรงจุดที่เรากางเต็นท์นี่แหละ กวางเยอะมาก แต่เราไปไม่เจอนะ คนอื่นอาจเจอก็ได้เนอะ

จุดนี้คือศูนย์บริการนักท่องเที่ยว เราจะทำการติดต่อเช่าของต่าง ๆ และชาร์จมือถือหรืออื่น ๆ ได้ที่นี้ด้วยล่ะ แต่เรายังไม่ติดต่ออะไรทั้งนั้น ไปนั่งพักแพร๊บนึง ก่อนแบ่งกันไปอาบน้ำ ในส่วนของเสื้อผ้า และเครื่องอาบน้ำที่แยกเตรียมมา เพราะกว่าลูกหาบจะขึ้นมาถึงก็คงใช้เวลาพอสมควร เทคนิคนี้ต้องชื่นชมประสบการณ์การมาภูกระดึงมากกว่า 5 ครั้ง ของคุณ Navigator เลย แจ่มจิม ๆ



เมื่อกระเป๋ามาแล้ว ก็ให้นำหางบัตรที่เราได้ (เก๊าไม่ได้ถ่ายมา==”) ซึ่งในหางบัตรจะบอกน้ำหนัก และเลขที่ของสัมภาระ ต้องตรงกันถึงจะซื้อกลับมาได้ กิโลกรัมละ 30 บาท กระเป๋าเราน้ำหนักรวมเต็นท์ก็ 7 กิโลมกรัม เป็น 210 บาทจ่ะ

ไม่พูดพร่ำทำเพลง หลังจากได้ระเป๋ากับเต็นท์มาแล้ว เราก็ไปหาจุดกางเต็นท์เริ่มกางทันใด หึๆๆ

บรรยากาศตอนนั้นก็บ่าย แก่ ๆ แล้วเนอะ อาบน้ำเสร็จ ก็ทำการติดต่อเช่าแผ่นรองนอน+ผ้าห่ม (ราคาเลื่อนไปดูที่สรุปค่าใช้จ่ายได้จ่ะ) ซึ่งเราจะต้องไปติดต่อที่จุดศูนย์บริการนักท่องเที่ยวเลย จ่ายชำระเงิน ไม่ต้องใช้บัตรอะไรวางทั้งนั้น (คงไม่มีใครบ้าขโมยของพวกนี้เดินลงไปด้วยหรอก-*-) เราจะได้ใบเสร็จมา ให้นำไปแลกของตามจุดต่าง ๆ ที่บอกไว้

แลกผ้าห่มตรงเน้

มีเต็นท์ของ อช.ภูกระดึง มากมายเลย ใครไม่เอาเต็นท์มาเช่าได้ทันใด แต่ราคาเท่าไหร่เราไม่ได้ถามมานะ (เอิ่ม.. เป็น Reviewer ที่ชุ่ยจัง มิน่าคุณ Navigator ถึงได้บ่นเช้า บ่นเย็น บ่นจนหูชา = =”)

(ทำไมมี Fly Sheet ทุกหลังเลยฟะ)



Skip ไปที่หัวค่ำเลย อย่างที่บอกว่าที่นี่แค่คุณมีตังคุณจะบันดาล อะไรก็ได้ นี่คือตลาดกลางคืนบนภูกระดึง มีร้านอาหารมากมาย ซึ่งราคาจะค่อนข้างแพง เพราะต้องจ้างลูกหาบแบกขึ้นมา ชนิดที่ว่าทุกอย่างราคา*2 เป็นอย่างต่ำจากข้างล่างเลย เช่นน้ำเปล่าขวดเล็ก 10 และ 20 บาท ซื้อที่นี่ 30 และ 60 บาท ข้าวราดแกง 2 อย่าง 35 แต่บนนี้ 2 อย่าง 70 บาท และที่พีค ๆ เลยคือหมูกระทะ @ภูกระดึง เป็น Signature ของที่นี่เลย ชุดละ 400 -500 บาท แต่เราไม่ได้กินนะ ขืนกินคุณ Navigator ด่ายับแน่นวล เพราะเราอยู่ในช่วงลดความอ้วน T^T

มีไปรษณีย์ให้ส่งด้วย แต่ ณ จุดนั้นเราเหนื่อยมากละ ไม่มีแรงเขียนจดหมายถึงตัวเองละ ก็เลยไม่ได้เขียนส่งอะไรเหมือนทริปที่ผ่าน ๆ มา = =”

ข้าวจี่ เป็น Signature ของภาคอีสานเลย ไปที่ไหนก็ต้องเจอ อันละ 10 บาทเองนะ

ข้าวเย็นที่เรากินกันจร้า ทั้งหมดที่เห็นนี้ 150 บาทจ่ะ

และหลังจากนั้นเราก็เรื่อยเปื่อยกันก่อนนอนประมาณ 4 – 5 ทุ่มเพื่อชาร์จพลังในวันพรุ่งนี้ ซึ่งสิ่งที่อยากจะบอกเลยคือคืนแรกที่เรานอนลมแรงมาก มีฝนตกแบบช่วง ๆ แต่เต็นท์อันละ 599 (ลดเหลือ 199 ภายหลัง= =”) ก็เอาอยู่เหมียนเดิม อิอิ

Day 2 การผจญภัยบนภูกระดึง กับบทพิสูจน์ของความรัก (แล้ว Day 1 อยู่ไหนฟะ -*-)

เปิดมา Day 2 กับบรรยากาศสายหมอกสุดฟรุ้งฟริ้งในยามเช้า

นี่คือจุดกางเต็นท์ทั้งหมดของที่นี่ ซึ่งคุณ Navigator บอกว่าสามารถจุคนได้กว่า 5 พันคนเลย ซึ่งเธอบอกว่าตอนที่เธอเคยมาช่วงปีใหม่ซักปี ก็เจอเป็น 5 พันคนเลย แต่วันที่เราไปนั้นมีแค่พันกว่าคนเอง บรรยากาศเลยไม่อึดอัดมากนัก

อากาศในยามเช้าที่ประมาณ 16 องศา

หลังจากนั้นเราก็ไปยังตลาดกลางคืนที่เราไปกินข้าวกันเมื่อคืน (มันก็เช้าละจะเรียกตลาดกลางคืนเพื่อ?)

กินข้าวราดแกง 2 อย่าง 70 บาท กับปาท่องโก๋ชุดละ 20 บาท และเราก็ไปซื้อเสบียงข้าวกล่องเพื่อที่จะได้กินกันตอนเที่ยง กล่องละ 60 บาท แต่ทว่า เราตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทางการเดินซะก่อน แต่ยังไงซะก็ได้กินอยู่ดีล่ะข้าวกล่องที่ซื้อมา อิอิ

ซึ่งหลังจากจุดนี้คุณ Navigator ก็งอลใส่เราเรื่องกิน เพราะเรากินมากเกินไป ไม่เหมือนที่ตกลงกันไว้ว่าจะลดน้ำหนัก ทำให้เราต้องเดินไป ง้อไปในบางช่วงของทริปวันนี้ T.T



เมื่อกินข้าวกันเสร็จแล้ว เราก็เริ่มไปเดินให้รอบภูกระดึงข้างบนเลย ซึ่งเราขอแปะแผนที่อีกครั้งที่จะเดินในวันนี้นะ จะได้ไม่ต้องเลื่อนไปดูไกลๆ วงสีแดงคือทางเดินทั้งหมดของเราในวันนี้ ซึ่งรวมระยะทางที่เราเดินแล้วนั้นก็ประมาณ 20 กว่าโลเห็นจะได้ โดยเริ่มเดินจากจุดสีน้ำเงิน “ศูนย์บริการวังกวาง” หรือที่ป้ายตามทางที่เดินจะเขียนทางไปว่า “ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว” นั่นแหละ อันเดียวกัน และก็เลขแต่ละจุดที่เราแปะไว้นั้นคือลำดับที่เราเดินกัน ทิปที่จะบอกคือ ร้านค้าจะมีเฉพาะเรียบผาเท่านั้น ที่เป็นวงกลมสีเขียว(ยกเว้นผาจำศีล) ดังนั้น Manage เวลาในการเดินให้ดี ๆ ด้วย และเมื่อพร้อมแล้วก็ไปกันเลยจร้า

