สวัสดีค่ะ ก่อนอื่นต้องขอเกริ่นนำก่อนค่ะ ว่านี่เป็นการเขียนรีวิวไปเที่ยวครั้งแรกของเราเลย ข้อมูลบางอย่างอาจตกหล่นไปบ้างนะคะ เพราะว่าไปมาตั้งแต่ต้นปี แต่เพิ่งจะว่างมีฟิลอยากเขียนรีวิว ไว้เก็บเป็นความทรงจำว่าไปมาแล้ว แล้วก็ไว้ให้เพื่อน ๆ ที่อยากไปเที่ยวที่ปีนังมาอ่าน เผื่อจะมีประโยชน์ต่อเพื่อน ๆ ไม่มากก็น้อย
มาเริ่มกันเลยดีกว่าค่าา
สืบเนื่องมาจากปีนี้เป็นปีที่เราเลือกเรียนภาษามาเลย์ที่มหาลัยค่ะ อยากไปลองวิชา กอปรกับแฟนเราเคยไปปีนังมาแล้ว แล้วแฟนเราติดใจมากค่ะ ก็เลยเกิดเป็นทริป "Train To Penang 2019" ของเราขึ้นมาาาาา
ทริปนี้เราเริ่มจาก "กรุงเทพฯ" นั่งรถ บขส ไปลงที่ "หาดใหญ่" จากนั้นข้ามด่านที่ปาดังเบซาร์ไปมาเลค่ะ ตอนวางแพลนก็งง ๆ ค่ะ ว่าการเดินทางจะออกมาในรูปแบบไหน แต่พอถึงหน้างานก็ค่อนข้างง่ายเลยทีเดียวค่ะ แถมประหยัดด้วย ใครอยากเปลี่ยนบรรยากาศ นั่งรถข้ามประเทศ ก็สามารถลองเดินทางแบบเราได้นะคะ
ทริปนี้เราไปช่วงเดือนมกราคมนะคะ อากาศที่นั่นก็ประมาณประเทศไทยเลยค่า เราไปทั้งหมด 5 วัน 4 คืน โดยเราได้แพลนสถานที่ที่เราจะไปคร่าว ๆ ไว้ดังนี้เลยค่ะ
- DAY 1 : นั่งรถทัวร์จากกรุงเทพฯ ไปหาดใหญ่
- DAY 2 : ถึงด่านปาดังเบซาร์ นั่งรถไฟข้ามไปฝั่งมาเล และขึ้นเรือข้ามฟากไปปีนัง , ไป Church of the Assumption และเดินเล่นที่ชุมชน Clan Jetty
- DAY 3 : ไป Penang Hill ต่อด้วย Penang Botanic Gardens ตอนเย็นเดินเล่นย่าน George Town
- DAY 4 : นั่งรถเมล์ไป Penang National Park + ไปชายหาด Batu Ferringhi
- DAY 5 : เดินเล่นในเมือง ซื้อของฝาก นั่งเครื่องบินกลับกรุงเทพฯ
DAY 1+2 : จากกรุงเทพฯ สู่ปีนัง
สำหรับการ "นั่งรถ" จากกรุงเทพฯ ไปปีนัง เราขอสรุปง่าย ๆ ให้เห็นภาพแบบนี้ค่ะ
- รถทัวร์ กรุงเทพฯ - สงขลา
- ข้ามด่านไปนั่งรถไฟต่อที่สถานี Padang Besar - สถานี Butterworth
- เรือเฟอร์รี่จาก Butterworth - เกาะ Penang
