ทริปญี่ปุ่นครั้งที่ 2 ในชีวิต รอบนี้มานานกว่าเดิมหน่อย เพื่อดื่มด่ำให้ได้หลายเมือง ทำให้งบประมาณค่อนข้างบานปลายเพราะร่วมสนุกแทบทุกกิจกรรมเลยจ้า แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะประสบการณ์อันล้ำค่าต้องแลกมาด้วยราคาแพง อันนี้คิดเอง 555555
ระยะเวลาของทริปในรอบนี้คือ 8 วัน อิ่ม ๆ เน้น ๆ ทำเอาเลี่ยนอาหารญี่ปุ่นเลย ตั้งแต่วันที่ 31 ตุลาคม - 7 พฤศจิกายน 2562 โดยมีผู้ร่วมทริปทั้งหมด 4 คน มา! ออกเดินทางไปญี่ปุ่นกันนนน
(PART 1: 31 OCT - 3 NOV 2019) ✦ เนื่องจากเนื้อหายาวมาก เราจะทำการแบ่งครึ่งพาร์ทละ 4 วันแล้วกัน ✦
DAY 1 ☾ NARITA AIRPORT > KAWAGUCHIKO 31/10/2019
(Check-in at Guesthouse SAKUYA)
ออกเดินทางกันตอนค่ำของวันที่ 30 ตุลาคม 2562 จากสนามบินดอนเมือง ด้วยสายการบินแอร์เอเชียที่รัก มุ่งหน้าสู่สนามบินนาริตะ ประเทศญี่ปุ่น ก็จะถึงในตอนเช้าพอดี 8 โมงเช้าที่สดใส
เห็นฟูจิซังอยู่ไกลลิบ ๆ
ผู้โดยสารขาเข้าประเทศญี่ปุ่นเยอะมาก ขั้นตอนการผ่าน ตม. ก็เลยลุ้นหน่อย ๆ ว่าจะไปทันรอบรถบัสที่จองไว้มั้ย แต่โชคดีที่ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี ถึงแม้จะล่กจะงงบ้างก็ตาม
ตอนที่ไปซื้อตั๋ว Narita Express หรือที่เรียกว่า N'EX กับ Tokyo Wide Pass สำหรับเดินทางด้วย JR 3 วันติดต่อกัน จะมีศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ป้ายสีแดงชัดเจน แต่ก็มีเค้าน์เตอร์ด้านนอกด้วย เข้าไปสอบถามพนักงานรับนักท่องเที่ยวเบื้องต้น พนักงานก็จะถามว่าเราต้องการตั๋วอะไรบ้าง เนื่องจากเวลามีไม่มาก เราเลยซื้อตั๋วแค่ 2 อย่างก่อน
Narita Express ใช้เดินทางจากสนามบินไปยังสถานีชินจูกุและขากลับจากสถานีโตเกียวมาสนามบิน (เลือกสถานีที่เราจะไปลง หรือขึ้นเพื่อกลับมาต่างกันได้ เพราะใช้ตั๋วคนละใบอยู่แล้ว แค่บอกให้ตรงก็พอ) ซึ่งอันนี้แหละ ที่ชั้นงงอะไรไม่รู้ 5555555555 ต่อให้พูดภาษาอังกฤษได้ก็ไม่ได้ช่วยเลย เพราะเป็นล่ก เขาถามว่า กลับเมื่อไหร่ นี่ดันไปตอบว่าพรุ่งนี้ ซึ่งกลับพรุ่งนี้ของเราอ่ะคือ กลับจากคาวากูจิโกะมาในเมือง แต่มันไม่ได้ใช้ N'EX ไง 555555555 มันต้องตอบว่ากลับมาสนามบินเมื่อไหร่ไอบ้า เสียเวลากว่าเดิม แต่สุดท้ายก็คุยกันรู้เรื่องนะ เพราะมีเพื่อนมีสติอย่างเติ้ลอยู่ด้วย ซื้อเสร็จเรียบร้อยก็ไปขึ้นรถกัน
ส่วน Tokyo Wide Pass ไว้พูดถึงตอนเอาไปใช้แล้วกัน หลัก ๆ ก็คือเดินทางในเส้นทางที่กำหนด ด้วยรถไฟที่เป็นของ JR เท่านั้น เราก็วางเส้นทางและสถานที่ที่จะไปให้เรียบร้อย และวางแผนให้ติดกัน 3 วัน
การจอง N'EX ก็จะต้องเลือกรอบเวลา แล้วเจ้าหน้าที่ก็จะจองที่นั่งให้เรา เราก็ไปนั่งตามที่ที่ระบุ ลงมาที่ชานชาลาก็ยังงงหน่อย ๆ เพื่อความแน่ใจเลยไปถามเจ้าหน้าที่สถานีอีกทีว่า ตั๋วนี้ต้องรอที่ไหน ก็ได้รับคำอธิบายที่ครบถ้วนมาก ถึงขั้นบอกว่า ขึ้นประตูนี้จะใกล้ที่นั่งของเรามากกว่า เวรี่กู้ดอ่ะ แถมเขาถามว่ามาจากไหน พอเราบอกไทยแลนด์ ก็พูดสวัสดีครับเป็นภาษาไทยกับเราด้วย น่าร้ากกกกก
ที่นั่งด้านในก็ simple มีระบุหมายเลขเอาไว้ เราก็นั่งตาม ตลอดทางก็มีประกาศป้ายและแสดงผ่านจอ ไม่หลงลงมั่วแน่นอน ส่วนพี่เจขอเทสโต๊ะด้วยการนอนต่อ
ตรงที่วางแขนมีที่เสียบชาจแบตด้วย ใครที่เล่นบนเครื่องมาจนแบตหมดก็มาเสียบได้ แต่ชาจไม่เร็วเท่าไหร่นะ
ชมวิวระหว่างทางกันค่ะ
ตอนแรกคิดว่าคนบนรถไฟจะเยอะ แต่คงเพราะเป็นวันธรรมดาแล้วเช้าอยู่ ก็เลยไม่ค่อยมีคนเลย ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาทีก็มาถึงสถานีชินจูกุ เนื่องจากเราแพลนว่าจะไปคาวากูจิโกะแค่คืนเดียว ก็เลยตั้งใจจะฝากกระเป๋าเดินทางที่สถานีชินจูกุแล้วกลับมาเอาพรุ่งนี้ พกเฉพาะเสื้อผ้าที่จะใช้ไปพอ และเราก็ดันลืมหยิบชุดนอนไปด้วย แต่ดีที่โรงแรมมีชุดให้ใส่นอนอยู่
ออกจาก N'EX มาจะเชื่อมกับอาคารสถานีชินจูกุชั้น 2 จะมีตู้ฝากกระเป๋าอยู่แต่เกือบเต็มหมดแล้ว ยังดีที่พอมีเหลือบ้าง เราใช้ 2 ตู้ ขนาดใหญ่สุด ¥700 ต่อวัน วันแรกก็จ่ายไปก่อน ¥700 ถ้าตอนมาเอาออกมีต้องจ่ายเพิ่ม ตู้ก็จะให้เราจ่ายก่อนเอากระเป๋าออกไปได้ ขั้นตอนการใช้ตู้น่าจะแล้วแต่สถานที่ แต่ก็จะมีจออธิบายอยู่ ให้เราทำตาม เราก็กดตามขั้นตอนไป มีภาษาอังกฤษให้เลือกด้วย
ต้องเลือกขนาดให้ตรงกับกระเป๋านะคะ ถ้าใบเล็กก็เลือกช่องเล็กได้
ฝากกระเป๋าเรียบร้อยก็เดินไปสถานี Expressway Bus สำหรับชินจูกุไปคาวากูจิโกะกัน ขึ้นไปที่ชั้น 4 ของอาคารสถานี แล้วก็จะเจอ Terminal สำหรับ Expressway Bus เราจองรอบแบบออนไลน์มาแล้วเรียบร้อย ถึงได้บอกว่าโชคดีที่เราผ่านทุกด่านมาทันรอบรถบัสได้ สาธุๆๆ เอกสารยืนยันการจองก็จะมี 2 แบบ คือปริ้นออกมา กับเป็นคิวอาร์โค้ดในมือถือ เนื่องจากยุคนี้ก็ต้อง paperless เนาะ เราก็เลยเลือกโค้ดในมือถือมา ดูรอบรถบัสของเราที่บอร์ด เพื่อดูว่าต้องไปรอที่ประตูไหน พอไปถึงก็โชว์ QR code ให้ดู พนักงานขับรถจะสแกนและยืนยันชื่อกับเรา จากนั้นก็ขึ้นรถได้ นั่งตามที่นั่งที่จองไว้
สามารถมาดูข้อมูลชานชาลาเพื่อความแน่ใจอีกทีได้ ว่าเราต้องไปขึ้นรถที่ประตูไหน
"ขอให้ทุกท่านเดินทางอย่างสะดวกสบายนะครับ"
ระหว่างทางก็จะผ่าน Fuji-Q Highway ด้วย สามารถมองเห็นได้จากไกล ๆ เลย
ใช้เวลาในการนั่งรถบัสประมาณ 1 ชั่วโมง 45 นาที ก็มาถึงสถานีคาวากูจิโกะ ผู้คนแถวนี้พลุกพล่านเล็กน้อย เราลงมาจากบัสก็ต้องมาเอากระเป๋าที่ตอนขามาใส่ไว้ใต้ท้องรถ เพราะข้างบนจะวางได้เฉพาะกระเป๋าเล็ก ๆ เท่านั้น เพื่อนเอากระเป๋าลากมาด้วยก็เลยใส่ไว้ข้างล่าง
บ่ายโมงแล้วเพิ่งจะมาถึง จากแลนด์ดิ้ง 8 โมงเช้า
แต่แล้วเรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ให้ชื่อเรื่องว่า "ประสบการณ์การลืมกระเป๋าไว้บนรถบัสโดยสาร"
เรารู้ตัวตอนสาย ว่าลืมกระเป๋าเอาไว้ โชคดีว่าไม่ใช่ของมีค่ามาก เลยไปติดต่อ concierge desk ที่จะสามารถติดต่อกับบริษัทรถบัสได้ ได้ความว่า บัสจะวนกลับมาที่สถานี และจะตรวจสอบให้ ให้กลับมาเช็คอีกทีพรุ่งนี้เช้า ซึ่งพี่เจก็ได้ถ่ายรูปรถที่เห็นเลขรถ ทะเบียน ยี่ห้อของรถเอาไว้ ก็เอาให้ดูเป็นข้อมูลเพิ่มเติมได้ด้วย อ่ะ! ไปรอดูตอนต่อไป
หลังจากฝากฝังกระเป๋าไว้กับเจ้าหน้าที่สถานีคาวากูจิโกะแล้วเราก็ต้องเดินทางกันต่อ เรานั่งแทกซี่มาที่พักที่จองไว้ (ค่าแทกซี่แอบแพง แต่ดีที่นั่งกัน 4 คนเลยขนลุกนิดหน่อยพอ)
แทกซี่ดูสะอาดสะอ้านดีมาก
แต่ความงงของพวกเรายังไม่จบ ตอนที่เรามาถึงที่พัก Guesthouse SAKUYA ไม่เจอใครอยู่ที่หน้าเคาน์เตอร์เลย เราเลยลองกดกริ่ง ก็ยังไม่มีใครตอบอะไร ก็เลยเดินไปเดินมาอยู่แถวนั้น จนตัดสินใจว่าจะเดินออกไปที่เที่ยวก่อนแล้วค่อยกลับมาเช็คอิน พอเดินออกไปได้นิดหน่อย เจ้าของที่พักก็กลับมาพอดี เอาเว้ย ได้เข้าบ้านแล้ว
หน้าบ้านอันแสนเงียบเหงา ไม่มีใครให้เราติดต่อ
เราเข้ามาเช็คอินและเอาของเข้าไปเก็บในห้อง ซึ่งเป็นเวลาถึงบ่าย 3 โมงแล้ว จากนั้นก็ให้ทางที่พักเตรียมจักรยานไว้ จริง ๆ ก็คงไปไหนได้ไม่มาก เลยออกไปแค่ Oishi Park ซึ่งเป็น 1 ใน 7 สถานที่ที่เราแพลนว่าจะไปวันนี้ แถมอากาศมืดครึ้มและฟ้าไม่เปิดเลย เลยไม่อยากไปไหนไกลแล้ว
บริเวณรอบ ๆ ที่พักคือป่ามากจริง ๆ มีบ้านอยู่ช่วงที่ใกล้ถนนหลักเส้นรอบทะเลสาป แต่พอเลยเข้ามาก็คือไม่ค่อยมีบ้านเลย ส่วนใหญ่เป็นแปลงพืชผัก
เราปักร้านอาหารเอาไว้ 1 ที่ Brand New Day Coffee and Pizzeria เป็นร้านอาหารที่มีพิซซ่าแบบบางกรอบ มันฝรั่งทอด และอื่น ๆ รวมถึงมีคาเฟ่เครื่องดื่มด้วย เราก็สั่งมานั่งชมวิวกัน แต่ตอนนี้ฟูจิซังยังไม่มา อย่างที่บอกว่าฟ้าปิดมาก เราก็รับทานอาหาร แล้วเดินเล่นกันก่อน ร้านนี้จะอยู่ใกล้กับ Oishi Park เลย เราก็เลยจอดจักรยานไว้ที่ร้านและใช้การเดินแถวนี้เอา
บรรยากาศร้าน มู้ดแบบไม้ ๆ ละมุน ๆ อุ่น ๆ สวยมากเลย
สั่งอาหารและเครื่องดื่มเป็นมื้อบ่าย
กินเสร็จเราก็เดินไปที่ Oishi Park แล้วก็เดินเล่นแถว ๆ นั้นแหละ ชมทะเลสาป ชมนกชมไม้ ชมวิว ถ่ายรูป นั่งเล่น ตากลม แวะไปถ่ายรูปกับดงดอกไม้แดง ดอกไม้แดงที่เราเรียกมาตลอดเนี่ย เราไม่เคยรู้ชื่อเลย ก็ต้องไปหาความรู้กันซักหน่อย ได้ความว่าชื่อ ดอกโคเคีย
หามุมสุดฤทธิ์ เพื่อไม่ให้ติดคนอื่นเข้ามาในเฟรมด้วย
จริง ๆ ตรงนี้ห้ามเดินเข้าไปในแปลงนะ แต่ก็ยังเห็นบางคนแว้บเข้าไป จิตใจทำด้วยอะไร!
