นครหริภุญชัย หรือ ลำพูน จังหวัดที่เล็กที่สุดในภาคเหนือของประเทศไทยหากเอ่ยไปหลายๆ คนคงจะมองข้ามแน่นอน ด้วยความที่เป็นจังหวัดเล็กๆและตัวจังหวัดเองก็อยู่ห่างจากจังหวัดเชียงใหม่ประมาณ 30 กิโลเมตรเท่านั้น ขับรถครึ่งชั่วโมงก็ถึงแล้วอีกอย่างสถานที่ท่องเที่ยวก็ไม่หลากหลาย และมากมายเท่ากับเชียงใหม่นักทำให้นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เลือกที่จะไปเชียงใหม่เสียมากกว่า
แต่รู้หรือไม่ว่า ! หากคุณลองไปค้นข้อมูลหาที่มาที่ไปของจังหวัดลำพูน มันจะทำให้จังหวัดเล็กๆ แห่งนี้ดูน่าค้นหาขึ้นมาทันทีไม่แพ้จังหวัดอื่นในภาคเหนือเลย
อ่านประวัติแบบคร่าวๆ ที่จะทำให้ลำพูน อยู่ในใจของคุณ คลิกอ่านต่อที่ ประวัติแบบเต็ม
หลายๆ คนอาจจะสงสัยว่า ทำไมผมถึงเลือกมาเที่ยวจังหวัดลำพูน ?เอาล่ะ ! ผมจะเล่าถึงที่มาที่ไปว่าทำไมถึงมาลงเอยที่จังหวัดลำพูน ได้
สิ่งแรก คือ ต้องการความสโลว์ไลฟ์แบบ เชียงคาน จ. เลย
สิ่งที่สอง คือ สภาพอากาศ เนื่องจากช่วงนี้อากาศในภาคเหนือยังคงเย็นๆ อยู่ ไม่ต้นปีก็ปลายผมจะชอบเที่ยวเหนือเพราะต้องการไปสัมผัสอากาศหนาว
สิ่งที่สุดท้าย คือ เมื่อ 9 ปีก่อนเคยมาแล้วครั้งนึง แต่แค่มาไหว้พระธาตุที่เดียวเท่านั้นและยังคงจดจำความรู้สึกของการมาเยือนที่นี่ได้ ก็เลยตัดสินใจว่าจะมาเติมเต็มในส่วนที่ขาดของ 9 ปีที่แล้ว
และก็นั่นแหละครับ การตัดสินใจของผมก็มีแค่นี้จริงๆ จังหวัดอื่นที่คล้ายๆ แบบนี้ก็มีนะแต่ว่าบางที่ผมเองเคยไปแล้ว และจังหวัดในภาคเหนือผมเหลือตัวเลือกอยู่ไม่กี่จังหวัดเท่านั้นทำให้ลำพูนคือจุดหมายที่ตอบโจทย์ที่สุดในการตอบสนองความต้องการของผม
ถึงเวลาแล้วที่ผมจะพาทุกคนไปทัวร์เมืองลำพูนกัน ไปครับ !!!!!!
