น่าน เมืองเล็กๆ แต่เที่ยวครั้งเดียวไม่เคยพอ เพราะความน่ารักของผู้คน ศิลปะวัฒนธรรมที่ยังฉายฉานให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ในอดีต ธรรมชาติที่ยังสมบูรณ์ จึงเป็นเหตุผลที่ให้เมืองน่าน เป็นเมืองน่าเที่ยวตลอดทั้งปี
@ วัดภูมินทร์
เราเริ่มต้นที่แรกกับ วัดภูมินทร์ วัดนี้แทบจะเป็น Landmark ของจังหวัดน่าน เป็นวัดที่สร้างขึ้นโดยเจ้าเจตบุตรพรหมมินทร์ เจ้าผู้ครองนครน่านลำดับที่ 40 จึงเป็นที่มาของชื่อวัด
วิหารวัดภูมินทร์แห่งนี้ คาดว่าเป็นวิหารจตุรมุข (คือวิหารที่มีทางเข้าทั้ง 4 ด้าน) แห่งแรกของเมืองไทย และตัววิหารยังได้ปรากฏในธนบัตร ราคา 1 บาทของไทยด้วย
เนื่องจากวิหารมีทางเข้าทั้ง 4 ทาง ดังนั้นเค้าจึงสร้างพระประธานไว้ 4 องค์เลย ไม่ว่าจะเข้าจากประตูไหน ก็เห็นพระประธานหมด โดยพระประธานทั้ง 4 องค์นี้นั่งหันหลังชนกัน มีนักวิชาการเชื่อว่าผู้สร้างคงหมายถึง พระพุทธเจ้า 4 พระองค์ หรืออาจจะเป็นการเลียนแบบเศียรพระพรหม ซึ่งคล้องกับชื่อผู้สร้างวัดคือ เจ้าเจตบุตรพรหมมินทร์
ภายในวิหารมีภาพจิตรกรรมอันขึ้นชื่อ แต่ขอชวนให้ดูรูปนึงก่อน เป็นภาพชายผู้สูงศักดิ์สูงเกือบเท่าคนจริง ซึ่งคาดว่าคือ เจ้าเจตบุตรพรหมมินทร์ เจ้าผู้ครองเมืองน่าน ลำดับที่ 62 ผู้ที่ทำการบูรณปฏิสังขรณ์ วัดภูมินทร์ครั้งใหญ่ และให้วาดรูปจิตรกรรมภายในวิหารทั้งหมดราวรัชกาลที่ 4
ภาพที่ห้ามพลาดเมื่อมาที่นี่คือ “ปู่ม่านย่ามานกระซิบรัก” เป็นภาพชายหนุ่มเปลือยอกเห็นรอยสักดำตั้งแต่สะดือมาจนถึงโคนขา สมดังคำเรียก ลาวพุงดำ ที่หนุ่มไหนไม่กล้าสักแสดงความกล้าหาญ หญิงสาวมักไม่ชายตามอง ทำท่าเกาะไหล่กระซิบกับหญิงสาวที่นุ่งซิ่นลุนตยา สวมเสื้อคลุมแบบพม่า การเกาะไหล่แบบนี้ในสมัยก่อนบ่งบอกถึงความสัมพันธ์ระดับสามีภรรยา
อ่ะ ใครจะมาถ่ายกับปู่ม่านย่าม่าน เราคิดมุมให้แระ
@ ศรีนาม่าน
เราขับนรถขึ้นดอยมา อ.สันติสุข ห่างจากตัวเมืองน่านประมาณ 30 นาที ก็จะเจอที่พักกลางทุ่งนา ศรีนาม่าน (Srinaman) เจอบรรยากาศแบบนี้ ได้ฟอกปอดจาก PM2.5 ที่กรุงเทพไปได้เลย
ใครอยากพักที่ฟินๆ แบบนี้ติดต่อห้องพัก Line @srinaman มี @ ข้างหน้าด้วยนะ แต่บอกก่อนว่ารีบจอง เพราะห้องเค้าเต็มเร็วมาก
มาถึงก็จะได้ Afternoon tea set ใหญ่ๆ เสริฟมาในกรงนก นั่งจิบชาดูนาเขียวๆกันไป
ที่นี้ราคาที่พักอาจจะดูสูงไปหน่อย แต่เราก็จะได้การบริการที่จัดเต็ม โดยราคาที่พักจะรวม
- Afternoon tea set - Dinner ให้เลือกขันโตก หรือ อาหารแบบอื่นได้
- Cocktail
- อาหารเช้า
- ไอศครีมโฮมเมดที่ทำเอง หรือให้ลูกค้าช่วยทำ
- โฟมบาธ อ่างแช่ตัวฟรี
- ส่วนผลไม้ และขนมหวาน จะมีเสิร์ฟ ตลอดๆ เป็น ผลไม้ ออแกนิคชาวบ้านในพื้นที่
ทุกห้องมีอ่างอาบน้ำชมวิวท้องทุ่งด้วยน้า นอนแช่น้ำจิบ cocktail ฟินๆได้สบายๆ
ตรงนี้เป็นที่กินข้าวเย็น มีอาคาร 2 ชั้นเหมือนเป็นศูนย์บัญชาการ กินข้าวเช้า ข้าวเย็นก็ตรงนี้แหล่ะ
กินข้าวเย็นกลางทุ่งนา และ Wifi เข้าถึง
ถึงจะอยู่การทุ่งนา แต่ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้อัพเฟส ig หรือถูกตัดขาดจากโลกภายนอกนาจาาา
