"...See Angkor and Die..."
"...ถ้าได้ยลโฉมเมืองพระนครสักครั้ง แม้ตายไปก็ไม่เสียดายชีวา..."
Arnold Joseph Toynbee นักโบราณคดีชาวอังกฤษ ได้ทิ้งวลีอมตะนี้ไว้
ให้นักท่องเที่ยวทั่วทุกมุมโลก เดินทางตามไปพิสูจน์ให้เห็นกับตา
ว่า "เมืองพระนคร" หรือ "Angkor" ที่ยิ่งใหญ่ จะงดงามดั่งคำนิยามที่ทรงพลังนี้หรือไม่
ทริปนี้เกิดขึ้นมาได้ไม่ใช่เพราะคำพูดของลุงอาร์โนลด์แต่อย่างใด
เเต่เพราะคำชักชวนสั้น ๆ ของน้องสาวคนหนึ่งที่มีใจรักการออกไปดูโลกเช่นเดียวกับผม
พวกเราเลือกวิธีเดินทางที่ง่ายและเร็วที่สุด นั่นคือบินตรงจากสนามบินดอนเมือง ใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมง
เรียกว่ายังไม่ทันได้งีบหลับเลย ล้อของเครื่องก็เเตะพื้นสนามบินเมืองเสียมเรียบซะเเล้ว
ที่ด้านนอกของสนามบิน ปรากฏร่างของชายวัยประมาณ 50 ปี
ผิวเข้มเเบบคนเขมรแท้ หน้าตาใจดี สุภาพเรียบร้อย
"พี่รุ่ง" คนขับรถที่พวกเราติดต่อเอาไว้ตั้งแต่ก่อนเดินทางมา
การท่องเที่ยวชมปราสาทในนครวัดนครธมนั้น
จำเป็นต้องใช้รถรับ-ส่งตามจุดจอดรถ แล้วเดินเท้าต่อเข้าไป
ลองนึกภาพการขับรถเที่ยวเมืองโบราณที่อยุธยาครับ นั่นแหละครับ...แบบเดียวกันเลย
หลังจากเช็คอินที่โรงแรมและจัดการมื้อเที่ยงกันเสร็จเรียบร้อยเเล้ว
พวกเราจะแวะไปซื้อตั๋วหรือ pass เข้าชมปราสาทที่ Angkor Park Ticket Center กันก่อน
ตั๋วมีทั้งแบบ 1 วัน 3 วัน และ 7 วัน ใช้เป็นบัตรผ่านเข้า-ออก ชมปราสาทได้ตลอดทั้งวัน
เมื่อได้ตั๋วครบทุกคนแล้วก็ลุยกันเลย โปรเเกรมแรกในช่วงบ่ายของวันนี้คือ
ปราสาท Preah Khan และ ปราสาท Neak Pean ครับ
"ปราสาท Preah Khan" หรือ "ปราสาทพระขรรค์" ตามชื่อที่คนไทยเรียก
ความเพลิดเพลินของการเดินชมปราสาทแห่งนี้
เห็นจะเป็นการเดินมุมลอดและเเทรกตัวเข้าไปตามซอกหลืบต่าง ๆ
คอยมองหาและบันทึกภาพลวดลายสลักที่สวยงาม
คล้ายกับว่าปราสาทแห่งนี้จงใจปกปิดและซ่อนเสน่ห์ของมันเอาไว้ ให้เราได้ค้นหาด้วยตัวเอง
ผมรู้สึกทึ่งในทักษะของช่างฝีมือสมัยก่อน ที่สามารถแกะสลักหินทื่อๆ ที่ทั้งหนักทั้งแข็ง
ออกมาเป็นงานศิลปะที่ดูมีชีวิตชีวา มีความอ่อนช้อยแต่ก็หนักแน่นแข็งแรง
มากพอที่จะเดินทางข้ามเวลา มาให้เราได้ชื่นชมจนถึงทุกวันนี้
ที่ต่อมาคือ "ปราสาท Neak Pean" หรือที่ผมเรียกสั้น ๆ ว่าวัดจมน้ำ
เนื่องจากที่นี่ทำให้ผมนึกถึงวัดจมน้ำที่สังขละบุรีบ้านเรา
ผู้คนหลากวัย ทั้งเด็กเล็ก คนชรา ทั้งที่เป็นกลุ่มวัยรุ่นหนุ่มสาว และมาเป็นครอบครัว
หลายเชื้อชาติ ฝรั่ง จีน ญี่ปุ่น แม้กระทั่งคนกัมพูชาเอง
