สวัสดีครับ และแล้วผมก็ได้กลับมาที่นี้อีกครั้ง ดินแดนที่เต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ มีทั้ง น้ำตก แม่น้ำ ธรรมชาติ และวัฒนธรรมที่สวยงามเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศลาวเลย ใช่แล้วครับ ที่ว่ามาทั้งหมดผมกำลังพูดถึง "ดินแดนลาวใต้" นั้นเอง ถ้าพูดถึงลาวใต้ก็ต้องเป็นเมืองปากเซแน่นอน เพราะเป็นมหานครอีกแห่งของลาวก็ว่าได้ การไปครั้งนี้เตรียมตัวกว่าครั้งที่แล้ว เพราะตั้งใจจะเก็บสถานที่ต่างๆ มาฝากทุกท่านแบบละเอียดเลย จะเป็นอย่างไรมาตามไปดูกันเลยครับ
ครั้งนี้ผมก็ใช้บริการของแอร์เอเชียเช่นเดิมครับ บินตรงจาก กรุงเทพ มายัง อุบลราชธานี จองช่วงโปรโมชั่นเลยได้ราคาถูกหน่อย ไปวันเสาร์ กลับวันอังคาร รวม 3 วัน 3 คืน ครับ
ครั้งได้ Gate ไกลทีเดียวครับ เดินยาวๆ ไป ไม่ต้องรีบมากเพราะจองไฟท์เย็น
แต่คนเย็นวันเสาร์นี่เยอะตลอดเลยครับ เป็นไปได้ก็ควรเผื่อเวลาไว้ซักหน่อยก็ดีครับ
ระหว่างรอขึ้นเครื่องก็หาอะไรกินรองท้องไปก่อน
รอซักพักเครื่องก็มาแล้วครับ รอเรียกๆ
ไม่นาน เจ้าหน้าที่ก็เรียกขึ้นเครื่องครับ ตรงเวลา
ประมาณ ทุ่มนิดๆ ก็มาถึงสนามบินอุบลราชธานีเป็นที่เรียบร้อย
อาคารใหม่ ดูอลังการทีเดียว
ออกจากอาคาร เลี้ยวขวา จะเป็นจุดรับของแท็กซี่สนามบินอยู่ เดินไปเรียกเลยครับ
ราคาไม่แพงเลยครับ เริ่มต้นที่ 40 บาท ไม่มีบวกเพิ่ม ไปถึงโรงแรม 50 บาทเอง
ถึงที่พักเป็นที่เรียบร้อย คืนนี้ผมจองโรงแรมนาถสิริ เรสซิเดนซ์ กับ Agoda มาครับ โรงแรมหรูแต่ราคาไม่แพง บริเวณโรงแรมตกแต่งได้สวยงามครับ
สไตล์ยุโรปหน่อยๆ
สภาพห้องก็ดูโอเคครับ
สำหรับราคานี้ผมว่าใช้ได้เลย เตียงนุ่นสบายครับ
ชักเริ่มหิวเดินออกไปหาอะไรกินใกล้ๆ โรงแรมดีกว่า
ออกจากโรงแรมเดินเลี้ยวซ้ายก็มาเจอร้านอาหารญี่ปุ่นร้านนี้ครับ
จัดร้านได้ OK เลยครับ ขอเซลฟี่ไว้หน่อย 555+
ไม่นานอาหารที่สั่งก็ได้ครับ อันนี้ทุกจาน 59 บาท ทั้งหมดครับ (ปลาดิบอันนั้นรวม 2 จาน 555+)
กินไปดูบรรยากาศในร้าน ดูผู้คน ดูภาพถ่ายไป เพลินๆ ดีครับ ^_^
เดินกลับมาที่ห้อง กำลังจะอาบน้ำมีคนมาเคาะประตู ตกใจ น้องพนักงานต้อนรับเอาขนมมาให้ครับ บอกว่าถ้าจองกับ Agoda มาจะได้ขนมด้วย อร่อยดีครับ เอออ เพิ่งเคยเจอนี่แหล่ะ 555+
จากนั้นก็รีบนอน เพราะต้องตื่นแต่เช้า ต้องรีบไปซื้อตั๋วรถทัวร์ไปปากเซให้ทันรอบ 09:30 น.
**** จบวันที่ 1 ****
---- วันที่ 2 ----
วันนี้รีบตื่นแต่เช้าหน่อย 07:00 น. รีบเก็บของ อาบน้ำแต่งตัว ลงมากินข้าวซัก 07:30 น.
อาหารก็บุฟเฟ่ต์ทั่วไป (ข้าวต้มกุ้งอร่อยดี)
บรรยากาศบริเวณห้องอาหาร ช่วงเช้าครึกครื้นดีแท้
08:00 น. ให้น้องพนักงานต้อนรับเรียกแท็กซี่มารับไป บขส. อุบล รถแท็กซี่มารับแล้วพาไปถึง 08:30 น. แต่.... รถบัสอุบล-ปากเซ เต็มแล้ว กรรม... มัวชะล่าใจ สุดท้ายเลยต้องนั่งรถตู้ อุบล-ช่องเม็ก ราคา 100 บาท แล้วค่อยข้ามด่านไปต่อรถช่องเม็กปากเซอีกที
ไม่นานคนก็เต็ม (ปลากระป๋องนิดนึง 555+) รถก็ออก (09:00 น.)