อันดับแรกเราจองรถทัวร์ กรุงเทพฯ - สงขลา (เลือกจุดจอด ต.ปาดังเบซาร์) ในเว็บไทยรูท ดอทคอม ค่ะ โดยต้องไปขึ้นรถที่สถานีขนส่งสายใต้ใหม่ เราเลือกรอบข้ามคืน (ออกจากกรุงเทพฯ 15.30 น. ถึงที่หมายประมาณ 06.00 น.) โดยสามารถบอกคนรถขับรถได้ค่ะ ว่าเราขอลงที่ด่านข้ามไปมาเล คนขับน่าจะพาไปส่งจุดที่ใกล้ด่านมากที่สุดค่ะ (เราไม่ได้บอก เลยต้องเดินไปที่ด่านเอง) ในรถทัวร์จะมีปลั๊กไฟให้เราชาร์ตแบต + ผ้าห่มห่อใส่ถุงอย่างดีค่ะ
พอข้ามด่านปาดังเบซาร์มา จะมีพวกคนท้องถิ่นแถวนั้น เค้ารับจ้างขี่มอไซค์ไปส่งเราที่สถานีรถไฟค่ะ จากด่านไปสถานีรถไฟค่อนข้างไกล เราก็นั่งมอไซค์ไปเลยค่า จำได้ลาง ๆ ว่าเค้าคิดประมาณ 40 บาท ตอนนั่งมอไซค์มันก็จะมีด่านอีก เราต้องเตรียมพาสปอร์ตไว้ให้เจ้าหน้าที่ตรวจดูด้วย
พอถึงสถานีรถไฟ ก็ไปซื้อตั๋วที่ช่องขาย โดยสถานีที่เราจะไปก็คือ Butterworth ราคาตั๋ว 11.40 ริงกิตค่ะ ระหว่างรอรถไฟถ้าหิวก็สามารถซื้อของทานได้ค่ะ ทานเสร็จก็มาถ่ายรูปรอค่ะ 555555
พอดีไปกันสองคน รูปก็จะผลัด ๆ กันถ่ายค่ะ ถ่ายสวยบ้างไม่สวยบ้าง สลับ ๆ กันค่ะ แล้วก็เผื่อมีคนถาม เราถ่ายด้วยกล้อง Olympus Om-D Em10 Mark II ส่วนแฟนเราใช้ Leica M8 ค่าา
พอรถไฟมาก็กระโดดขึ้นเลยค่ะ!! รถไฟเค้าค่อนข้างดีมากค่ะ เบาะดีอะไรดี วิวดี นั่งไปประมาณ 2 ชั่วโมงก็ถึงสถานี Butterworth ค่ะ เราสามารถพักรับประทานอาหารได้ที่นี่ ทานเสร็จก็เดินไปซื้อตั๋วขึ้นเรือ Ferry ไปเกาะปีนัง ค่าตั๋ว 1.20 ริงกิต ถูกมาก ๆ ค่ะ ตอนนั่งเรือก็มองวิวรอบ ๆ ค่ะ จะมีเรือแล่นไปมา ทะเลก็สวยมากกกกก
พอขึ้นฝั่ง ตรงนั้นมันจะมีสถานีที่มีรถเมล์เยอะ ๆ ค่ะ เรานั่งรถบัสจากตรงท่าเรือไปแถบ George Town ซึ่งเป็นที่ที่เราจองโรงแรมไว้ค่ะ รถเมล์เค้าจะไม่มีกระเป๋ารถเมล์แบบบ้านเรานะคะ เราจะต้องขึ้นประตูหน้าเพื่อจ่ายเงิน ข้อควรรู้คือ ขึ้นรถเมล์เราควรพกเศษเงิน เพราะเค้าจะไม่ทอนเงินค่ะ
เราเลือกพักที่ Kim Haus Loft ทั้ง 3 คืน รวมค่าเสียหาย 296.7 ริงกิตค่ะ โลเคชั่นอยู่กลางเมืองเลยค่ะ ข้างล่างที่พักจะเป็นร้านกาแฟ ชั้น 2 จะเป็นบาร์เล็ก ๆ โรงแรมบรรยากาศชิลมาก ๆ ค่ะ เราแนะนำที่นี่ ราคาก็ไม่แพงด้วย แปะรูปบรรยากาศโรงแรมที่เราถ่ายมาค่ะ