เริ่มต้นกันที่หมอชิต 2 สำหรับการเดินทางจากกรุงเทพฯ สู่ จ. ลำพูน นั้น ผมนั่งรถทัวร์โดยบริษัท ขนส่ง จำกัดซึ่ง มีเพียงวันละ 2 เที่ยวเท่านั้น คือ รอบเวลา 20.00 น. และ 20.45 น. ซึ่งผมจะขอแนะนำให้นั่งรอบ 20.00 น.เพราะรถจะมุ่งหน้าไปยังตัวเมืองเลย ส่วนรอบ 20.45 น. นั้น จะไปทาง อ. ลี้ ซึ่งค่อนข้างใช้เวลานานกว่าปกติแต่จริงๆ แล้วยังมีของบริษัทอื่นๆ อย่าง สมบัติทัวร์ ซึ่งวิ่งวันละรอบ หรือใครจะหาเพิ่มเติมก็มีบริษัทอื่นอีกก็ได้
*** อ่านตรงนี้ให้ดี ***
การมาเที่ยวลำพูนนั้น มีหลายวิธี ดังนี้
1. นั่งรถทัวร์ รถไฟ เครื่องบิน ไปลง จ. เชียงใหม่ แล้วหารถยนต์ หรือมอเตอร์ไซค์เช่า แล้วมาเที่ยว จ. ลำพูน ข้อดี คือ เที่ยวสถานที่ไกลจากตัวเมืองได้ และปลอดภัยกว่า
ข้อเสีย คือ งบเพิ่มขึ้น
2. นั่งรถทัวร์ หรือ รถไฟ มาลง จ. ลำพูน แล้วเช่าจักรยานปั่นเที่ยวในเมือง
ข้อดี คือ ถูก หาที่จอดง่าย
ข้อเสีย คือ - เหมาะสำหรับเที่ยวแค่ในเมือง - ถนนไม่ค่อยเหมาะสำหรับการปั่นจักรยาน - เพราะไม่มีเลนจักรยาน - หมาในซอยไม่ค่อยน่าไว้ใจ ไม่เหมาะสำหรับคนกลัวหมา
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ผมใช้วิธีที่ 2 ครับ เพราะ ตอนหาข้อมูลไม่เจอรีวิวด้วยวิธีนี้ เลยลองเสี่ยงดู แต่ก็ไม่ได้แย่อะไร เพราะ ต้องการความสโลว์ไลฟ์ 5555
จาก หมอชิต 2 ผมมาถึง สถานีขนส่งจังหวัดลำพูน เกือบ 10 โมง ช้ากว่าที่ควรจะเป็นประมาณ 2 โมง เพราะรถทัวร์มีปัญหาตั้งแต่ออกจาก กรุงเทพฯ แต่ถ้าเป็นไปตามกำหนดการจริงๆ ก็จะต้องมาถึงประมาณ 7 โมง
เมื่อผมมาถึงยังสถานีขนส่ง พี่เจ้าของร้านเช่าจักรยานก็ขับรถมารับผมที่ขนส่ง และพาไปยังบ้านพี่เขา พี่เขาบอกเปิดเช่าจักรยานทำเล่นๆ ขำๆ 555 ร้านพี่เขาชื่อว่า ลุงสิทธิ์จักรยานเช่าลำพูน
อัตราค่าบริการคือ วันละ 100 บาท มัดจำ 1,000 บาท จริงๆ ก็มีถูกกว่านี้แหละ แต่ก็ยังตัดสินใจเลือกร้านพี่เขา และก็ไม่ผิดหวังจริงๆ เพราะพี่เขาดูเอาใจใส่ เหมือนผมเป็นญาติเขาคนนึงเลย
เมื่อได้จักรยานคู่ใจแล้ว ผมก็มุ่งหน้าไปยังโรงแรมทันที ซึ่งอยู่ห่างไปไม่ไกลเพื่อที่จะขอเขาเข้าห้องน้ำทำธุระส่วนตัว และฝากกระเป๋าไว้ก่อน เพราะยังไม่ถึงเวลาเชคอิน แต่ด้วยความที่พนักงานบริหารจัดการได้อย่างน่าประทับใจมาก เคลียร์ห้องให้แล้วให้ผมเข้าเชคอินได้เลย ทำเอาผมอึ้งเลยไม่เคยเจอที่ไหนให้ผมเชคอินก่อนเที่ยง
