สวัสดีจ้า … กลับมาเจอกันอีกแล้วกับทริปขี่มอเตอร์ไซค์ นี่ถือเป็นทริปใหญ่ประจำปีของกลุ่มเรา รอบนี้เราไปแบบออนทัวร์ เพราะเราจะไปเยือนถึง 3 จังหวัด เริ่มตั้งแต่ลำปาง ต่อด้วยเชียงใหม่ และจบลงที่ตาก ใช้เวลาทั้งหมด 4 วัน 3 คืน ทริปนี้เราเน้นขี่รถไปพักผ่อนตามชุมชนที่ลายล้อมด้วยธรรมชาติ เพราะที่พักของเราในเป็นแบบโฮมสเตย์ทั้งหมด บอกเลยว่าที่พักของเราเด็ดดวงเหมาะกับการมาพักผ่อนสุด
ก่อนอื่นขอเล่าที่มาที่ไปของทริปนี้ก่อนแล้วกันเนาะ ทริปนี้เราวางแผนกันมานานมาก อย่างที่บอกว่านี่ถือเป็นทริปใหญ่ประจำปี แล้วก็ใช้เวลาไปหลายวัน พวกเราเริ่มจากการมาร์คที่พักที่เป็นจุดหมายปลายทางของแต่ละวันกันไว้ก่อน แต่ก็จะให้การขี่แต่ละวันไม่เหนื่อย และไกลมากนัก แต่หลังจากวางแผนเสร็จไม่นาน Covid-19 ก็เข้าจู่โจม สถานการณ์ในบ้านเราเริ่มที่จะควบคุมไม่ได้ มีการประกาศมาตรการต่างๆ ทั้งพรก. ฉุกเฉิน ตามมาด้วยเคอร์ฟิว ทำให้ช่วงนั้นเรากังวลกันมากว่าทริปของพวกเราจะยังคงอยู่มั้ย เพราะได้จองและมัดจำที่พักไปเรียบร้อยแล้ว ตอนนั้นได้แต่ภาวนาให้สถานการณ์ดีขึ้นโดยเร็ว และจนมาถึงช่วงเดือนมิถุนายนสถานการณ์ต่างๆ ก็คลี่คลายลง เริ่มมีการผ่อนปรนในระยะต่างๆ ทำให้เรายังมีหวังว่าทริปของเราจะไม่ล่มแล้ว และในที่สุดวันที่เรารอคอยก็มาถึง วันที่เรารอจะได้ออกเดินทางอีกครั้ง ไปลุยกันเลยยยยยยย …
ทริปนี้เราเดินทางกันทั้งหมด 18 คน มีรถมอเตอร์ไซค์ 7 คัน และรถยนต์อีก 3 คัน เดินทางออกจากกรุงเทพกันประมาณตี 1 กว่าๆ มุ่งหน้าสู่ จ. ลำปาง จุดหมายแรกของพวกเรา เราวาร์ปไปเจอกันที่ลำปางเลยเนาะ
เช้านี้ที่ลำปาง ( จริงๆ ก็สายแล้วแหละ ) พวกเรามาแวะกินข้าวกันที่ตัวเมือง แถวๆ หน้าสถานีรถไฟลำปาง " ร้านบะหมี่เกี้ยวโกใจ๋ (สูตรเบตง) " ซึ่งเป็นร้านของพี่ในกลุ่มเรานั่งเอง เป็นร้านก๋วยเตี๋ยว มีหลากหลายเมนูให้ได้เลือกทานกัน เรา 2 คนก็จัดมากันคนละชาม ( เกี๊ยวกุ้งจักรพรรดิ , เย็นตาโฟ ) แถมอีกชามมากินด้วยกัน ( ก้อนโล่วหมิ่น เป็นบะหมี่แห้งสูตรเบตง ) ใครผ่านไปผ่านมาแถวนี้ก็อย่าลืมแวะเข้ามาชิมก๋วยเตี๋ยวสูตรเบตงกันได้นะ บอกเลยราคาไม่แพง ปริมาณเกินคุ้ม
กินอิ่มก็นั่งคุยกันสักแปป จากนั้นพี่ก็ชวนพวกเราออกไปถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกัน ถ่ายรูปเสร็จก็ต้องโบกมือลากันแล้ว แล้วจะแวะมาใหม่น้า 👋🏻👋🏻
ออกจากร้านก๋วยเตี๋ยวเราก็เดินทางต่อไปยัง " อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน " ใช้เวลา 1.30 ชั่วโมง ก็มาถึงทางเข้าแล้ว พวกเราก็ชำระค่าเข้า พร้อมกับลงทะเบียน + ตรวจวัดอุณหภูมิ เสร็จเรียบร้อยแล้วก็เข้าไปเดินเที่ยวข้างใน แต่พอเราจอดรถเสร็จปุ๊บ ฝนก็ตกลงมาปั๊บ ต้องเดินเที่ยวชุ่มฉ่ำแบบนั้นแหละ
ฝนก็ตกๆ หยุดๆ สลับกัน แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาในการถ่ายรูปของพวกเรา
ภาพที่เราเห็นเป็นประจำไม่ว่าเราจะไปบ่อน้ำพุร้อนที่ไหนๆ ก็ตาม ก็คือ ตะกร้าไข่ต้มนั่นเอง อันนี้นักท่องเที่ยวก็เอามาหย่อนต้มไว้ ทางพี่ๆ เจ้าหน้าที่บอกว่าใช้เวลาในการต้มประมาณ 15 - 20 นาที ไข่ก็จะออกมาสุกกำลังน่าทาน ใครแวะมาก็อย่าลืมหิ้วไข่มาต้มกันด้วยนะ