พอเก็บกระเป๋าเสร็จ เราก็เดินเล่นรอบเมืองเลยค่ะ ที่ปีนังสามารถเดินได้รอบเมือง เพราะเมืองไม่ใหญ่มาก แต่ถ้าขี้เกียจเดินก็สามารถเรียก Grab ได้ค่ะ โดยที่แรกที่เราไปคือ Church of Assumption ค่ะ
Church of Assumption เป็นโบสถ์คาทอลิคที่เก่าแก่และสวยมาก ๆ ที่หนึ่งในเมืองปีนังค่ะ ที่นี่มี 2 ชั้น แต่ตอนเราไปเหมือนจะไม่อนุญาตให้ขึ้นไปบนชั้นสองค่ะ เลยถ่ายรูปได้แค่ชั้น 1 มา โชคดีที่ตอนไปไม่ค่อยมีคนเลยค่ะ ที่นี่ไม่เสียเงินค่าเข้าชมนะคะ
เมืองเค้าค่อนข้างน่ารักเลย เป็นเมืองเก่า ๆ ระหว่างเดินรอบเมือง ก็จะมีพวก Art Work บนผนังแต่ละที่ให้เราสามารถเดินเก็บภาพ เดินถ่ายรูปไปเรื่อย ๆ ได้ค่ะ เราว่าเดินวันนึงก็เก็บไม่ครบค่ะ เพราะว่ามันมีเยอะมาก ๆ เราก็เลือกเดินเก็บไปเรื่อย ๆ หลาย ๆ วันค่ะ นี่เป็นตัวอย่างที่เราเดินเก็บมานะคะ
ใครมาปีนัง เราแนะนำให้ไปลองทานเค้กที่ร้าน China House ค่ะ เค้กที่นี่มีหลายแบบมาก ๆ ราคาค่อนข้างสูงเลย แต่มาทั้งที ต้องไปลองค่ะ กิมมิคของที่นี่คือ เค้าจะเอากระดาษมาครอบที่โต๊ะไว้ค่ะ ระหว่างทานเค้ก เราสามารถวาดรูประบายสีเล่นได้ พอวาดเสร็จเค้าจะถามเราว่าจะเอากลับไหม ถ้าไม่เอากลับก็สามารถเขียนชื่อชิ้นงาน + ใส่ที่อยู่อีเมล์ไว้ส่งประกวดต่อได้ค่ะ มีรางวัลด้วยน้า
ทานเสร็จ ก็เวลาเกือบเย็น ๆ แล้วค่ะ เรากับแฟนไปเดินกันต่อชุมชนตรงริมน้ำ Clan Jetty คล้าย ๆ ตลาดน้ำบ้านเราค่ะ เค้าจะมีพวกของกิน + ของฝากขาย เดินเข้าไปจนสุดท้ายจะเป็นท่าที่เปิดออกเป็นทะเลค่ะ ถ้าไปทันพระอาทิตย์ตกแบบเราจะสวยมาก ๆ ค่ะ
จริง ๆ แล้ว ที่เราไปเดินที่นี่คือเราไปเจอรูป ๆ นึงมา มันจะเป็นบ้านสีแดง ๆ กลางแม่น้ำ แล้วก็จะมีทางเดินไม้ยาว ๆ ไป คือมันสวยมาก ตั้งใจจะไปถ่ายรูป เพราะมันอยู่แถบเดียวกับ Clan Jetty แต่เดินไปก็ไม่เจอสักที เลยถามคุณลุงคนจีนแถวนั้น เพราะเราพูดภาษาจีนได้ คุณลุงก็บอกทางจนเจอจนได้ค่ะ แปะรูป ควรไปค่ะ สวย!!!