ผมขอแนะนำเลยไม่ได้สปอนเซอร์แต่อย่างใดด้วย " อีซี่โฮเทล 1 ลำพูน | Easy Hotel 1 Lamphun "
ความประทับใจของที่นี่คือ ห้องค่อนข้างใหม่ สะอาด ทำเลดี ไม่ไกลจากวัดพระธาตุฯ และพนักงานบริการดีมาก มีจักรยานให้ยืมด้วยนะ
หลังจากทำธุระส่วนตัวเสร็จ เก็บข้าวของเรียบร้อย ท้องก็เริ่มโวยวายเพราะยังไม่มีอาหารตกถึงท้องเลย ที่แรกที่ผมจะไปก็คงหนีไม่พ้นร้านอาหาร และจากการหาข้อมูลมา เมนูที่เลื่องลือก็คือ ก๋วยเตี๋ยวหมูตุ๋นลำไย (เวียงยอง) ที่เป็นการฟิวชั่นระหว่าง ก๋วยเตี๋ยวหมูตุ๋น กับ ลำไย ผลไม้ประจำจังหวัดลำพูน
อิ่มท้องกับการกินของคาว แต่หากไม่กินของหวานเขาว่าสันดานไพร่ ผมก็เลยปั่นจักรยานจากร้านก๋วยเตี๋ยวมุ่งหน้าไปยังวัดพระธาตุหริภุญชัยที่มีร้านเฉาก๊วยอยู่ร้านนึงที่เขาว่าอร่อยมาก
ร้านนี้มีชื่อว่า เฉาก๊วยมุกดา ซึ่งร้านอยู่ในบริเวณวัดพระธาตุหริภุญชัยเลย ใกล้ๆ กับที่ขายตั๋วรถราง ราคานั้นแก้วนี้อยู่ที่ 40 บาท และเอกลักษณ์ของร้านนี้อย่างนึงคือ การจ่ายเงิน ที่ต้องเอาเงินใส่ตะกร้าที่เคาน์เตอร์ แล้วทอนเงินเองเลย
ส่วนตัวน้ำเฉาก๊วยนั้นค่อนข้างหอม หวานมัน และเฉาก๊วยก็เหนียวหนึบเคี้ยวอร่อยมาก กินแล้วสดชื่นพร้อมลุยต่อได้เลย
สำหรับแพลนการเที่ยวของผมนั้น คือ การนั่งรถรางเที่ยวรอบเมือง รถรางจะมีวันละ 2 รอบเท่านั้น คือ รอบ 9.30 น. และรอบบ่ายก็ 13.30 น.แต่ว่า ณ ตอนนั้นพึ่งจะเที่ยงเศษก็เลยเข้าไปกราบขอพรพระธาตุหริภุญชัยก่อน แล้วสักประมาณบ่ายโมงค่อยเดินออกมาซื้อตั๋ว
หลังจากเดินผ่านซุ้มประตู และสิงห์คู่หน้าวัดเข้ามา สิ่งแรกที่จะเห็นก็คือ วิหารหลวง
ภายในก็จะมีพระปฏิมาใหญ่ประดิษฐานอยู่บนแท่นแก้ว รวม 3 องค์ด้วยกัน
ใกล้ๆ กันจะเป็น หอพระไตรปิฎก
และไฮไลท์ของที่นี่ก็คือ องค์พระบรมธาตุหริภุญชัย ที่ถือว่าเป็นพระธาตุประจำปีระกา หรือปีไก่
องค์พระธาตุนี้เป็นเจดีย์แบบล้านนานไทยแท้ๆ ภายในบรรจุพระเกศบรมธาตุบรรจุในโกศทองคำ ประดิษฐานในพระเจดีย์ ประกอบด้วยฐานปัทม์ แบบฐานบัวลูกแก้ว ย่อเก็จ ต่อจากฐานบัวลูกแก้วเป็นฐานเขียงกลมสามชั้น ตั้งรับองค์ระฆังกลม บัลลังก์ย่อเหลี่ยม เจดีย์มีลักษณะใกล้เคียงกับ พระธาตุดอยสุเทพที่จังหวัดเชียงใหม่
ข้างๆ กันคือ วิหารพระพุทธ ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปนั่งปางมารวิชัย
มองลอดหน้าต่างออกไปก็จะเห็นองค์พระธาตุฯ
เดินถัดมายังด้านหลังวิหารพระพุทธ จะพบกับวิหารพระบาทสี่รอย ที่สร้างจำลองมาจากพระพุทธบาทที่อำเภอแม่ริม สร้างไว้เพื่อเป็นที่สักการะสำหรับคนที่ไม่ได้ไปบูชาที่จริง