ข้างหลังนี้มีเป็นบ้านพักด้วยแฮะ พึ่งเห็น สำหรับคนที่ไม่สามารถนอนเต็นท์ได้ หรือไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม มาเช่านอนที่บ้านพักนี้ได้นะ ราคาเท่าไหร่ไม่ยู้ ไม่ได้ถาม

เราเดินไปในทางตามป้ายนี้เลย จะเจอสถานที่ตามในป้าย หรือดูในแผนที่เนอะ ว่ามันจะไปทางไหน

ทางเดินช่วงแรก ๆ ก็จะประมาณนี้

1.น้ำตกวังกวาง

และเราก็มาถึงน้ำตกเล็ก ๆ ที่ชื่อว่าน้ำตกวังกวางละ ก็จะประมาณนี้จ่ะ

ป้ายบอกทางไปต่อยังน้ำตกเพ็ญพบใกล้ ๆ นี้ล่ะ

ทางเดินจร้า

2.น้ำตกเพ็ญพบใหม่

ถึงแย้วววว

ซึ่งที่นี่จะมีต้นเมเปิ้ล และมีน้ำตกอยู่ด้านล่าง ตามตำตามที่คุณ Navigator เล่าว่า ชื่อน้ำตกนี้ได้มาจากชื่อของนักมวยคนหนึ่งที่มาเก็บตัวในที่แห่งนี้ จึงได้ชื่อตามคนที่พ้นน้ำตกแห่งนี้ แต่ไม่ได้รายละเอียดอะไรมากนัก เพราะอย่างที่บอก คุณ Navigator งอลเราอยู่ตอนนั้น ก็เลยไม่ค่อยพูดอะไรกับเรามากนักในตอนนั้น TT

เราไม่ได้ลงไปถ่ายข้างล่างตรงน้ำตกนะ เพราะคุณ Navigator บอกว่าเดี๋ยวจะมีน้ำตกที่อลังการงานสร้าง และมีเมเปิ้ลที่โคตรจะเยอะมากกว่านี้ เราจึงตัดสินใจที่จะเดินต่อแล้วไม่ได้ลงไปจ่ะ

นั่นล่ะจ่ะทางลง

เดินเรียบทางมาเรื่อย ๆ ก็จะเป็นทางของฝุ่น... ที่เธอเห็นแค่ฝุ่นมันเข้าตา ชั้นไปได้ร้องห้ายยยย ถุ้ย!!!! มุขบร้าไรเนี่ย... มันคือทางน้ำเด้อ

ทางที่เราเดินไปในช่วงตรงนี้สวยงามมากเลย เหมือนได้อยู่ในโซนของธรรมชาติเลย

3.น้ำตกโผนพบ

เดินมาซักพัก ก็มาเจอกับ “น้ำตกโผนพบ” ล่ะ ซึ่งสวยมาก ๆ โลยยยย

น้ำตกโผนพบ เป็นทางเรียบเดินเข้าไปด้วยนะ เดินยากนิดนึง แต่รับรองว่าง่ายกว่าที่เราเดินขึ้นมาที่แปแน่นวล 555

มีรูปเมเปิ้ลให้เราดูเป็นระยะ ๆ เลยนะ

จุดพัก Check Point ที่แรก เรานั่งพักตรงนี้ ชื่อน้ำตกอะไรก็ไม่รู้ ไม่มีป้ายอะ 555+

เจอป้ายเรื่อย ๆ เบยยย

4.น้ำตกเพ็ญพบ

เจอแบ้ว แต่... โอ้ยยยย น้ำตกที่นี่สูงถึง 80m แน่ะ แต่ตอนนั้นคุณ Navigator งอลเก๊าอยู่ เลยไม่เดินตาม มา เก๊าจึงไม่เข้าก๊ะด่ะ

เดินต่อดีก่า

เดินมาซักพักก็เจอลำธารเมเปิ้ล คุณ Navigator ก็เดินดุ่ม ๆ ลงไป ไม่รอเราเลย เพราะงอลเราอยู่ = =”

เรานั่งพักที่นี่เพราะมันสวยจิม ๆ น้ำใสเห็นตัวปลาเบย > <”

ตรงช่วงนี้เราเห็นเมเปิ้ลตกเต็มเลย เป็นสัญญาณว่า เรากำลังจะถึงน้ำตกที่คุณ Navigator บอกแล้ว ว่ามันเป็นน้ำตกที่เมเปิ้ล อลังการที่สุดในภูกระดึงงงงงงงง.. เอิ่ม... ตรูเป็นบร้าอะไรเนี่ย ==”

5.น้ำตกถ้ำใหญ่

หรือเราเรียกเองว่าน้ำตกเมเปิ้ล

เมเปิ้ล โคตรๆๆๆๆๆ อลังการเลย แต่คนที่มาก็อลังการเหมือนกัน เหมือนมาภูกระดึงเพื่อสิ่งนี้กันเลยเนอะ 555+

สิ่งที่เราอยากจะบอกคือ เรากับคุณ Navigator ปรับความเข้าใจ และคืนดีกันที่น้ำตกแห่งนี้ เราก็เลยเรียกน้ำตกนี้อีกชื่อว่าน้ำตกคืนดี ♥

เดินกันต่อดีกว่าเนอะ เค้าเขิลอะ ฮิ้วววว > <”

จากน้ำตกถ้ำใหญ่ ถ้าดูจากแผนที่ข้างบน จะเห็นว่าเป็นทางแยกแล้ว และจุดเปลี่ยนของทริปนี้ก็คือตรงนี้ อันที่จริงเราต้องเดินไปทางน้ำตกสอเหนือ ผ่านสถานีโทรคมนาคม เพื่อไปยังผาหล่มสัก แต่เราอยากไปดูพระพุทธเมตตา ซึ่งต้องเดินย้อนกับไปยังจุดที่?? และคุณ Navigator อยากไปดูสระแก้ว ที่เป็นทางเดินไปยังผานาน้อย และเดินซิกแซกกลับมาทางหลักเก่า ไม่ได้เดินเรียบผา ทำให้ทริปนี้เราเดินมากขึ้นกว่าปกติจากชาวบ้านประมาณ 3 กิโลกรัม.. 3 กิโลเมตรปะ?-*- ซึ่งเหตุการณ์นี้ จะเป็นไง ติดตามต่อแจ้

พอออกมาจากน้ำตกเมเปิ้ล เราก็พบว่า ที่ภูกระดึงแห่งนี้สามารถปั่นจักรยานได้ทั่วทุกที่เลย เอาไว้คราวหลังจะลองเช่าปั่นดูและมาทำรีวิวนะ 555+

เราตัดสินใจเดินย้อนไปยัง “พระพุทธเมตตา” ในแผนที่

นี่แหละ สถานที่ พรุทธเมตตา ประวัติเราไม่รู้เหมือนกันเพราะไม่ได้อ่าน (นี่ตรูเป็นรีวิวเวอร์จิงปะเนี่ย = =”)

ป้ายทางแยกจร้า เราตัดสินใจเดินไปยังผานาน้อย เพื่อเปลี่ยนเส้นทาง เพราะคุณ Navigator อยากดูสระแก้วมาก ๆ เพราะมาก่อนหน้านี้หลายครั้งแล้ว แต่ไม่เคยเดินไปตรงนั้นเลย ซึ่งมันเป็น ไฮไลท์ของที่นี่เลยล่ะ.. (อย่าประชดสิ เดี๋ยวคุณ Navigator มาอ่านตบตรูหัวทิ่มแน่นอน *0*)

ต้นหยาดน้ำค้าง ซึ่งคุณ Navigator เล่าว่า ถ้ามาตอนเปิดภูกระดึงจะเจอเยอะมากเบย ซึ่งมันเป็นต้นไม้ที่กินแมลง เพราะตรงต้นมันเป็นเหมือนน้ำเหนียว ๆ ไว้ดักแมลงล่ะ

เดินต่อไปจร้า

และนี่....... คือจุดที่ทำให้เราทั้งคู่ช็อกไปตาม ๆ กันมันคือสิ่งที่คุณ Navigator อยากเห็นมานานนับ 10 ปีจากครั้งที่มาภูกระดึง นี่... คือ... สระแก้ว..... (ขยี้เกินไปละ โดนตบแน่ตรู อ๊ากกกก)