พากันเดินเบียดเสียดกันไปบนทางไม้แคบ ๆ ทอดยาวข้ามทุ่งน้ำราว 1 กิโลเมตร
เพื่อเข้าไปชมเจดีย์เก่า ๆ ที่ถูกน้ำท่วม แต่นั่นแหละครับคือความ Unseen
ถ้าเป็นเจดีย์ที่ตั้งอยู่บนพื้นเฉย ๆ ก็คงไม่มีอะไรดึงดูดมากพอ
ให้นักท่องเที่ยวเดินทางกันเข้ามาชมมากมายขนาดนี้
ขากลับออกมา พวกเรายังได้ของเเถมเป็นแสงสุดท้ายงาม ๆ เหนือทุ่งน้ำกว้าง
นับเป็นการต้อนรับที่แสนจะประทับใจ และยังเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับวันพรุ่งนี้
ว่าท้องฟ้าและอากาศจะเปิดให้พวกเราได้บันทึกแสงแรกที่นครวัดตามที่หวังเอาไว้
เเต่ความคาดหวัง ก็มักอยู่คู่กับความผิดหวังเสมอ...
เป็นเรื่องปกติของการท่องเที่ยวไปเเล้ว ที่แพลนทุกอย่างล้วนเปลี่ยนเเปลงได้ตลอดเวลา
สภาพอากาศเองก็เช่นกัน
ภาพนครวัดที่มีแสงเช้าสีหวานเป็นฉากหลังในหัวของผม
สูญสลายไปพร้อมกับเสียงเม็ดฝนที่กระทบกับหน้าต่างของโรงแรม
อย่างไรก็ตาม พวกเราก็ยังคงออกไปพบกับพี่รุ่ง พร้อมความหวัง... ไม่สิ...
คงต้องเรียกว่าความดื้อด้านมากกว่า
พี่รุ่งรู้อยู่เเก่ใจ ว่าเช้านี้โชคไม่เข้าข้างพวกเราเสียแล้ว
เเต่เเกก็ยังขับรถพาเด็กหัวรั้นทั้ง 4 คนฝ่าความมืดและสายฝนออกไปจนถึงลานจอดบริเวณทางเข้า
ฝนก็ยังคงเทลงมาไม่ขาดสาย ไม่นานนักพวกเราก็ตัดใจ และนัดพี่รุ่งอีกครั้งราว 9 โมงเช้า
เพื่อเดินทางไปตามเเพลนถัดไปนั่นคือ "ปราสาทบายน"
"ปราสาทบายน" ตั้งอยู่ในเขตนครธม เป็นปราสาทที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวไม่เหมือนที่อื่น
จุดเด่นของปราสาทแห่งนี้คือ ทุกพระปรางค์จะปรากฏใบหน้าของพระโพธิสัตว์อยู่ทั้ง 4 มุม
นับรวมกันเเล้วมีมากถึง 216 หน้า แต่ละใบหน้ามีความงาม สีสันต่างกันออกไป
เเต่สิ่งที่เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งก็คงจะเป็นรอยยิ้มที่อ่อนโยน มีเมตตากับผู้มาเยือน
เมื่อเดินเข้าไปถึงชั้นในของตัวปราสาท เราจะถูกห้อมล้อมด้วยใบหน้าขนาดใหญ่หลายสิบหน้า
ให้ความรู้สึกเหมือนกับว่า กำลังถูกจ้องมองจากทุกทิศทาง
เกิดความรู้สึกเคารพยำเกรงต่อสถานที่ขึ้นมาในทันที
นี่สินะครับ อิทธิพลของพุทธศาสนา ที่ส่งผลต่อจิตใจของมนุษย์ทั้งทางด้านศิลปะและความเชื่อ
หลังจากถ่ายภาพกันจนจุใจแล้ว พวกเราก็เดินต่อไปกันที่ "ปราสาทบาปวน"
ปราสาทหลังนี้มีรูปทรงคล้ายพีระมิด ที่ด้านบน สามารถเดินขึ้นไปชมทิวทัศน์ในมุมสูงได้
พวกเราใช้เวลาถ่ายภาพ นั่งพัก และชมวิวกันอยู่ครู่ใหญ่ ๆ
แล้วจึงค่อยพากันเดินออกไปยังจุดที่นัดหมายกับพี่รุ่งไว้
จากนั้นในช่วงบ่าย พวกเราจะเข้าไปชื่นชมความยิ่งใหญ่ของนครวัดกัน