ติดๆ กันเป็นพิพิธภัณฑ์วัดพระธาตุฯ ที่ภายในจะเก็บรวบรวมของโบราณมากมายที่เด่นๆ เลยคือ พระรอดที่มีเยอะมากซึ่งถือว่าเป็นพระเครื่องที่มีชื่อเสียงของจังหวัดลำพูนเลยทีเดียว
เจดีย์ปทุมวดี ที่สร้างโดยพระนางปทุมวดี อัครมเหสีของพระเจ้าอาทิตยราช ที่ถ้ามองที่ยอดเจดีย์มีทองเหลืองหุ้มอยู่ มีความเก่าแก่มาก ภายใต้ฐานชั้นล่างเป็นกรุบรรจุพระเปิมที่เป็นสัญลักษณ์ของคู่บุญของพระเจ้าอาทิตยราชเสมือนความรักที่ยั่งยืน ว่ากันว่าหากหนุ่มสาวคู่ใดพากันมาไหว้พระธาตุหริภุญชัยและมาอธิษฐานที่เจดีย์ปทุมวดีในวันเดียวกันความรักจะยั่งยืนคู่กันตลอดทั้งชาตินี้ และทุกภพทุกชาติไป
ที่แห่งนี้ถือเป็นสถานที่สำคัญอีกหนึ่งจุด ซึ่งสถานที่แห่งนี้เคยเป็นที่กักกันบริเวณครูบาศรีวิชัย ที่ท่านถูกกล่าวหาต่างๆ นานา ซึ่งล้วนเกิดจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองที่คณะสงฆ์ต้องขึ้นกับส่วนกลาง
ด้วยความที่มีผู้เลื่อมใสมากมายทางการกับทางวัดจึงนำท่านมากักบริเวณตรงนี้ ซึ่งท่านก็ประจำพำนักอยู่ตรงนี้นานกว่า 1 ปี ถึงสองครั้งสองคราก่อนที่จะนิมนต์ท่านไปยังเชียงใหม่ และส่งไปกรุงเทพฯ เพื่อสอบสวนข้อกล่าวหา
เดินกลับออกมาด้านหน้า จะพบกับพระอุโบสถที่ประดิษฐาน พระเจ้าทองทิพย์ ที่เป็นพระพุทธรูปหล่อแบบสมัยเชียงแสนรุ่นกลางลงรักปิดทอง นั่งประทับอยู่ภายในซุ้มที่ประดับลวดลายสวยงามมาก
จริงๆ แล้วภายในวัดยังมีจุดต่างๆ ที่น่าสนใจอีกมากมายผมเองหยิบยกบางจุดมาเพียงเท่านั้น
ที่มาข้อมูล : ๒๒ สถาน คู่มือท่องเที่ยวในวัดพระธาตุหริภุญชัย
เมื่อเวลาล่วงเลยมาจนบ่ายโมงนิดๆ ผมก็รีบเดินมาซื้อตั๋วรถรางทันที พอมาถึงที่จำหน่ายตั๋วทำผมตกใจมาก ไม่คิดว่าคนจะใช้บริการเยอะขนาดนี้ เหลือที่นั่งไม่กี่ที่เท่านั้น สำหรับค่าบริการนั้นแค่ 50 บาทเอง โดยจะใช้เวลาทั้งหมดราวๆ เกือบ 2 ชั่วโมงในการเที่ยวรอบเมือง จากการใช้บริการแล้วนั้นเขาจะแวะให้เราเยี่ยมชมแต่ละจุดๆ ละ 10 นาที จะมากกว่านี้ก็ได้แต่ก็ให้ทิปพี่คนขับเพิ่มสักหน่อยแล้วกัน
เส้นทางท่องเที่ยวของรถรางพาไปเที่ยวตามจุดท่องเที่ยวในเมืองรวม 10 จุด ได้แก่
1. พิพิธภัณฑ์ชุมชนเมืองลำพูน
2. คุ้มเจ้ายอดเรือน
3. อนุสาวรีย์จามเทวี
4. วัดจามเทวี
5. วัดมหาวัน
6. วัดพระคงฤาษี
7. วัดสันป่ายางหลวง
8. โบราณสถานกู่ช้าง กู่ม้า
9. วัดพระยืน
10. วัดต้นแก้ว