chitchat ริมทะเลสาปชิล ๆ
ไอติมที่มีคนไปต่อแถวซื้อเยอะมาก เราเลยไปต่อแถวมาด้วย เลือกรสบลูเบอร์รี่วานิลลา ถ่ายรูปนานไปหน่อยละลายเลย หนาวขนาดนี้ยังทำมาเป็นละลาย
สิ่งที่ชอบมากอย่างนึงคือ ขาตั้งกล้องพวกนี้ ถ่ายรูปรวม หรือมาคนเดียวถ่ายคนเดียวก็สะดวกม๊ากก
หลังจากเตร็ดเตร่ไปเรื่อยอยู่พักใหญ่ ในที่สุดฟูจิซังก็แสดงตัวออกมา เมฆยังคงหนา แต่เห็นยอดแล้ว มาตอนกำลังจะมืดซะด้วยจ้า
สวัสดีข่าาา เห็นแค่นี้แหละวันนี้ พร้อมเจอคนไทยกลุ่มอื่นที่บอกว่ารอตั้งแต่บ่ายโมง อันนี้คือจะ 5 โมงแล้ว สง
แก๊งจักรยาน โอ้เย ถ้าปั่นตอนกลางคืนไม่ต้องกลัวมืด เพราะมีระบบเปิดไฟหน้าด้วย แต่แสงไฟจะติดก็ต่อเมื่อเราปั่นจักรยาน เป็นพลังงานธรรมชาติที่แท้ ขาแข็งไปเลยจ้า
จากนั้นไม่นานฟ้าก็มืด เราแวะไปซื้อเสบียงจากยามาซากิ เพื่อเอาเข้าไปกินในที่พักเป็นมื้อเย็น จริง ๆ ที่พักก็มีอาหารให้สั่งนะ แต่เราไม่เอา เดี๋ยวค่อยกินตอนมื้อเช้าแทน เราเลยซื้อราเมงถ้วยมา 4 แบบ คนละแบบไปเลย ลุ้น ๆ มาดูกันว่ามีอะไรบ้าง
อร่อยนะว่าไม่ได้
มาพูดถึงที่พักกันซักหน่อย Guesthouse SAKUYA ที่เห็นวิวฟูจิซังทุกห้อง เราเลือกห้องพักขนาดใหญ่แบบ 4 คน เป็นที่พักแบบเรียวกัง ที่ต้องเอาฟูกมาปูนอนเอง ภายในห้องมีฮีทเตอร์ให้ เปิดเอาไว้ตลอด มีตู้เย็น กาน้ำร้อนที่ใช้แทบไม่เป็น เพราะตอนที่เอาราเมงมากดน้ำ พยายามแปลภาษาญี่ปุ่นด้วย bixby แต่ไม่เข้าใจเลยว่าดูยังไงว่ามันร้อน สุดท้ายลองกดออกมาเยอะ ๆ เอ้า ได้เฉยเลยอ่ะ ร้อนแล้วแต่ไม่แสดงออกงี้
ห้องน้ำเป็นแบบก่อ ไม่ใช่ตู้มาวางแบบในโรงแรมสูง ๆ มีอ่างอาบน้ำขนาดย่อมเยา มีของใช้ในห้องน้ำจุกจิกสำหรับ 4 คน ข้างประตูจะมีตู้เสื้อผ้าที่เตรียมผ้าขนหนูและชุดยูกาตะไว้ใส่นอน เสียดายที่ไม่ได้ถ่ายรูปที่พักมาให้เห็นภาพรวมเลย มีแต่รูปที่สถานที่เล็กน้อย นอกนั้นถ่ายคน
คือพยายามจะโชว์ที่นอนด้านหลังผู้ชายว่า เออเนี่ย ปูแบบเรียวกังนะ แต่สุดท้ายโชว์ยูกาตะแทน ห้องที่เราพักจะอยู่สุดทางเดินพอดี ติดกับประตูที่ใช้เดินออกไปออนเซ็นเลย ห้อง 107 กุญแจใหญ่เพราะกลัวหายแน่ ๆ จ้ะ 555555555
เห้ย ชั้นเจอรูปฟิล์มจากกล้องพี่เจ อันนี้คือบริเวณห้อง ตอนแรกก็มีโต๊ะน้ำชาวางอยู่ให้เรานั่งเล่นแบบนี้ ตอนจะนอนก็เลื่อนไปข้าง ๆ แล้วเอาที่นอนมาปูตรงนี้แหละ ฟูก 4 ชิ้นเต็มพอดี แบบพอดี๊พอดีเลยอ่ะแม่
พื้นที่ส่วนกลางของที่พักที่ใช้สำหรับทานข้าวเช้าและข้าวเย็น ตอนกลางคืนก็มีบริการน้ำดื่มให้มากรอกได้ และจุดที่มีเตาผิงน่าจะใช้ช่วงที่หนาวแบบติดลบ คิ้วท์
ไฮไลท์อย่างนึงคือ private onsen ของที่พัก ที่จะสามารถจองรอบเวลาได้ช่วงเย็นถึงดึก ให้บริการฟรี ตอนที่มาเช็คอินเราก็สามารถแจ้งกับทางที่พักได้เลยว่า เราอยากจะเข้าไปแช่ตอนไหน ก็จะล็อคไว้ให้ เราก็ใช้บริการในชั่วโมงที่เราจองไว้ มันจะมี 2 ห้องที่จริง ๆ ตอนเช้าจะใช้เป็นบ่อแช่รวมแบบแยกชายหญิง
แว้บมาดูซักนิดหน่อย พอเข้าไปก็จะมีที่ล็อคให้ ไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครเข้ามาหรือเปล่า มีจุดที่เอาไว้วางเสื้อผ้า ผ้าเช็ดตัว เป็นตะกร้าแยกหลายตะกร้ากรณีมากันหลายคน บ่อก็เป็นแบบจิ๋ว ๆ ถ้าเป็นตอนเช้าจะมองเห็นวิวฟูจิซังด้วยย ฮือออ ต้องฟินแน่ ๆ
พอมาพักที่นี่ก็เป็นฟีลเหมือนอยู่ในป่า เสียงดังมากก็ไม่ได้ กิจกรรมก็ไม่ได้มีให้ทำมากนัก เราก็นั่งเล่นเกมกันนิดหน่อยพอหอมปากหอมคอ และด้วยความที่เดินทางมาอย่างเหน็ดเหนื่อยในวันนี้ด้วย ก็เลยเข้านอนกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย และถึงในห้องมีฮีตเตอร์ให้ แต่ก็ยังหนาวมากอยู่ดี หนาวจนหลับ ๆ ตื่น ๆ อยู่ทั้งคืน ตกลงหายเหนื่อยมั้ยเนี่ย 555555555555
DAY 2 ✪ KAWAGUCHIKO > TOKYO 1/11/2019
(Check-in at APA Asakusa Tawaramachi Ekimae)
ตื่นเช้ามาชมวิวฟูจิซัง เช้านี้ฟ้าเปิดแล้ว ก็จะเห็นฟูจิซังชัด ๆ หน่อย จริง ๆ ตื่นกันตั้งแต่ตี 3 เพราะปวดฉี่ เพราะอากาศหนาวมากกกกกกก บวกกับมาตั้งกล้องถ่ายดาวให้เห็นฟูจิซังลาง ๆ ได้ฟีลไปอีกแบบ
ดวงดาวคืนนี้ช่างดูสดใสสส~
แต่เราก็นอนต่อจนถึงเช้าแล้วออกมาเดินเล่นตากน้ำค้างกัน ทั้งเปียกทั้งหนาว แต่บรรยากาศมันสวยมากจริง ๆ แอบมาเจอว่าที่พักมีห้องที่เป็นออนเซ็นอีก (ทำไมต้องแอบ) แต่ไม่ได้เปิดให้บริการแล้ว น่าจะเป็นแบบ private มาก่อน ระเบียงด้านนอกก็สามารถออกมานั่งได้ แต่ตอนนี้เปียกไปหมดเพราะเมื่อคืนหนาวจัดและร้อนขึ้นในตอนเช้า ทำให้เกิดไอน้ำจับไปทั่วบริเวณ เหมือนมาสอนวิทยาศาสตร์ป่ะ ✍ ✍
ญี่ปุ่นนี่ทำให้มีความสุขง่ายมากเลยอ่ะ แค่มองเห็นฟูจิซังก็คิดว่าเป็นโชคดีแล้ว
ห้องที่เราพักอยู่ริมสุดชั้น 1 ที่หน้าต่างเปิดอยู่ และห้องออนเซ็นที่เป็นบ้านสีน้ำตาล ต้นไม้ชุ่มฉ่ำมากกกกก เพราะมีหยาดน้ำค้างในตอนเช้า และคุณฟูจิซังที่ยอมออกมาทักทายกันแล้ว ♡
เดินเล่นกันเสร็จก็ไปอาบน้ำ เพื่อมารับทานอาหารเช้า ที่เราแจ้งที่พักไว้เมื่อวานว่าจะรับคนละ 1 ชุด อาหารเช้าจะชุดละ ¥800 ไม่รวมกับค่าที่พัก ถ้าเป็นอาหารเย็นจะราคา ¥700 มาทานที่เดียวกัน
อร่อยยย ฮืออ ตอนแรกดูเหมือนน้อย แต่อิ่มมากกกก
เจ้าของที่พักจะเป็นครอบครัวเล็ก ๆ ถ้าลองเข้าไปดูในเว็บไซต์ของที่พักก็จะมีเขียนแนะนำตัวไว้ด้วย ข้อมูลอื่น ๆ ของที่พักก็มีเหมือนกันน้า ถ้าอยากดูว่าแถวนี้มีกิจกรรมอะไรให้ทำบ้าง หรือมีสถานที่ท่องเที่ยวไหนอยู่ใกล้ ๆ อาหารการกินเป็นอย่างไร ก็ลองเข้าไปดูในเว็บไซต์ได้เลย จิ้ม Guesthouse SAKUYA
จริง ๆ แอบเสียดายมากที่มีเวลาอยู่แถวนี้แค่คืนเดียว แถมการเดินทางก็ค่อนข้างใช้เวลาเลยแหละ เหมือนคาดการณ์ผิดไปเยอะ เลยตั้งเป้าว่าจะไปตั้งหลายที่แหนะ 5555TT555555
ในห้องจะมีแผ่นป้ายที่สอนปูที่นอนอยู่ ลองเอาใบสุดท้ายไปแปลได้ความว่า
This is done! Please take a good rest.
