ขับรถเที่ยวใต้สุดสยาม เบตง
วันที่สอง
ตื่นตั้งแต่ตี 4 แต่เห็นบรรยากาศภายนอกยังเงียบๆ ก็ตั้งใจว่าจะออกเดินทางตอนตี 5 เพื่อให้ถึงจุดชมวิวทะเลหมอกอัยเยอร์เวง ก่อนพระอาทิตย์ขึ้น
ทางผ่านแวะแชะๆ ก่อนขึ้นเขาค่ะ
ประวัติ
อัยเยอร์เวง นั้น “เวง” เดิมเป็นชื่อของชาวจีน ซึ่งอาศัยอยู่ริมฝั่งแม่น้ำปัตตานี บริเวณกิโลเมตรที่ 29 ถนนสายยะลา-เบตง โดยมักจะเป็นที่พักของผู้เดินทาง (มีเพียงบ้านหลังเดียวในสนัยนั้น) สวนคำว่า “อัยเยอร์” เป็นภาษามาลายูแปลว่า สายน้ำ จึงเป็นที่มาของชื่อตำบล "อัยเยอร์เวง"
จุดชมทะเลหมอกไมโครเวฟฯ” หรือ “จุดชมทะเลหมอกอัยเยอร์เวง” ซึ่งเดิมชาวบ้านเรียกว่า “บูเก๊ะเฉง” หรือ “ภูเขาเจ๊ง” เพราะกว่าจะเดินทางถึงก็หมดแรง ต้องทิ้งข้าวของเพื่อให้เดินทางไปต่อได้
ตั้งอยู่ตำบลอัยเยอร์เวง อำเภอเบตง จังหวัดยะลา ในเขตพื้นที่ของเขาไมโครเวฟ กิโลเมตรที่ 32 มีความสูงกว่าระดับน้ำทะเล 2,038 ฟุต
มีจุดชมวิว 2 จุด
จุดชมวิวที่ 1 จะเป็นจุดชมวิวสูงสุด สามารถขับรถขึ้นไปจอดไว้บริเวณลาดจอดรถ และเดินเท้าขึ้นไปอีก 500 เมตร หรือจะใช้บริการรถมอเตอร์ไซด์รับจ้างคนละ 20 บาท (ขาขึ้นใช้บริการดีกว่า ค่อยเดินลงสบายๆ) ตรงจุดนี้พื้นที่ค่อนข้างคับแคบ
จุดชมวิวที่ 2 จะถึงก่อนจุดชมวิวที่ 1 สามารถจอดรถบริเวณใกล้จุดชมวิวได้เลย และจุดนี้จะมีร้านจำหน่ายอาหารด้วย
การเดินทาง
สามารถขับรถไปเองได้ แต่เอ๊ะระหว่างเดินทางไม่มีรถผ่านไปมาเลย หรือว่าวันนี้เป็นวันธรรมดาจะไม่มีนักท่องเที่ยว เพราะที่ได้รับฟังจากคนพื้นที่บอกว่าวันอาทิตย์ คนจะเยอะมากๆ ดีล่ะ เราไปวันธรรมดา คนน้อยๆ ชอบค่ะ แต่นี่น้อยไปนะ(ไม่เห็นมีใครเดินทางมาพร้อมเราเลย) เอาล่ะ ไหนๆ ก็ไหนๆ ลุยกัน 2 คน
ประมาณกม.26 มีป้ายบอกทางไปจุดชมวิวทะเลหมอกอัยเยอร์เวง แต่พอขับไปได้ประมาณ 2 กม. เริ่มไม่มั่นใจว่าจะหลงทางหรือเปล่า เพราะไม่มีป้ายบอกทางเป็นระยะๆ เลยวนรถออกมาถนนเส้นหลัก และไปเข้าทาง กม.32 (เส้นทางเดิมที่ไปเซอร์เวย์เมื่อวาน) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 40 นาที ผ่านจุดชมวิวที่ 1 ฟ้ายังมืดอยู่ ไม่มีนักท่องเที่ยวเลย แต่พอถึงลานจอดรถจุดชมวิวที่ 2 เฮ้ย รถมาจากไหนเยอะแยะไปหมดเลย ระหว่างทางไม่เห็นจะมีสักคัน ปล่อยให้เราขับมาอย่างโดดเดี่ยว เอาล่ะ ใช้บริการมอเตอร์ไซด์ขึ้นไปดูล่ะกัน
นี่คือวันธรรมดา แต่นี่คือฝูงชน ฯลฯ อะไรกันเนี่ย ด้วยพื้นที่อันคับแคบ แทบจะไม่มีที่ยืนเลย อยากจะกลับลงมาบัดเดี๋ยวนั้น แต่ก็ขึ้นมาแล้วรออีกสักนิด เผื่อได้ดูพระอาทิตย์ขึ้น
เหมือนสวรรค์แกล้ง วันนี้ทำไมคนเยอะแต่หมอกน้อยจัง