ถามว่าคุ้มมั้ย บอกเลยว่าคุ้มมาก เพราะ พี่คนขับบรรยายถึงประวัติความเป็นมาของแต่ละสถานที่ได้อย่างละเอียดทำให้ได้ความรู้กับมาเยอะมากจริงๆ
ที่แรกที่เรามาคือ พิพิธภัณฑ์ชุมชนเมืองลำพูน ในอดีต ที่แห่งนี้เคยเป็นคุ้มเจ้าราชสัมพันธวงศ์
ซึ่งที่นี่เป็นอาคารเก่าแก่กว่า 100 ปี ภายในจะบอกเล่าถึงความเป็นมาของเมืองลำพูน สิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ หรือภาพถ่ายเก่าๆ อย่างรูปนางสาวไทยของลำพูน ซึ่งที่นี่มีวิทยากรคอยให้ความรู้ด้วยไม่ต้องเดินดูแบบงงๆ เลย
ไปต่อกันจุดที่ 2 คือ คุ้มเจ้ายอดเรือน
สถานที่แห่งนี้เคยเป็นเรือนพักอาศัยของ เจ้าหลวงจักรคำขจรศักดิ์ เจ้าผู้ครองนครลำพูนองค์สุดท้าย ที่สร้างให้แก่ชายาเจ้ายอดเรือน ชายาองค์สุดท้าย เมื่อปี พ.ศ. 2470 ตัวอาคารมีสภาพที่ค่อนค่างสมบูรณ์เลยทีเดียว ภายในห้องต่างๆ ก็จะมีข้าวของเครื่องใช้ในอดีตไว้ให้ชมด้วย
ระหว่างทางไปก็จะเห็นซุ้มประตู ซึ่งมีอยู่หลายมุมมากในเมือง
ถึงแล้วจุดที่ 3 คือ อนุสาวรีย์พระนางจามเทวี
ที่นี่ถือว่าเป็นสถานที่ที่สำคัญมากๆ เพราะ พระนางจามเทวี คือ ปฐมกษัตริย์แห่งนครหริภุญชัย พระนางนั้นเป็นผู้ที่มีความสามารถรอบด้าน และที่สำคัญยังเป็นผู้ที่มีคุณธรรม และได้นำพระสงฆ์จากที่อื่นเข้ามาเผยแพร่พระพุทธศาสนา และวัฒนาธรรมต่างๆ จนเป็นเมืองที่มีความเจริญรุ่งเรืองอย่างมากในอดีตเลยทีเดียว
ไปอนุสาวรีย์กันแล้ว คราวนี้เราจะไปจุดที่ 4 ที่เป็น วัดจามเทวี ชาวบ้านจะเรียกกันว่าวัดกู่กุด วัดนี้เป็นวัดที่เก่าแก่วัดหนึ่งเลย เจดีย์นั้นเป็นเจดีย์เหลี่ยมแบบพุทธคยามียอดหุ้มด้วยทอง แต่ละด้านมีพระพุทธรูปยืนปางประทานพร ภายในเจดีย์นั้นจะบรรจุอัฐิของพระนางจามเทวี ซึ่งยอดเจดีย์นั้นหักหายไปไม่มีใครรู้เลยเป็นที่มีของ พระเจดีย์กู่กุด
แล้วเราก็เดินทางกันมาได้ 5 ที่แล้ว และที่นี่ก็คือ วัดมหาวัน
วัดแห่งนี้คือวัดที่มีชื่อเสียงเลื่องลือมาก ซึ่งวัดนี้เป็นจุดกำเนิดของพระเครื่ององค์เป็นล้าน อย่าง พระรอดลำพูน ที่ถือเป็น 1 ใน 5 ของพระเครื่องชุดเบญจภาคี ซึ่งเป็นพระพิมพ์ที่จุดสูงสุดของพระสกุลลำพูน ซึ่งค้นพบที่กรุวัดมหาวัน
ภายในอุโบสถจะประดิษฐาน พระพุทธสิกขิ หรือพระศิลาดำ ซึ่งพระนางจามเทวีอัญเชิญมาจากเมืองละโว้ โดยทั่วไปชาวบ้านมักจะเรียกกันว่า พระรอดลำพูน ซึ่งความสำคัญนั้นคือ การเป็นแม่พิมพ์ในการจำลองทำพระรอดมหาวัน พระรอดนี้เป็นศิลปะแบบทวารวดี กับศรีวิชัย ซึ่งขุดค้นพบที่วัดนี้เพียงที่เดียวเท่านั้น และวัดนี้เองเคยเป็นพระอารามหลวงของพระนางจามเทวีอีกด้ว
