Trip ญี่ปุ่นรอบนี้เราได้หยิบยืมกล้องฟิล์มจากเพื่อนมา เลยได้ถือโอกาสลองของเอาไปถ่ายภาพฟิล์มที่ญี่ปุ่นครั้งแรกซักหน่อย
จริงๆเราถ่ายรูปส่วนใหญ่ในโทรศัพท์มือถือ เพราะไม่ได้พกกล้องฟิล์มไปทุกที่ อีกอย่างคือติดฟิล์มไปแค่4ม้วนสำหรับ 13 วันเลยต้องถ่ายอย่างมัธยัสถ์อดออมกันหน่อยฮ่าๆ รูปที่ได้อาจจะไม่ได้สวยมาก แต่เรารู้สึกว่ามันถ่ายทอดความทรงจำที่ประทับใจของทริปนี้ออกมาได้ดีที่สุด momentที่ล้างรูปออกมาคือดีใจแล้วก็แฮปปี้มากๆ ยังไงฝากติชมได้นะคะ
Highlight ทริปนี้ที่เราไปหลักๆคือ
- ย่านShimo-Kitazawa [โตเกียว]
- ย่านนัมบะ, โดทงบุริ, ปราสาทโอซาก้า, ชินเซไก [โอซาก้า]
- Nara Park [นารา]
- อุจิเมืองหลวงของชาเขียว [Uji]
ขอออกตัวก่อนว่าทริปนี้เราไปแบบ slow life, slow move มากๆ เหนื่อยก็พัก ไม่ไหวก็ถอยทัพกลับโรงแรม เลยทำให้แต่ละวันไม่ได้อัดที่เที่ยวหลายๆที่ เน้นเดินเพลินเพลินก็สนุกไปอีกแบบ
Shimo-kitazawa ,Tokyo
- การเดินทาง จากสถานีShinjuku ขึ้นรถไฟสายOdakyu line ลงที่สถานีShimo-Kitazawa
ย่านShimo-Kitazawa เป็นย่านรวมของร้านฮิปๆ คาเฟ่และร้านอาหารชิคๆ และร้านเสื้อผ้ามือสอง ย่านนี้เดินเพลินมากๆ เลี้ยวเข้าซอยนู้นทะลุซอยนี้ มาทั้งทีอย่าลืมแวะร้านคาเฟ่กินขนมหวานหรือจิบกาแฟนั่งดูผู้คนเดินผ่านไปมาแค่นี้ก็เพลินแล้วล่ะ
Namba and Dotonbori, Osaka
ถัดจากโตเกียวเรานั่งรถไฟชินคันเซนมาเที่ยวต่อที่โอซาก้า ถือว่าเป็นครั้งแรกของเราด้วยที่มาโอซาก้า ได้ยินชื่อเสียงบวกเพื่อนป้ายยาเข้าไปอีกเลยตันสินใจมาเที่ยวที่นี่แล้วบินกลับไทยที่สนามบินคันไซซะเลย
ที่โอซาก้าเราอยู่เที่ยวทั้งหมด 5 วัน 4 คืน เข้าพัก 2 โรงแรม
- คืนแรกเราพักที่ Picnic Hostel Osaka ลงสถานี Sakuragawa st. Exit 1 เดินต่ออีก 5 นาที เป็นโรงแรมเล็กกระทัดรัด แต่สตาฟน่ารักมากๆ อยู่ค่อนข้างห่างจากย่าน Namba แต่สามารถเดินจากโรงแรมไปได้ ใช้เวลาประมาณ 15-20 นาที ถ้าชิวๆไม่รีบก็แนะนำให้เดิน เพราะระหว่างทางเราจะเห็นบ้าน ตึกแถว ที่คนญี่ปุ่นพักจริงๆ แถวโรงแรมจะเป็นย่านที่อยู่อาศัยซะมากกว่า
วิวจากที่พักเดินไปย่านนัมบะ