มาที่นี่ต้องทำอะไรบ้าง
ต้องนี้เลยนอนแช่โฟมบาธ มองดูวิวทุ่งนา
ตอนเด็กๆโดนแม่หลอกว่า ถ้าไม่ตั้งใจเรียนโตขึ้นต้องไปทำนา
แต่พอลองใช้ชีวิตกลางนาจริงๆ มันก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิดนะ
@ บ่อเกลือโบราณ 800 ปี
เราcheck out ออกจากศรีนาม่าน ประมาณเที่ยงๆ ขับรถขึ้นดอยต่อมาอีกประมาณ 1 ชม. ไม่นับรวมเวลาเมารถอ้วก ก็จะถึง อ.บ่อเกลือ เป็นแหล่งที่ทำเกลือสินเธาว์โบราณกว่า 800 ปี มาเดินเล่นก็จะเห็นการทำเกลือแบบโบราณบนภูเขา ที่ชาวบ้านยังคงสืบทอดอนุรักษ์การทำเกลือแบบดั้งเดิมอยู่
จากคำบอกเล่าของชาวบ้าน ในอดีตที่นี้มีบ่อเกลือทั้งหมด 7 บ่อ แต่ปัจจุบันเหลือเพียงแค่ 3 บ่อ
ในทางยุทธศาสตร์แล้ว เกลือ ถือเป็นของมีค่ามากกว่าทอง สำหรับคนบนภูเขา จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะพบว่าในอดีตมีศึกสงครามระหว่าง พระเจ้าติโลกราช แห่งล้านนา กับ พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช แห่งานช้าง เพื่อแช่งชิงพื้นที่แห่งนี้
@ น้ำตกสะปัน
ขับต่ออีกประมาณ 15 นาทีก็จะถึงหมู่บ้านสะปัน หมู่บ้านเล็กๆ ที่มีภูเขาโอบล้อม ทำให้หมู่บ้านนี้เย็นสบายตลอดทั้งวัน และมีหมอกให้ดูตลอดทั้งปี เข้ามาในหมู่บ้านกิจกรรมที่ต้องทำคือการปั่นจักรยาน หรือเดินเล่นรอบหมู่บ้าน ด้วยหมู่บ้านที่ไม่ใหญ่จนเกินไป และอากาศที่เย็นสบาย ทำให้เดินเพลินๆ ก็รอบหมู่บ้านแล้ว
ลำน้ำว้า จะดีแค่ไหนถ้าได้มาใช้ชีวิตริมลำน้ำอย่างงี้
ที่พักเราสำหรับคืนนี้ @อุ่นไอมาง ณ สะปัน
ที่พักอย่างโรแมนติด
ที่นี้เค้ามีทั้งบ้านพักที่เป็น 2 คนและ 4 คน ห้องน้ำในตัว และที่เป็นบบเต๊นท์ผ้าใบ ซึ่งไม่ว่าเลือกอันไหน ก็จะได้วิวริมแม่น้ำ ได้ฟังเสียงลำธารตลอดทั้งคืนเลยจ้า
ที่พักริมน้ำทุกหลัง นอนฟังเสียงน้ำไหลกันทั้งคืนเลยจ้าาา อโรม่าสุดๆ
ลำน้ำว้าริมที่พัก
ตื่นเช้ามา ขับรถไม่เกิน 5 นาที ขึ้นมาบนวัดสะปัน มาดูพระอาทิตย์ขึ้นและหมู่บ้านใต้หมอกกัน
พระอาทิตย์ขึ้น ณ สะปัน
ออกจากที่พักไปต่อบนถนนลอยฟ้า เพื่อจะไป อ.ปัว ระหว่าทางก็จะเจอวิวสวยๆแบบนี้ตลอดทาง
อีกไฮไลท์นึง ถ้าใครมาปัวช่วงเดือน กุมภา - มีนา คือช่วงนี้ป็นช่วงต้นชมพูภูคา ออกดอก ปีนึงจะออกดอกไม่เกิน 2 เดือนเท่านั้น ซึ่งต้นชมพูภูคานี้จัดว่าว่าเป็นพันธุ์ไม้ที่หายากที่สุดในโลก เพราะ เคยพบทางตอนใต้ประเทศจีน และ ทางตอนเหนือของประเทศเวียดนาม จากนั้นก็ไม่มีรายงานการค้นพบต้นไม้ชนิดนี้อีกเลย จนต่อมา มีการพบต้นชมพูภูคาอีกครั้งที่ อ.ปัว จ.น่าน ในอุทยานแห่งชาติดอยภูคา ในประเทศไทยนี้เอง
จุดชมวิว 1715 ระหว่างทาง บ่อเกลือ - ปัว
นาน่าน มาปัว ไม่ว่าขับรถไปตรงไหนก็เจอแต่นาเขียวๆ
ดูนาสีเขียว กับsunset ดวงอาทิตย์จะลับขอบฟ้า ที่วัดภูเก็ต
วัดบ้านต้นแหลง มาดูวิหารไทลื้อที่สมบูรณ์ เพียงไม่กี่แห่งในประเทศ และได้รับรางวัลอาคารอนุรักษ์สถาปัตยกรรมไทบดีเด่น ปี 2552 ประเภทอาคารทางศานา จากสมาคมสถาปนิกสยามฯ
นอกจากนอนแล้ว เราก็เที่ยวอย่างเดียวเลย
วันจันทร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2563 เวลา 15.22 น.