ต่อกันที่วัดที่ 6 วัดพระคงฤาษี ความสำคัญของที่นี่คือ ในอดีตเคยเป็นแหล่งชุมนุมพระฤาษี 5 ตน เพื่อร่วมสถาปนานครหริภุญไชย ตามตำนานเล่ากันว่า ฤาษีวาสุเทพ หนึ่งในฤาษีทั้ง 5 นั้น ใช้ไม้เท้ากรีดพื้นเพื่อเขียนผังนครหริภุญชัย และตรงเจดีย์นั้น พระนางจามเทวีทรงสร้างเป็นรูปทางสี่เหลี่ยม และนำรูปปั้นแกะสลักพระฤาษีบรรจุภายในซุ้มทั้งสี่ด้าน
และความน่าสนใจยังไม่หมดเพียงเท่านี้ วัดพระคงฤาษีแห่งนี้ยังเป็นต้นกำเนิดของพระพิมพ์รุ่นพระคงที่ว่ากันว่าเป็นพระคงที่ฤาษีวาสุเทพ และสุกกทันตฤาษีสร้าง วัดนี้จึงเรียกว่าวัดนี้ว่าวัดพระคงฤาษี
วัดนี้พี่คนขับพาเข้ามาในอุโบสถให้หลวงพ่อให้พรด้วยนะ แล้วหลวงพ่อก็แจกวัตถุมงคลที่เป็น "พระคง" ด้วยนะให้คนละ 2 องค์เลยแหละ รู้สีกดีมากๆ เลย แล้วเราก็ทำบุญตามกำลังศรัทธาไป
ไปจุดที่ 7 กันต่อเลยดีกว่า สถานที่นี้เรียกว่า วัดสันป่ายางหลวง
เป็นวัดที่ถูกยกให้เป็น 1 ใน 5 วัดของประเทศไทยที่สวยที่สุด ซึ่งทั้งอุโบสถ หรือแม้แต่ซุ้มประตูจะมีการแกะสลักลวดลายปูนปั้นไว้อย่างงดงาม มีพระพุทธรูปที่สำคัญคือ พระโขงเขียว และมีพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ด้านล่างพระโขงเขียว คือ พระพุทธเมตไตรจำลองมาจากพุทธคยาตอนที่พระพุทธเจ้าโคตรมะบรรลุธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องขอโทษด้วยที่ได้รูปมาเพียงเท่านี้ เพราะตอนถ่ายค่อนข้างย้อนแสง
ถึงตรงนี้เราก็มาถึงจุดที่ 9 กันแล้วนั่นก็คือ โบราณสถานกู่ช้าง กู่ม้า
เจดีย์ด้านหน้าเรียกว่า "กู่ช้าง" และด้านหลังคือ "กู่ม้า" ซึ่งสถานที่นี้เป็นสถานที่ที่ชาวลำพูนศรัทธาเป็นอย่างมาก ที่ผู้คนมักจะมาขอพร หาที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ
สำหรับ "กู่ช้าง" สร้างขึ้นเพื่อบรรจุซากพระยาช้างศึก นามว่า ปู่ก่ำงาเขียว ซึ่งหมายถึง ช้างสีคล้ำ งาสีเขียว ช้างนี้เป็นช้างคู่บารมีของพระนางจามเทวี โดยเชื่อกันว่าหากออกศึกสงคราม ช้างหันงาไปทางศัตรูเมื่อใดก็จะทำให้ศัตรูอ่อนแรงได้เลย ส่วนหางก็ยังมีอิทธิฤทธิ์เช่นกัน เมื่อหางชี้ไปทางทิศใดจะทำให้เกิดภัยพิบัติต่าง ๆ เมื่อช้างปู่ก่ำล้ม พระนางจามเทวีจึงโปรดให้นำซากมาฝังไว้ และให้ปลายงาชี้ขึ้นฟ้า สันนิษฐานกันว่าเจดีย์นี้ได้รับอิทธิพลมาจากเจดีย์แบบพม่า