เดินเที่ยวถ่ายรูปกันเสร็จ ก็ได้เวลาไปต่อกันแล้ว
ออกจากอุทยานก็ขี่รถต่อไปที่ชุมชนบ้านป่าเหมี้ยง จากอุทยานระยะทางไม่ได้ไกล แต่ถนนจะค่อนข้างแคบและชัน เราต้องใช้ความระมัดระวังกันเพิ่มมากขึ้น
ถึงแล้วที่พักของเรา " คนบนดอยโฮมสเตย์ " จอดรถเก็บของ อาบน้ำอาบท่ากันก่อน แล้วเดี๋ยวไปเดินเล่นในหมู่บ้านกัน
ที่พักเป็นโฮมสเตย์ที่อยู่ติดลำธาร มี 4 ชั้นลดลั่นกันลงไป แต่ละชั้นก็จะมีห้องนอน 1 ห้อง นอนได้ 4 คน และชั้นล่างสุดเดินออกจากห้องก็เจอลำธารเลยมี 2 ห้อง ห้องละ 2 คน เรามากันหลายคนพี่เค้าก็เลยให้เราเหมาไปเลยทั้งหลัง มีลานตรงกลางบ้านเอาไว้ทานข้าว นั่งเล่น ส่วนห้องน้ำก็มีชั้นละ 1 ห้อง
มาตอนหน้าฝนบรรยากาศก็จะเขียวๆ หน่อย ร่มรื่นสุดๆ ไปเลย
ตรงลำธารมีแปลไม้อยู่ มานอนฟังเสียงน้ำตรงนี้ก็ผ่อนคลายดีนะ ถ้าใครร้อนแะนำลงแช่น้ำเลย เพราะน้ำเย็นมาก
ในบ้านมีมุมกาแฟด้วยนะ สามารถบอกพี่เจ้าของให้พี่เค้ามาชงให้ได้เลย
ระหว่างรออาหารเย็นตอน 18.30 น. เราก็ยังมีเวลาออกไปเดินเล่นในหมู่บ้าน บรรยากาศในหมู่บ้านก็จะสงบเงียบ ไม่พลุกพล่าน จะมีร้านค้าเล็กๆ อยู่ไม่กี่ร้าน ขายพวกของสด ผักต่างๆ อาหาร และพวกขนมคบเคี้ยว น้ำดื่มต่างๆ มี street art ไว้ให้นักท่องเที่ยวได้มาถ่ายรูปด้วย
แล้วก็ถึงเวลาอาหารเย็นของพวกเราแล้ว มาเป็นแบบขันโตกเลย กับข้าวก็เป็นกับข้าวพื้นเมือง มีทั้งจอผักกาด ยำปลากระป๋องใบเหมี้ยง ทอดมันหัวปลี ผักทอด และน้ำพริกหนุ่มพร้อมผักลวก และข้าวอัญชันสีสวยน่าทาน
หลังจากอิ่มแล้วก็นั่งคุยกันสักพักแล้วก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน ตอนหัวค่ำอากาศก็จะเริ่มเย็นลง ไม่ต้องมีพัดลมก็ทำให้นอนหลับสบาย … คืนนี้ฝันดีราตรีสวัสดิ์ 👋🏻👋🏻
อรุณสวัสดิยามเช้ามืด เช้านี้เราจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่กิ่วฝิ่น อยู่ห่างจากที่พักของเราไม่ไกล แต่ทางก็จะชันและแคบเหมือนเดิม บางจุดมีทางน้ำผ่าน ทราย โคลน ระวังกันด้วยนะ
เราไปถึงกันตอนเกือบ 6 โมง ข้างบนนี้คนเยอะมากส่วนใหญ่ก็จะขึ้นมาจากทางแม่กำปอง ตรงที่จอดรถก็จะมีร้านขายพวกกาแฟ ชา ไข่ลวก เผื่อใครหิวก็แวะซื้อก่อนขึ้นไปข้างบนได้
จอดรถเสร็จก็เดินขึ้นไปที่จุดชมวิว ระยะทางเดินไม่ไกล แค่ 200 เมตร เดินไปคุยไปแปบเดียวก็ถึงแล้ว เช้าๆ แบบนี้หมอกลงจัด พื้นก็จะลื่นๆ หน่อย อย่าคุยเพลินล่ะเดี๋ยวจะล้มเอา
ถึงแล้วก็รอเวลาพระอาทิตย์ขึ้น แต่ดูเหมือนวันนี้เราจะไม่ได้เห็นพระอาทิตย์แล้วล่ะ เพราะหมอกลงหนามาก แต่ก็ไม่เป็นไรถือว่าขึ้นมาถ่ายรูปก็แล้วกัน จะเห็นได้ว่าคนข้างล่างที่เจอว่าเยอะแล้ว ข้างบนเยอะกว่ามาก
เราอยู่กันจนคนซา ก็ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าถ่ายรูปเล่น ดื่มด่ำกับบรรยากาศ จนได้มาเป็นคอลเลคชั่นก้าวคนละก้าวของพวกเรา
ใกล้จะ 8 โมงแล้วเรากลับไปที่พักกัน เพราะอาหารเช้าจะมาตอนประมาณ 8.30 น.