และแล้วรถตู้ก็พาเรามาถึง บขส. ช่องเม็ก ในเวลา 11:00 น. ตอนขึ้นรีบไปหน่อยเลยไม่ได้เก็บภาพรถตู้ไว้ เอาตอนลงนี่แหล่ะ 555+ สภาพเป็นอย่างที่เห็น เหมือนรถตู้โดยสารทั่วไป
สภาพของ บขส. ช่องเม็กครับ เข้าห้องน้ำเรียบร้อย จะเดินไปด่านก็ไกลพอดู มีรถสองแถวและพี่วินบริการอยู่นะครับ 20 บาท
ผมเลือกใช้บริการรถสองแถว นั่งไปกับคนอื่นด้วย ไม่นานรถก็มาจอดส่งหน้าด่านครับ
ชอบด่านช่องเม็กอย่างหนึ่งคือ ออกแบบได้แปลกตา สวยดีครับ
ผ่าน ตม. ไทยแล้ว ก็เดินเพื่อลอดอุโมงไปยัง สปป.ลาว กันครับ
สภาพภายในอุโมงค์ครับ แบ่งกันคนละช่อง ขาเข้าและขาออก
ออกมาแล้วให้เดินไปอาคารหลังเล็กทางซ้ายมือนะครับ อาคารหลังใหญ่กำลังก่อสร้างอยู่
หลังนี้นะครับ เดินเข้าไปติดต่อ ตม. ที่ช่อง 6 ได้เลย แล้วแต่ดวงนะครับว่าจะเสียค่าเหยียบแผ่นดินเท่าไหร่ ครั้งนี้ผมโดนไป 100 บาท ครั้งที่แล้วโดนไป 200 บาท 555+
จากนั้นก็นั่งพี่วิวหน้าด่าน ไป บขส. ฝั่งลาวไปปากเซ ( 20 บาท) แล้วก็ไปนั่งรอรถที่ศาลานี้ครับ
รอเกือบ 30 นาที รถตู้ก็มาครับ ยัดกันเป็นปลากระป๋องเช่นเดิม เก็บเป็นเงินบาทไทยเลยครับ 120 บาท
และแล้วก็มาถึง บขส.ปากเซ นี่สภาพรถที่นั่งมาครับ อัดแน่นทีเดียว 555+
ภายใน บขส.ปากเซครับ คนอย่างเยอะ
ผมก็รีบเดินออกไปข้างหน้าเพื่อนั่งสามล้อต่อเข้าเมืองไปเช่ารถมอเตอร์ไซต์ จากในแผนที่ประมาณ 10 กม. ครับ โดนค่ารถไป 30,000 กีบ
โซนนี้ทั้งโซนเป็นแหล่งจองทัวร์ เช่ารถครับ เลือกร้านได้เลย รถจอดฝั่งตรงข้าม ต้องเดินข้ามไปครับ
แนะนำร้านแลกเงินร้านนี้นะครับ ได้ราคาดีทีเดียว
จากนั้นก็มองหาร้านเช้ารถมอเตอร์ไซต์ไว้ใช้ ร้านแรกราคาดีแต่หมดแล้วครับ 555+
เดินมาอีกหน่อย ผมก็ได้จากร้านนี้ครับ เป็นโรงแรมมากกว่าร้าน 555+
เดินเข้าไปติดต่อน้องพนักงานต้อนรับข้างในเลยครับ
ทำสัญญาเช่ากันครับ ผมเช่า 3 วัน เอาฟีโน่ ราคาตกวันละ 80,000 กีบ ครับ
รับรถเสร็จ อันดับแรกเลยคือต้องเติมน้ำมันก่อนครับ เขาจะเหลือไว้ให้เรานิดเดียวเอง ไม่เติมก่อนลำบากเข็นแน่ >_< ไป ปตท. ที่อยู่ในเมือง ประมาณ 2 กม. ครับ
สีสันคุ้นเคย แค่นี้ก็สบายใจไปเปราะนึง
เติมน้ำมันเสร็จ ก็ขอจัดกาแฟหน่อย (ทำยังกับอยู่เมืองไทย 555+)
อเมซอนเอ็กตร้า รสชาติที่คุ้นเคย
เติมน้ำมันเสร็จต้องไปเช็คอินที่โรงแรม ผมพักแถวริมแม่น้ำโขงครับ เอาบรรยากาศหน่อย
ผมจองกับ Agoda มาครับ ไม่แพง บรรยากาศดีด้วย มาถึงเร็วไปหน่อยยังไม่บ่ายสองเลย รอทางโรงแรมเคลียร์ห้องให้แป๊บนึง
สภาพห้องก็ OK ครับ ได้ห้องวิวแม่น้ำ เสียดายข้างนอกมีก่อสร้าง ไม่งั้นล่ะแจ่มเลย
เอาของเก็บห้องเรียบร้อย ก็มุ่งหน้าสู่สถานที่ท่องเที่ยวแรกกันครับ ปราสาทหินวัดพู ไกลทีเดียว ขับรถยาวๆ ไป 1 ชม.