ฮีแฟนนอนถ่ายเลยค่ะ เรานั่งละกัน อาย 555 ที่เห็นตรงนี้มันจะมีบ้านสีแดง 1 หลัง แล้วก็หลังเล็ก ๆ นั่นคือห้องน้ำค่ะ ใครทำธุระอะไรไปก็คือลงน้ำไปเลยค่ะ 555
ถ่ายรูปสมใจเสร็จ เราก็เดินกลับที่พัก โดยระหว่างทางก็หาของกินไปด้วยค่ะ ที่นี่ Street food เค้าอร่อยมากค่ะ ราคาก็ไม่แพง ถ้าพักอยู่ย่าน George Town มันจะมีถนนเส้นนึง เราจำชื่อถนนไม่ได้ แต่จะเป็นสี่แยกที่เต็มไปด้วยร้านอาหาร ซึ่งสิ่งที่ไม่ควรพลาดเลยก็คือสิ่งนี้ค่ะ
มันจะเป็นพวกลูกชิ้น ไส้กรอก ผัก แป้งทอดค่ะ โดยจะเสียบไม้ไว้ แบ่งเป็นสี ไม้แต่ละสีราคาก็จะต่างกันไปค่ะ ไปถึงเค้าก็จะให้จานเรามาใบนึง จากนั้นเราก็เลือกเลยค่ะ ว่าจะกินอะไร แล้วก็ลวกเอง เลือกน้ำจิ้มเอง กินเสร็จก็เอาไม้กับจานคืนเค้า เค้าก็จะคิดเงินจากจำนวนและสีของไม้ที่เรากินไปค่ะ เห็นแบบนี้ กินไปกินมาก็แพงเหมือนกันนะคะ เรากินเพลินเกินไป รวมกับของแฟน คิดเป็นเงินไทยก็เกือบ 200 บาทได้ค่ะ T-T
พอหาอะไรกินระหว่างทางเสร็จ ก็กลับโรงแรมค่ะ เป็นการจบไป 1 วัน
DAY 3 : Penang Hill + Penang Botanic Gardens
วันนี้ตื่นมาก็ทานข้าวที่โรงแรม + ร้านบะหมี่จีนข้าง ๆ โรงแรม ตอนแรกแพลนไว้ว่าจะนั่งรถเมล์ไป Penang Hill แต่ด้วยความขี้เกียจเลยเรียก Grab ไปค่ะ ค่าแกรบ 12 ริงกิต ถือว่าพอได้อยู่ค่ะ
พอไปถึง Penang Hill ต้องซื้อตั๋วขึ้นรถกระเช้าไปบนเขาค่ะ ค่าตั๋วคนละ 30 ริงกิต ขึ้นไปถึงก็วิวประมาณนี้ค่าา
และเนื่องจากแฟนเราเรียนสถาปัตฯ นางอุส่าพกสมุด Sketch มา ก็เลยวาดซะหน่อย พอวาดเสร็จมีการมาโม้ด้วยว่ามีคนมาดูตอนนางวาดเต็มเลย ไหนทุกคนลองลงความเห็นหน่อยว่าสวยไหม 55555
ข้างบน Penang Hill นี่ค่อนข้างกว้าง สามารถเดินได้เรื่อย ๆ นะคะ ที่นี่ไม่ได้บังคับว่าต้องมาลงกระเช้ากี่โมง คือเดินจนอิ่ม อยากลงเมื่อไหร่ก็ลงได้เลยค่ะ
พอเราเดินเสร็จ ก็ลงกระเช้ามาค่ะ ถ้าใครอยากซื้อของฝาก ตอนลงกระเช้ามาจะมีร้านของฝากอยู่นะคะ เราซื้อโปสการ์ดส่งกลับไปให้คุณพ่อที่ไทยด้วยค่ะ ที่ร้านเค้ามีสแตมป์ + มีตู้ไปรษณีย์ให้หยอดส่งไปไหนก็ได้ค่ะ
ซื้อของฝาก นั่งพักอะไรเสร็จสรรพ เราก็เรียกแกรบไปต่อที่ Penang Botanic Gardens ค่ะ วันนี้ไปแต่สถานที่ท่องเที่ยวตามธรรมชาติ ตามประสาสาวรักธรรมชาติค่ะ 55555 ค่าแกรบจากที่นี่ไปก็ 10 ริงกิตค่ะ