แสงพระอาทิตย์ขึ้นมาโน่นแล้ว
แต่สิ่งที่เห็นชัดขึ้น นอกจากฝูงชนที่เริ่มจะเบาบางลงไปบ้าง ก็คือเครนก่อสร้างแลนมาร์คแห่งใหม่ในเบตง สกายวอล์คที่ยาวที่สุดในเอเชีย มีทางเดินยื่นออกไปประมาณ 50 เมตร ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2563 รองรับการเปิดสนามบินเบตง
เมื่อหมอกก็ไม่มี พระอาทิตย์ก็ไม่มา กลับไปยังจุดชมวิวที่ 1 ดีกว่า
วิวระหว่างทางเดินลงไปลานจอดรถ
ผ่านสถานที่ก่อสร้างสกายวอร์ค ฝุ่นจะเยอะหน่อย จนกว่าการก่อสร้างเสร็จเรียบร้อยซึ่งก็อีกไม่นานแล้ว
ถึงแล้วจุดชมวิวที่ 2 ไม่มีหมอกอีกเช่นเคย แต่ตรงจุดนี้จะมีพื้นที่กว้าง ไม่อึดอัดหากมีจำนวนนักท่องเที่ยวมากๆ
สวยงามแม้ในวันที่ไม่มีหมอก
ฝั่งตรงข้ามจะมีป้ายขนาดใหญ่
เดินขึ้นมาอีกหน่อย จะมีจุดตั้งแคมป์
แม้จะไม่มีหมอก แต่ธรรมชาติ ก็ยังคงงดงามเสมอ
ท้องบอกว่าหิวแล้ว ใกล้ๆมีร้านขายอาหาร โรตี ข้าวหมกไก่ ข้าวต้มฯลฯ ลองชิมลองให้คะแนนความอร่อย โรตี 5/10 และข้าวหมกไก่ 9/10 ราคา 2 อย่าง (รวม 10+60 บาท)
โปรแกรมวันนี้คือจะไปทานมื้อเช้าในเมืองเบตง แต่เมื่อได้รองท้องไปบ้างแล้ว ก็มีเวลาแวะเที่ยวน้ำตกเฉลิมพระเกียรติร.9 ซึ่งอยู่ไม่ไกล
ป้ายทางเข้าน้ำตก
น้ำตกเฉลิมพระเกียรติ ร.9 ตั้งอยู่ในพื้นที่ตำบลอัยเยอร์เวง จังหวัดยะลา เป็นน้ำตกที่ตกลงมาจากหน้าผาสูงกว่า 30 เมตร รอบบริเวณปกคลุมไปด้วยพรรณไม้เขียวขจี
ชื่อเดิม คือ น้ำตก “วังเวง” หรือ “อัยเยอร์เค็ม” เพราะเรียกตามชาวจีนที่มาทำเหมืองกับฝรั่งในยุคมลายูเป็นอานานิคมอังกฤษ ชื่อ เข่ง ชาวบ้านเรียก “ไอเข่ง” “ไอเกง” เพี๊ยนเป็น “อัยเยอร์เค็ม” ต่อมาในปี 2542 เป็นปีมหามงคลครบรอบ 72 พรรษาของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช อบต.อัยเยอร์เวงได้พัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยว และได้เปลี่ยนชื่อเป็น น้ำตกเฉลิมพระเกียรติ ร.9
มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “น้ำตกวังใหม่” มีทั้งหมดด้วยกัน 5 ชั้น โดยชั้นที่ 1 ของน้ำตกมีความสูงและสวยงามมากที่สุด ชั้นที่ 1 และ 2 ตั้งอยู่ที่ บ้าน กม.32 ต.อัยเยอร์เวง อ.เบตง จว.ยะลาส่วนชั้นที่ 3,4 และ 5 ตั้งอยู่ที่ หมู่ 5 บ้านวังใหม่ ต.อัยเยอร์เวง อ.เบตง จ.ยะลา
การเดินทาง ออกจากจุดชมวิวทะเลหมอกอัยเยอร์เวง ช่วงกม.32 เลี้ยวขวา ไปทางถนนหมายเลข 410 และเลี้ยวขวาก่อนถึงกม.31 ทางไปน้ำตก ผ่านต้นธารรีสอร์ท ไปตามทางลูกรังอีก 3 กิโลเมตร จากนั้นก็เดินเท้าไปต่อจะพบน้ำตกชั้นที่ 2 และ 1
ระหว่างทางเดินเท้า