ถึงบ้านแล้วอาหารก็มาพอดี เช้านี้มีข้าวต้มหมูร้อนๆ พร้อมกับผัดมะระหวาน และไข่เจียว
กินข้าวเสร็จระหว่างที่รอคิวอาบน้ำเราก็มาสั่งกาแฟจิบหน่อย พี่เจ้าของบอกว่านี่เป็นกาแฟอาราบิก้า ที่พี่เค้ากับชาวบ้านปลูกและแปรรูปกันเอง ทำเป็นวิสาหกิจชุมชน
แถมด้วยชาร้อนๆ จิบตอนอากาศเย็นๆ ดีมากเลย
แล้วก็ได้เวลาอาบน้ำ เสร็จก็เก็บของ เตรียมตัวออกเดินทางแต่ก่อนออกก็เก็บรูปหมู่กันซะก่อน 1 … 2 … 3
สายแล้วออกเดินทางกันดีกว่า จุดหมายของวันที่ 2 อยู่ที่เมืองคอง จ. เชียงใหม่ เราได้ขี่ผ่านแม่กำปอง จะบอกว่ารถติดมาก และคนเยอะมาก กว่าจะหลุดออกมาได้ก็นานโขอยู่
หลังจากออกมาได้แล้วเราก็แวะไปกินข้าวกลางวันกันก่อน มาเหนือก็ต้องได้กินข้าวซอย ขนมจีนน้ำเงี้ยวสิ เราแว๊บออกนอกเส้นทางนิดนึง ไปกันที่ " ร้านข้าวซอยลำดวนฟ้าฮ่าม 2" อยู่ตรงเส้นซุปเปอร์ไฮเวย์
กินเสร็จก็ขี่รถกันต่อ … 🛵🛵🛵
เมืองคอง เป็นชุมชนเล็กๆ อยู่ในเขต อ. เชียงดาว ใช้เส้นทางเดียวกับบ้านนาเลาใหม่ ไปจนถึงบ้านระเบียงดาว แล้วก็ขี่ไปต่ออีกประมาณ 24 กม. แต่เป็น 24 กม. ที่คิดในใจว่าเมื่อไหร่จะถึงนะ ทางก็แบบขึ้นเขา ลงเขา บางช่วงก็เป็นหลุมเป็นบ่อ ใกล้จะถึงอาจจะมีน้องวัวเดินกันอยู่บนถนน ยังไงก็ระวังน้องด้วยนะ พอขี่มาถึงที่พักก็รู้สึกว่า " ดีใจจังที่ได้มา " บรรยากาศก็จะคล้ายๆ กับบ้านป่าบงเปียงที่เราไปมา สงบ ร่มรื่น ได้อยู่กับธรรมชาติจริงๆ
อ้อ … ลืมบอกไปว่าเราต้องผ่านด่านตรวจ เราต้องลงไปลงชื่อเข้า - ออก แล้วก็ชำระค่าเข้ากันคนละ 20 บาท รถอีกคันละ 20 บาท
ที่พักของเราวันนี้ชื่อ " บ้านนอกฮอกควาย โฮมสเตย์ "
ที่บ้านนอกฮอกควายนี้มีบ้านอยู่หลายหลัง ที่พวกเราอยู่กันก็เป็นบ้านโดม 2 หลัง , บ้านกลางนา , บ้านชายทุ่ง
ที่มาของชื่อโฮมสเตย์ บ้านนอกฮอกควาย ก็มาจากเจ้าสิ่งที่ใส่ตรงคอของวัวควาย เค้าเรียกว่า " ฮอก " เราก็เพิ่งรู้จักเนี่ยแหละ คิดว่าฮอกคือคอกซะอีก 😝😝
เราสามารถมองเห็นดอยหลวงเชียงดาวจากที่พักด้วยนะ บรรยากาศดี มาใช้ชีวิตแบบ slow life ได้เลย
ไปดูบรรยากาศรอบๆ ที่พักกัน
นี่บ้านกลางนามีอ่างน้ำให้ด้วยนะ เป็นหลังเดียวที่มีแบบนี้เลย