จากนั้นเราก็เดินไปเรื่อย ๆ ประมาณ 2 กิโลได้ก่อนถึงผานาน้อยล่ะ

ถึงแล้วววว ก็ประมาณบ่ายโมงเห็นจะได้ ที่นี่มีร้านค้า ขายน้ำ อาหาร ขนม มีห้องน้ำ มีจุดนั่งเล่นด้วยนะ

เราจัดแจงเอาเสบียงที่เราได้มากินที่นี่แหละ ซึ่งเราคิดถูกแล้วที่ซื้อมา เพราะจุดนี้คนเยอะมาก ๆ ชนิดที่ว่า เรากินกันเกือบเสร็จแล้ว แต่คนที่มารอก่อนเรายังไม่ได้ข้าวเลย

หลังจากพักประมาณชั่วโมงนึงได้ เราก็เดินไปอีกทาง อย่างที่บอกในตอนต้น เราจะเดินซิกแซกไปยังสระอโนดาต เนื่องจากถ้าเราเดินเรียบผา ไปที่ผาหล่มสักเลย มันก็ไม่มีอะไรอยู่ดี เพราะที่ผาแห่งนี้ เป็นผาที่เขามาดูพระอาทิตย์ตกกัน และตอนนั้นก็ประมาณ บ่าย 2 เอง อีกหลายชั่วโมงเลย ไปเดินให้ครบดีกว่าเนอะ อิอิ

(ป้ายห้ามเดินเวลาดังทุกที่เนื่องจากช่วงเวลานั้นเป็นเวลาหากินของช้างป่า หรือเป็นระยะทางที่คำนวณแล้ว ว่าคนทั่วไปจะเดินถึงที่พักกี่โมง)

อ่า เดินอีกล้าวว กว่า 2 กิโลเมตรเลยล่ะ

ทางเดินคล้าย ๆ จากทางแยกที่มาจากสระแก้ว ไปผานาน้อยเลย เป็นทางคู่ขนานเลยล่ะ

ป้ายบอกทางบอกว่าเราจะถึงสระอโนดาตแบ้ววว

เดินๆๆ

9.สระอโนดาตแล้วจร้า

สระที่นี่ใสมากเลยล่ะ มานั่งพักกายากานน

เสร็จแล้วเราก็เดินต่อไปอีกทางนึง ที่คุณ Navigator แนะนำว่าจะพาไปดูทุ่งมอสสุดอลังการ *0* และมันก็เป็นเส้นที่คนทั่วไปไม่ค่อยเดินกัน (เปลี่ยนเป็นทริป Adventure with K.Navigator ได้มั้ย = =”)

ทางเดินนี้มันก็จะป่า ๆ หน่อยอะนะ

10.น้ำตกสอเหนือ

อะเจอล้าววว

ทางเดินนี้เป็นทางลับลงไปน้ำตก ที่คุณ Navigator กล่าวเอาไว้ แต่เราไม่ได้ลงไปเนื่องจากเวลาที่เรามีอยู่ตอนนี้ค่อนข้างจำกัด เพราะมันประมาณบ่าย 3 ครึ่งแล้ว เราต้องรีบไปยังผาหล่มสักโดยเร็ว!!

ดูได้แค่น้ำตกด้านบนเนอะ

คุณ Navigator หาทุ่งมอสในตำนานไม่เจอ งั้นเอามอสอันนี้ไปก่อนละกัน 555+

เร่งฝีเท้าด่วน เวลามีไม่มากแล้วก่อนเย็น เพื่อไปดูแสงสุดท้ายของปี 2017 นี้

เดินไปเรื่อย ๆ ก็เจอสถานีถ่ายทอดโทรคมนาคม ซึ่งเราไม่ได้เข้าไปนะ และจากที่คุณ Navigator เล่าว่าเคยเดินป่าปิดที่ภูกระดึง และผ่านเข้าไป ซึ่งข้างในไม่มีอะไรให้ดูหรอก ไม่ต้องเข้าก็ด้ายย และอีกอย่าง อีก 2.2 กิโลเมตรเราก็จะถึงจุดหมายของเราในวันนี้แล้วล่ะ

เดินนนนนนนนน

10.ผาหล่มสัก

โอ๊ยยย ในที่สุดก็ถึงจนได้ เราถึงประมาณ บ่าย 4 ครึ่งได้ ซึ่งเร็วกว่าที่คำนวณไว้พอสมควร ซึ่งก็ดีจะได้มีเวลาพักผ่อน จัดการนู่น นี่ นั่น

ที่นี่มีร้านค้าแห่งใหญ่ด้วยล่ะ ใหญ่ที่สุดแล้วในบรรดาเรียบผาทั้งหลายเลย

น้ำแข็งใสตักเอง ก็จัดไปหนักไปสิจ๊ะ หึๆๆ

ห้องน้ำก็มีนะ

แหมมมมม ปั่นจักรยานมาสบายกันใหญ่เลยนะ ให้เราเดินมาขาแทบลาก ฮึ!!!

และนี่ล่ะ คือผาหล่มสัก!!!!

ไฮไลท์แบบจริงจังของที่นี่คือต้นสนที่ยื่นออกไปยังผาที่เห็นแหละ

คนมารอชมแสงสุดท้ายของปีกันอย่างล้นหลามเลยล่ะ *0*

ผาตรงนี้เป็นอะไรที่โคตรเสียวเลยล่ะ อ๊า

พระอาทิตย์ แสงสุดท้ายของปี เริ่มลับของฟ้าแล้ว

พอดูกันอย่างหนำใจแล้ว เราก็เริ่มเดินกลับจุดกางเต็นท์กันในเวลาประมาณ 6 โมง ส่วนมากก็เดินกลับแหละ แต่ก็มีบางส่วนปั่นจักยานมา แหมม มันน่าสบายจริงจริ๊งงงงง

กล้องเราถ่ายได้ถึงแค่นี้แหละ เพราะมันมืดมากแล้ว และเหตุการณ์หลังจากจุดนี้จะเป็นการบรรยาย ขอให้ปรับอารมณ์กันนิดนึงนะ เพราะเป็นบันทึกการเดินทางที่จะเริ่มดราม่าและจะเป็นอีกอารมณ์ของทริปนี้เลย...

ภาคบรรยาย กลับจากผาหล่มสัก ไปยังจุดกางเต็นท์

พวกเราเดินกลับ หลังจากที่ได้ยลแสงของดวงอาทิตย์สุดท้ายของปี อัสดงลงไป บรรยากาศรอบข้างเริ่มมืดดับลง มองเห็นเพียงแค่แสงจันทร์ในคืนเดือนสว่าง ที่ส่องไสวลงมา ผู้คนที่เดินกลับจากผาหล่มสัก เริ่มเดินนำหน้าพวกเราไปทีละคนสองคน... เป็นกลุ่มสองกลุ่ม จักรยานที่ปั่นมาก็เช่นกัน เราต้องเดินจากจุดนี้เพื่อกลับจุดกางเต็นท์ เป็นระยะทางกว่า 10 กิโลเมตร เลยทีเดียว



แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุดคืออาการเจ็บหัวเข่าของคุณ Navigator ได้เริ่มค่อย ๆ รุ่นแรงขึ้นจนออกอาการอย่างเห็นได้ชัดเนื่องจากเราเดินกันมากเกินไป เพราะมีการเดินอ้อมเกิดขึ้นด้วย อย่างที่เล่าไปข้างต้นที่สระแก้ว... พวกเราเริ่มเดินช้าลง ช้างลง... จนคนที่ตามหลังเรามา แทบจะไม่เหลือแล้ว ถึงแม้เราจะมีเวลาไม่จำกัดในการเดินไปถึงยังที่พัก แต่การเดินในป่าที่บรรยากาศแทบจะมืดสนิทแบบนี้ ตามลำพักกันสองคน มันก็อดคิดไม่ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นระหว่างทางหรือไม่ เราไม่รู้จะมีสัตว์ป่าที่ดุร้ายออกมาหากินหรือไม่ เพราะไม่มีใครสามารถช่วยเราได้เลย