ทางที่พักจะมีบริการรถตู้ ออกจากที่พักไปส่งยังสถานที่ต่าง ๆ แต่ปลายทางคือสถานีคาวากูจิโกะ เราทานข้าวเช้าเสร็จก็เตรียมตัวเช็คเอ้าท์ เก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋า จ่ายค่าที่พักและบริการทั้งหมดเรียบร้อย ก็พร้อมออกเดินทางไปยังจุดหมายต่อไป
(1) Mt. Fuji Panoramic Ropeway
เราแวะที่กระเช้า Mt. Fuji Panoramic Ropeway ก่อนที่จะกลับเข้าโตเกียวเพราะมีเวลาเหลืออยู่ ลงจากรถก็ร่ำลาเจ้าของบ้าน ขอบพระคุณขอบพระทัยขอบน้ำใจแต้งกิ้ว ก่อนที่เขาจะเลยไปส่งผู้โดยสารคนอื่นต่อ
มาค่ะ เข้ามาค่ะ
เข้ามาด้านในก็จะต้องซื้อตั๋วก่อน เป็นตู้ให้เรากดเอง มีภาษาไทยให้ด้วย แถมเสียงอธิบายภายในก็มีภาษาไทยให้ฟังอีกเหมือนกัน รู้สึกเหมือนได้อยู่บ้าน 555555
กด กด กด
ซื้อตั๋วแล้วก็ขึ้นไปรอขึ้นกระเช้ากัน กระเช้าจะขนาดไม่ใหญ่มาก ขึ้นแค่แปปเดียวก็ถึงด้านบน ตั๋วจะเป็นแบบไป - กลับ ราคา ¥900 ต่อคน ตอนขึ้นก็เอาให้เจ้าหน้าที่เจาะ เช่นเดียวกับตอนลง ด้านบนเป็นจุดชมวิวกว้าง ๆ มีร้านขายขนมดังโงะ และร้านขายของฝาก มีดาดฟ้าให้ขึ้นไปดูฟูจิซังแบบเคลียร์ ๆ สามารถหยอดเหรียญส่องกล้องไปดูฟูจิซังได้ ส่องได้ไกลมากแก ¥100 หยอดไปแล้วแบ่งกันดู 4 คนเวียนไป
ระหว่างทางขึ้นก็จะมองเห็นวิวมุมกว้างของทะเลสาป สุดตามากกกกก
กระเช้าที่เดินทางมาถึงด้านบนแล้ว นักท่องเที่ยวทยอยออกมาจากกระเช้ากัน
ถ้าลองส่องกล้องจากตรงนี้ จะมองเห็นคนที่เล่นเครื่องเล่นอยู่ในสวนสนุกด้วย หลอนโคตร 555555
(Fuji-Q Highland อยู่ทางซ้าย ๆ จะมองเห็นรางรถไฟชัดมากก)
ทุกคนก็มาหามุมถ่ายรูปร่วมกับฟูจิซังกันบนดาดฟ้า
ลองมาดูที่ร้านขนมดีกว่าว่ามีอะไรให้ทานบ้าง จริง ๆ ก็เรียกร้านขนมอย่างเดียวไม่ได้หรอก เพราะมันมีอาหารและเครื่องดื่มอื่น ๆ ด้วย เราก็แวะมากดสั่งซัก 3 - 4 อย่าง นั่งกินแล้วก็ชมวิวไป ข้างบนนี้แดดค่อนข้างจ้า ก็คลายความหนาวไปได้เล็กน้อย ขอบอกว่าเล็กน้อยเท่านั้นจริง ๆ 555555
ดังโงะปิ้ง
ตอนเช้ามันหนาว ดื่มเบียร์แก้หนาวซะหน่อยจ้า
จุดที่ไม่ควรพลาด เพราะเราพลาดมาแล้วจากความเข้าใจผิด ถ้าใครมาที่นี่จะเห็นแมสคอทกระต่ายกับตัวทานุกิ จะมีศาลเจ้าอยู่หลังเสาโทโรอิขนาดย่อม ที่มีรูปปั้นกระต่ายอยู่ด้านหน้า ตอนแรกเราเห็นนักท่องเที่ยวฝรั่งไปเอามือลูบหัว ลูบ ๆ ทั่วตัว เราก็งงว่าทำทำไม ดูลบหลู่ ก็เลยเสิชอ่านในเว็บตอนที่ลงมาแล้วมั้ง กลายเป็นว่า ถ้าลูบก็จะเป็นโชคกับตัวเรา เพราะคนญี่ปุ่นเชื่อว่า ลูบเท้าคือขอให้สุขภาพแข็งแรง ลูบหัวขอให้มีความเฉลียวฉลาดเหมือนกระต่าย ส่วนเราไม่ได้ลูบอะไรเลย ก็เลยโง่อยู่เนี้ยย 55555555555 เสียดาย
อย่าลืมมาลูบกันนะคะ!
มองจากข้างบนสวยมากกกกกก ตึกรามบ้านช่องต่าง ๆ
ใช้เวลาด้านบนชมวิวเดินเล่นหาอะไรกินให้หนำใจแล้วก็ได้เวลาลงไปข้างล่างกัน จากสถานีกระเช้าไปถึงคาวากูจิโกะสามารถเดินไปได้ เราก็เดินชมวิวกันไปชิว ๆ
ระหว่างทางก็จะเจอคาเฟ่บ้าง บ้านคน ร้านค้า อาคารต่าง ๆ
ร้านขายของฝาก ตุ๊กตา เสื้อผ้า เลยไปถึงผลไม้
เราจองรอบบัสกลับเข้าเมืองเอาไว้ตอน 13.10 น. เราก็แค่ต้องไปถึงสถานีให้ทันเวลานั้น แต่ว่าเราจะไม่ลืมสิ่งสำคัญ 1 สิ่งที่เราติดไว้เมื่อวาน นั่นก็คืออออออ น้องกระเป๋าเหี่ยวที่ถูกทิ้งไว้บนรถ
มาถึงเราก็เดินมาที่ conceige desk อย่างมีความหวัง ตรงปรี่เข้าไปยังเคาน์เตอร์ และสอบถามถึงกระเป๋าทันที และแน่นอน ที่นี่ประเทศญี่ปุ่น ที่ที่ไม่ว่าคุณจะทำอะไรหาย มันก็จะกลับมาหาคุณ ไม่ขนาดนั้น แต่ก็ถือเป็นโขคดี ต้องขอขอบคุณการประสานงานของเจ้าหน้าที่ทุกท่านมาก เราได้กระเป๋ากลับมาในสภาพเดิมและของครบถ้วน สาธุจ้า
กราบ
แต่พอได้กระเป๋าแล้วก็ยังไม่ถึงเวลาขึ้นบัส เราก็เลยเดินเล่นไปมาแถวสถานีเพื่อรอเวลา แต่เวลาที่มีไม่มากพอที่จะให้เรานั่งบัสไปลงที่ไหนเพื่อเที่ยว หรือเดินไปไกล ๆ ยังสถานที่ท่องเที่ยวอีก เสียดายที่ไม่ได้เลือกใช้เวลาที่นี่ซัก 2 คืน ไม่งั้นคงเก็บที่เที่ยวได้มากกว่านี้
เดิน เดิน เดิน
ฟูจิซังที่ตามเราไปทู้กกกที่
คุณรถไฟคิ้วท์มากก
ปิดท้ายด้วย Lawson สาขาในตำนาน ที่คุณเจเขาถ่ายมางี้ ตำนานไหมล่ะมึ้ง
จริง ๆ คือต้องถ่ายมุมไกล ๆ ที่เห็นฟูจิซังเป็นฉากหลัง ไม่เป็นไร เราจำได้ในความทรงจำเราพอละกัน 5555
เมื่อถึงเวลาแล้วเราก็มารอขึ้นรถบัสด้วยพาสแบบ paperless เช่นเคย ไปจ้า เข้าโตเกียวกันดีกว่าาาาาาาาา รถค่อนข้างติดเลยแหละ เลยทำให้เรามาถึงช้ากว่ากำหนดเล็กน้อย หลับไปหลายตื่นมากก็ยังไม่ถึง ป้ายต่อไปของพวกเราก็คือเข้าไปเช็คอินที่โรงแรม และไปต่อ Tokyo Dome เป็นสถานที่สุดท้าย
โรงแรมที่เราพักชื่อว่า APA Asakusa Tawaramachi Ekimae ซึ่ง APA เนี่ยจะมีสาขาอยู่เยอะมาก มากก มากกกกกกกก เดินไปตรงไหนก็เจอ นั่งรถไฟไปที่อื่นก็เจออ่ะะะ แต่สาขาที่เราพักจะอยู่ตรงสถานีรถไฟ Tawaramachi สาย Ginza ใกล้มากกกกก เดินแปปเดียวก็ถึง ค่าห้องเลยค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับขนาดห้องที่แทบวางกระเป๋าเดินทางไม่ได้ กางออกมาตีกับผนังห้องเลย
reception ที่ดูหรูหราอลังการมาก เป็นการทำเซล์ฟเช็คอินขนาดย่อม ๆ แต่อยู่ภายใต้การดูแลของพนักงาน ที่เคาน์เตอร์จะมีจอให้จิ้ม ถ้าเราจองผ่านเว็บไซต์ต่าง ๆ มาแล้วก็เอาเอกสารยืนยันให้พนักงานไป พนักงานก็จะจิ้มข้อมูลตามที่เราจองมา พร้อมเลือกห้องให้ ตอนแรกเราอยากได้ชั้นเดียวกับเพื่อน แต่เราจองแยกบุกกิ้งกันมา เพื่อจะใช้แอพคืนเงินแยกกัน 555555 พยายามถามพนักงานแล้วว่าขอชั้นเดียวกันได้ไหม แต่พนักงานไม่ยอมฟังน้องเลย ฮือ ๆๆ สรุปเลยได้คนละชั้นไปตามระเบียบ
เช็คอินเรียบร้อยก็จ่ายเงินเพื่อรับคีย์การ์ด
การจ่ายเงินก็มีช่องเสียบเหมือนซื้อตั๋วรถไฟเลย เสียบเงิน เสียบบัตร หยอดเหรียญถ้ามีเศษ จ่ายเสร็จเรียบร้อยก็ขึ้นไปที่ห้องเพื่อเก็บของกัน สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมของที่พัก ก็เข้าไปดูในเว็บไซต์ได้ ละเอียดมาก จิ้ม APA Asakusa Tawaramachi Ekimae ขึ้นห้องแล้วลองมาดูรายละเอียดห้องคร่าว ๆ กันดีกว่า