ระหว่างทางก่อนออกจากตัวเมืองต้องขับรถข้ามแม่น้ำโขงด้วย วิวดีจริงๆ ครับ
เลี้ยวซ้ายจากถนนสายหลัก (16W) ไปยังเส้นไปจำปาสัก ถนนลาดยาง บรรยากาศข้างทางดีครับ
เวลา 15:15 น. ผมก็เดินทางมาถึง "ปราสาทวัดพู" หนึ่งในมรดกโลกครับ จอดแล้ว (เสียค่าจอด 5,000 กีบ) แล้วเดินเข้าไปเลยครับ
เขาบอกให้เลี้ยวขวาไปซื้อตั๋วก่อนครับ (บ่อนขายปี้)
ได้ปี้มาแล้วครับ ราคา 50,000 กีบ
จากนั้นเราก็เดินต่อไปยังจุดขึ้นรถรับ-ส่ง
ตรงจุดรอรถรับส่ง เดินไปต่อจะเจออาคารพิพิธภัณฑ์ จะมีการเก็บโบราณวัตถุไว้เพียบเลยครับ เข้าไปดูได้เลยไม่เสียตังก์เพิ่มครับ
ดูเสร็จแล้วรถมาพอดี เป็นรถไฟฟ้านะครับ ตามรูปด้านล่าง
ที่เรากำลังจะไปอยู่ตีนเขานู่นนนนน เดินคงขาลากทีเดียว
ระหว่างทางไปยังตัวปราสาทหิน จะผ่าน "บาราย" ขนาดใหญ่ มองดูข้างถนนมีคนเดินกลับด้วยแฮะ
"บาราย" คือสระน้ำขนาดใหญ่รูปสีเหลี่ยมผืนผ้า ขุดขึ้นเพื่อให้ประชาชนได้ใช้ในการดำรงชีวิต
ไม่นานรถก็มาส่งหน้าทางเข้า มีเสาหินเรียงรายทอดสู่ตีนเขา (ดูขลังมาก)
เดินมาได้ครึ่งทางก่อนถึงตัวปราสาทแล้วครับ แดดก็แรงใช่ย่อย คิดในใจ "ไกลจังวะ 555+"
เดินขึ้นมาซักหน่อย (สุดเสาหิน) ก็จะเจอตัวปราสาททั้งสองด้านของทางขึ้นวิหาร
ดูสวยงามและลึกลับไปในเวลาเดียวกัน
มีการบูรณะบ้างให้คงสภาพไว้เช่นเดิม
อีกซักรูป ^_^
แล้วก็เดินต่อไปครับ ใกล้แล้วครับ 555+
ทางขึ้นเริ่มมีความชันแล้ว อันนี้ประมาณ 5-10%
ถัดมาเริ่มชันหนักขึ้น อันนี้ 30-35 %
และสุดท้ายหนักสุด มากกว่า 40% ไปเลยครับ 555+
ขึ้นมาถึงข้างบนเล่นเอาเสื้อเปียกเลยครับ เหงื่อท่วม >_< แต่มองกลับลงไปวิวก็สวยจริง
ด้านบนมีอาคารไม้อยู่ 2 หลังครับ อันนี้หลังแรก คล้ายศาลาการเปรียญ
ถัดไปนู่นนน จะเป็นหลังที่สอง (ลักษณะเหมือนบ้านพัก)
มีสัตว์เลี้ยง (แพะ) ชาวบ้านขึ้นมาหาเล็มหญ้าข้างบนด้วย
เดินย้อนกลับมาทางขึ้นตรงหน้าวิหาร มีของสำหรับบูชาพระขายด้วย คนที่เพิ่งเดินขึ้นมาก็นั่งพักเหนื่อยกัน
เดินมาถ่ายรูปอีกมุม มุมนี้สวยจริงแฮะ มองไปเห็นถึงแม่น้ำโขงเลย (สีขาวๆ ไกลๆ นู่นนน)
หันหลังกลับมาพี่ๆ หนุ่มไทย กำลังนั่งสาวลาวอยู่ แซวกันขำๆ ^_^
จากนั้นก็เข้าวิหาร กราบพระประธาน เพื่อเป็นศิริมงคลหน่อย (สมัยก่อนจะเป็นศิวลึงค์ครับ มาเปลี่ยนเป็นพระพุทธรูปในภายหลัง)
สภาพภายนอกวิหารปัจุบันครับ
เดินต่อไปหลังวิหาร จะมีทางขึ้นไปยังหน้าผา ต้องลอดกำแพงเข้าไปครับ
จะเจอลักษณะเป็นชะง่อนผา และมีพื้นที่ด้านล่างเหมือนมีอะไรอยู่ ลองเดินเข้าไปดูดีกว่าครับ
เป็นบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ ที่น้ำซึมออกมาจากหน้าผา แล้วมีสะพานไม้รับน้ำมายังบ่อครับ
ด้านหลังวิหารอีกจุดมีรูปแกะสลักของพระตรีมูรติ (3 มหาเทพ) อยู่ด้วยครับ ถัดจากจุดนี้ไปว่ากันว่าเมื่อสมัยยังคงเป็นขอมอยู่ จะเป็นจุดที่ใช้บูชายันต์ด้วยการสังเวยสาวพรหมจรรย์ในทุกปีครับ
เดินจนรอบ ก็เหนื่อยเอาการ ไปจุดขายของหน้าวิหาร ได้แป๊บซี่กระป๋องก็ชื่นใจแล้วครับ
จากนั้นก็ได้เวลาเดินลงครับ หวาดเสียวทีเดียว ทางมันชันมาก
ระหว่างทางลง วิวด้านข้าง