บรรยากาศที่ชวนน่าขนลุกอย่างนี้คืออะไรกัน เรามีเพียงแสงของจันทราในคืนเดือนสว่าง และแสงของไฟฉายที่เรานำติดตัวไปด้วย แต่การเดินของเรานั้นกินระยะเวลาที่มากเกินไปจนไฟที่ชาร์จมาเริ่มอ่อนแรงไปเรื่อย ๆ จนไม่สามารถใช้มันให้เกิดประสิทธิภาพได้ มือถือของเราจึงเป็นตัวช่วยสำรองในการให้แสงนำทางเราไปได้



ความโชคดีของวันนี้คือจุด Check Point แต่ละจุดที่ผมได้เกริ่นในข้างต้น เปิดทุกจุด เนื่องจากวันนี้เป็นช่วงเทศกาลสำคัญ ร้านค้าจึงเปิดแบบไม่จำกัดเวลา ทำให้เราสามารถ นั่งพักในแต่ละจุดได้อย่างปลอดภัย เราเดินผ่าน “ผาแดง” “ผาเหยีบเมฆ” อาการของคุณ Navigator ทวีความรุนแรงขึ้นจนเธอแทบเดินไม่ไหว ซึ่งผมในตอนนั้นด้วยความที่น้ำหนักตัวก็มากแต่ต้องเดินช้า ๆ ตามคุณ Navigator ก็เริ่มจะไม่ไหวเหมือนกัน เพราะร่างกายแบกรับน้ำหนักตัวมากเกินไปจนเริ่มเกิดอาการบาดเจ็บ



แต่ถึงอย่างไร เรามาด้วยกัน เราจะกลับไปพร้อมกัน “ผานาน้อย” คือจุดที่เรามานั่งกินข้าวในตอนบ่าย และก็เป็นจุดที่เราพักใหญ่อีกครั้ง ในการหาอะไรกินเติมพลัง ลุงที่ร้านนี้น่ารักมาก ช่วยเหลือนักเดินทางที่เดินไม่ไหวหลาย ๆ คน ประสานงานกับเจ้าหน้าที่นำรถมอเตอร์ไซด์มารับ แต่เราต้องให้สิทธิ์กับคนที่เดินไม่ไหวจริง ๆ ได้รับการช่วยเหลือก่อน



คุณ Navigator ใจสู้มาก ถึงแม้การเดินต่อไปในบางจุดเธอจะบาดเจ็บจนต้องคุกเข่านั่งลงไปด้วยความเจ็บปวด เราเดินกันช้ามาก ๆ จนเริ่มรู้สึกได้ว่าเรากำลังเป็นกลุ่มสุดท้ายที่จะถึงที่พักแล้ว แต่พวกเราก็ยังเดินต่อไป ผมเจ็บใจที่ไม่สามารถนำคุณ Navigator ขี่ขึ้นหลังได้ เนื่องจากขาของผมก็แทบจะไม่ไหวเหมือนกัน



2 กิโลเมตรสุดท้ายก่อนถึงจุดกางเต็นท์ เป็นอะไรที่บีบหัวใจเรามาก เพราะบรรยากาศ 2 ฝั่งน่ากลัวมากกว่าเดิม บวกกับแบตเตอร์รี่ของถ่ายฉายของพวกเราก็เริ่มหมดแล้ว ผมจึงใช้ไฟฉายจากมือถือเป็นตัวช่วยเป็นพัก ๆ ถึงบรรยากาศจะชวนหัวลุก แต่ก็มีแสงไฟส่องเป็นบางช่วงของทางเดิน และมีเจ้าหน้าที่ของอุทยานขับมอเตอร์ไซด์ผ่าน เพื่อทำหน้าที่รับส่งคนที่เดินไม่ไหวจริง ๆ



เหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น มีกิ่งไม้ขนาดใหญ่หล่นลงมายังด้านหลังของผมไปนิดเดียวเอง เรา 2 คนตกใจมาก และเริ่มขวัญเสีย ในหัวเริ่มจินตนาการถึงเรื่องชวนขนหัวลุกจนมันน่ากลัวเหลือเกิน กลัวจริง ๆ...



แต่สุดท้ายแล้วมันก็ถึงจุดที่เหตุการณ์นี้ควรจะจบลงได้แล้ว คุณเจ้าหน้าที่พร้อมตำรวจที่เดินปิดท้ายแถว มาถึงที่จุดเราเดิน และรับคุณ Navagator ไปยังที่พัก เพื่อไปยังห้องพยาบาลรักษาอาการต่อไป ส่วนตรงจุดนี้ผมจะเดินกลับกับคุณตำรวจเอง



ผมกับคุณตำรวจเราเดินกันเร็วมาก เพราะผมเองก็เป็นห่วงคุณ Navigator ซึ่งคุณตำรวจน่ารักมาก ถามไถ่อาการเราอย่างดี และจะช่วยถือของให้ด้วย ซึ่งเราเดินมาซักพัก ก่อนถึงที่พักไม่เกิน 1 กิโลเมตร ก็ได้ยินเสียงเหมือนมีตัวอะไรอยู่ในพุ่มไม้ แต่เชื่อเถอะผมไม่กลัวอะไรแล้ว ณ จุดนั้น มันอุ่นใจเหลือเกินที่มีคุณตำรวจ และทันใดนั้นคุณตำรวจก็ชักปืนขึ้นมาเพื่อป้องกันตัว และให้ผมส่องไฟฉายเข้าไปในดงหญ้าเพื่อค้นหาเป้าหมาย ซึ่งมันก็ไม่มีอะไรสบายใจได้ ตื่นเต้นเล็กน้อยเท่านั้น



ในที่สุดเราก็เดินกันมาถึงที่พัก ผมรีบเดินไปหาคุณ Navigator ที่ห้องพญาบาล ของ อช.ภูกระดึงอย่างรวดเร็ว เธอได้รับการฉีดยากล้ามเนื้อ และกินยาคลายกล้ามเนื้อ และได้รับการดูแลอย่างดี



เราเหมือนหลุดออกมาจากฝันร้าย ไม่คิดว่าคืนส่งท้ายปีที่คนส่วนใหญ่จะมีความสุขกัน แต่เราต้องมาเจอกับเหตุการณ์ระทึกแบบนี้ ซึ่งในตอนนั้นเราทั้งคู่ ปวดขาได้ที่เลย และก็กินยาคลายกล้ามเนื้อ ทำให้เราทั้งคู่ง่วงนอนมาก จึงทำได้แค่นอนในเต็นท์ สวดมนต์ข้ามปีกันสองคนในคืนนี้ ♥



Heater ให้ความอบอุ่น แต่ไม่อบอุ่นเท่าความห่วงใยของผมในค่ำคืนนี้ > <”

Day 3 การเดินทางมุ่งสู่เชียงคาน ปลายทางสู่ความ Slow Life

หลังจากที่เราทั้งคู่ผ่านค่ำคืนที่แสนโหดร้ายไปด้วยกันแล้ว เช้านี้เรามีภารกิจที่จะต้องไปดูแสงแรกของปี ซึ่งที่แรกเรากะจะไม่ไปแล้ว เพราะคุณ Navigator ไม่สามารถเดินไปกับเราได้ เพราะมีอากาบาดเจ็บที่ขาอยู่พอสมควร และจะต้องเก็บแรงไว้ลงภูกระดึง จึงต้องพักผ่อนในเช้านี้อย่างเต็มที่ และเราไม่อยากให้ Mission ที่สำคัญของภูกระดึงนี้ต้องเฟลไป



เราจึงอาสาว่าจะไปคนเดียวแล้วกัน เพื่อไปเก็บบรรยากาศของแสงแรกให้ได้ แต่ความรู้สึกที่สัมผัสได้เลยก็คือ มันแปลก ๆ เนอะ เพราะว่าตั้งแต่เราออกทริปเดินป่าครั้งแรกในชีวิต เราก็เจอกับคุณ Navigator ตั้งแต่ทริปแรกเลย ที่ทริปนี้ https://pantip.com/topic/37038537 และเราก็เที่ยวด้วยกันมาตลอด เราไม่เคยเดินป่าคนเดียวเลย ถึงแม้จะเที่ยวคนเดียวบ่อย ๆ แต่ความรู้สึกระหว่างเที่ยว City Life กับเดินป่า มันคนละเรื่องเลย แบะที่ผ่านมาในหลาย ๆ รีวิวที่เป็นทริปเดินป่า เราจะอ้างอิงข้อมูลจากคุณ Navigator เป็นส่วนใหญ่



การเดินทางในครั้งจึงเป็นการเดินทางด้วยตัวของเราเอง และจะต้องเติบโตเป็น BackPacker ที่ดีให้ได้ พิสูจน์ให้คุณ Navigator เห็นว่าเราก็ทำได้นะ Fighting!!!