มีต้นไม้ใหญ่ ตลอดเส้นทาง แต่เหมือนจะยังขาดการดูแล อาคารสถานที่ทรุดโทรม
แต่เมื่อไปถึงน้ำตกก็เย็นสดชื่น สายน้ำฟุ้งเป็นละออง
สดชื่น สูดอากาศไปเต็มปอดแล้วก็เดินทางกลับเข้าเมืองเบตง
เพื่อลองทานติ่มซำและซาลาเปาลูกโต้โต ร้านไทซีฮี้ ซึ่งอยู่ใกล้กับหอนาฬิกา
มื้อนี้ลองทานไป 90 บาท
เช้านี้ยังมีเวลาเหลือ ระหว่างเดินทางกลับที่พัก ก็แวะเก็บภาพสตรีทอาร์ต ไปตลอดเส้นทาง
เยอะมากมาก ถ่ายยังไม่ครบเลย
กลับถึงที่พัก ทำภารกิจส่วนตัว จัดเก็บสัมภาระ และเช็คเอ้าท์ เพราะวันนี้เราจะไปนอนบนเขากัน
แต่ก่อนที่จะขึ้นเขา ยังมีเวลาให้เก็บสถานที่เที่ยวกันต่อ
จุดหมายแรก เฉาก๊วย กม.4 เจ้าแรก ดั้งเดิม เข้าซอยอยู่ร้านแรกทางขวามือ
คนละ 1 ถ้วย ถ้วยละ 10 บาท (โทรมาสั่งไว้ ปลายสายบอกให้มาถึงก่อนเที่ยง)
เฉาก๊วยเบตงหรือวุ้นดำ หน้าตาจะเป็นแบบนี้
ใกล้เที่ยงแล้วออกเดินทางกันต่อ ผ่านบ่อน้ำร้อนเบตง แต่วันนี้ยังไม่แวะ
หากไปเที่ยวช่วงเดือน มกราคม-กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นช่วงใบยางผลัดใบ เมื่อใบยางแก่เต็มที่จะเปลี่ยนสีเป็นสีน้ำตาลแดงและร่วงหล่นจนหมดต้น แล้วก็จะผลิใบอ่อนออกมา สวนยางตามภูเขาที่สลับซับซ้อน
ถึงแล้วค่ะ
โครงการไม้ดอกเมืองหนาว เบตง (สวนหมื่นบุปผา)
โครงการไม้ดอกเมืองหนาวอันเนื่องมาจากพระราชดำริอำเภอเบตง จังหวัดยะลา สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้ทรงอักษรจีนพระราชทานนามสวนแห่งนี้ว่า ว่านฮัวหยวน หรือแปลเป็นไทยว่า สวนหมื่นบุปผา
ตั้งอยู่ที่บ้านปิยะมิตร 2 หมู่ที่ 2 ตำบลตาเนาะแมเราะอำเภอเบตง จังหวัดยะลา
ค่าบัตรเข้าชมสวน คนละ 40 บาท
ภายในโครงการก่อนถึงที่จอดรถ
เจอดอกไม้ที่ชอบ เป็นอันดับแรกเลย "ดอกเก๊กฮวย"
ภายในโครงการมีร้านกาแฟ
มีที่พักเป็นหลัง และเป็นห้องบนอาคาร (ก่อนมาได้โทรสอบถามเหมือนกันแต่ไม่มีผู้รับสายสงสัยเบอร์ผิด)
ชื่นชมแปลงดอกไม้สวยๆ
ร้อนแล้ว ไปเข้าอุโมงค์กันต่อดีกว่า
ถึงแล้วค่ะ อุโมงค์ปิยะมิตร
ตั้งอยู่ที่หมู่ที่ 2 บ้านปิยะมิตร 1 ตำบลตะเนาะแมเราะ อำเภอเบตง จังหวัดยะลา เป็นอุโมงค์ที่ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย หรืออดีตกลุ่มโจรคอมมิวนิสต์มลายา (จคม.) สร้างขึ้นเป็นฐานของพรรคคอมมิวนิสต์มลายา เขต 2 เมื่อปี พ.