เข้ามาด้านในห้อง ขนาดไม่ใหญ่มาก มีหน้าต่าง 1 บานมองเห็นโตเกียวสกายทรีด้วย โต๊ะเครื่องแป้ง ชุดชา ยูกาตะที่เตรียมไว้ให้พร้อมกับโอริกามินกพิราบ และเครื่องฟอกอากาศ
ห้องน้ำ เป็นแบบกล่องมาวาง มีอ่างตามปกติ ถึงแม้จะเล็กแค่ไหนก็ต้องมี อุปกรณ์อาบน้ำต่าง ๆ ครบถ้วน สบู่ ยาสระผม ครีมนวด มีกระทั่งหนังยางมัดผม ชอบมากแต่ผมสั้น 5555 ผ้าขนหนูผืนใหญ่เล็ก หมวกคลุมอาบน้ำ แปรงสีฟัน มีดโกน คอตตอนบัด ฯลฯ ทุก ๆ วันก็จะมีแม่บ้านเข้ามาทำความสะอาดและเติมของให้ตลอด แต่ถ้าไม่ต้องการก็แขวนป้ายบอกได้
นอกจากสิ่งอำนวยความสะดวกในห้องของเราเองแล้ว ก็ยังมีออนเซ็นส่วนกลางที่สามารถไปใช้บริการได้และบริการอื่น ๆ มีทั้งใช้บริการฟรีและเสียค่าบริการ เราอยู่ตั้ง 6 คืนแต่ไม่ได้แวะไปดูเลย แอบเสียดายทีหลังอีก
(2) Tokyo Dome
เก็บของเสร็จเรียบร้อยเราก็เดินทางไปยัง Tokyo Dome กัน เพราะว่าซื้อบัตรเครื่องเล่นบวกพิพิธภัณฑ์ TenQ เอาไว้
เดินจนจะถึงเครื่องเล่นอยู่รอมร่อ อีกนิดจะขึ้นได้แล้ว
ตอนที่เราไปถึงก็เกิดเรื่องขึ้นอีกแล้ว ฮือ ๆ คือเราไม่ยอมอ่านรายละเอียดว่าต้องไปแลกรับบัตร ที่อาคาร Meets Port ตรง Service counter ชั้น 2 ก่อน ถึงจะสามารถเข้าไปที่เครื่องเล่นได้เรามาถึงก็เดินไปที่เครื่องเล่นเลย ทำให้ต้องเดินย้อนไปย้อนมาเสียเวลามาก ว้อยยยย!!!
แทบไม่ทันเวลาปิดของเครื่องเล่น ที่บอกว่าต้องแลกบัตรก่อนเพราะว่าเราซื้อบัตรผ่าน Klook ด้วยราคาที่ลดลง 49%
ได้บัตรมาแล้ว แฮ่กกกก!
ตอนที่แลกบัตรเป็นตอนที่เกือบจะหมดเวลาแล้ว พนักงานที่แลกบัตรให้เราก็มีความตลกเราต้องใช้ QR code ในโทรศัพท์ทำการแลก จึงต้องแสดงตัว QR ให้พนักงานใช้เครื่องสแกนมาติ๊ด แต่ช่องที่เอาไว้คุยกับพนักงานก็เล็กมาก เลยต้องยื่นโทรศัพท์เข้าไปข้างในให้พนักงานสแกนแทน เราทำก่อน ก็สแกนผ่านปกติ พอถึงตาเพื่อน พนักงานสแกนเสร็จ ก็ยื่นเครื่องสแกนให้เพื่อน ทุกคนก็มองหน้ากันงง ๆ สรุปก็คือ ยื่นผิด ต้องยื่นโทรศัพท์คืนเพื่อน ไอบ้า 5555555555
บัตรจะใช้เล่นเครื่องเล่นได้ 4 เครื่องไหนก็ได้และเข้าพิพิธภัณฑ์ TenQ ได้ แต่ด้วยเวลาก็ทำให้เราขึ้นได้แค่ 2 เครื่อง อันแรก Thunder Dolphin ที่เป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายมาก เพราะมันไม่คิ้วท์เหมือนชื่อเลย น่ากลัวมากแม่ แงงงง ด้วยความที่ตอนนั้นมืดแล้ว และหนาวด้วย และรถไฟเหาะก็ไม่อ่อนโยนเลย
ตัวเครื่องจะล็อคแค่ตัก แขนฟรีมาก แต่ก็เกร็งและไม่สามารถปล่อยมือได้ ฮือ ๆ ระยะทางที่คิดว่าคงสั้น ๆ ก็ไม่จริง มันยาวนานมากกว่าที่คิดเยอะเลยยยย แถมเหวี่ยงไปมา คนญี่ปุ่นที่ขึ้นรอบก่อนหน้าและรอบเดียวกันก็คือเป็นเอ็นจอย เหมือนชีวิตไม่เคยสนุกมาก่อนอ้าา (เราไม่มีรูปที่เห็นชัด ๆ แบบถ่ายมาดี ๆ เลยไปขโมยมาจากวิดีโอของออฟฟิเชียลแทน)
รุนแรงเหลื้อออเกิน ทั้งเส้นทาง และ point of view ของเขา
ลงมาเราก็สิ้นสุดความต้องการที่จะเล่นเครื่องเล่นแล้ว เลยไปนั่งชิงช้าสวรรค์ Big O ชมวิวแทน ชิงช้าก็ไม่ชิลจ้า สูงมาก แถมตัวรถไฟเหาะยังมาวิ่งลอดอีก จบรอบแล้วไปพิพิธภัณฑ์ดีกว่า เพราะจะหมดเวลาแล้ว เสียดายนิดหน่อยแต่ก็คุ้มอยู่
Welcome to BIG-O โอ้โหสุดสูงจ้าแม่
ไปต่อกันที่พิพิธภัณฑ์ TenQ ซึ่งจะอยู่บนอาคาร Yellow Building ชั้น 6 เราก็ขึ้นลิฟต์ไป ธีมโดยรวมก็เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ อวกาศ และก็จะมีห้องที่จัดนิทรรศการแบ่งเป็นห้อง ๆ กลุ่มที่เข้าชมพร้อมเรา มีคนอยู่แค่ 2 กลุ่ม คือพวกเรา 4 คนแล้วก็กลุ่มครอบครัวญี่ปุ่นอีก 4 คนเช่นกัน เป็นกลุ่มชมนิทรรศการที่เล็กมาก จริง ๆ ก็เป็นเพราะมันค่อนข้างดึกแล้วแหละมั้ง
ก่อนเข้าอย่าลืมเอาบัตรไปแลกตั๋วก่อนที่เคาน์เตอร์ด้านหน้า และเลือกรอบการแสดง ตั๋วน่าร้ากก
ห้องแรก ๆ จะไม่อนุญาตให้ถ่ายรูป เป็นการชมวีดิทัศน์เกี่ยวกับวิวัฒนาการความเป็นไปของโลก สื่อ วิทยาศาสตร์ และอื่น ๆ ซึ่งมันตระการตามากกกก พอจบห้องแรกก็จะเข้าไปด้านใน เป็นท้องฟ้าจำลองที่ต้องมองลงไปบนพื้นด้านล่าง อันนี้ก็ตระการตามากเช่นกัน เป็นเรื่องราวที่มีคนเล่านำ แต่ดำเนินเรื่องเป็นภาษาญี่ปุ่นทั้งหมด ก็เลยฟังไม่รู้เรื่อง แต่จริง ๆ แล้วมันมีรอบที่เป็นภาษาอังกฤษด้วยนะ แต่เราเลือกอันนี้เอง ก็เลยต้องยอมฟังภาษาญี่ปุ่นไป
หน้าตาประมาณนี้ แต่อันนี้ไปจิ๊กมาจาก Klook
จบจากท้องฟ้าจำลองก็จะเป็นโซนที่ให้เดินเล่นเองแล้ว ซึ่งตอนนี้เหมือนกำลังจะปิดแล้ว เลยไม่มีใครเลย เราเดินมาจนถึงห้องที่มีกิจกรรมให้เล่น เป็นเกมบังคับไอลูกกลม ๆ ที่เหมือน BB8 ในสตาร์วอร์ ใครบังคับเข้าประตูได้ก็จะช่วยให้สามารถปล่อยยานอวกาศขึ้นไปได้ ตอนแรกดูคนอื่นเล่นคือยากมาก สรุปชั้นทำได้จ้า ทำได้คนเดียวในกลุ่มด้วย ไม่อยากจะโม้ แต่ก็โม้แหละ ได้ตอนเกือบจะหมดเวลาแล้ว
สีคลีนมากกก
ตอนเดินเล่นในพิพิธภัณฑ์แอบมีความเหนื่อยหน่อย ๆ แล้วเลยจำรายละเอียดของสถานที่ได้ไม่มากเท่าไหร่ แต่จริง ๆ ต่อให้ไม่เหนื่อยหล่อนก็จำไม่ได้ย่ะ อย่ามา! ฮือ แต่ว่าเรื่องหลัก ๆ ก็คือเรื่องดวงดาว อวกาศ เราไม่ได้ถ่ายรูปอะไรมากเพราะใช้เวลาเสพอยู่ แล้วพอทางพิพิธภัณฑ์บอกว่าไม่ให้ถ่ายก็เลยเก็บกล้องไปเลย
โดนเอเลี่ยนจับตัวไปแล้ว อุแง
ก่อนกลับก็ต้องอย่าลืมหยอดกาชานักบินอวกาศไปด้วยนะจ๊ะ
พอชมจบ เดินต่ออีกหน่อยก็หมดเวลา กลับกันดีกว่า ก่อนจะกลับไปนอน เราก็ต้องรับทานอาหารมื้อสุดท้ายก่อน เนื่องจากตอนเดินทางกลับ เราต้องผ่านสถานี Suidobashi ก็เลยแวะฝากท้องที่ร้านอูด้งใกล้ ๆ สถานีไปเลย
วงเมนูที่สั่งไว้ด้วย เพราะกลัวลืมราคา ต้องทำบัญชีการท่องเที่ยวค่ะ สุดท้ายต้องให้คนที่ร้านมาช่วยกด เพราะเป็นญี่ปุ่นหมด อ่านไม่ออกอี้กกกกก
เอาล่ะ ท้องอิ่มแล้ว กลับโรงแรมนอนได้
DAY 3 ☀ TOKYO 1-DAY TRIP 2/11/2019
[ใช้ 48-HR TOKYO METRO PASS D-1]