เราตื่นในเช้าของวันที่ 3 ในเวลาตี 4.30 น. อ้อ! ลืมบอกไปว่าคืนแรกเราไม่ได้ไปดูพระอาทิตย์ตอนเช้านะ กะจะเก็บแรงมาดูกันวันนี้ล่ะ เพราะเป็นแสงแรกของปีด้วยนะ



พระจันทร์ในคืนเดือนสว่าง ยังอยู่เป็นเพื่อนเรายันเช้าเลยนะ ^ ^”

เช้านี้ก็ไม่หนาวเท่าไหร่ ประมาณ 14 องศาเอง สู้ทริปต้นเดือน ธ.ค. ไม่ได้เลย

เราเดินจากจุดบริการนักท่องเที่ยว ไปยังผานกแอ่น ประมาณเกือบ 2 กิโลเมตร เห็นจะได้ คนในเช้านี้เยอะมาก ๆ เราไม่ได้เดินอย่างโดดเดี่ยวเลย ถึงจะมืดมาก แต่ก็มีไฟฉายจากคนอื่น ๆ และมันก็อบอุ่นดี 555+

และแล้วเราก็ถึง “ผานกแอ่น” ละ ใช้เวลาเดินแค่แปปเดียวเองประมาณครึ่งชั่วโมง

สิ่งที่เราเห็นตรงหน้าคือผู้คนมากมายที่รอดูแสงแรกของปี เป็นธรรมเนียมที่คนมาก่อนจะต้องนั่งลงเพื่อให้คนหลัง ๆ ได้เห็นบรรยากาศข้างหน้า และสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอีกอย่างนึงนั่นคือ “ดาวดิน” หรือเมืองที่ทอแสงอยู่บนพื้นดิน เรารู้จักคำนี้ครั้งแรกจากคุณ Navigator ในทริปแรกที่เราเจอกันเลยล่ะ

บรรยากาศก่อนที่จะเช้าเราจะได้เห็นแสงแรกของปีกัน

อากาศในเช้านี้เย็นมาก ลมพัดแรงเหลือเกิน อุณหภูมิที่วัดได้ก็ประมาณ 14 องศาเท่าเดิมเลย

เมื่อถ่ายจนหนำใจแล้ว เพื่อไม่ให้เสียเวลา เราถ่ายแค่ให้รู้สึกว่าเห็นแสงนิดหน่อยก็พอ แล้วกลับมาดูแสงเต็ม ๆ กับคุณ Navigator ดีกว่า

(รูปนี้เหมือนมีพลังงานบางอย่าง==")



แต่ตอนกลับไปยังจุดกางเต็นท์นั้น เราเลือกที่จะเดินกลับอีกทาง เพื่อที่จะพิสูจน์อะไรบางอย่าง เราต้องก้าวและเติบโตด้วยตัวเราเอง เราจะต้องออกจาก Safe Zone ด้วยตัวเราเอง เราจึงกลับอีกทางนึงที่ชื่อว่า “ลานวัดพระแก้ว”

ตอนเราเดินมานั้นมีคนเดินนำหน้าเราด้วย (คุณผ้าห่มเขียว) ที่จริงเรานึกว่าเขารู้ทาง แต่ที่ไหนได้ พอเดินไปซักพักเขาหันกลับมาถามเราว่าไปทางไหนต่อ เพราะทางข้างหน้ามันเหมือนทางตัน ซึ่งถ้าเป็นทักษะการใช้ชีวิตในเมือง เราจะดูรถที่ขับผ่าน ไม่ก็เส้นนำสีเหลืองที่ติดอยู่บนถนน แต่ทักษะเหล่านั้นใช้ในป่าไม่ได้ เราจึงไม่รู้ว่าจะตอบเขาว่าอะไร เพราะที่ผ่านมาก็พึ่งพาคุณ Navigator มาโดยตลอด สุดท้าย เขาก็เดินกลับทางเก่าโดยที่ไร้คำพูดใด ๆ...

แต่เรายังคงเชื่อมั่นว่ามันจะไปได้ เราเชื่อมั่นในป้ายบอกทาง และสิ่งที่คุณ Navigator พร่ำสอนเราเรื่อยมา ทักษะการสืบเท้า การหาไลน์ของล้อรถ หรือรอยเท้าตามพื้นดิน เพื่อพิสูจน์ว่าทางเส้นนี้ไปได้จริง และเราก็เจอป้ายบอกทางในที่สุด

ทางที่เราเดินค่อนข้างน่ากลัว ถึงมันจะเป็นในช่วงรุ่งอรุณที่พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว แต่สภาพของทางนั้นดูวังเวงชอบกล เราต้องข่มใจไม่ให้กล้า และต้องไม่คิดไปเอง และจะต้องเดินผ่านมันไปคนเดียวให้ได้...

ระหว่างทางเราได้ยินเสียงแปลก ๆ ดังมาจากข้างหน้า เรารีบหาที่หลบอย่างรวดเร็ว แต่ที่ไหนได้... มันเป็นเสียงประกาศจากเจ้าหน้าที่ เป็นสัญญาณว่าเราถึงที่พักแล้วนะ ภารกิจนี้สำเร็จแล้วนะ T^T

พึ่งรู้เหมือนกันว่าเป็นทางอันตรายแต่มันก็เป็นทางที่มายังข้างหลังจุดกางเต็นท์ได้พอดีเลยล่ะ

เรากลับไปหาคุณ Navigator และบอกเล่าเรื่องราวการผจญภัยสั้น ๆ นี้อย่างภาคภูใจ ต่อจากนั้นเราก็รีบเก็บของ เพื่อไปให้ลูกหาบแบบลงภูกระดึง ซึ่งขั้นตอนก็เหมือนกันตอนที่เราขึ้นมา นั่นคือซื้อ Tag ติดกระเป๋า และนำไปขึ้นตาชั่ง รับหางบัตร เพื่อไปรับสัมภาระยังด้านล่าง



เราไม่ได้อาบน้ำ หรือกินข้าวเลย แต่ไปกินยังซำแคร่ข้างล่าง เพื่อความรวดเร็ว และไปอาบน้ำยังจุดบริการนักท่องเที่ยงข้างล่างเช่นกัน เนื่องจาก เราต้องเดินลงเขา ถ้าอาบตอนนี้ตอนลงถึงข้างล่างก็ตอบอาบอยู่ดีไงล่ะ

เราเดินลงมาจากภูกระดึงกับคุณ Navigator ในเวลาประมา 9 โมง ซึ่งระหว่างทางก็มีพักกินบ้างอะไรบ้าง แต่ตอนลง ค่อนข้างชิล เพราะตอนขึ้นของภูกระดึกเป็นทางขึ้นเกือบ 100% เวลาลงก็ลง 100% เช่นเดียวกัน แต่จะมีปัญหานิดหน่อยตรง ขาของพวกเราค่อนข้างล้า เวลาลงจะต้องเกร็งขาในระดับหนึ่ง แต่ก็ลงกันไหวแหละ



เราใช้เวลาลงมาด้านลงเพียง 4 ชั่วโมงครึ่ง (ถึง 13.30 น.) ซึ่งเร็วกว่าตอนขึ้นราว ๆ 2 ชั่วโมงเลย มายังจุดรับสัมภาระจากลูกหาบด้านล่าง และแพลนว่าเราจะไปถึงยังเชียงคานในเวลาบ่าย ๆ แต่ผิดถนัดเลย ลูกหาบลงมาช้ากว่าที่เราคิดมาก เลทไปกว่า 2 ชั่วโมงเลย ทำให้แพลนการเที่ยวเชียงคานของเราก็ต้องเลทตาม ๆ ไป (แต่ก็ดีแล้วนะ เพราะอะไรติดตามต่อไปจร้า)


พวกเราจึงใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ เพราะเราใช้เทคนิคการแบ่งของเพื่อมาอาบน้ำข้างล่าง เพื่อไม่ให้เสียเวลา และเดินไปกินข้าวต่อเลยล่ะ

พอลงมาซื้อของข้างล่างแล้วให้ความรู้สึกเหมือนตะกี้เราไปเที่ยวยุโรปเลย ของข้างล่างถูกกว่าข้างบนมาก แต่ก็อย่างว่าแหละ ข้างบนมีต้นทุนของลูกหาบ เราคงว่าอะไรเขาไม่ได้เนอะ

ลูกหาบลงมาเลทมาก ยังขาดเต็นท์ของคุณ Navigator อีกชิ้นนึง > <”

บอร์ดที่บอกว่าลูกหาบคนใดลงมาถึงด้านล่างแล้ว เช็คได้จากเลขที่ติดกับหางบัตรเราเลยจ่ะ

บอร์ดอีกอัน เป็นตัวบอกว่า เมื่อวานที่เราขึ้นไป มีผู้ร่วมชะตากรรมกับเรา 1,660 คน แต่วันนี้มีเพียง ประมาณ 700 เท่านั้นเอง

เมื่อเราได้รับของชิ้นสุดท้ายจากลูกหาบแล้ว เราก็พากันไปนั่งรถสองแถวข้างหน้า อช.ภูกระดึง เพื่อไปลงยังผานกเค้า หรือร้านเจ๊กิม เพื่อต่อรถไปยังเชียงคานต่อปายยยยย > <”



ภารกิจที่ต้องทำที่ผานกเค้า

เรามาถึงร้านเจ๊กิมแล้ว ก็ให้รีบมาซื้อตั๋วยังจุดนี้เลย เพื่อที่จะไปเชียงคาน และก็รอรถรอบที่จะมาถึง

และอีกภารกิจนึงคือการเดินข้ามถนนไปยังจุดที่เราลงรถ เพื่อติดต่อกับเจ้าท่าว่าเราจะขอเปลี่ยนที่ขึ้นรถเป็นไปขึ้นที่เชียงคานแทน เพื่อเวลาเขานับคนบนรถจะได้ไม่เกิดปัญหาที่หลังจ่ะ

ถึงเวลาก็ขึ้นรถทัวร์โลดดดด

ก่อนอื่นต้องขออธิบายแผนที่ในเชียงคานก่อน ที่เราไปมาทั้งหมดในเชียงคานนี้ ซึ่งเชียงคานเป็นเมืองที่เที่ยวง่าย และใช้เวลาในการเที่ยวน้อยมากฮะ เพราะแต่ละที่อยู่ใกล้กันนิดเดียว แล้วจุดที่เรากางเต็นท์ก็เป็นทำเลที่ดีมากเลยที่จะได้เที่ยวรอบเชียงคานเลยล่ะ



1. ธ.ธกส เชียงคาน หรือในปั้ม Esso เป็นจุดที่เราลงรถทัวร์ของ บ.ภูกระดึงทัวร์ จะมาลงและนั่งรถกลับ กทม. ที่จุดนี้

2. สถานีตำรวจภูธรเชียงคาน เป็นจุดที่เรามากางเต็นท์กัน

3. บ้านอิ่มสุข อยู่ในซอยเชียงคาน ซอย 9 ล่าง ซึ่งเป็นจุดเดียวกับถนนคนเดินเชียงคานเลยล่ะ

4. ภูทอก ไฮไลท์ของเมืองเชียงคานเลย มาชมทะเลหมอกในยามเช้า

5. วัดพระพุทธบาทภูควายเงิน เราชอบเรียกสั้น ๆ ว่าวัดกระต่าย เพราะไฮไลท์ของวัดนี้อยู่ที่การที่ทางวัดเลี้ยงกระต่างเต็มไปหมดเลย

6. แก่งคุดคู้ เป็นเสมือนเมืองของฝากมาช็อปปิ้ง ของขึ้นชื่อก็คือมะพร้าวนี่ล่ะ

7. วัดโพนชัย เรามาสำรวจดูเฉย ๆ ฮะ

8. วัดเชียงคาน ก็เช่นกันมาสำรวจ ซึ่งเป็นวัดติดริมโขงเลยล่ะ



เราถึงเชียงคานในช่วงเวลาประมาณ ทุ่มกว่า ๆ เห็นจะได้ ซึ่งก็ถือว่าดึกแล้วนะ มาอยู่ที่จุดที่ 1 ที่จอดรถขนส่งของภูกระดึงทัวร์ ในปั้ม Esso ติดกับธนาคาร ธกส เชียงคาน ที่เราต้องมานั่งรถทัวร์กลับที่เดียวกันเลย แต่ถ้ามากับขนส่งจะต้องเดินต่อเข้าไปอีกซึ่งไม่ไกลมากนะ

เสร็จสรรพ เราก็เช่าสามล้อเครื่อง หรือที่เคยอ่านรีวิวต่าง ๆ ว่ามันเรียกว่า Sky Lab *0* ไปยัง บ้านอิ่มสุขซอย 9 จุดที่ 3 ในแผนที่ เพื่อไปเช่ารถมอเตอร์ไซด์ขับไปยังจุดกางเต็นท์ที่จุดที่ 2 สภ.เชียงคานนั่นเอง

นี่แหละบ้านอิ่มสุข ติดต่อไปตามเบอร์นี้เลยนะ เจ้าของร้านใจดีมว๊ากก มอเตอร์ไซด์เช่าวันละ 250 บาท ไม่มีมัดจำ แต่อันนี้ก็ไม่แน่ใจว่าแล้วแต่คนหรือเปล่า เพราะตอนเราไป สภาพเราคือ Backpacker เต็มตัวแบบเป้ แบกเต็นท์พะลุงพะลังเลย 555+

จากนั้นเราขับไปยังจุดที่ 2 สภ.เชียงคาน ซึ่งที่นี่จากการไปเผือกมาระดับหนึ่ง เขาบอกว่าให้กางเต็นท์ได้ตลอดปีทุกเทศกาลเลย ไม่แน่ใจว่าจริงเท็จแค่ไหน แต่ถ้าชอบกางเต็นท์ก็ไปลองกางดูได้ฮะ ไม่เสียตังเลยซักบาท เพราะเราวางแผนกันไว้แล้วว่ายังไงที่พักที่เชียงคานเต็มแน่นอน ก็เลยจัดไปกับจุดกางเต็นท์ฟรีอะไรเบอร์นี้ อิอิ

หลังจากที่เรากางเต็นท์กันเสร็จแล้ว ก็แว๊นต่อไปที่ตลาดคนเดิน หรือจุดที่เราเช่ามอเตอร์ไซด์มานั่นแหละ เอาไปจอดที่ร้านที่เช่ามาเลย นี่คือข้อดีของการเช่าร้านนี้ด้วยล่ะ ได้ที่จอดรถแบบปลอดภัยด้วย ลงล็อคอะไรเบอร์นี้ อิอิ

บรรยากาศของตลาดคนเดินจ่ะ ตอนที่เราไปเป็นช่วงเทศกาล คนเดินเยอะแยะเต็มไปหมดเลยล่ะ

ปกติตลาดนี้ปิดช่วง 3 ทุ่ม แต่วันนั้นเป็นช่วงปีใหม่ คนเลยเยอะมาก ๆ ทำให้ 4 ทุ่มก็แล้ว ซึ่งเป็นเวลาที่เรากลับเต็นท์ คนยังเต็มอยู่ ตลาดก็เลยยังครึกครื้นเรื่อย ๆ เลย

กลับมานอนเต็นท์หน้า สภ. รู้สึกปลอดภั๊ย ปลอดภัย

มีห้องอาบน้ำและห้องน้ำเข้าฟรีด้วยนะ (แต่ยังไงก็บริจาคให้เขาหน่อยก็ดีน้าา) แถมยังมีจุดชาร์จมือถือด้วย ไม่ต้องเฝ้าก็ได้เพราะที่นี้คือสถานีตำรวจ 555+