ลงจนสุดบันไดทั้งหมด จะพบรูปปั้นเจ้าพ่อกมมะทา ที่ชาวลาวเชื่อว่าเป็นผู้นำในการสร้างวัดพูครับ
วิวตามทางเรื่อยๆ ขณะเดินลง
อีกมุมเมื่อหันหน้าไปยังทางขึ้นครับ
ลองเดินขึ้นไปเก็บภาพบนตัวปราสาทเสียหน่อย เดี๋ยวจะว่ามาไม่ถึง ^_^
จากนั้นก็ขับรถกลับมาปากเซครับ ชิวๆ ตามทางมาเรื่อยๆ ถึงโรงแรมก็เกือบ 6 โมงเย็น แวะถ่ายรูปแม่น้ำโขงหน้าโรงแรมหน่อย
ผู้คนกำลังมาออกกำลังกายกันบริเวณหาดทรายครับ
มุมมองแบบพาโนก็สวยไปอีกแบบครับ
หันหลังไปก็จะเจอกันโรงแรมที่ผมพักครับ
ขึ้นโรงแรมไปเก็บภาพจากดาดฟ้าบ้าง
วิวสวยทีเดียวครับ พระอาทิตย์กำลังจะตกด้วย
ข้างบนมีสระว่ายน้ำอยู่ด้วยนะครับ แต่ฝรั่งเล่นกันอยู่เต็มเลย ผมไปดีกว่า 555+
อีกมุมจะเป็นวิวเมืองปากเซครับ
เต็มอิ่มแล้วก็ลงไปอาบน้ำ พักผ่อนซักหน่อย ค่อยออกไปหาอะไรกิน วนอยู่ประมาณ 2 รอบตัดสินใจเข้าร้านนี้ครับ
"ร้านวิวบาร์" ร้านริมโขงและไม่ไกลจากที่พักเท่าไหร่ (ขับเลียบโขงไปทางสะพาน)
ร้านนี้พึ่งเปิดได้ไม่นานครับ บรรยากาศดีทีเดียว ผมมาคนเดียวเลยขอขึ้นไปนั่งชั้นบน
อาหารและเครื่องดื่มก็ราคาทั่วๆ ไป ไม่แพงครับ
เครื่องดื่มครับ
ผมเลยสั่งเบียร์ลาวไป 3 ขวด พร้อมสั่งอาหารอีกชุดใหญ่ 555+
และแล้วอาหารก็มาครับ
(ทั้งหมด ผมหมดไปประมาณ 2 แสนกีบ ตีเป็นเงินไทยก็ประมาณ 6-7 ร้อยบาทเองครับ)
ไม่นานวงดนตรีก็มาครับ ร้องเพลงสตริงไทยเกือบทั้งหมดเลยครับ นักร้องหญิงเป็นคนไทยด้วย หน้าเหมือนจั๊กจั่นเลย
มี HBD กันด้วย อยากเข้าไปนัวกับเขาบ้าง 555+
ประมาณเที่ยงคืน เริ่มตึงๆ กลับห้องไปนอนดีกว่า พรุ่งนี้ไปหลายที่ เดี๋ยวไม่ไหว แหะๆ
**** จบวันที่ 2 ****
---- วันที่ 3----
วันนี้ก็ตื่นประมาณ 8 โมงครับ อาบน้ำ แต่งตัวลงไปกินข้าวเช้า เป็นบุฟเฟต์เหมือนเดิมครับ เพิ่งสังเกตจริงจังว่าโรงแรมนี้มีแต่ฝรั่งมาพักแฮะ 555+
กินพอเป็นพิธี เดี๋ยวปวดท้องกลางทางแล้วจะยุ่ง 555+
ก่อนออกเดินทางอย่าให้พลาดเหมือนเมื่อวาน จัดหนักๆ แดดมันแรง หุหุ
จะต้องขับรถจักร (มอเตอร์ไซต์) ยิงยาวไปที่ราบสูงโบละเวนเกือบ 60 กม. เตรียมพร้อมกันหน่อย
อันดับแรงน้ำมันต้องเต็มถัง จัดปายยย
แล้วก็ยิงยาววครับ ถนนดีมากครับ 4 เลนจนถึงเมืองปากซองเลย
และแล้วก็มาถึงเมืองปากซองแล้วครับ เป็นเมืองที่มีอากาศเย็นทั้งปีครับ
ขับต่อไปเพื่อไปยังเป้าหมาย "ร้านกาแฟโบละเวน" นั้นเอง ถ่ายกับป้ายพร้อมรถจักรคู่ใจ 555+
เป็นไร่กาแฟขนาดใหญ่
อยู่ริมถนนสายปากซอง-เซกอง
เป็นร้านกาแฟบรรยากาศคูลคูล หน้าทางเข้าไร่กาแฟ
เมนูครับ ราคาไม่แพงเลยครับ เทียบกันบรรยากาศของร้าน
ห้องชงกาแฟครับ เล็กๆ เอง แต่เห็นรูปด้านบนไหมครับ กรมสมเด็จพระเทพฯ ทรงเคยเสด็จฯ มาด้วย ^_^
ระหว่างรอกาแฟ มองขึ้นไปบนชั้นลอย น่าไปนั่งมาก วิวท่าจะดี
ได้กาแฟแล้ว ก็เดินขึ้นไป ได้ภาพดังที่หวังเลยครับ ไร่กาแฟ ใหญ่สุดลูกหูลูกตา
เก็บภาพกับป้ายหน่อย มาถึงแล้วนาาาา
บรรยากาศโดยรวมชั้นลอยครับ
แก้วกาแฟที่สั่งกับต้นกาแฟในไร่
หน่ำใจแล้วก็เดินลงครับ อันนี้เป็นสภาพร้านกาแฟด้านล่าง
เข้าห้องน้ำห้องท่าเสร็จ ก็เตรียมตัวออกเดินทางต่อ เซลฟีก่อนแว้นอีกซักรูป 555+
จุดถัดไป เราจะไปน้ำตก "ตาดเยื่อน" กันครับ ประมาณ 20 กม.
