13 วัน 12 คืน 3 รัฐ
California - Oregon - Washington
Monterey - Big Sur - Yosemite
Dec 21, 2018
เราออกจาก LA ตอนกลางคืน ใช้บริการ Greyhound เป็นสายรถบัสยอดนิยม ใช้เวลาประมาณ 8 ชั่วโมง ถึง San Francisco คืนนี้นอนบนรถกันไปเลย
ถึงซานฟรานในช่วงเช้าที่ฝนตกปรอยๆ เราหาอาหารเช้ากินแล้วไปเอารถเช่าที่จองไว้ (จองกับ Enterprise) โดยจะขับย้อนกลับไปที่ Big Sur ก่อนแล้วค่อยขึ้นไป Yosemite
จุดหมายแรก 17-Mile Drive เป็นเส้นที่อยู่ใน Monterey ทางใต้ของซานฟราน มีจุดให้แวะถ่ายรูปอยู่หลายจุดรวมถึง Lone Cypress แลนด์มาร์คของที่นี่ แต่เราไม่ได้แวะทุก must-do stops เพราะต้องทำเวลานิดนึง อุปสรรคอันยิ่งใหญ่ของการเที่ยวในฤดูหนาวคือ พระอาทิตย์ตกเร็วมาก!
Point Joe หนึ่งในจุดต้องแวะ ลงไปเดินเล่นสูดอากาศริมทะเลกัน
เติมท้องระหว่างทางด้วย In-n-Out เชนเบอร์เกอร์ชื่อดังฝั่ง West (ถ้าฝั่ง East จะเป็น Shake Shack) ถูกและอร่อยคุ้มค่ามาก
ถึง Cypress Point Club แล้ว สนามกอล์ฟริมทะเล (ลมแรงมาก ไม่รู้ว่าตีกันได้ยังไง)
แถบนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวก็จริง แต่รีสอร์ทน้อยมาก เดินทางไปอีกหน่อย เจอร้านอาหารริมผา เป็นโลเคชั่นที่มีวิวดีสุดๆ เลยจอดแวะลงไปถ่ายรูป (ไม่ได้แวะกิน)
ก่อนจะมืดไปกว่านี้ เรารีบตรงไป Big Sur เป็นชื่อเรียกแนวชายฝั่งแถบแคลิฟอร์เนียกลางที่มีภูมิประเทศเป็นภูเขาสูงติดทะเล นักท่องเที่ยวมักจะจอดรถลงไปถ่ายรูปกับสะพาน Bixby Bridge มุมนี้
เก็บตกจุดสุดท้ายก่อนจะมืดค่ำ เราไปดูพระอาทิตย์ตกกันที่ McWay Falls น้ำตกเล็กๆ ริมผา
จากนั้นก็ขับรถกลับขึ้นไปทาง Yosemite คืนนี้เราพักกันที่เมือง Merced เมืองเล็กๆ ระหว่างทางไป Yosemite
ระหว่างทานมื้อเย็น ก็มีข่าว Government shutdown คือการที่หน่วยงานของรัฐหยุดทำงานทั้งประเทศ นั่นรวมถึง National Park ซึ่งเป็นจุดหมายพรุ่งนี้เช้าของเราด้วย .....อ้าว!