สำหรับคนที่ขับมอไซด์ไม่เป็น หรือขับรถมาและไม่ต้องการเอารถไปด้วย ก็มีบริการ Sky Lap ที่ สภ. เลยแหละ

Day 4 ส่งท้ายความ Slow Life @เชียงคาน (คิดชื่อตอนไม่ออกอะ= =")



เราตื่นกันค่อนข้างสายนิดนึง ในเช้านี้เราจะต้องไปยังภูทอก ซึ่งเป็นจุดหมายที่แรกของ Day 4 แต่บรรยากาศตอนเช้าที่ สภ.เชียงคาน ก็สวยใช่ย่อย เพราะอยู่เรียบริมแม่น้ำโขง และเราโชคดีมาก ที่มาในวันที่มีทะเลหมอกพอดี จึงได้ภาพฟรุ้งฟริ้งเหล่านี้มา ฮิ้วววว

ริมฝั่งโขง โรแมนติกมากมายยยยย *-*

อ้อ! ที่ สภ.เชียงคาน มีโรงแรมถุงลมด้วยนะ (ไปตั้งชื่อให้เขาอีก-*-) ซึ่งรายละเอียดอะไรเราไม่รู้เลย รู้แต่ว่าน่าลองนอนมาก ใครว่าง ๆ ไปแถวนั้นไปลองนอนโรงแรมถุงลมกันนะเธอ มันจะมีลมเป่าเข้าไปตลอดเวลาเลยแหละ (รีวิวอะไรของตรูฟะเนีย!!)

แว๊นมอเตอร์ไซด์ไปภูทอกกันเล้ย!!!!

ภูทอก

แผนที่จุดที่ 4 ที่เราทำขึ้นมา ขับรถมาติ๊ดเดียวเอง ให้คุณ Navigator ดู GPS ให้ส่วนเราก็ขับชิล ๆ มาถึงละ คนเยอะพอสมควรเลย ขนาดเรามาสายนะเนี่ย

หาที่จอดรถโลด จอดฟรีแน่นวล

Sky Lab มีทุกที่เลยล่ะ

แวะกินข้าวเช้าแพร๊บ

จากนั้นซื้อตั๋วคนละ 25 บาทเพื่อขึ้นรถกระบะขึ้นไปโลดด

พร้อมแบ้วววว แมร๊นนนนน

บรรยากาศบนภูทอก จากคำบอกเล่าของชาวบ้าน บอกว่าที่นี่ไม่มีหมอกแบบนี้มาเป็นอาทิตย์แล้ว เราโชคดีกันมากเลยที่มาเจอทะเลหมอกพอดี ว้าววววววว

พอชมกันอย่างอิ่มหนำสำราญ กับโคตรหมอกนี้แล้ว ตอนแรกเราก็คิดว่าอาจจะต้องเดินลง เพราะคนเยอะมากๆๆๆ ต่อแถวยาวมาก ตอนที่เราขึ้นมา แต่ปรากฎว่า เราเดินชมสักพัก กลับมา เอ้าคนหายไปหมดเลย ได้นั่งลงแบบรถโล่ง ๆ เลยล่ะ ดังนั้น ถ้าไม่อยากลงเดิน แนะนำมาสาย ๆ ก็ดีเนอะ 555+

วัดพระพุทธบาทภูควายเงิน

ก่อนอื่นต้องขอเล่าประวัติย่อ ๆ ของชื่อวัดแห่งนี้ก่อน วัดนี้ตามตำนานเล่าว่ามีควายตัวหนึ่งตัวซึ่งมีเจ้าของเป็นชาวนาผัวเมียเลี้ยงไว้ ซึ่งเป็นสีเงินอยู่แล้ว และตอนหลังได้ตกบ่อเงิน ทำให้ควายตัวนี้เป็นสีเงินเข้าไปอีก และควายตัวนี้ก็ให้โชคลาบแก่ชาวนาทั้งสอง



ส่วนพระพุทธบาทนั้น มีตำนานอีกบทเล่าว่าเคยมียักษ์ตนนึงชอบกินผู้ชายเป็นอาหาร และอยู่มาวันหยุดได้มีพระรูปหนึ่ง มายังหมู่บ้านแห่งนี้ ชาวบ้านจึงแห่ไปอยู่กับพระรูปนี้ ทำให้ยักษ์ตนนั้นไม่พอใจ จะมาจัดการกับพระรูปนี้ แต่ก็โดนกำราบไปเสียก่อน จากนั้นชาวบ้านจึงเลื่อมใสศรัทธาพระรูปนี้มาก จึงอยากให้แสดงอภินิหารบางอย่าง พระรูปนี้จึงประทับรอยพุทธบาท ไว้ยังแท่นที่เราเห็นในวัดแห่งนี้


เอาล่ะ เมื่อรู้ประวัติอย่างคร่าว ๆ แล้วเราก็ไปกันในจุดที่ 5 ซึ่งเราจะเรียกสั้น ๆ ว่าวัดกระต่ายนะ ทำไมถึงเรียกแบบนี้ไปดูกันเล้ยย

(ทางขึ้นค่อนข้างชันนะ แต่ก็ไม่ได้ชันถึงขนาดรถออโต้ขึ้นไปได้หรอก)



สัญลักษณ์ของที่นี่แหละ ควายเงิน

คุณหมูอู๊ด ๆ

นี่แหละ Signature ของวัดแห่งนี้ มีกระต่ายเยอะมากๆๆๆ เต็มภูเขานี้เลย และยังมีต่ออีกครั้งหลังอีกนะ พูดได้เลยว่าหลายร้อยตัว เยอะจริง ๆ และถ้าอยาก Enjoy กับกระต่างพวกนี้ให้ซื้อผักไปให้มันกิน มันจะชื่นชอบมากเลยล่ะ > <"

กระต่ายพวกนี้หลายตัวไม่ชอบกินผักที่ตกบนพื้น ดังนั้นอยากเล่นกับมันก็ต้องเอามายื่นป้อนแบบนี้ และก็อย่าเสียงดังให้มันตกใจด้วย เหมือนดั่งสุภาษิตที่ว่ากระต่ายตื่นตูมนั่นแหละ

เดินขึ้นมาข้างหลังก็จะมีพระพุทธรูปองค์ใหญ่อยู่ด้านหลังล่ะ

มายังตัววัดกันบ้าง

ขึ้นมายังด้านหลังก็จะมีจุดชมวิวด้วยนะ

แก่งคุดคู้

และเราก็มาต่อเนื่องกันในจุดที่ 6 นั่นคือแก่งคุดคู้นั่งเอง ที่แห่งนี้ Signature นั่นคือมะพร้าว และก็มะพร้าวเต็มไปหมดเลยล่ะ

Signature ของที่นี่ก็คือแก่งที่อยู่ข้างหน้านี่แหละ ซึ่งมันมีตำนานด้วยนะว่าสุดท้ายนายพรานที่เป็นรูปปั้นนี้ล้มลงไปขวางแก่ง แต่จำเรื่องเต็มไม่ได้ ไม่เล่าดีกว่า เดี๋ยวมั่ว 555+

ที่นี่มีเรื่อนำเที่ยวด้วยนะ

รายละเอียดตามนี้เลย ขี้เกียจพิมพ์ละ 555+

ร้านของฝากเพียบจร้า ซึ่งหลัก ๆ ก็อย่างที่บอก มะพร้าวทั้งนั้นเลย อร่อยด้วยแหละ พูดแล้วยังเปรี้ยวปากอยู่เลย แอร๊ยยย

เราแวะกินข้าวเที่ยวกันที่นี่แหละ มากันแค่ 2 คนแต่ก็สั่งข้าวกินตรงริมโขงได้นะ อิอิ

หลังจากเรากินข้าวเที่ยงกันเสร็จ ก็แอบไป Survey จุดที่เราจะต้องนั่งรถทัวร์กลับ เพราะตอนแรกเราไม่แน่ใจว่าใช้จุดนี้มั้ย ก็เลยต้องไปดูเพื่อความแน่ใจอีกครั้งเนอะ

(คันนี้เป๊ะ ๆ เลยสบายใจได้)