เชื่อกันว่าเป็นที่บรรจุซากม้าทรงของพระเจ้ามหันตยศ พระราชโอรสของพระนางจามเทวี
แล้วอย่าลืมมาเดินลอดท้องช้างกันน
จุดที่ 9 วัดพระยืน
ความน่าสนใจคือ มีเจดีย์เป็นทรงปราสาทมณฑป ที่สร้างเลียจนแบบสถาปัตยกรรมพุกาม มีความสำคัญคือมีศิลาจารึก อักษรไทยหลักแรกในภาคเหนือ ซึ่งกล่าวถึงพญากือนาได้อาราธนาพระสุมนเถระจากสุโขทัยมาเผยแพร่พระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ โดยให้พำนักที่วัดพระยืนก่อนที่จะไปจำพรรษาที่วัดสวนดอกและสร้างพระธาตุดอยสุเทพ
และเราก็เดินทางมาถึงสถานที่สุดท้ายของการนั่งรถราง ที่นี่คือ วัดต้นแก้ว โดยจัดแสดงเป็นพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านชาวยองที่เป็นชาติพันธุ์เดิมเป็นส่วนใหญ่ของชาวลำพูนทอผ้าฝ้ายแบบโบราณให้เราได้ชมกัน
ระหว่างทางที่กลับสู่วัดพระธาตุหริภุญชัย เราก็ได้พบกับ "ประตูท่านาง" ซึ่งมีความสำคัญคือ เคยเป็นสถานที่ที่พระนางจามเทวีเสด็จขึ้นจากเรือเมื่อครั้งที่เดินทางจากละโว้มาปกครองเมืองหริภุญชัย
และการนั่งรถรางของผมก็สิ้นสุดเพียงเท่านี้ จากนี้รถจะพาเรากลับไปยังวัดพระธาตุหริภุญชัย เรื่องราวของผมจะเป็นอย่างไรต่อนั้นรอติดตามได้เลย
หลังจากที่นั่งรถรางเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมก็ปั่นจักรยานกลับที่พักเพื่อไปอาบน้ำให้สดชื่น เตรียมออกตะลอนต่อยามค่ำคืน
หกโมงกว่าผมก็ออกจากที่พักปั่นจักรยานมุ่งหน้าไปยัง "ตลาดโต้รุ่ง" หาอาหารเย็นกินไปก่อนหนึ่งชุด เพราะผมต้องการกลับไปยังวัดพระธาตุหริภุญชัยอีกครั้งหนึ่งเพื่อเก็บภาพบรรยากาศยามค่ำคืน ซึ่งวัดจะปิดประมาณ 21.30 น. กลางวันใครร้อนก็มาค่ำๆ ก็ได้
เมื่อถ่ายรูปจนเสร็จเวลาล่วงเลยมาจนเกือบสามทุ่ม ผมก็ขี่กลับไปที่ตลาดโต้รุ่ง ซึ่งผมมีร้านเด็ดในใจอยู่แล้วที่จะต้องลองกินให้ได้สิ่งๆ นี้นั้นก็คือ หมูทอด น้ำพริกหนุ่ม ซึ่งรสชาตินั้นขอบอกว่าอร่อยมากกกกกกกกกกกกกกกกกก เนื้อหมูนี่นุ่มสุดๆ และพอยิ่งกินเข้าไปกับน้ำพริกหนุ่มด้วยแล้วมันโคตรฟินเลยแหละ แม้ตอนพิมพ์ๆ อยู่นี่น้ำลายยังไหลเลย คนพื้นที่อาจจะรู้สึกเฉยๆ มั้ยอันนี้ไม่รู้ แต่สำหรับผมคือมันอร่อยจริงๆ
กินของคาวมีหรือที่ผมจะไม่ตบท้ายด้วยของหวาน จากการหาลายแทงจากกูเกิ้ล ก็มีอีกร้านนึงที่อยากลองคือ "ไอติมโฮะ สล่าไอติมเมืองล้านนา" ซึ่งเป็นร้านที่เป็นไอติมแบบคลาสสิค และไอติมผลไม้ ที่มีจุดเด่นคือ ไขมัน 0% ซึ่งจะเสริฟมาพร้อมกับเครื่องเคียงแบบธรรมดาๆ เลยอย่าง วุ้นมะพร้าว ข้าวโพด เฉาก๊วย สลิ่ม ทับทิมกรอบ เป็นต้น ซึ่งรสชาติก็ถือว่าดีเลยที่เดียวและราคาก็ไม่แพงเลย ใครมาลำพูนก็อย่าลืมแวะมานะ