ว่าแต่ทำไมฟ้าชักเริ่มครึ่มๆ ล่ะ ใส่ครีมกันแดดมาซะเหมือนอาบ หึหึ
ระหว่างทางก่อนเข้าเมืองปากซอง แวะเก็บภาพอนุสาวรีย์ท่านไกรสรฯ หน่อย ท่าท่านเท่ห์มากครับ
เริ่มไม่ครึ่มอย่างเดียวแล้วครับ ชักมีฝนลงด้วยแล้ว 555+
ไม่นานก็มาถึงทางเข้าครับ มีป้ายขนาดใหญ่อยู่
ถนนที่จะเข้าไปยังน้ำตกครับ ลูกรังนั้นเอง 555+
ถึงจุดเก็บเงินค่าเข้า มาคราวนี้โดนเก็บเป็นชาวต่างชาติ ครั้งที่แล้วเนียนได้ 55+
(โดนไป 15,000 กีบครับ)
ฝากรถเสร็จก็เดินเข้าไปได้เลย ตกแต่งสถานที่สวยกว่าเดิมเยอะเลยครับ
ออกแบบสถานที่ได้สวยดี มีร้านค้าขายของที่ละลึกเพียบเลย
มื้อนี้ผมจะฝากท้องไว้ที่นี้ครับ มีร้านอาหารอยู่ จำได้ว่าเคยกินแล้วอร่อย
เดินเข้าเลือกที่นั่งที่วิวดีที่สุด
ตรงนี้ละกัน มองเห็นต้นน้ำของน้ำตกเลย
มีรูปของบุคคลสำคัญที่เคยมาสถานที่แห่งนี้ติดอยู่เต็มไปหมด และเห็นมีพระฉายาลักษณ์ของกรมสมเด็จพระเทพฯ ด้วย เลยลองถามน้องเด็กเสริฟไป ได้ความว่า ท่านมาเมื่อครั้นเสด็จฯ เพื่อทรงเป็นองค์ประธานเปิดศูนย์เกษตรฯ ในพื้นที่แขวงจำปาศักดิ์นี่เอง
ระหว่างรออาหาร ก็ขอเบียร์ลาวซักขวดเย็นๆ จิบระหว่างนั่งรอ วิวดีจริงๆ
ไม่นานอาหารก็มา มื้อนี้ผมขอจัดอาหารพื้นเมืองครับ
อร่อยเหมือนเคย
หลังจากอิ่มแล้ว ก็ได้เวลาเดินลงไปดูน้ำตกกันครับ เดินตามทางลงไปเลย
ด้านต้นน้ำก่อนจะลงหน้าผาไป มีสะพานข้ามไปได้ครับ
เดินข้ามไปดูกัน
ถ่ายจากกลางสะพาน น้ำกำลังไหลตกลงสู่เบื้องล่าง
เดินข้ามสะพานไปจะไปถึงสะพานที่ไปยังห้วยต้นน้ำ
มองขึ้นไปด้านบน จะเห็นร้านอาหารที่ผมนั่งกินก่อนจะลงมา
เอาหล่ะครับ ได้เวลาเดินไปต่อแล้ว ข้ามสะพานกลับมา กลับเข้าสู่ทางเดิม มองดูจุดที่จะลงไป ลึกเอาเรื่อง
มุมน้ำตกบ้าง จากจุดที่น้ำไหลลง (ที่ถ่ายตรงสะพาน) ลงหน้าผาอย่างสูงครับ
เอาหล่ะ ได้เวลาเดินลงไปข้างล่างแล้ว เดินลงกันเลยครับ
แทบไม่อยากจะจินตนาการตอนเดินขึ้น 555+
อ่าว... รู้สึกว่าฝนจะตกซะแล้ววววว
ฝรั่งที่มาก่อนผม ก็นั่งเหงา รอให้ฝนหยุดตก
ระหว่างรอฝนหยุด ด้านซ้ายผมจะเป็นวิวนี้เลยครับ น้ำตกไหลจากหน้าผาสูง
ยิ่งใหญ่เสียงดังมากครับ
ฝนเริ่มหยุดแล้ว ผมก็เดินต่อไปยังศาลาที่มองเห็นจากข้างบนครับ
ก่อนเดินไป จัดแบบพาโนซักรูป
ระหว่างทางเดินไปศาลา เป็นจุดที่ถ่ายรูปน้ำตกได้สมบูรณ์ที่สุด จัดไปครับ
และแล้วผมก็มาถึงศาลาเสียที ละอองน้ำจากน้ำตกลอยมากระทบหน้าเลยครับ ยกมือถือถ่ายไม่ไหว เดี๋ยวเปียก >_<
ก่อนจะกลับอยากให้เห็ยความยิ่งใหญ่ของน้ำตก ลองเทียบกับคนในวงแดงดูครับ (ฝรั่งคนนั้นก็ช่างกล้า อันตรายน่าดู)
น้องฝรั่งคนที่รอฝนหยุดตกก็เดินลงไปต่อ ไม่รู้จะรู้จักกับฝรั่งที่ปีนน้ำตกอยู่ไหม ผมก็เดินกลับแล้วครับ กว่าจะถึงรถเล่นเอาหอบ