Penang Botanic Gardens เป็นสวนที่กว้างมาก ๆ ค่ะ ทางเดินจะเต็มไปด้วยต้นไม้ที่ให้ความร่มรื่น เราเห็นมีคนมาปูเสื่อนอนเล่นกัน ใครชอบเดินไปตามทางในสวน เราแนะนำที่นี่เลยค่ะ สงบมาก ๆ คนมาน้อย วิวก็ค่อนข้างสวยเลย มีลิงด้วย แต่ห้ามให้อาหารลิงนะคะ ถ้าให้ตัวนึง ตัวอื่น ๆ ก็จะมารุมเรา น่ากลัวมาก ๆ
พอเดินเสร็จก็ค่อนข้างเหนื่อยเลยค่ะ นั่งรถเมล์กลับไม่ไหวอีกแล้ว ก็เรียก Grab วนไปค่ะ โดยจากที่นี่กลับไปบริเวณ George Town ราคา 10 ริงกิตค่ะ เรากลับโรงแรมไปพักนิดหน่อย แล้วก็เดินไปริมทะเลค่ะ อินดี้มาก อยากไปก็ไป ข้อดีของปีนังก็คือ แม้ว่าที่พักเราจะอยู่ในเมือง แต่เดินไปทะเลก็ใกล้มาก ๆ พอเราดู Google Map แล้วพบว่ามันไม่ไกล เราก็เดินไปเลยค่ะ
ริมทะเลที่เราเดินมาตรงนี้ ตอนเย็นมีคนมานั่งตกปลาด้วยค่ะ ชิวมาก ๆ เรามานั่งอยู่ตรงหิน ลมแรงกำลังดีเลย ชอบมาก ทำให้การเดินทั้งวันในวันนี้หายเหนื่อยไปเลยค่ะ
พอนั่งตากลมจนพอใจ เราก็เดินกลับไปหา Street Food กินเหมือนเดิม ก็เป็นอันจบไปอีก 1 วันของเราค่ะ :-)
DAY 4 : Penang National Park + Batu Ferringhi
ตอนเช้าเราไปเดินเล่นในเมืองค่ะ แล้วก็เพ้นท์มือมาด้วย อันนี้เรียกอะไรไม่รู้ แต่ราคา 5 ริงกิต มันจะเป็นหมึกดำ ๆ เราต้องรอให้แห้ง แล้วลอกออก มันจะติดหนังเราไปเป็นสัปดาห์แล้วค่อย ๆ จางไปเองค่ะ
เดินในเมือง + กินข้าวเสร็จ เราก็ไปนั่งรถเมล์ไป Penang National Park ค่ะ
Penang National Park จะเป็นทางเดินสวนสาธารณะริมทะเล ที่เดินไปเรื่อย ๆ ก็จะเจอเป็นหาดทรายค่ะ ระหว่างทางก็จะมีสะพานแขวนเอย อะไรเลย เรามัวแต่เดินเลยไม่ค่อยถ่ายรูปมาเลยค่ะ เหตุการณ์มันไปเร็วมาก แทบจะจำอะไรไม่ได้เลย แล้วที่พีคสุดคือ พอกลับมาดูในกล้อง รูปที่ถ่ายที่นี่มีแค่รูปเดียว แล้วดูท่าฉัน....
พอเดินออกมา หาของกิน โดยข้างหน้าจะมีร้านอาหารอินเดียอยู่ค่ะ ระหว่างรอรถเมล์มาเราก็นั่งกิน กินเสร็จก็นั่งรถเมล์ไปหาด Batu Ferringhi ค่ะ
ไปถึงหาดจะเจอ Starbucks อยู่ค่ะ เป็น Starbucks ที่ชิลมากกก ทางเข้าตอนแรกก็ติดถนนเนี่ยแหละ แต่ในร้านมีประตูทะลุไปหาดทรายได้ค่ะ เรานั่งดื่มกาแฟสักพักก็ออกไปนั่งเล่นที่หาด นั่งจนพระอาทิตย์ตกเลย
จากนั้นก็เริ่มรู้สึกว่าควรกลับได้แล้ว ก็เลยเดินออกจากหาดมารอรถเมล์กลับเข้าเมืองค่ะ ระหว่างนั้นก็คือหิว แล้วตรงป้ายรถเมล์มันก็ดันมีร้านอาหาร Fast food อยู่ร้านนึง ก็เลย....