หลังจากเติมพลังกันด้วยมื้อเที่ยงแล้ว พี่รุ่งก็ขับรถพาเราเข้ามาถึง "นครวัด"
เป้าหมายหลักของการเดินทางครั้งนี้
แกเซอร์ไพรส์พวกเราโดยการพามาส่งที่ลานจอดรถด้านหลัง
แทนที่จะเป็นทางเข้าหลักที่อยู่ด้านหน้าของปราสาท
ความจริงแล้วการที่เราจะได้ชื่นชมความอลังการของนครวัดนั้น
ควรจะเริ่มต้นตั้งเเต่ที่ประตูทางเข้า
เพราะนั่นคือโมเม้นต์แรกที่นักท่องเที่ยวทุกคนจะได้สัมผัส
เราจะเห็นภาพผู้คนนับร้อยเดินไปพร้อมกันบนสะพานหินที่ทอดยาวตรงเข้าสู่ตัวปราสาท
ทำให้ไม่มีนาทีไหนเลยที่สายตาของผู้มาเยือน จะละไปจากความสวยงามอลังการตรงหน้าได้
....
"เข้าทางด้านหลังนี้... คนน้อยดีครับ..."
พี่รุ่งพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้มประจำตัว ทำเอาผมอมยิ้มปนกลั้นหัวเราะ
แม้ในใจอยากจะบอกกับพี่รุ่งว่า ช่วยขับวนไปส่งพวกเราที่ด้านหน้าได้มั้ยครับ
แต่ทุกคนก็ไม่มีใครกล้าพูด คงเพราะเกรงใจในความหวังดีของแก
ขณะที่นิ้วของผมจรดกับแป้มพิมพ์อยู่นี้ ผมยังขำและนึกถึงหน้าแกตอนที่พูดได้อยู่เลย
สถานที่แห่งนี้ มันช่างยิ่งใหญ่สมคำร่ำรืออย่างที่เค้าว่าไว้จริง ๆ
ตัวปราสาทถูกแบ่งออกเป็นชั้น ๆ ชั้นในสุดจะมีบันไดให้เดินขึ้นไปเที่ยวชมได้
ผมพูดติดตลกกับน้องๆ ว่า "ขาออก พวกเราก็เดินถอยหลังกันออกไปสิ
จะได้ดูความงามของมันให้เต็มตาไง"
ด้านหน้าของปราสาทนั้น หนาแน่นไปด้วยผู้คน
พวกเราทั้ง 4 คน เดินสวนทางออกไป แต่ก็ไม่ลืมที่จะหันกลับไปดูอยู่เป็นพัก ๆ
ผมเองพยายามถ่ายภาพเก็บไว้ในทุก ๆ ระยะการมอง ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมได้คำตอบที่ชัดเจนว่า
ปราสาทนครวัดนั้น...สวยงามในทุกมุมมองและยิ่งใหญ่งดงามดั่งภาพวาดที่อยู่ในใจของผมจริง ๆ
ขากลับ พี่รุ่งแวะส่งพวกเราที่ "Pub Street" เพื่อหามื้อเย็นทานกัน
อารมณ์ก็ประมาณถนนข้าวสารบ้านเรานี่เอง
เสียงดนตรีดัง ๆ กับผู้คนที่พลุกพล่าน ร้านรวง ผับ บาร์ ที่ดูมีชีวิตชีวา
มันช่างสวนทางกับความอ่อนล้าโรยราของพวกเรา หลังจากที่เดินเที่ยวกันมาทั้งวัน
ทุกคนเข้านอนกันตั้งแต่หัวค่ำ พร้อมกับความหวังเล็ก ๆ ว่า พรุ่งนี้ ฟ้าจะเปิดและเป็นใจให้เราสักที
เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นตอนเวลาตี 4 ครึ่ง
ผมลุกขึ้นเดินออกไปดูท้องฟ้าที่ระเบียงหน้าห้อง
เช้านี้ไม่มีฝน... เป็นโอกาสดีที่เราจะได้เก็บภาพนครวัดกับแสงแรกของวัน
เวลาประมาณตี 5 กว่า พวกเราก็เดินกันเข้ามาถึงบริเวณสระบัว
เมื่อก้มลงถ่ายภาพในมุมต่ำตรงจุดนี้ เราจะได้ภาพนครวัดที่สะท้อนกับผิวน้ำ
โดยมีแสงเช้าสีหวานเป็นฉากหลัง
แต่ข่าวร้ายคือ พวกเราก็ยังเช้ากันไม่พอครับ...