จากนั้นก็ไปยังสถานที่ถัดไปครับ "น้ำตกตาดฟาน" ประมาณ 3 กม. ตัวน้ำตกจะเข้าไม่ถึงครับ ต้องไปดูที่รีสอร์ทฝั่งตรงข้ามครับ
ทางเข้ามีป้ายใหญ่โต จุดเด่นของที่นี้เลยคือโหนซิปไลน์ ชมน้ำตก หวาดเสียวสุดๆ ครับ
ทางเข้าก็เป็นถนนลูกรังเหมือนที่ผ่านมาครับ
จ่ายเงินค่าเข้าเสร็จก็มาจอดรถครับ
ทางเดินไปชมน้ำตก อยู่นู่นนนนนครับ
อันนี้ราคาค่าเข้าชมและฝากรถครับ เท่ากับตาดเยื่อนเลย
ถึงป้ายแล้วครับ เก็บภาพไว้หน่อย 555+
ฝนเพิ่งหยุดตก หมอกลงจัดเลยครับ ได้อีกบรรยากาศ แต่... จะได้เห็นน้ำตกไหมล่ะทีนี้ เพราะอยู่ไกลมาก
เดินมาถึงจุดชมน้ำตก โอ้ววววว แทบมองไม่เห็น แต่ก็พอจะจินตนาการความยิ่งใหญ่ได้
(เคยมาแล้วไง 555+)
หมอกเริ่มมาบังวิวอีกแล้ว
หายมิดเลยทีนี้ >_< ต้องรอจังหว่ะดีๆ 55+
ระหว่างรอ ก็เดินชมบรรยากาศโดยรอบ หมอกลงแบบนี้ก็สวยไปอีกแบบ
อาคารหลังนี้เป็นร้านกาแฟครับ สั่งกาแฟแล้วขึ้นไปนั่งชมวิวน้ำตกข้างบนได้เลย
เดินไปมุมนู้นดีกว่า
ย้อนหลัง ถ่ายกลับมาที่ตัวอาคาร จะเห็นระเบียงรั้วกั้น สำหรับชมน้ำตกที่ผมไปยืนเก็บภาพมาเมื่อครู่
ยืนรอเก็บภาพน้ำตกตรงจุดปล่อยตัว ซิปไลน์
(เห็นสลิง 3 เส้นใช่ไหมครับ นั่นหล่ะ ข้ามเหวเลย 555+)
รอซักพัก ก็ได้จังหว่ะที่หมอกจางพอดี เก็บภาพมุมนี้อีกซักภาพ แช๊ะ...
จากนั้นก็ไปยังจุดถัดไปครับ อีก 1 น้ำตกที่ขึ้นชื่อเช่นกัน "น้ำตกผาส้วม" ครับ สามสิบกว่าโลครับ
ที่นี้ดีหน่อย เป็นถนนลาดยางถึงตัวน้ำตกเลยครับ
ค่าเข้าชม จะเท่ากันหมดครับ แต่ค่าฝากรถที่นี้ถูกกว่า แค่ 2,000 กีบเอง
มาถึงก็งงๆ ครับ ไปทางไหนดี เห็นป้ายเขียนว่าทางไปน้ำตกก็ไปก่อน
ที่นี้ไม่ค่อยมีคนมาเที่ยวเท่าไหร่ครับ ร้านค้าก็เลยหายไปเยอะ
ยังครับ ยังไม่ถึงเดินต่อไปอีก แต่เอ้.. ทำไมเป็นภาษาไทย แล้วชื่อก็ไม่ใช้น้ำตกผาส้วมด้วย 555+
เดินมาถึงตัวน้ำตก แต่... ทำไมมันดูเล็กจัง ใช่ป่าวเนี่ยะ
มีฝรั่งเปลี่ยนชุดลงเล่นน้ำด้วย ไม่น่าใช่แล้วผมว่า เดินกลับไปทางเข้าแล้วหาใหม่ดีกว่า
สรุปมันอยู่ติดกับที่จอดรถเลยครับ เป็นช่วงที่ลำน้ำเปลี่ยนระดับไหลลงหน้าผา
ท้ายน้ำครับ
เดินเข้าไปใกล้อีกหน่อย เดี๋ยวรอฝรั่งคนนั้นลุกก่อน เดี๋ยวไปยืนถ่ายตรงนั้น 555+
มุมนี้สวยจริงครับ น่ากลัวด้วย 555+
เดินชมจนพอใจแล้ว ก็เดินทางกลับปากเซครับ กลับไปพักผ่อนที่โรงแรม
ช่วงเย็นๆ จะไปชมพระอาทิตย์ตกดินที่จุดบรรจบลำเซดอนกับน้ำโขงที่ศาลเจ้าจีน ตามแผนที่ครับ
ชื่อก็ตามป้ายเลยนะครับ ผมอ่านไม่ออก 555+
นี้ครับ จุดบรรจบแม่น้ำ สวยงาม
บรรยากาศบริเวณภายในศาลเจ้าครับ
นั่งรอพระอาทิตย์ตกดิน ชิลล์ๆ
ถ่ายแบบพาโนเก็บไว้ซักรูป