ศ. 2519 ใช้หลบการโจมตีทางอากาศและสะสมเสบียง การสร้างใช้กำลังคน 40 - 50 คน ขุดเข้าไปในภูเขา และใช้เวลาเพียง 3 เดือน จึงแล้วเสร็จ อุโมงค์มีความกว้าง 50-60 ฟุต ยาวประมาณ 1 กิโลเมตร สามารถจุคนได้เกือบ 200 คน มีทางเข้าออกทั้งหมด 9 ทาง เชื่อมต่อถึงกันหมด ปัจจุบันเหลือ 6 ทาง ภายในมีสถานีวิทยุของ จคม. ห้องนอน ห้องเก็บเสบียง มีซอกมีมุมให้เลี้ยวลัดเลาะ ด้านบนเป็นป่ารกมีต้นไม้ใหญ่มากมายปกคลุม ยากแก่การค้นหาและถูกค้นพบโดยทหารฝ่ายรัฐบาล ในปัจจุบันได้เปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยว เปิดบริการให้เข้าชมทุกวัน เวลา 8.00 - 16.30 น. การท่องเที่ยวอุโมงค์ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง มีการติดตั้งไฟฟ้าตลอดแนวอุโมงค์ อากาศภายในเย็นสบายไม่อึดอัด บริเวณทางเข้าสองข้างทางเต็มไปด้วยพรรณไม้นานาพันธุ์ และมีแอ่งน้ำที่ไหลมาจากภูเขา ด้านนอกอุโมงค์ซึ่งเคยเป็นลานฝึกทหารจัดให้มีนิทรรศการแสดงภาพและเรื่องราวประวัติศาสตร์ รวมถึงวิถีการดำเนินชีวิตในป่า นอกจากนี้ ยังมีเห็ดและยาสมุนไพรจากป่าจำหน่ายแก่นักท่องเที่ยว Cr.วิกิพีเดีย
บัตรเข้าชมคนละ 40 บาท
บริเวณทางเข้าจะมีรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมให้นักท่องเที่ยวได้สักการะ ขอพร
และถัดไปจะมีป้าย สถานที่เยี่ยมชมภายในอุโมงค์
เดินเท้าไปตามทาง ใช้เวลาประมาณ 20 นาทีก็จะถึงทางเข้าอูโมงค์ซึ่งมีอยู่ 6 ทาง
ระหว่างทางจะเห็นร่องรอยของสิ่งก่อสร้างหรือเครื่องมือสำหรับการดำเนินชีวิต และเมื่อไปถึงทางเข้าอุโมงค์ จะเลือกเข้าอุโมงค์ไหนก่อนก็ได้ ถ้าไม่ต้องเดินย้อนไปมา ให้สอบถามกับเจ้าหน้าที่ที่ประจำการอยู่ดีที่สุดค่ะ
ตอนเข้าไปจำไม่ได้ออกจากอุโมงค์อีกด้านหนึ่ง จะมีทางลงไปชมต้นไม้พันปี
จากต้นไม้พันปีจะมีทางออก แต่เนื่องจากยังเดินไม่ทั่ว ก็เลยย้อนกลับขึ้นมาที่อุโมงค์ฮีกครั้ง สู้ๆๆๆ น่าจะสักประมาณ 200 ขั้นเอ้ง 555
ออกจากอุโมงค์ ก็มองหาร้านอาหาร เห็นจากป้าย ฟาร์มปลาจีนในสายน้ำไหล นึกว่าจะมีร้านอาหารให้ลิ้มลองรสชาติปลาจีน ขับรถวนเวียนหลายรอบ ถามชาวบ้านที่ขายสินค้าด้านหน้าอุโมงค์ ก็บอกว่าไม่มี สุดท้ายก็ไปจบที่ร้าน นพดลฟิชชิ่ง เมนูอาหารจากปลานิล เลี้ยงปลานิลในสายน้ำไหล เนื้อปลาจะไม่มีกลิ่น ไม่คาว
ถึงร้านประมาณบ่าย 2 กว่าๆ ทานเสร็จก็เกือบ 4 โมงเย็น ชมบรรยากาศร้าน และรอบๆบ่อเลี้ยงปลานิลระหว่างรออาหารกัน
อาหารมาแล้ว หน้าตาดี รสชาติอร่อย ถูกปากมากๆค่ะ
ต้มยำปลานิล ไข่เจียวปลาฟู ปลานิลทอดสมุนไพรม่าย ทั้งหมด 760 บาท อิ่มกันไปถึงพรุ่งนี้แน่ๆ
แต่เย็นนี้มีหมูกระทะกับผัดกระเพราราดข้าวรออยู่อีก ไม่น่าจะไหว
อิ่มแล้วก็เดินทางกันต่อค่ะ วันนี้ได้ขึ้นฆูนุงซีลีปัตแล้ว
ฝากติดตามในคลิปนะคะ https://th.readme.me/p/30601
Paikannaka
วันจันทร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563 เวลา 18.23 น.