ณ เวลานี้ ที่ขอบสระ เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวยืนเรียงรายกันเป็นหน้ากระดาน
ทุกคนต่างเฝ้ารอช่วงเวลาสำคัญที่กำลังจะมาถึง
ทุกพื้นที่ถูกจับจองชนิดที่แบบไม่เหลือช่องว่างที่จะสามารถถ่ายภาพได้เลย
ที่ทำได้ก็แค่เพียงแค่การชูโทรศัพท์ขึ้นให้สูงพ้นศรีษะของคนที่อยู่ด้านหน้าเท่านั้น
ผมเริ่มเป็นกังวล...
การที่ฟ้าเป็นใจ ก็ไม่ได้การันตีว่าเราจะได้ภาพที่ดี ถ้าเรายังเตรียมตัวไม่ดีพอ
แต่แล้วผมก็เหลือบไปเห็นช่องว่างระหว่างคู่รักคู่หนึ่ง
ผมลังเลและใช้เวลาคิดอยู่พักใหญ่
ฉากหลังของนครวัดตอนนี้ เริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้มอ่อน ๆ แล้ว
จึงตัดสินใจเอ่ยปากถามฝรั่งคู่นั้นว่า "ขอเข้าไปถ่ายภาพตรงช่องว่างนั้นได้มั้ย"
เค้าตอบกลับมาสั้น ๆ ว่า "Sure"
เพราะความเกรงใจที่ต้องเบียดตัวเข้าไปเเทรก ผมจึงหดแข้งหดขาทำตัวลีบเล็กที่สุดเท่าที่จะทำได้
แต่ขณะเดียวกันหัวใจของผมกลับพองโตอย่างที่สุด
เพราะภาพที่เห็นตรงหน้า คือภาพนครวัดที่มีฉากหลังเป็นแสงเช้าสีหวาน
มีผิวน้ำนิ่ง ๆ คอยทำหน้าที่เหมือนกระจกใส
สะท้อนความงามนี้ออกมาให้ตราตรึงและประทับใจ เป็นรางวัลชิ้นงามที่นักท่องเที่ยวทุกคนล้วนใฝ่หา
ความผิดหวังในเช้าวันแรกถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกอิ่มเอมใจ
แต่ความยินดีนี้ก็มีอายุที่แสนสั้น เพราะไม่นาน ฟ้าก็ปิดอีกครั้ง
และมัวหมองไปจนหมดวัน
พวกเราเดินทางต่อไปยัง "ปราสาทตาพรม"
ปราสาทที่เคยปรากฏอยู่ฉากหนึ่งในภาพยนตร์เรื่อง Tomb Raider
สถานที่แห่งนี้นอกจากจะสวยงามและดูลึกลับน่าค้นหาแล้ว
ยังสะท้อนถึงความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ ที่สุดท้ายแล้วมนุษย์เราไม่สามารถจะเอาชนะได้
ไม่ว่าจะใช้ความคิดหรือมันสมองในการสร้างสิ่งก่อสร้างที่เเข็งแรงอย่างปราสาทหินนี้ขึ้นมา
แต่เมื่อระยะเวลาผ่านเลย ธรรมชาติก็ทวงทุกอย่างกลับคืนไป
ต้นไม้ใหญ่อายุหลายร้อยปี พากันใช้รากชอนไชและห่มคลุมไปทั่วบริเวณ
มองดูราวกับว่า ปราสาทและป่าแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของกันและกันไปแล้ว