จากนั้นก็ขับรถกลับมาร้านอาหารแถวโรงแรม ร้านอาหารเยอะมากครับ น้องเด็กเชียร์เบียร์มาถามว่าเอาเบียร์ลาวไวท์ไหม เอิ่มมยังไม่เคยลอง ขอจัด 1 โปร 3 ขวด
มาคนเดียว แต่ทำไมให้แก้วกับจานมา 2 ชุด เริ่มขนลุก ไม่ได้พาใครมานาาา 555+
สั่งตับหวานไป แต่...ทำไมเป็นตับดิบ พี่กินไม่เป็นครับน้องงงงง เอาไปลวกให้หน่อย ฮาตัวเอง
น้องบอกเมนูนี้เด็ด ขาแพะพันไส้ย่าง จริงป่าวเนี่ยะ (เริ่มหลอนตั้งแต่ตับหวานละ หึหึ)
ลองกินดู ก็อร่อยใช้ได้นะครับ แปลกแต่ก็อร่อย 555+
พอกึ่มๆ หน่อยๆ ก็กลับห้องนอนครับ วันนี้เพลียจัด ขับรถจักรอ้อมแขวงเลยทีเดียว หลับเป็นตาย
**** จบวันที่ 3 ****
---- วันสุดท้าย ----
วันนี้เป็นวันที่ตื่นสายได้ครับ ผมตื่นเกือบ 9 โมง ล้างหน้าแปลงฟันลงไปกินข้าวเลย แล้วค่อยขึ้นมาอาบน้ำ 555+ จากนั้นแต่งตัวเพื่อไปยังวัดภูสะเลา จุด Landmark อีกแห่งของเมืองปากเซครับ ประมาณ 8 กม. ครับ ตามแผนที่เลย
ข้ามสะพานข้ามแม่น้ำโขงมาแล้วเลี้ยวซ้าย แล้วขับยิงยาวเลย เป็นทางขึ้นเขาแต่ไม่ชันมากครับ
และแล้วก็ขึ้นมาถึงแล้วครับ ตรงจุดนี้ก็เป็นอีกจุดไฮไลท์ของที่นี้ครับ
มองเห็นสะพานและเมืองปากเซมุมสูง
วิวดีงามมากครับ
ด้านหน้าองค์พระครับ
ข้างบนจะมีพระพุทธรูปเรียงรายหลายร้อยองค์ มีเกือบทุกปางค์ครับ
เดินมาเรื่อยๆ จะมีจุดชมวิวเมืองปากเซที่สวยที่สุด
เออ... สวยจริงแฮะ
จากนั้นก็ขับรถลงเขาครับ วิวระหว่างทางก็สวยครับ
ถ้าไม่อยากขับรถขึ้นไป จะทดสอบกำลังขาตัวเอง ก็สามารถขึ้นทางนี้ได้ครับ ไม่รู้กี่ขั้น ผมขอบาย 555+
ขับรถข้ามสะพานกลับ วิวบนสะพาน
ก่อนเข้าโรงแรม ก็แวะถ่ายรูปกับโบสถ์คริสต์โบราณของเมืองปากเซหน่อย
กลับเข้าโรงแรม เก็บของเช็คเอาท์ ระหว่างขากลับก่อนจะเอารถจักรไปคืน
ก็แวะเก็บภาพวัดหลวงของที่นี้หน่อย
ได้แต่ถ่ายข้างนอก ข้างในไม่ได้เข้าไปครับ 555+
หลังจากเอารถไปคืน ผมก็จองตั๋วรถบัสกลับอุบลที่จุดเช่ารถเลยครับ ราคาเพิ่มมานิดหน่อยเอง
มีรถไปส่งที่ บขส. ด้วย เอาสะดวกครับตอนนี้
ตอนนี้พึ่งเที่ยง กว่ารถจะมาก็บ่ายสองครึ่ง แวะหาอะไรกินแถวร้านเช้ารถดีกว่า จบที่เฝอครับ
เขาว่ากันว่าร้านนี้เด็ดมาก เหมือนกินที่เวียดนามเลย
จริงดังเขาลือครับ อร่อยมาก แถมได้เยอะอีกต่างหาก
ไม่คิดว่าจะเยอะขนาดนั้น สั่งแซนวิชเวียดนามมาอีก กินแทบไม่หมด 555+
เหลือเวลาอีกตั้งนาน ไปแวะร้านนวด 1 ชั่วโมง แล้วก็กลับมานั่งรอรถมารับที่จุดจองตั๋วครับ
ตรงเวลาเลย บ่ายสองครึ่งมีรถสามล้อมารับ แต่แล้ว..ขณะกำลังจะออก มีฝรั่ง 2 คนขอให้มาส่งสนามบินก่อน พี่แกรับงานเฉย เอ้าไปก็ไป ถือว่านั่งรถเล่น 555+
จริงๆ ระยะทางจากที่เช่ารถจักรมา บขส. ที่รถบัสปากเซ-อุบล จอด ก็ไม่ไกลมากครับ ถ้ามาตรงเลย