ทานเสร็จก็เดินออกมารอรถเมล์กลับเข้าในเมืองค่ะ พอถึงในเมืองก็ตกลงกับแฟนจะไปร้านนั่งชิลที่บริเวณถนน Love Lane ค่ะ ถนนเส้นนี้ตอนเย็นจะครึกครื้นมากกก จะมีพวกร้านเหล้านั่งชิล ๆ ค่อนข้างเยอะ แต่ละร้านก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่ ชอบร้านไหนก็ร้านนั้นเลยค่ะ
แล้วก็จบอีก 1 วันที่ปีนังของเราาาาาาา
DAY 5 : กลับกรุงเทพฯ
วันสุดท้ายไม่มีอะไรเลยค่ะ เราทานข้าวที่โรงแรมเสร็จก็ออกไปเดินในเมืองหาของฝากกลับไปให้คนที่บ้าน
เอาเป็นแนะนำของฝากแล้วกันค่ะ
สำหรับของฝาก แฟนเราซื้อเครื่องเทศทำบากุเต๋ (ซุปสมุนไพร) กลับบ้านไปค่ะ ส่วนเราซื้อ Bookmark + Postcard + Magnet แล้วก็ซื้อเมล็ดกาแฟกลับไปฝากพ่อ เพราะพ่อชอบดื่มกาแฟค่ะ
พอซื้อเสร็จก็ใกล้จะถึงเวลากลับแล้วค่ะ ขากลับเราเลือกขึ้นเครื่องบินกลับค่ะ วิธีไปสนามบินก็คือ Grab เลยค่ะ Grab คือสิ่งที่ดีของโลกใบนี้ ไม่มี Grab ก็ไม่รู้ว่าจะมาสนามบินทันได้ยังไง 55555
ส่วนสกิลภาษามาเลย์ที่กะว่าจะมาลองใช้ สรุปคือไม่ได้ใช้ค่ะ ฟังคนท้องถิ่นเค้าพูดไม่ทัน ก็เลยพูดแต่ Terrima Kasih (แปลว่า ขอบคุณ) ค่ะ 5555 เวลาสื่อสารกับคนที่นี่เราก็จะใช้ภาษาอังกฤษกับภาษาจีนเป็นหลักแทนค่าาา
เป็นอันจบทริปปีนังของเราค่าาา
สรุปค่าใช้จ่ายต่อคนโดยประมาณ (โดยใช้เรท 7.30 บาท = 1 ริงกิต) และเราปัดให้เป็นเลขกลม ๆ นะคะ
- ค่ารถทัวร์ บขส. กรุงเทพฯ - สงขลา 700 บาท
- ค่าเดินทางตั้งแต่ด่านไปถึงเกาะปีนัง 150 บาท
- ค่าที่พัก 3 คืน (2,200 หาร 2) = 1,100 บาท
- ค่าตั๋วเครื่องบิน ปีนัง - ดอนเมือง 1,800 บาท
- ค่าเดินทางในเกาะ (รถเมล์ + Grab) 400 บาท
- ค่ากิน (3,000 หาร 2) = 1,500 บาท
- ค่าบัตรเข้าชมสถานที่ 220 บาท
- ค่าของฝาก 2,500 บาท
รวมต่อคนก็แค่ประมาณ 8,370 บาทเท่านั้นเองค่าา !! ราคาเอื้อมถึงสุด ๆ
ยังไงถ้าใครมีอะไรสงสัยก็สามารถถามเราได้เลยนะคะ ถ้าเราจำได้เราจะยินดีตอบมาก ๆ ค่าา ส่วนทริปต่อไปของเราจะเป็นที่ไหน อย่าลืมติดตามกันด้วยนะคะ ขอลาไปด้วยรูปคู่ (ด้วย photoshop ของเราค่าา)
Sonthakan Korsiriwalanon
วันอังคารที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2562 เวลา 01.47 น.