ปราสาทตาพรมที่เคยงดงาม ตอนนี้เหลือเพียงเศษซากเรื่องราวที่ส่งผ่านต่อให้คนรุ่นหลัง
ได้จินตนาการภาพที่เคยรุ่งเรืองและยิ่งใหญ่ในอดีต
ปราสาท Banteay Kdei
"ปราสาทบันทายศรี" หรือ "ปราสาทสีชมพู" ปราสาทแห่งสุดท้ายของวันนี้
โดยเราต้องนั่งรถออกนอกเมือง ใช้เวลาประมาณ 40 นาที
และไม่สามารถใช้ pass ได้เนื่องจากเป็นปราสาทที่ตั้งอยู่นอกเขตพระนคร
ปราสาทแห่งนี้ถูกสร้างด้วยหินทรายสีชมพูหายาก
จุดเด่นไม่ได้อยู่ที่ความใหญ่โตอลังการ แต่เป็นลวดลายงานเเกะสลักที่มีความประณีต
รายละเอียดเหล่านี้ก็ยังคมชัดและสมบูรณ์ด้วยเรื่องราวอยู่
แม้เวลาจะผ่านไปนานนับพันปี
หลังจากที่พวกเราได้ใช้ pass ที่ซื้อไว้หมดไปใน 3 วันแรก
วันสุดท้ายของทริปนี้ พวกเราเลือกที่จะเดินทางด้วยรถตุ๊ก ๆ
เพื่อไปยัง "ปราสาทเบ็งเมเลีย" ที่ตั้งอยู่นอกเมืองห่างออกไปกว่าร้อยกิโล
ถ้าปราสาทตาพรม เปรียบเสือนเมืองลับแล ที่มีปลายทางเป็นขุมทรัพย์ซุกซ่อนไว้
ปราสาทเบ็งเมเลียแห่งนี้ คงเป็นเหมือนทางเข้าด่านแรกที่เต็มไปด้วยปริศนาให้ค้นหาคำตอบ
แม้เเต่ทางเข้าไปด้านในของตัวปราสาทก็ยังดูลึกลับ ไม่มีเส้นทางหรือป้ายสัญลักษณ์บอกที่ชัดเจน
บรรยากาศโดยรอบ เงียบสงัด ออกไปทางวังเวงเสียด้วยซ้ำ
คงเป็นเพราะต้องใช้เวลาในเดินทางมาพอสมควร นักท่องเที่ยวจึงดูบางตากว่าในตัวเมือง
พวกเราใช้เวลาเดินเที่ยวและถ่ายภาพอยู่ที่นี่กันพอสมควร
ให้สมกับที่ลงทุนนั่งรถตากลมอมฝุ่นกันมา
และใช้เวลาอีกพักใหญ่ ๆ กับการนั่งรถกลับเข้าเมือง รวมทั้งรอเครื่องเพื่อเดินทางกลับบ้าน
ลุง Arnold Joseph Toynbee ได้ทิ้งวลีอมตะนี้ไว้
"...See Angkor and Die..."
ใครที่ได้ชมความงดงามของที่นี่ ก็จะได้นอนตายตาหลับ
หรือตายไปก็ไม่เสียดายชาติเกิด ความหมายคงเป็นประมาณนั้น
เเต่ผมขออนุญาตนำคำพูดของลุงมาดัดแปลงแก้ไขซักนิดนึงนะครับ
ขอเป็น "...See Angkor and LIVE..." ก็เเล้วกัน
เพราะเราไม่อยากที่จะพูดถึงความตายหรือจุดจบ
แต่เราจะขอยลความงามของมัน และจากนั้นก็จะใช้ชีวิตต่อไปให้คุ้มค่า
เพื่อที่จะได้ชื่นชมความสวยงามของอีกหลาย ๆ สถานที่บนโลกใบนี้ครับ
Blue.Eyes.Photo
วันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 เวลา 23.35 น.