มาถึงแล้วต้องเอาตั๋วที่ได้จากจุดเช่ารถมาแลกเป็นตั๋วจริงครับ แบบนี้
ครั้งนี้ได้รถไทยครับ นั่งสบาย
มีป้ายบอกด้วย หากติด ตม.ไม่ให้ผ่าน ให้ติดต่อคนขับด้วย
มาถึง ตม. แล้วครับ รถก็จอดให้ลงไปทำพิธีการผ่านแดน
ขาออกก็เสียอีก 100 บาท งงกับตรรกะท่านจริงๆ 555+ แล้วก็เดินกลับไปฝั่งไทยครับ
ลอดอุโมงค์ไปเลยจร้า โผล่ขึ้นมาก็ฝั่งไทยละ ไปตรวจคนเข้าเมืองที่ ตม. ไทยต่อ
เรียบร้อยแล้วครับ รวดเร็วมาก คนแรกเลย รอคนอื่นยาวๆ ไป 555+
ประมาณทุ่มครึ่งรถก็มาส่งที่ บขส. อุบลราชธานี
ก็เดินไปขึ้นรถ BUS TERMINAL ต่อครับ ปลายสายอยู่ที่สนามบิน
แล้วรถก็พาผมมาส่งถึงสนามบินอย่างปลอดภัย (พาอ้อมไปนิดลุ้นนึกว่าจะมาไม่ทันซะแล้ว 555+)
ตรงนี้เป็นจุดจอดนะครับ ประหยัดดีครับ ช่วงนี้ฟรี
เวลาไม่มีแล้ว แต่หิวมาก ฝากท้องไว้กับร้านแบล็คแคนยอน พึ่งรู้ว่าแกงเขียวหวานเขาอร่อยมากก
ไม่รู้ว่าจริงๆแล้วหิวหรือป่าว 555+
กินเสร็จก็รอฟังเรียกขึ้นเครื่องครับ
ได้ขึ้นเครื่องเป็นที่เรียบร้อย
บ๊าย บายยย อุบลราชธานี แล้วจะมาใหม่น้าาาาาา
เวลา 21:30 น. ถึงสนามบินดอนเมืองโดยสวัสดิภาพ
**** จบทริปการเดินทาง ****
สรุปค่าใช้จ่าย
1. ค่าตั๋วเครื่องบินไป-กลับ (ดอนเมือง-อุบล) แอร์เอเชีย ช่วงโปร 755 บาท
2. ค่ารถโดยสารทั้งหมดตลอดทริป (รถบัส-รถตู้-สองแถว-พี่วิน-แท็กซี่) รวมประมาณ 800 บาท
3. ค่าโรงแรมที่พัก จองกับ Agoda (อุบล 1 คืน, ปากเซ 2 คืน) รวม 1,700 บาท
4. ค่าเช่ารถจักร ( 3 วัน วันละ 80,000 กีบ) เป็นเงินไทยประมาณ 820 บาท
5. ค่าเติมน้ำมันเต็มถัง (3 ครั้ง ครั้งละ 25,000 กีบ) เป็นเงินไทยประมาณ 250 บาท
6. ค่าบัตรเข้าชมและที่จอดรถสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ รวมทุกจุด ประมาณ 350 บาท
7. ค่าอาหารและเครื่องดื่ม รวมทุกมื้อ ประมาณ 1,800 บาท
8. ค่าจ่ายให้ ตม. ฝั่งลาว (ขาไป-ขากลับ) รวม 200 บาท
รวมค่าใช้จ่ายทั้งสิ้นประมาณ 6,700 บาท (แบบกินอยู่สบายเลยครับ)
************
เป็นอีกทริปที่ผมประทับใจมากครับ นี่ขนาดครั้งที่ 2 แล้ว สำหรับเมืองปากเซ ไปซ้ำสถานที่ท่องเที่ยวเดิมก็หลายที่ แต่มันก็เปลี่ยนไปเยอะครับ ให้อารมณ์คนละอารมณ์เลย ถ้าใครอ่านแล้วคิดว่าน่าสน ผมคอนเฟิร์มเลยครับว่า คุ้มแน่นอนครับ แล้วท่านจะติดใจเมืองนี้แบบผม ลาวใต้มีอะไรให้ค้นหาอีกเยอะครับ แล้วเจอกันใหม่ รีวิวหน้าครับ ครั้งนี้ขอสวัสดีครับ
ติดตามสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ ได้ที่
Blog : https://goalonetravel.blogspot.com/
GoAloneTravel
วันพุธที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 เวลา 00.02 น.