ความตั้งใจของวันนี้คือทริป 1 วันในโตเกียวแบบใส ๆ คิดว่าจะไปได้ 365 ที่ แต่ลืมไปว่ามันคือวันเสาร์ เช้าวันเสาร์ที่นักท่องเที่ยวเต็มไปหมด แถมคนญี่ปุ่นเองก็ออกมาเที่ยวในวันหยุดสุดสัปดาห์เช่นกัน เราไม่ได้จองอาหารเช้ากับทางโรงแรมไว้ เพราะตั้งใจว่าจะหากินเองทั้งหมดทุกวัน ถ้าจองอาหารเช้ากับโรงแรม จะต้องลงมาทานที่ชั้น 1 ตรงร้านอาหารที่อยู่ข้าง ๆ เพราะในโรงแรมจะไม่มีห้องอาหารเช้าส่วนตัว มีแต่ห้องจัดเลี้ยง จัดประชุมด้านบน แถมอ่านรีวิวไว้ มีร้านขนมปังเจ้าเด็ดอยู่ข้าง ๆ โรงแรม ซึ่งก็เด็ดมากจริง ๆ และคุณยายที่ขายก็น่ารักมาก ๆ ด้วย
ชื่อร้านว่า Bois Boulogne (จิ้มดูโลที่ชื่อได้เลย) แต่ร้านจะเปิดตั้ง 11 โมง ถ้าอยากกินตอนเช้าก็ต้องซื้อไว้ตั้งแต่เมื่อคืน และแน่นอน ดิฉันซื้อไว้จ้ะ
อันที่เราซื้อเป็นไส้สปาเกตตี้กับมันบด แล้วก็ไส้ปลาทอด อร่อยยยย
นอกจากขนมปังที่ซื้อมาแล้วก็ซื้อมิโสะถ้วยสำเร็จรูปมาลองด้วย ติดใจจนซื้อมากินหลายอันเลยแหละ แถมขากลับก็ซื้อแบบแพ็คของแฟมมิลี่มาร์ทกลับมาด้วย เวรี่กู้ดอ่ะ น่าจะซื้อมาหลาย ๆ ห่อ
ซดทุกเช้าไปเลยจ้า
การเดินทางใน 2 วันนี้ เราจะใช้พาส Tokyo Metro Pass แบบ 48 ชั่วโมง ก็คือ 2 วันนั่นเอง การซื้อก็ง่าย ๆ ไปที่จุดบริการของสถานี แจ้งความประสงค์ไปว่าเราอยากซื้อพาสนี้ (สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ว่าซื้อที่สถานีไหนได้บ้าง) ซึ่งพาสของโตเกียวเมโทรจะมี 3 แบบ 24 / 48 / 72 ชั่วโมง ก็ใช้ได้ตามเวลาที่เราซื้อเลย การใช้งานก็เอาไปสอดที่ประตูทางเข้าของสถานี เครื่องจะบันทึกการใช้งานครั้งแรกเอาไว้ จากนั้นนับไปตามชั่วโมงที่เราซื้อ
ขอซื้อพาสหน่อยค่าาาาา (ด้านหลังก็มีแปะโปสเตอร์ไว้ด้วยว่าขายพาสนี้นะจ๊าา)
ได้พาสหน้าตาแบบนี้มา อันนี้เราโชว์เฉพาะที่เราใช้นะ ถ้าเป็น 24 กับ 72 จะเป็นอีกสีนึง แล้วก็อายุไม่เกิน 12 ปีใช้ตั๋วเด็กนะจ๊ะ ข้อมูลเพิ่มเติมของพาส Tokyo Subway เข้าไปดูในเว็บไซต์ออฟฟิเชียลได้จ้า จิ้ม Tokyo Metro Pass
(1) Tokyo Station
Imperial Palace/Nijubashi Bridge
จุดหมายแรกของวันนี้คือ สถานีโตเกียว จริง ๆ เราออกมาเช้ามากนะ วันทำงานยังตื่นสายกว่านี้เลย แต่คนทั้งญี่ปุ่นเขาก็ออกมาเช้ากันทุกคนเลยอ่ะ บางคนสงสัยออกมาเช้ากว่าเราอีก เช้าขนาดนี้ทำไมคนเต็มแล้วอ่ะะะะะะ
ใช้ทางเดินใต้ดินเดินจากสถานีโตเกียวไปยังพระราชวังอิมพีเรียลได้ จะมีทางออกอยู่ใกล้ ๆ ระหว่างเดินก็ถ่ายแฟชั่นไปด้วยพลาง ๆ มีมุมให้ถ่ายเยอะอยู่นะ แบบเท่ ๆ มินิมอล ๆ คิดไปเอง 555555
เพดานสถานีโตเกียวกับบันไดทางออก
อยากลองนั่งบัสชมเมืองบ้าง ไว้คราวหน้าจะลองหาแพคเกจแล้วจองดู
เราเดินมาที่พระราชวังอิมพีเรียลเพื่อดูสถานการณ์ว่าเข้าชมได้ยังไงบ้าง แต่ดูเหมือนจะต้องเสียเงินค่าเข้า และก็มีทัวร์ต่ออยู่ค่อนข้างยาว เลยเดินไปดูสะพานแว่นแทน เป็นการเดินตากลมหนาวกลางแดดยามเช้าที่ชิว ๆ ดี เราก็เดินมาเพื่อถ่ายรูปแล้วกลับ 55555555555
นี่คือพระราชวังที่เรามาดู ก็คือแค่นี้จริง ๆ อย่าเรียกว่ามา 55555555
ชื่อจริง ๆ คือสะพานนิจูบาชิ แต่ที่คนเรียกว่าสะพานแว่นหรือสะพานแว่นตา เพราะว่าเงาที่สะท้อนกับน้ำทำให้เหมือนรูปแว่นตา เลยกลายเป็นจุดถ่ายรูปที่น่าสนในจุดหนึ่งของพระราชวัง
คุณลุงที่อาสาถ่ายรูปรวมให้ทุกคนที่เดินผ่าน น่าร้ากก
จากนั้นก็เดินวน ๆ ดูบรรยากาศของพระราชวังอีกเล็กน้อย แล้วก็ตัดสินใจเดินกลับไปที่สถานีกัน เพื่อไปต่อยังจุดหมายถัดไป ดูชะโงกทัวร์มาก 55555555555
จริง ๆ แล้วการมาเที่ยวพระราชวังจะต้องศึกษาในส่วนของประวัติศาสตร์เนาะ แต่เราจะสนใจในส่วนของสถาปัตกรรมมากกว่า เพราะมันจับต้องได้ง่ายไง ทำให้เป็นการเดินดูรูปแบบการสร้างของสถานที่มากกว่าศึกษาประวัติไป กรรมแท้
ก่อนจะลาจากสถานีโตเกียวไป เราก็เดินเล่นต่ออีกหน่อย
บรรยากาศชุ่มฉ่ำไปด้วยต้นไม้ข้างทาง
ช่วงนี้เป็นช่วงที่มีการแข่งขันรักบี้ด้วย ไปหาข้อมูลมาพบว่า วันที่ 2 พ.ย. ที่เรามาเนี่ยเป็นวันสุดท้ายของการแข่งขันพอดี และปีนี้ญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพ มีประเทศต่าง ๆ เข้าร่วมการแข่งขันทั้งหมด 20 ทีม
นอกจากการแข่งขันรักบี้ ก็มีจอเคาน์ดาวน์สู่โอลิมปิกเกมส์ด้วย
บรรยากาศด้านหน้าสถานีโตเกียว
(2) Ginza Station
Itoya Shop - Stationery world
ตอนแรกเราเลือกข้าม Ginza ไปเลย เอาออกจากแพลนไปเรียบร้อยแล้ว ไม่ได้คิดว่าจะมาแล้ว เพราะว่าเขาได้ชื่อว่าเป็นย่านของคนมีเงิน ย่านคนรวยมาซื้อแบรนด์เนม เราก็เลยคิดว่าตัวเรานี้คงมิใช่กลุ่มเป้าหมายของเขา แต่อยู่ดี ๆ พี่เจก็ไปเสิชหาร้านเครื่องเขียน ซึ่งตัวเรานั้นบ้าเครื่องเขียนมากกกกกกก แล้วไปเจอร้าน Itoya ที่ตั้งอยู่แถว Ginza เลยทำให้เราตัดสินใจแวะมาที่ Ginza กัน ส่วนเรื่องการเดินทางไปลงที่นั่นที่นี่ก็ไม่ต้องห่วงเลย เพราะเราใช้พาสเมโทร
ขึ้นมาถึงด้านบนก็สัมผัสได้เลยว่าเป็นย่านของความไฮโซโดยแท้ ด้วยบรรยากาศนะ แถมอาคารสถานที่ก็เป็นที่ขายของแบรนด์เนมงี้
กลัวงูค่ะ
และสิ่งที่สะดุดตามากก็คือ แถวที่ต่อยาวเหยียดหน้า Apple iStudio โอ้มายก้อด ก็คือจะมีโซนแยกเลยนะ ซื้อไอโฟนตัวนี้แถวนี้ ไอแพดแถวนี้ อยากซื้ออะไรก็ไปต่ออันนั้นจ้า จะได้ไม่แย่งคิวกันน้าาาา
อาจจะดูเหมือนคนไม่เยอะขนาดนั้น แต่จริง ๆ คือเยอะมากกกก แถวยาวมากกกก
เราเดินมาไม่ไกลจากสถานีมากนัก ก็เจอร้าน Itoya อยู่ตรงหน้าแล้ว ด้วยสัญลักษณ์คลิปหนีบกระดาษสีแดงตัวใหญ่ เข้าไปข้างในก็อยากจะกรี๊ดเป็น 25 ภาษา เพราะชอบมาก ชอบที่สุดในโลกนี้แล้วแม่ 5555555 แต่กลัวล้มละลายเลยต้องดึงสติไว้ตลอด สุดท้ายก็ได้กลับมาแค่ไม่กี่ชิ้น แถมกลัวจะใช้เวลามากเกินไปด้วย
ได้ดูได้ชมได้ช้อปแล้ว สบายใจแล้ว ไปต่อได้ วู้ว ตกใจมากที่ไม่ได้ถ่ายรูปข้างในมาเลย มีอยู่รูปเดียว เพราะมัวแต่เลือกอยู่แน่ ๆ
ขากลับลงมาสถานี Ginza เจอเสาที่มีไอตัวนี้ ตกกะใจ เหมือนจะโปรโมทเกมหรือหนังซักอย่าง สมจริงมาก
ร้านดอกไม้ในสถานี น่ารักกก
(3) Shinjuku Station
Hello Mr. Godzilla/Shinjuku Toradyu - Okonomiyaki/ABC-Mart/Flags - Tower Records