แล้วเรื่องราวในหนึ่งวันของผมก็หมดลง พักผ่อนเพื่อตื่นแต่เช้าไปกิน "ข้าวมันไก่ไทยแลนด์
เช้าวันต่อมา ผมตื่นขึ้นมาพร้อมกับเป้าหมายในการไปกินข้าวมันไก่ตามที่ชาวโลกออนไลน์ได้แนะนำมา ร้านข้าวมันไก่ไทยแลนด์ จะอยู่หลังวัดพระธาตุหริภุญชัย
สำหรับวิธีการสั่งก็คือ จดใส่กระดาษแล้วเอาไปเสียบในหมุดที่เขาวางไว้ แล้วก็รอไป
และนี่ก็คือโฉมหน้าข้าวมันไก่ของผม จากการที่ได้ทานแล้วนั้น เนื้อไก่ค่อนข้างนุ่มมาก เอาลิ้นบี้ยังได้ไม่รู้เว่อไปมั้ย แต่มันนุ่มจริงๆ นะ ใครไม่เชื่อก็ลองไปกินกันดู
หลังจากนี้ผมก็กลับที่พักเก็บของ และนำจักรยานไปคืน อยากจะบอกว่าผมทำจักรยานพี่เขารั่วด้วย แต่พี่เขาใจดีมากที่ไม่หักค่ามัดจำผมบางส่วนที่ทำยางรั่ว นี่แหละเมืองเล็กๆ ที่ทำให้ผมประทับใจไม่รู้ลืมเลย
สำหรับทริปการมาเยือนนครหริภุญชัยของผมก็มีเพียงเท่านี้แหละ จังหวัดลำพูนยังมีสถานที่อื่นๆ อีกมากมายอย่าง วัดดอยติ วัดพระธาตุอินทร์แขวน พระมหาธาตุเจดีย์ศรีเวียงชัย แต่ด้วยความที่มีแค่จักรยานก็เลยไปได้ไม่หมด หรือแม้แต่ อ. ลี้ ก็มีสถานที่ที่น่าสนใจเช่นกัน ใครจะมาก็วางแผนกันมาให้ดีๆ จะได้เที่ยวให้คุ้มๆ ไปเลย
และแพลนของผมหลังจากนี้คือการนั่งรถตู้เข้าไปยังเมืองเชียงใหม่ เช่ามอเตอร์ไซค์ขี่เที่ยววัดที่อยากไปสักสองสามวัด แล้วค่อยนั่งรถทัวร์กลับกรุงเทพฯ ผมจองรถทัวร์รอบ 18.35 น. ซึ่งมีเวลาเหลือพอสมควร
และต้องขอขอบคุณพี่ร้านเช่าจักรยานมาก ที่ให้ติดรถเข้าเชียงใหม่ เพราะพี่เขาจะพาลูกไปทำกิจกรรมที่เชียงใหม่พอดี ก็เลยแวะส่งผมที่อาเขต
เพื่อเป็นการขอบคุณ ขอฝากร้านพี่เขาอีกทีละกัน ร้านพี่เขาชื่อว่า ลุงสิทธิ์จักรยานเช่าลำพูน
เมืองเล็กๆ ที่น่าหลงใหล ให้มาสัมผัส ไม่ผิดหวังจริงๆ ที่ตั้งใจมา อิ่มบุญ อิ่มท้อง และอิ่มใจ
สำหรับงบประมาณในการเที่ยว 2 วัน 1 คืน ในครั้งนี้ก็ประมาณ 2,500 - 3,000 บาท ก็เพียงพอแล้ว
ช่องทางการติดตาม
Facebook Fanpage : https://www.facebook.com/iwillgo.thailand/
Readme.me : https://th.readme.me/id/iwillgo.thailand
True Id : https://cities.trueid.net/@610
ฉันจะไป : I Will Go
วันเสาร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2563 เวลา 11.47 น.