Dec 22, 2018
ตื่นเช้ามาตามข่าวอย่างต่อเนื่อง เรามาครึ่งทางแล้วน่ะ เราถอยกลับไม่ได้ 555
มีรายงานมาจากคนที่ไปเที่ยวข้างใน National Park อยู่ก่อนแล้วว่า เข้าไปเที่ยวได้ปกติ แต่จะไม่มีเจ้าหน้าที่ทำความสะอาด หรือ maintenance แต่เจ้าหน้าที่ Reception กับ Canteen ยังมาทำงานอยู่
เราจึงเดินทางเข้าเขต Yosemite ด้วยความสบายใจยิ่งขึ้น พอผ่านประตูทางเข้าที่ปกติต้องเก็บค่าเข้า ก็ไม่มีเจ้าหน้าที่มาทำงาน แต่รั้วเปิดตลอดเวลา หรือเรียกว่า open gates ...ได้เที่ยวฟรีซะงั้น (และคาดว่าคงจะฟรีอีกตลอดทริป เพราะ government shutdown ยาวหลายวัน)
ในส่วนของ Yosemite Valley ซึ่งจะเปิดทั้งปี แต่ถ้า area อื่นๆ อาจจะเปิดตามฤดูกาล บริเวณนี้มี Visitor Center ที่เราเข้าไปคุยกะเจ้าหน้าที่ว่ามี Trail ไหนเปิดบ้าง เพราะฤดูหนาวจะมีเปิดแค่บาง Trail ที่ปลอดภัย ใกล้ๆ กันมีโรงอาหารกับลานตั้งแคมป์ที่เอารถบ้านมาจอดได้
เนื่องจากเราจะอยู่แถวนี้คืนเดียวเท่านั้น เลยเลือกเดิน Trail ที่ไม่ใช้เวลามากเกินไป คือ Vernal Falls (Difficulty: Moderate) ไปกลับประมาณ 4 ก.ม. จริงๆ เป็น Trail ที่ยาวกกว่านี้มาก ช่วงที่เลือกไปเดินนี่เป็นเหมือนแค่หนังภาคแรกเท่านั้น
ไปกันเล้ยยยย
อากาศเย็นๆ เหมาะกับการเดิน Trail มาก แต่ทางเดินขึ้นๆ ลงๆ แบบนี้ เดินแปปเดียวก็ไม่ต้องพึ่งเสื้อหนาวอีกเลย เหมือนได้ออกกำลัง
เดินไปเรื่อยๆ ก็จะเจอนักท่องเที่ยวคนไทย เหมือนมาเดินเขาใหญ่
จริงๆ แล้วที่เลือกมาที่นี่ในหน้าหนาวเพราะอยากเห็นวิวหิมะตกบนภูเขาสวยๆ แต่โชคไม่ดีที่ช่วงที่ไปหิมะมาช้า ได้เห็นแต่บนยอดเขานู่นแหละ
ชีวิตที่ราบรื่นก็เหมือนทางเดินเรียบๆ ที่มีจำกัด พอเข้าใกล้น้ำตก ทางก็ท้าทายมากขึ้น กลายเป็นหินกรวดหรือหินตามธรรมชาติ อาจจะต้องใช้มือปีนป่ายบ้าง
น้ำช่างหรอมแหรมเหลือเกิน แต่เดินมาถึงนี่ก็นับถือตัวเองละ วันนี้นอกจากแสงน้อยอยู่แล้ว ขากลับก็ยังต้องกลัวว่าจะกลับทันพระอาทิตย์ตกมั้ยนะ 555 ช่วงที่เดินจนใกล้ถึงน้ำตก มีแต่คนเดินสวนลงมา ถามไถ่กันและกันว่าพกไฟฉายมารึป่าว ถ้ามืดจะเดินลำบากมาก
แต่สุดท้ายก็ทันนะ ลงมายังพอมีแสงอยู่ :)
เราไปหามื้อเย็นกินกันที่ Food court ของ Yosemite Valley Lodge (ที่พักที่แพงและจองยากมาก) เรียกว่า Base Camp Eatery สะอาด มีหลายอย่างให้เลือก ราคาโอเคสำหรับแหล่งท่องเที่ยวที่ที่กินหายากมาก
สำหรับที่พักของเราในคืนนี้ รร.ชื่อว่า Cedar Lodge อยู่ใน Mariposa ออกนอกเขต Yosemite มาหน่อย
ถึงที่พักก็รีบนอน พรุ่งนี้จะตื่นไปดูพระอาทิตย์ขึ้น!
URExplorer
วันอาทิตย์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2563 เวลา 19.57 น.