เราเรียงลำดับสถานีรถไฟเรียงไปเรื่อย ๆ ก็เลยเป็นคิวของชินจูกุในลำดับต่อมา ซึ่งก็คือตลอดทริป จนกลับมาเป็นอาทิตย์ ๆ แล้วยังสับสนสถานีชินจูกุกับชิบูย่าไม่หาย อันไหนคือสถานีที่มีอันนี้นะ แล้วอันนั้นล่ะ งง ตอนแรกตั้งใจว่าจะไป Shinjuku Gyoen National Garden ด้วยแต่ก็ไม่ได้ไป เพราะต้องเดินไปไกลมั้ง เลยเท เดินมาดูคุณก๊อตซิลล่ากับหาอะไรกินกัน นี่ก็ไม่รู้ว่าจะต้องกินอะไร มืดแปดด้าน แต่หิวมากแล้ว เลยเดิน ๆ ดูไปเรื่อย
เจอคุณก็อตซิลล่าอ้าปากตระหง่านอยู่ แสดงว่ามาถึงชินจูกุแล้ว
เราเจอร้านโอโคโนมิยากิที่อยู่ด้านบนของมุมตึก ด้วยความที่เราไม่เคยกินก็เลยลองไปกินดูละกัน ชื่อร้านว่า Shinjuku Toradyu ขึ้นไปชั้น 2 ตามป้ายไปเลย บันไดชันเล็กน้อยระวังสะดุดเหมือนนี่จ้า
คือตอนกลับมาเราพยายามเสิชหาอย่างยากลำบากมากว่า ร้านมันชื่ออะไรวะ ชื่ออะไรน้าาา นึกไม่ออกจริง ๆ ทำไงดี เลยไปเสิชไป Google Maps เอาล่ะ สบายใจได้ชื่อร้านมาแล้ว สรุปมาเปิดรูปที่ตัวเองมี ซูมดูรูปที่ถ่ายคุณก็อตซิลล่า ก็คือเจอจ้ะ เจอเต็ม ๆ บ้าไปแล้ว 55555555 อยู่มุมตึกคนละฝั่งกับดองกี้หน้าปากซอยตึกก็อตซิลล่าเลย
ในร้านดูยังไม่ค่อยมีคนเท่าไหร่ โต๊ะถูกแบ่งแล้วกั้นด้วยม่าน ดูเป็นส่วนตัวดี มองไม่ค่อยเห็นโต๊ะอื่น เราก็เข้ามานั่ง สั่งอาหารมาพอประมาณ โอโคโนมิยากิ เกี๊ยวซ่า เฟรนช์ฟรายส์ แล้วก็รอ ตอนแรกก็ตื่นเต้นมากว่า เห้ยมันจะมาในรูปแบบไหนนะ แต่พี่เจบอกว่าเคยกินที่ไทยอยู่ เราก็อ่ะ คงกินง่ายแหละ
ฟีลแบบสลัดกุ้งสดงี้
พอพนักงานมาเสิร์ฟ ก็คือเป็นถ้วยที่มีส่วนผสมของพิซซ่ามาแล้ว เป็นผัก ๆ ชีส ๆ กุ้ง เขาก็คลุกเข้าด้วยกัน แล้วก็เทลงกะทะตรงหน้าเรา เกลี่ยให้เป็นแผ่น ๆ พร้อมกับลงเกี๊ยวซ่าที่เราสั่งมาด้วย แถมยืนกด ๆ แป้งอยู่พักนึง เราก็คุยกับพี่เจว่า คือเขาจะทอดให้เหรอ หรือยังไง พี่เจก็ไม่แน่ใจ แต่พนักงานยืนอยู่นานมากเลยนะ เราก็คิดว่าเขาคงทำให้ พักนึงก็เดินออกไป ในใจอ่ะคิดว่าเดี๋ยวเขาก็คงกลับมาทอดต่อให้เรากิน
แต่ว่าเขาก็ไม่กลับมา เวลาผ่านไปนานพอสมควร เราเลยได้สติว่า เออ ลองพลิกเองแล้วกัน สรุปหันไปดูโต๊ะที่มาทีหลัง ก็คือทอดกินไปแล้วเรียบร้อย แล้วชั้นรออะไรอยู่กันนี่!! 55555555555
พลิกก่อนจ้ะ เกือบไหม้แล้วจ้ะ
สุดท้ายออกมาหน้าตาดี โอเครอด 5555555
กินอิ่มแล้วก็ไปต่อจ้า พี่เจมีภารกิจนึงที่อยากทำในการมาเที่ยวในโตเกียวครั้งนี้ ก็คือมาตามล่าภาพลายเซ็นของน้อง ๆ iz*one ที่ Tower Records ซึ่งที่สถานชินจูกุเนี่ย Tower Records จะอยู่ในห้าง Flags ชั้น 10 เราก็ขึ้นไป เดินวน ๆ เจอโซนที่อัลบั้มน้องวางแล้ว แต่ไม่มีลายเซ็นก็เลยออก แต่ยังไม่ถอดใจหรอกนะ เพราะยังมีอีกที่ให้ไปตาม
มีวงมาเล่นสดให้ฟังด้วย กำลังเซ็ทเวทีกันอยู่เลย
(4) Shibuya Station
Shibuya crossing/Tower Records/Hachiko Statue
สถานีในลำดับถัดมา เริ่มต้นด้วย 5 แยกชิบูย่าที่คนเยอะมากกกกกกกกกกกกกกก เพราะนี่คือวันเสาร์ และเราไม่สู้คนเยอะ ขอยอมแพ้ คนเยอะจนจะอ้วกออกมาแล้ว แต่ไม่เป็นไร เรารีบเดินไป Tower Records และเจอลายเซ็นแล้วววววว เย่เย่
ฮืออออ คนเยอะเกินนน T^T
ที่ชิบูย่าจะมีตึกของ Tower Records แยกออกมาเลย แต่ละชั้นก็มีธีมต่าง ๆ กันไป จะ J-Rock จะ K-Pop หรือแนวไหนก็ลองหาดูตามชั้น
เป็นตึกที่จัดเต็มชีวิตติ่งอยู่เหมือนกัน
เข้ามาชั้น K-pop ก็เจอลายเซ็นของทไวซ์ งุ้ง
ได้ภาพลายเซ็นมาในที่สุด
และ Blackpink ของเรา ทำไมชั้นไม่ได้ถ่ายลายเซ็นน้องมาอ่ะะะ ทำไมอ่ะะะะะะ
นอกจากนั้นก็ยังมีคาเฟ่ด้านล่าง ที่แจกโปสเตอร์ฟรีด้วย แต่เราไม่รู้ว่าวงอะไรก็รับ ๆ มา เรานั่งเล่นในคาเฟ่พักนึง จริง ๆ ก็คือนั่งพักแหละ เมื่อยขาแล้ว เหมือนไม่ได้เดินอะไรมากนะ แต่ก็มากแหละ
Unicafe ราคาแรงมากกกกกกกกกกกก เราสั่งของหวานจานนึง และเครื่องดื่ม 1 แก้ว หมดตูด
เดินกลับมาที่สถานีเพื่อจะไปยังจุดหมายต่อไป ก็ไม่ลืมแวะไปที่อนุสรณ์คุณฮาจิโกะที่มีคนมุงอยู่เยอะมากอีก ถ่ายรูปมาแชะ 2 แชะเป็นการเช็คอินว่ามาถึงแล้วนะ แล้วก็เดินออก เพราะคนต่อแถวถ่ายรูปคู่กับรูปปั้นเยอะมากกกกก เราเลยแค่ถ่ายรูปปั้นมา
แชะโฮ่ง
ลากันไปด้วยภาพห้าแยกก่อนคนจะข้ามกันยั้วเยี้ย
นอกจากจะมาดูห้าแยกชิบูย่าในแนวราบแล้ว ก็มีทางเลือกอื่นสำหรับคนที่อยากชมจากมุมสูง ให้ขึ้นไปบนตึก Magnet by Shibuya 109 ที่เราอ่านรีวิวก่อนไปว่ามันเข้าฟรี แต่พอเราไปแล้วมันต้องเสียค่าเข้าอ่ะ ต้องซื้อตั๋วจากตู้อัตโนมัติด้านหน้าเพื่อเสียบเข้าไป เราก็เลยไม่ได้เข้าแล้วลงมาด้านล่างไปต่อแทน
(5) Akihabara Station
Yodobashi Akiba - Tonkatsu Dinner/Gundam Cafe
ถึงเวลาของมื้อเย็นแล้ว จุดหมายถัดมาคืออากิฮาบาระ ที่จริง ๆ แล้วจะมาเพื่อกันดั้มคาเฟ่ แต่ตั้งใจจะหาอาหารรับทานก่อน แล้วจะไปเมนูขนมนมเนยที่คาเฟ่เอา ไม่ต้องสั่งของคาวอีกงี้ ซึ่งเราอ่ะอยากกินข้าวหน้าปลาไหลมากกก แต่ไม่อยากจ่ายแพงเกินไป เลยมาหาร้านอาหารในห้างโยโดบาชิ อากิบะ ซึ่งผิดคาด เพราะข้าวหน้าปลาไหลในห้างนี้เป็นร้านเด็ดเจ็ดย่านน้ำ เป็นร้านแนะนำเลยแหละ ทำให้ราคาพุ่งปรี๊ดมาก น้ำตาไหลแล้ววว T^T เลยถอดใจไปกินอย่างอื่นแทน แต่ก็ไม่วายจะแพงหรอกนะ 555555555555555555 แค่ก็ถูกกว่าข้าวหน้าปลาไหลเท่านั้น คราวหน้าต้องเตรียมตัวกำตังมากินข้าวหน้าปลาไหลโดยเฉพาะละ
จิบเบียร์เย็น ๆ ซักแก้วเพื่อรีเฟรชกันหน่อย
สิ่งที่เรากินก็คือทงคัทซึหมูไก่กุ้ง ที่เราตั้งใจสั่งหมูชีส แต่กลับได้หมูไก่กุ้งมาแทน ที่ราคาแพงกว่าอันที่สั่งจริงมาก แต่มันดูน่ากินเลยยอมอ่ะ แง ทำไมอาหารที่ชั้นสั่งจะต้องมาเสิร์ฟผิดอยู่ร่ำไป ไม่ว่าจะไปที่ใดในโลกหล้าาาาาาา ก่อนอาหารจะมาเสิร์ฟ ก็จะมีคำแนะนำให้ปรุงน้ำจิ้มอยู่ เป็นงาขาวให้บดใส่กับส่วนผสมน้ำจิ้มตามรสชาติที่ชอบได้เลย ลืมบอกชื่อร้าน จริง ๆ ก็จำไม่ได้หรอก เราก็ตามหาใน Google maps เหมือนเดิม ชื่อร้านว่า Hamakatsu อยู่ชั้น 8 ของห้าง Yodobashi Akiba แต่ในนี้ก็มีร้านอาหารอีกร้อยแปด เลือกชิมเลือกทานกันได้จ้า
หลังจากกินอิ่มแล้วเรียบร้อย เราก็มุ่งหน้าไปยังกันดั้มคาเฟ่ ที่ดูจากเวลาเปิดปิดร้านแล้วก็ยังพอมีเวลาอยู่
เห็นแล้ว อยู่ตรงนั้น!
แต่พอมาถึง ร้านก็ปิดไปแล้ว แงงง ยังไม่ถึงเวลาปิดร้านเลยอ่ะะะะ ทำไมทำกับชั้นอย่างเน้!!