- ส่วนคืนที่เหลือเราพักที่ Hostel Enisia Namba ลงสถานี JR Namba st. Exit14 แล้วเดินต่อเข้าไปไม่ไกล โรงแรมนี้คืออยู่ใจกลางย่าน Namba เลย กลางมากๆเพราะล้อมรอบไปด้วยร้านค้า ร้านอาหารครึกครื้นตลอด 24 ชม. ค่อนข้างปลอดภัยแต่ก็ออกจะวุ่นวาย แล้วแต่คนชอบแล้วล่ะฮ่าๆ ที่เราชอบคือเดินจากโรงแรมไปไม่ถึง 5 นาทีก็เจอป้ายกูลิโกะสุดฮิต
ย่านนัมบะเป็นย่านที่เรียกได้ว่าคึกคักสุดตัว และเกินเบอร์ไปมากถึงขนาดตี3ตี4ยังมีคนเดินไปมาเป็นเรื่องปกติอยู่เลย ร้านอาหารก็จะมีบางร้านที่เปิด 24 ชม. มีผับมีบาร์ตามตรอกซอยต่างๆ ส่วนร้านที่ฮิตสุดๆสำหรับนักท่องเที่ยวชาวเอเชียอย่างเราก็คงเป็นร้านทาโกะยากิ ที่ไม่ว่าจะร้านไหนก็จะเห็นคนต่อแถวรอตลอดทั้งวัน เป็นถนนเรียบคลองที่มีบรรยากาศชิลมากๆ แนะนำให้ซื้อทาโกะยากิคู่กับเบียร์เย็นๆนั่งกินริมคลอง ฟินสุดๆ
Osaka Castle, Osaka
- การเดินทาง จากสถานี Namba ไปลงที่สถานี Osaka Business Park st.
จำไม่ได้ว่าตัวเองได้ถ่ายรูปปราสาทโอซาก้าชัดๆมั้ย แต่เหมือนล้างฟิล์มมาแล้วไม่เห็นเลยซักรูป มีแต่รูปรอบนอกปราสาทแทน สงสัยจะไม่ได้ถ่ายไว้T-T
Shinsekai, Osaka
- การเดินทางจากสถานี Osaka Business Park ไปลงสถานี Ebisucho
ย่านชินเซไก ที่เห็นเด่นสุดเลยก็คงจะเป็นหอซึเทนคาคุกับถนนเส้นที่มีร้านอาหารเรียงรายเต็มไปหมด สีสันสดใสฉูดฉาดมาก
Nara Park, Nara
- การเดินทางจากสถานี Namba ขึ้นรถไฟสาย Nara line ลงสถานี Kintetsu-Nara
ออกจากสถานีก็เดินตรงขึ้นไปเรื่อยๆตามคนอื่นไปเลยค่ะ จะไปถึงวัดโกโฟกุจิก่อน จริงๆเราสามารถเห็นกวางได้ตั้งแต่วัดนี้เลยล่ะ แต่ยังไม่เยอะจุใจเลยเดินต่อไปอีกจนถึงสวน Nara Park
เดินเรื่อยๆไปจนถึง Nara Park พอเข้าไปในเขตสวนคือจะเจอน้องกวางเยอะมากๆ เดินไปมาไม่กลัวคนเลย ส่วนตัวเราที่มีเป้าหมายในรานาอย่างเดียวก็คือมาดูกวาง มาทั้งทีก็ต้องซื้อขนมเซมเบ้เลี้ยงน้องๆซะหน่อย แค่เพียงตัวเรานั้นไปยืนหน้าร้านแล้วหยิบขนมมา ทันใดนั้นน้องกวางที่ดักซุ่มรอคุณอยู่ก็จะปรากฏตัวพร้อมกับเดินตามคุณทันทีด้วยแววตาหิวโหย ณ จุดๆนั้นคือกลัวจริงฮ่าๆ มีบางตัวอาจหาญถึงขั้นเข้ามางับเสื้อกันหนาวเรา เป็นนักเลงสวนกวางจริงๆ นี่ต้องรีบโยนขนมให้น้องแต่โดยดี แนะนำว่าใครพาลูกหรือเด็กไปให้ถือทีละชิ้นนะคะ แล้วก็เก็บที่เหลือใส่กระเป๋าไว้ ไม่งั้นจะเป็นเหยื่อล่อเป้าแบบเราฮ่าๆ
Macha town "Uji", Kyoto