วัดโพนชัย

ก็อย่างที่บอกไว้ข้างต้น เวลาเราเหลือเยอะมาก ๆ แต่เราเที่ยวครบแล้ว แล้วทำไงล่ะ? ก็ตะลอนเที่ยวในจุดที่คิดว่าน่าสนใจ ซึ่งคุณ Navigator สนใจวัดนี้เพราะชื่อดันไปเหมือนกับจังหวัดไหนซักแห่ง (จำไม่ได้ละ โดนตบแน่ตรู==") ก็เลยมาเดินเล่นล่ะ

วัดเชียงคาน

วัดนี้เราเสนอให้มาเอง เพราะชื่อเป็นชื่อของเมืองนี้เลยคิดว่าน่าจะมีอะไรน่าสนใจ ซึ่งก็อย่างที่เห็นแหละจ่ะ

อยู่ริมฝั่งโขงเหมือนกันด้วยแหละ

จากนั้นพวกเราก็แว๊นกลับมา ประมาณบ่าย 2 กว่า ๆ เห็นจะได้ ว่างมาก ไม่คิดว่าเมื่อนี้จะเที่ยวได้ครบเร็วขนาดนี้ เพราะที่เที่ยวอยู่ติด ๆ กันหมดเลย ทำให้เที่ยวง่ายมาก ใช้เวลาวันเดียวก็เที่ยวได้หมดแล้ว



เราจึงกลับมานอนเล่นเอาแรง เพื่อเตรียมพร้อมกับการทำงานวันพรุ่งนี้ แง๊ๆๆๆ TT

จากนั้นก็ทำการเริ่มอาบน้ำและเก็บของออกจาก สภ.เพื่อไปคืนรถมอไซด์ และไปยังขนส่งต่อไป ซึ่งขนส่งกับร้านเช่าอยู่ห่างกันนิดเดียวเอง เราเดินไปยังได้เลย นี่แหละคือความดีงานของเมืองเชียงคานแห่งนี้ กับนิยามความ Slow Life อย่างแท้ทรู *0*

(ธ.ธกส ที่กล่าวไว้ว่าอยู่ติดกับปั้ม Esso)



รถทัวร์รอบที่เราออก 18.50 น. แต่ไปถึงผานกเค้าประมาณ 22.00 น. คิดดูแล้วถ้าเราไม่มาเชียงคาน คงรอรถกันจนหัวร้อนแหละ 555+ และก็มาถึง กทม. ในเวลาประมาณ 7 โมงเช้า เป็นอันจบทริปนี้จร้า

สรุปค่าใช้จ่ายตลอดทริป เหมือนกับทริปก่อน ที่เราจะมีการเคลียร์ค่าใช้จ่ายทุกวันกับคุณ Navigator ทำให้

ค่าใช้จ่ายค่อนข้างละเอียดมาก ๆ เลยล่ะ



ค่ารถทัวร์ทั้งขาไป - กลับ 454*2= 908 บาท/คน



วันที่ 1

+กองกลางเริ่มต้น 500 บาท/คน

ขนมที่ซื้อจากขนส่งหมอชิต 100 บาท

ข้าวแกงราดข้าวตอนเช้าร้านเจ๊กิม 45 บาท/คน

ค่าเข้า อช.ภูกระดึง 40 บาท/คน

ค่าสองแถวไป อช.ภูกระดึง 30 บาท/คน

ค่ากางเตนที่ อช.ภูกระดึง 2 คืน 60 บาท/คน (คืนละ 30 บาท/คน)

บัตรติดสัมภาระ 15 บาท (ใบละ 5 มี 3 ใบ ของเรา 1 ใบ ของคุณ Navigator 2 ใบ)

สปอนเซอร์-น้ำส้มที่ซำแฮก 25 บาท/คน

กล้วยปิ้ง 10 บาท/คน

ข้าวเที่ยง 50 บาท/คน

น้ำเปล่า+แดงโซดา 50 บาท

ไอติม 30 บาท

สปอนเซอ 30 บาท

ค่าลูกหาบ กิโลละ 30 บาท :-

คุณ Navigator 120+210 (11 กิโลกรัม)

ของเรา 210 (7 กิโลกรัม)

+กองกลางเพิ่ม 500 บาท/คน

เช่าแผ่นรองนอน 20/คน/คืน (คนละ 40 บาท)

ผ้าห่มเล้ก 30/คน/คืน (คนละ 60 บาท)

มื้อเยน ก๋วยเตียว ส้มตำ ข้าวเหนียว 150 บาท

เหนียวปิ้ง (ส่วนตัว) 10 บาท

+ลงกองกลางเพิ่ม 150 บาท/คน

น้ำขวดใหญ่ 50 บาท

ปังปิ้งทาเนยราดนม 20 บาท



วันที่ 2

ข้าวราดแกงที่วังกวาง 70 บาท/คน

ปาตังโก๋จิ้มนม 20 บาท

ค่าห้องน้ำ 10 บาท/คน

ค่าเหนียวหมู 60 บาท/คน

น้ำแข็งใสที่ผานาน้อย 30 บาท/คน

น้ำขวดเล็ก 30 บาท/คน

น้ำแขงใส (ส่วนตัว) 40 บาท

น้ำขวดใหญ่ 60 บาท

มาม่าตอนเย็น 40 บาท/คน

ห้องน้ำ 5 บาท



วันที่ 3

บัตรติดสัมภาระ 15 บาท (ใบละ 5 มี 3 ใบ ของเรา 1 ใบ ของคุณ Navigator 2 ใบ)

+ลงกองกางเพิ่ม 500 บาท/คน

ข้าวเช้าซำกกว่ากระเพราเยี่ยวม้า 60 บาท/คน

สปอนเซอ 30 บาท

น้ำเปล่า 25 บาท

แตงโม 10 บาท/คน

น้ำเปล่าซำแฮก 20 บาท

น้ำแข็งใส (ส่วนตัว) 20 บาท

มื้อเที่ยง ข้าวแกง 50 บาท/คน

น้ำเปล่า+โค้ก 30 บาท

ค่าลูกหาบ กิโลละ 30 บาท :-

คุณ Navigator 120+210 (11 กิโลกรัม)

ของเรา 210 (7 กิโลกรัม)

สองแถวไปแม่กิม 30 บาท/คน

เครป (ส่วนตัว) 30

น้ำส้ม (ส่วนตัว) 20

ตั๋วรถ ป.1 ไปเชียงคาน 101 บาท/คน

สกายแลปไปซอย9ล่าง 30 บาท/คน

เช่ามอไซต์ 250 บาท/วัน

กุ้งเสียบไม้ 20 บาท

ข้าวเปียกถนนคนเดิน 105 บาท

กุ้งเสียบ+เห็ดเสียบ (ส่วนตัว) 40 บาท

ยาสีฟัน 35 บาท

ค่าใช้จ่ายไม่ทราบที่มา 30 บาท



วันที่ 4

ข้าวต้มหมู+ไข่กระทะ 65 บาท/คน

รถขึ้นภูทอก 25 บาท/คน

หนมครกวัดกระต่าย (ส่วนตัว) 20 บาท

ผักสำหรับให้กระต่าย 10 บาท/คน

น้ำมะพร้าวที่แก่งคุดคู้ 10 บาท/ขวด

มื้อเที่ยงแก่งคุดคู้ 200 บาท

+ลงกองกลางเพิ่ม 100 บาท/คน

มะพร้าวแก้ว 100 บาท

เติมน้ำมันก่อนส่งรถ 50 บาท

ค่าอาหารเย็นที่เชียงคานลูกชิ้นปิ้น+น้ำ (ส่วนตัว) 40 บาท



***รวมค่าใช้จ่ายตลอด 4 วัน + ค่าตั๋วรถทัวร์สรุปได้ดังนี้ ส่วนที่เป็นเฉพาะของเรานะ

ค่ารถทัวร์ไปกลับ 908 บาท/คน

วันที่ 1 รวม 800 บาท

วันที่ 2 รวม 295 บาท

วันที่ 3 รวม 888 บาท

วันที่ 4 รวม 345 บาท

รวมค่าใช้จ่ายตลอดทริปสำหรับเราคือ 3,236 บาทจร้า

ความคิดเห็น