เหลือเปิดแค่หน้าร้านช่องเล็ก ๆ ที่ขาย takeaway ไม่มีที่นั่ง ก็เลยต้องบ้ายบายย ฮือออ
ปิดแล้ววววววว ปิดไปแล้วววววว
(6) Asakusa Station
Izakaya - Isomaru Suisan
ปิดท้ายค่ำคืนนี้ด้วยอิซากายะ ร้านเหล้าที่ชาวญี่ปุ่นรวมถึงนักท่องเที่ยวมาแฮ้งเอ้าท์กันก่อนจะผ่านวันนี้ไป ตอนแรกตั้งใจจะกินที่สาขาอูเอโนะ เลยนัดเจอกับเพื่อนที่สาขานั้น สุดท้ายได้แค่เดินผ่าน แล้วมาสาขานี้แทน
ทานเก่งมาก สุดจะเกลี้ยง
เสียดายมากอย่างนึงตรงที่ไม่ได้ถ่ายรูปอาหารเลย ก้มหน้าก้มตากินอย่างเดียว มีแค่รูปตอนจะจ่ายตังแล้ว ถ่ายแบบโนบรรยากาศร้าน 5555555 แต่จริง ๆ แล้วคือทางร้านจะไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปแบบเห็นคนอื่น เพราะจะได้ไม่ละเมิดคนอื่นด้วยนาจา ถ้าใครอยากเห็นบรรยากาศร้านก่อนไปจริง จิ้มดูใน Google maps ได้เหมือนเดิม บรรยากาศครบมาก ดูแล้วหิวววว จิ้ม Isomaru Suisan หิวว้อยยยยยยยย!
กินเสร็จก็เดินกลับที่พักกัน จากอาซากุสะก็ไม่ไกลมากแล้ว ดีนะที่เลือกมากินที่สาขานี้ จะได้เมา ๆ เดิน ๆ กลับชิลลลลล ถึงที่พักแล้วก็พักผ่อนนอนหลับกันจ้า
เออ มีสิ่งนึงที่อัดอั้นตันใจมากในการเดินเที่ยววันนี้ คือ ถังขยะ หายากมากกกกก พยายามตามหาถังขยะเพื่อทิ้งถุงขนมโง่ ๆ 2 - 3 ชิ้น แต่รู้สึกยากลำบากมาก ต้องแบกน้องไปมาในกระเป๋า คือการแบกขยะอ่ะ ไม่ติดใจไรนะ เก็บได้ เอาไปทิ้งที่โรงแรมก็ได้ แค่ติดใจว่าทำไมหายากขนาดนี้ สุดท้ายเจอถังขยะที่ Akihabara วางเรียงอยู่ 4 ใบ แทบจะวิ่งเข้าไปกอด ถึงกับถ่ายรูปตอนทิ้งขยะมาด้วยอ่ะ
NICE TO MEET YOU JA!
DAY 4 ☁ TOKYO > ODAIBA 3/11/2019
[ใช้ 48-HR TOKYO METRO PASS D-2]
วันนี้ตั้งใจออกจากที่พักเช้าเป็นพิเศษยิ่งกว่าเมื่อวาน เพราะเป็นวันอาทิตย์ ต้องการไปถึงที่เที่ยวก่อนทุกคน สำรวจระยะทางไปแล้วเมื่อคืนจากที่พักไปยังจุดหมายแรกพบว่าเดินไปได้ ก็เลยเดินตากอากาศชิว ๆ ไปกัน
ระหว่างทางที่เดินไปก็จะมองเห็น Tokyo Skytree ด้วย
คนที่นี่ขี่จักรยานกันเยอะมาก สุขภาพร่างกายน่าจะแข็งแรงพอดู
(1) Senso-ji Temple
มาถึงก็โดนพลังแห่งวันอาทิตย์เล่นเลย เราเดินจากที่พักมาเรื่อย ๆ ไม่ไกลมากก็มาถึงวัด ตอนแรกคนยังไม่เยอะเลย พอเริ่มสายหน่อยคนก็ทยอยมากันเรื่อย ๆ จนเต็มลานวัดไปหมด แลนด์มาร์คที่ทุกคนจะต้องมาถ่ายรูปคือโคมแดง แน่นอนแหละว่าเราก็ไม่พลาด แต่กว่าจะแย่งชิงมาได้ก็เกือบเป็นท้อ
โดนถนนด้านหน้าหลอกว่าคนน้อย
ระหว่างทางเดินเข้าไปที่วัดก็จะเป็น ถนนนากามิเสะ ที่มีของที่ระลึก ขนม และอื่น ๆ ขายให้นักท่องเที่ยวเลือกซื้อเลือกชมกัน กว่าจะผ่านถนนนี้ไปได้ก็ยากเหมือนกันนะ เพราะว่าคนเยอะมากก็ตอนนี้แหละ เดินกันขวักไขว่เลยนะจ๊ะ
แวะซื้อเครื่องรางของฝากกันได้ค่ะ แต่ถ้าจะเอาขลังจริงแนะนำให้เช่าด้านใน
วัดเซ็นโซจิถือเป็นวัดที่มีชื่อเสียงมากในย่านอาซากุสะ ทุกคนจะต้องแวะมาถ่ายรูปกับโคมแดงด้านหน้า ตรงกลางลานหน้าวัดจะมีจุดที่ให้นักท่องเที่ยวมาขอพร โดยการโกยควันธูปเข้าหาตัว เป็นความเชื่อของชาวญี่ปุ่นว่าจะเอาโชคลาภ โชคดีเข้ามาใส่ตัวนั่นเอง ช่างเหมาะกับข้าพเจ้าเสียเหลือเกิน
โกยมา โกยเข้ามาาา จงมา! และจะต้องเข้าแถวถ่ายรูปกับโคมแดงด้วย
เนื่องจากโซนหน้าวัดคนเยอะมาก เราเลยเดินออกมาอีกฝั่ง ทำให้พบอาคารอีกหลายจุดที่คนไม่ค่อยเยอะ เดินเยี่ยมชมสิ่งที่น่าสนใจไปสักพัก ก่อนจะตัดสินใจเดินออกไปเพื่อไปยังจุดหมายถัดไป
ฝั่งเงียบ ๆ ที่เข้ามาจะต้องข้ามสะพานน้ำ ซึ่งห้ามโยนเหรียญลงไป แต่...
(2) Sumida Park + Tully's Coffee
ตอนดูรีวิวมา เห็นว่า Sumida Park จะมีความแชรี่บลอสซั่มมาก โดยที่ลืมไปว่าตอนนี้ไม่ใช่หน้าที่มันจะมาบลอสซั่มว้อย 5555555 แต่ก็เป็นสวนสาธารณะที่ดี ไม่ผิดหวังเพราะว่ามาเข้าห้องน้ำที่ดูโอเค ถึงจะไม่มีระบบล้างอัดฉีดอัตโนมัติ แต่ก็ไม่ค่อยสกปรกเท่าไหร่ ไหน ๆ ก็แวะมาถึงแล้วก็เลยหาร้านนั่งปักหลักพักผ่อนในยามเช้าซักหน่อย เราเห็นร้านกาแฟเล็ก ๆ ตรงทางเดิน ก็คือ Tully's Coffee สั่งน้ำและขนมกินหน่อยเป็นพิธี
โดนัทกับชานมราดซอสสตรอว์เบอร์รี่
วันนี้คาเฟ่มีกิจกรรมอะไรซักอย่าง เราเลยไปด้อม ๆ มอง ๆ เป็นกิจกรรมวาดรูปน้องปลาจากหนังสือ แล้วเอาไปแปะที่ผนังร้าน เห็นในโปสเตอร์เขียนว่า Wall Art ก็น่าจะเป็นกิจกรรมคิ้วท์ ๆ ที่เขาชอบจัดกัน
พอแอบไปด้อม ๆ มอง ๆ แล้วก็ขอทำด้วย
มีทั้งแบบที่ผู้ใหญ่วาดไว้แบบโปร กับที่เด็ก ๆ วาดตามที่เข้าใจ น่ารักมากก ใครวาดเสร็จก็เอามาแปะไว้ แล้วก็ถ่ายรูปกับผลงานตัวเองได้
พูดถึงสวนสาธารณะกันหน่อย เป็นสวนที่ทุกวัยสามารถออกมาทำกิจกรรมร่วมกันได้เลย รูปแบบสวนคือมีทั้งสนามเด็กเล่น จุดพักผ่อน โซนเครื่องออกกำลังกาย และก็ไอที่มันเป็นแท่น ๆ ที่เดินได้ มีอันนึงที่เราเคยได้ยินว่า มันจะช่วยเสริมสร้างพัฒนาการและจินตนาการของผู้เล่นได้ ที่นี่ก็มีด้วย ที่จะเป็นลักษณะช่อง ๆ ให้เดินขึ้นลงไปมาเรื่อย ๆ ไม่แน่ใจว่าเขาเรียกว่าอะไร
เจ้าน้องมา levitation - ปีนโลมา - ไอที่ปีน ๆ ที่บอก มีเด็ก ๆ กำลังเล่นอยู่ด้วย
สวนสาธารณะที่หวังจะเจอแชรี่บลอสซั่มมม ซั่มมั้ยล่ะะ หื้ม
เล่นเสร็จก็ออกเดินทางไปต่อ เราต้องเดินข้ามสะพานเพื่อข้ามแม่น้ำซุมิดะไปโตเกียวสกายทรีกัน สามารถมองโตเกียวสกายทรีไปด้วยระหว่างเดินได้เลย ไปถึงแน่นอน
ตามไป!