- การเดินทางต่อจากสถานี Nara มาลงที่สถานี Uji ขอบอกว่ารถไฟสายนี้คลาสสิกแล้วก็วิวระหว่างทางคือให้เต็มล้านเลย ถ้าใครจะไปนาราก็อยากให้แวะมาต่อที่ Uji ซักหน่อย
ตั้งใจมาเมืองนี้เพื่อกินชาเขียวมัจฉะแบบจุกๆไปเลย ทั้งไอศรีมมัจฉะนุ่มๆ กับมัจฉะโซบะเข้มๆคือฟินมากกก ที่ประทับใจมากกว่าชาเขียวคือเมืองนี้น่ารักมากๆ มีแม่น้ำอุจิไหลตัดตรงกลาง พร้อมกับวิวภูเขาล้อมรอบ แต่ไหนๆมาก็ต้องแวะไหว้พระที่วัดเบียวโดอิน วัดที่อยู่บนเหรียญ 10 เยน ถือว่าเป็นวัดดังเลยล่ะส่วนใหญ่คนที่มาวัดก็จะเดินผ่านถนนที่มีร้านค้าขายขนมจากชาเขียวเพียบ เรียกว่ากินอิ่มก่อนถึงวัดอีก
แอบเหล่หนุ่มๆเจบอยซะหน่อยไหนๆน้องก็เดินขบวนมาผ่านหน้าพี่แล้วฮ่าๆ
ออกจากวัดเบียวโดอินก็อยากให้ไปเดินเล่นตรงถนนเลียบแม่น้ำอุจิ เราชอบบรรยากาศของเมืองนี้มากๆมันมีกลิ่นอายที่อบอุ่นแล้วก็ไม่วุ่นวาย คราวหน้าอยากมานอนค้างซักคืนที่นี่เลยล่ะ
One day in Kyoto
- จากสถานี Namba เราแวะไปที่แรก ที่สถานี Arashiyama กันก่อน เพราะอยากจะไปดูสะพาน Togetsukyo Bridge
ระหว่างทางไปก็เจอกลุ่มเด็กๆที่มาทัศนศึกษารอขึ้นรถไฟขบวนเดียวกับเรา พอขึ้นขบวนมาก็เกิดความวุ่นวายเล็กน้อยเพราะไม่มีน้องคนไหนอยากมานั่งเก้าอี้ข้างๆคุณป้าคนไทยหน้าตาแปลกคนนี้เลยฮ่าๆ จนคุณครูต้องบอกให้น้องๆมานั่งให้เรียบร้อยถึงจะยอมมานั่งข้างๆเรากัน มันน่ารักตรงที่ว่ามีน้องผู้หญิงคนนึงทักเราแล้วก็ชวนเราคุยเป็นภาษาญี่ปุ่น นี่ก็พยายามเค้นภาษาญี่ปุ่นที่เคยร่ำเรียนมาเพื่อสื่อสารกับหนูน้อยคนนี้เต็มที่ พอเราบอกว่าเราไม่ใช่คนญี่ปุ่นนะ หนูพูดภาษาอังกฤษกันได้มั้ย น้องๆแถวนั้นก็เริ่มพยายามพูดและอวดสกิลภาษาอังกฤษกับเรา บางคนถึงขั้นท่อง ABC ให้ฟังฮ่าๆ เป็นโมเมนต์ที่น่ารักมากๆจนไม่อยากให้ถึงที่หมายเลย
ออกจากสถานีก็เดินตามทางไปเรื่อยๆจะเจอสะพานTogetsukyo Bridge ถนนเลียบแม่น้ำก็จะมีร้านขายของตลอดเส้นทาง แล้วก็มีร้านกาแฟยอดฮิต % Arabica อยู่ริมฝั่งตรงข้าม แถวนี้คือคนเยอะมากๆทัวร์ทุกที่ต้องมาแวะจุดนี้ก่อนจะพาไปป่าไผ่(ที่เราไม่ได้ไป)
จากสะพานเราก็แวะเดินเล่นไปเรื่อยๆจนถึงสถานีเลยนั่งรถรางไปต่อที่สถานี Gion เหมือนรถรางสายนี้จะมีแค่ที่เดียวในเกียวโตที่ยังเป็นรถรางแบบดั้งเดิมอยู่ พึ่งเคยได้นั่งก็จะตื่นเต้นหน่อยๆล่ะ