ระหว่างทางเดินไป Tokyo Skytree
(3) Tokyo Skytree
ตอนที่เดินมาแล้วมองเห็นตึกของสกายทรีมาตลอดจะรู้สึกว่า จะถึงแล้วหลายครั้งมาก แต่ยังไม่ถึงสักที เพราะขนาดจริงคือใหญ่มากกกกกกก ใหญ่และสูง แหงนมองใกล้ ๆ คือคอหักเด้อ ตอนที่เคยไปขึ้นมาเก๊าทาวเวอร์คือคนละชั้นมาก พอลองไปเสิชส่วนสูงของทั้ง 2 อันก็คือ สูงกว่า 2 เท่าไปเลยจ้าาาาา
คอหัก
เป็นโชคดีของหญิงที่ซื้อบัตรมาจาก Klook ก่อนแล้ว พอมาถึงก็เข้ามาข้างใน และหาจุดแลกตั๋ว การจะเข้ามาข้างในได้ก็ยากอีกเหมือนกัน 5555555 หรือชั้นยากเองวะ แบบกว่าจะหาบันไดขึ้นมาข้างบนได้อ่ะะะะ โมโห จุดแลกบัตรจะอยู่ที่ชั้น 4 และมีเคาน์เตอร์ให้แลกอยู่ รวดเร็วมากเว่อ ตอนที่เข้ามาเห็นผู้คนมากมายต่อแถวก็คือเป็นท้อแทนแล้วเด้อ แถวยาวมากกกกกกกกกกก มากแบบต่อแถวขึ้นเครื่องเล่นในยูนิเวอร์แซล
แลกบัตรมาเรียบร้อย ลำดับต่อไปก็ไปรอขึ้นลิฟต์
บัตรที่เราซื้อมาเป็นแบบ combo ticket จะสามารถเข้าจุดชมวิวได้ทั้งชั้น 350 เมตรและ 450 เมตร จริง ๆ ก็คือคุ้มนะ ถ้าใครจะมาแนะนำให้ซื้อแบบ 2 ชั้นไปเลย แต่ถ้าอยากเข้าชั้นใดชั้นนึงก็ซื้อแยกได้ เข้าไปดูรายละเอียดในเว็ปไซต์ทางการของเขาได้เลยจ้า จิ้ม Tokyo Skytree
วันนี้อย่างที่บอก ท้องฟ้าครึ้มมาก มองไกล ๆ ไม่ค่อยเห็น จริง ๆ ถ้าฟ้าเคลียมากจะมองเห็นภูเขาไฟฟูจิเลยด้วยซ้ำ เสียดายจังน้า
ชอบท่อทางเดินของชั้น 450 เมตรมาก ถึงแม้จะรู้สึกกลัวความสูง แต่ก็มีความคิ้วท์อยู่
กิจกรรมที่สามารถทำได้เมื่อมาที่นี่ก็จะมีหลากหลายทั้ง บริการถ่ายรูปก็จะมีฉากให้ถ่าย มีหน้าจอสัมผัสให้ดูว่าวิวรอบ ๆ นี้มีอะไรบ้าง อยากดูอะไรต้องไปฝั่งไหน ที่เสาก็จะมีทิศให้ดูอยู่ มีกระจกใสให้มองลงไปด้านล่างได้ หวาดเสียวเล็ก ๆ กับกระจกใสที่มีตากล้องบริการถ่ายรูปให้อยู่ จุดที่มีบริการถ่ายรูปเราก็ต้องเสียเงินเพื่อซื้อรูปด้วย ใครสนใจเก็บเป็นที่ระลึกก็ไปต่อแถวถ่ายได้
นอกจากนี้ก็ยังมีกิจกรรมน่ารัก ๆ ที่น่าจะเหมาะกับเด็ก ๆ คือตอนเข้ามาเราจะได้แผ่นพับ ที่ด้านในสามารถสะสมตัวปั๊มของแต่ละชั้นได้ พอเราไปที่ชั้นไหนก็หาจุดที่มีตัวปั๊มอยู่ เพื่อสุดท้ายจะเอาไปแลกสติกเกอร์ที่ระลึก เราอยากได้ตัวปั๊มของสกายทรีที่นอกเหนือจากตัวปั๊มตามชั้น แต่มีป้ายติดไว้ว่าต้องซื้อโปสการ์ดถึงจะปั๊มได้ เราก็เลยไปซื้อโปสการ์ดมา 2 อัน อันนึงเป็นแบบ 3D พลิกแล้วแว้บ ๆ อีกอันเป็นภาพปริ้นบนไม้
ชอบอันที่เป็นลายซากุระมาก เพราะเป็นเนื้อกระดาษที่ทำจากเนื้อไม้แบบแล่บาง ๆ มาต่อกัน
(4) Lunch at Shimbashi Station
หิวแล้วงอแงมาก เพราะไม่รู้จะกินอะไรดี เราเดินทางมาที่สถานีชิมบาชิ เพราะจะเป็นจุดเชื่อมต่อให้เดินทางไปยังโอไดบะ จุดหมายต่อไปของวันนี้ แต่เราไม่รู้จะกินอะไรดี ก็เลยเดินไปเดินมาเสิชหาอยู่พักใหญ่ จนไปเจอร้านราเมงที่อยู่ใต้สถานี เอาวะ กินก็กิน เป็นร้านแบบนั่งเป็นแถว ๆ ไม่มีโต๊ะแยก รอสั่งนานหน่อย หรือเพราะหิวมากก็ไม่รู้ T^T
รสชาติอร่อยเลยแหละ
ทานเสร็จแล้วก็ออกเดินทางต่อไปจ้า การเข้าออกสถานีของวันนี้ก็เหมือนเมื่อวาน ไม่ต้องห่วงว่าจะเปลืองค่าเมโทรเพราะมีพาส
(5) Odaiba
การเดินทางในเกาะโอไดบะจะแตกต่างจากบริเวณอื่น เพราะว่ามีบัตรและสายรถไฟแยกเป็นของตัวเอง เราเลือกซื้อพาส แต่ใช้ไม่คุ้มเลย เพราะไปแค่ 2 สถานี มีสถานีนึงที่ลงไปแล้วไม่ได้ไปไหน เพราะลงผิดอัน แต่พอซื้อพาสมามันก็เซฟตรงนี้แหละ ลงผิดเป็น 10 ครั้งก็ยังราคาเดียว ปิ้ว ๆ
ตรงลานมีการแสดงที่วนต่อกันเป็นชุด ๆ เหมือนงานเทศกาลแบบที่เคยอ่านในมังงะและดูอะนิเมะเลย
อีกแลนด์มาร์กย่อม ๆ ของโอไดบะ เทพีเสรีภาพจำลอง
(6) DiverCity Tokyo Plaza
เข้ามาเพราะพี่เจอยากซื้อของเล่น เลยขึ้นไปชั้นบนที่มีร้านขายกันดั้มอยู่
และระหว่างพี่เจกำลังเพลิดเพลินกับอาณาจักรของเล่น เราก็ขอปลีกตัวลงไปคีบตุ๊กตา เสียไปเป็นหมื่นก็ไม่ได้เธอกลับมา ฮืออออ ก็คือคีบไปเยอะมาก แบบหน้ามืด แต่ไม่ได้ไรเลย น่าเอาไปหยอดกาชา
ด้านในร้านมีจัดแสดงกันดั้มในแต่ละรุ่นด้วย ว้าวว
สิ่งนึงที่พลาดไม่ได้เลยก็คือ คุณเขาแปลงร่างเด้อ จะมีตารางเวลาบอกว่าจะแปลงร่างเวลาไหนบ้าง แต่หลัก ๆ ก็มีเวลาตายตัวไปเลย วันละ 2 รอบ รอบที่เราดูคือตอน 5 โมงกว่า ๆ แต่แปลงเสร็จก็มืดแล้ว
(7) teamLab★Borderless
เป็นสถานที่นึงที่พูดได้เต็มปากว่า การจัดการแย่มากแม่ คือเราซื้อบัตรมาจาก klook เขาก็จะให้ไปต่อแถวที่ซื้อบัตรออนไลน์มา ส่วนคนที่ยังไม่ได้ซื้อ มาซื้อหน้างานก็ไปอีกแถวนึง เวลาจะถึงคิวเขาก็จะให้เดินขึ้นไปด้านบน เข้าไปด้านใน ร่นแถวเป็นตอนสั้น ๆ ซึ่งตอนนี้แหละ มั่วมาก ไม่รู้จะให้ร่นทำไม กลายเป็นคนที่มาทีหลังได้อยู่หน้าไปแล้ว เพราะตอนเดินเข้าเขาก็กวาด ๆ คนเข้าไป มันก็มีคนแทรก ๆ มั่ว ๆ อยู่ดี
แต่พอเข้ามาได้แล้วก็เออ สวยดี ถึงจะเป็นวันที่คนเยอะมาก ๆ เลยก็เถอะ เราเข้าไปตอนช่วงเย็นแล้ว อาจจะมีเวลาไม่มากนัก ทางเดินข้างในก็งงมาก กว่าจะหาแต่ละห้องเจอ เป็นหลงไปเรื่อย แถมได้เจอห้องไม่ครบด้วย เสียใจ มีห้องที่คนเยอะเกินจนไม่เข้า ได้แก่ ป่าโคมไฟ รอแถวเป็นชั่วโมง ก็เลยไม่ได้รอแล้วไปเดินส่วนอื่นต่อ
นอกจากนิทรรศการที่แบ่งเป็นห้อง ๆ ก็มีกิจกรรม interactive แบบวาดภาพแล้วเอาไปสแกนฉาย มี 2 โซน
โซนที่เป็นตู้ปลาจะอยู่ในห้อง เดินเข้ามาลึกหน่อย แต่โซนผีเสื้อจะอยู่ห้องแรก ๆ ตรงกลางที่เป็นเนิน มีอย่างอื่นนอกจากปลาและผีเสื้อให้วาดนะ เลือกตามอัธยาศัยเลย กิจกรรมนี้ผู้ใหญ่ก็ทำเยอะ ไม่ใช่เฉพาะเด็กเท่านั้น
มาดูประมวลแสงสีภายในกันดีกว่า เราเข้าห้องไม่ครบแล้วก็มีวนไปวนมาบ้างเพราะงงทาง ห้องที่เป็นคริสตัลจริง ๆ มีแอพให้เล่นด้วย แต่โทรศัพท์เราแบตจะหมด แถมโหลดมาลองแล้วก็ไม่ได้ เลยไม่ได้เล่น แล้วชมแสงสีอย่างเดียว บางห้องต้องต่อแถวเข้าเป็นรอบ เพื่อประสบการณ์ที่ตระการตาที่สุดเด้ออ
(8) Daikanransha Ferris Wheel
ตอนแรกคิดว่าคงไม่ได้ขึ้นแล้ว เพราะก่อนเข้าทีมแลปเห็นว่าคนเยอะ เลยตัดใจไปทีมแลปเลย แต่พอออกมาคนก็ไม่เยอะมากแล้ว แถมมันก็ดึกแล้วด้วย วังเวงมาก ขึ้นชิงช้าสวรรค์ตอนกลางคืนอีกแล้ววว ราคาคนละ ¥1,000 กระเช้านึงจะนั่งได้ 6 คน แต่จริง ๆ มันดูแคบมากเลยนะ มีกลุ่มที่มากัน 6 คนจริง ๆ แต่เป็นผู้ชายกันหมดเลย พนักงานเลยขอให้แยกกระเช้าละ 3 คนแทน
กระเช้าพาสเทลน่ารักสดใส ตั๋วที่ออกแค่ใบเดียวต่อ 1 กระเช้าแล้วระบุจำนวนคนเอาไว้เลย
วิวจากด้านบนชิงช้าสวรรค์ อากาศหนาวมากกกกกกก
(9) Dinner at Shimbashi Station
ร้าน Izakaya เหมือนกัน แต่จำชื่อร้านไม่ได้แล้ว ไม่เคยจะจดชื่อร้านอะไรเลย บ้าบอมาก เลยลองไปถามเติ้ลดู คุณพระ เพื่อนสามารถบอกได้ แต่มันไม่บอกว่าจดไว้ จำได้ หรือหามาตั้งแต่ก่อนไป ร้านนี้จะไม่มีโซนไม่สูบบุหรี่ ก็นะ ร้านแบบนี้ใครเข้ามาก็ต้องสูบทั้งนั้นอ่ะแก 5555555
เราเข้าร้านนี้เพราะ ทุกอย่าง ¥190 ที่เขียนอยู่หน้าร้าน เข้าไปแล้วก็สั่งยับ ยับบบบ แต่เรื่องจริงคือไม่ยับเท่า Isomaru เมื่อวาน 5555555555555 ไม่มีรูป ไม่มีแบบจริง ๆ เลยอันนี้ เลยไปขโมยจากกูเกิ้ลมาแบบเปิดเผยกว่าที่เคย ใครจะตามไป จิ้ม Ikkenme Sakaba
แย่งภาพมาจาก Google maps เจ้าเดิม
จบไปก่อน 4 วันแรก เขียนกันแบบลากเลือดโคตร บางอันจำรายละเอียดได้ลางมาก แต่ทำบันทึกเป็น pocket book ท่องเที่ยวญี่ปุ่นไว้ อ่านแล้วไม่หลงแน่นอน แต่ก็ยังสับสนชินจูกุกับชิบูย่าอยู่นะ ใครจะไปเที่ยวต่อ จิ้มพาร์ท 2 ได้เลยน้าาาาาา
CLICK PART 2: ไปต่อกันเลยจ้าา ☞
Parn-J Vacation
วันอาทิตย์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 เวลา 14.58 น.