ออกจากสถานี Gion Shijo ก็เดินไปตามถนน Hanamikoji และย่านHigashiyama แวะไหว้พระที่วัดแล้วก็ศาลเจ้าระหว่างทางอีกหลายวัด (ที่จำชื่อไม่ได้แหะๆ) เพื่อจะมุ่งหน้าไปที่วัดคิโยมิสุหรือวัดน้ำใส
เห็นหนุ่มๆเจบอยแล้วพี่อดใจไม่ถ่ายไม่ได้จริงๆ
ระหว่างทางเราแวะเดินเข้าวัดนี้ออกศาลเจ้านีเป็นว่าเล่น เพราะเราเดินไปเรื่อยๆเห็นที่ไหนน่าสนใจก็แวะเข้าไปตามเขา หิวก็แวะกินข้าว เหนื่อยก็นั่งพัก(เพราะปวดเท้ามากก)
จากนั้นก็เดินไปถึงย่านHigashiyama คนเริ่มแน่นขึ้น นักท่องเที่ยวตามถนนเยอะมากๆเพราะเส้นนี้เป็นเส้นถนนตรงไปวัดคิโยมิสุ ระหว่างทางเป็นร้านขายของมากมาย ตกแต่งบ้านไม้สมัยก่อนทำให้เหมือนเราย้อนยุคกลับไปสมัยก่อนเลย คลาสสิกมากๆ ประทับใจร้านสตาร์บัคที่เนียนไปกับบ้านเรือนโบราณจนต้องมองป้ายดีๆว่านี่เป็นร้านสตาร์บัคจริงๆหรอเนี่ย พอถึงหน้าวัดคิโยมิสุคือเรียกได้ว่าแน่นทุกอณู อาจจะเพราะเรามาช่วงบ่ายที่เป็นช่วงพีคของทัวร์ที่มาลงด้วยรึเปล่านะ
หลังจากเดินเที่ยวในวัดคิโยมิสุ ตามที่คิดไว้ตอนแรกคือเราจะไปศาลเจ้าFushimi Inariที่มีเสาแดงเยอะๆต่อ แต่สภาพตอนนั้นคือคิดว่าแค่เดินกลับสถานีก็เหนื่อยแล้ว เลยตัดสินใจถอยทัพกลับไปงีบที่โรงแรมดีกว่า เป็นการเที่ยวแบบตามใจฉันที่แท้จริงฮ่าๆ
สุดท้ายนี้เราประทับใจทริปนี้มากๆ เราได้ชาร์จแบตพลังชีวิตตัวเองแถมยังได้เจอมิตรภาพที่ไม่คิดมาก่อนว่าจะได้เจอ เป็นอีกทริปที่เดินทางคนเดียวแต่ก็ได้พบเจอผู้คนมากมาย แวะหาเพื่อนๆคนไทยที่เรียนที่นี่ แล้วก็ยังได้เจอเพื่อนใหม่อีกหลายคน เราสนุกกับการเดินไปเรื่อยๆอาจจะไม่มีจุดหมาย ไม่รู้ว่าจะเจออะไรระหว่างทาง แค่สนุกกับการหลงทาง อ่านแผนที่ เดินวนกลับมาที่เดิม แล้วก็เริ่มต้นเดินทางใหม่ เป็นachievementเล็กๆที่เราภูมิใจทุกครั้ง
“Traveling is a brutality. It forces you to trust strangers and to lose sight of all that familiar comforts of home and friends. You are constantly off balance. Nothing is yours except the essential things. -air, sleep, dreams, the sea, the sky. -all things tending towards the eternal or what we imagine of it.” – Cesare Pavese
ไว้เจอกันใหม่ทริปหน้า
#KodakColorPlus200
#KodakProImage100
Kanyavee Jongjitsumran
วันพฤหัสที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 เวลา 22.57 น.