วันนี้เราจัดหมูกระทะจากโฮมสเตย์มา 2 ชุด ชุดละ 500 บาท หมูสามชั้นหมักน้ำมันงาหอมมาก แล้วเราก็ไปซื้อหมูมาเพิ่มกันอีก 4 โล มื้อนี้จัดหนักจัดเต็มเอาให้จุกๆ ไปเลย เราก็มานั่งกินกันที่โรงอาหารส่วนกลาง
กินเสร็จกันก็แยกย้ายพักผ่อน ฝันดีราตรีสวัสดิคืนที่ 2 อากาศกลางคืนเย็นๆ หลับสบายเหมือนเดิม
วาร์ปมาตอนเช้า ตื่นมารับแสงแดดยามเช้า บางคนก็ออกมานั่งชมวิวอยู่หน้าบ้าน
บางคนตื่นก็หิวเลย หิวแบบนี้ทางที่พักก็จัดอาหารให้เลย เช้านี้มีขนมปังปิ้ง พร้อมกาแฟ โอวัลติน ยังไม่หมดนะยังมีข้าวต้มร้อนๆ พร้อมไข่ลวกด้วย
เสร็จแล้วก็แยกกันไปอาบน้ำ เก็บข้าวเก็บของ ระหว่างที่รอห้องน้ำอีกแล้ว เราไปเที่ยวในหมู่บ้านกัน พี่เจ้าของบอกว่าจะมีสะพานแขวนอยู่ก็ขอไปดูสักหน่อย โดยมีคุณลุงเจ้าถิ่นนำทางให้
เดินข้ามสะพานมาไปก็เป็นนาขั้นบันไดของชาวบ้าน ตอนนี้เค้าก็กำลังเอาน้ำเข้านากันอยู่
แว๊บออกมาแปปเดียว กลับไปอาบน้ำ เก็บของ
ที่โฮมสเตย์มีร้านกาแฟของตัวเองด้วยนะ อย่าลืมเข้าไปนั่งจิบกาแฟชิวๆ กันนะ
ออกจากที่พักเรามาแวะถ่ายรูปกันตรงสะพานแม่น้ำเมืองคอง
ที่นี่มีกิจกรรมล่องแพด้วยนะ แต่พวกเราเวลาน้อยเลยอดเล่นเลย เดี๋ยวค่อยกลับมาเล่นรอบหน้า
ออกจากเชียงดาวแล้ว เราก็วิ่งตามถนน 107 ระหว่างทางเราเห็นเป็นสวนสนอยู่ข้างทาง ชื่อ " สวนสนแม่แตง @อินทขิล " เราก็ขอแวะถ่ายรูปกันสักหน่อย
ถ่ายรูปกันอยู่ก็มีรถไอติมมา ตอนนี้ทุกคนไปรุมรถไอติมกันหมด กินไอติมก่อนก็ได้
แล้วก็มาถ่ายรูปกันต่อเนาะ จะได้เดินทางกันต่อ
เดินทางกันต่อ ออกจากเชียงใหม่เราไปแวะกินมื้อกลางวันกันแถวๆ ห้างฉัตร จ. ลำปาง ที่ " ครัวกะลา " เราสั่งเป็นก๋วยเตี๋ยวโบราณมา ได้เยอะมาก ครัวกะลาก็ต้องเสริฟด้วยถ้วยกะลา ไม่ได้มีเฉพาะเมนูก๋วยเตี๋ยวนะ ยังมีข้าว ผักไท สุกี้ เยอะแยะมากมาย เผื่อใครหาร้านที่จะแวะทานระหว่างทาง
จุดหมายของเราคืนนี้ชื่อ " ดอยมูเซอ โฮมสเตย์ " แต่เรามาถึงที่พักก็มืดแล้ว เดี๋ยวค่อยไปดูบรรยากาศกันตอนเช้าแล้วกันนะ
ที่นี่ก็จะมีบ้านเป็นหลังๆ มีทั้ง 2 คน 3 คน บ้านหลังใหญ่ที่นอนได้เยอะๆ ก็มีนะ นอนได้ตั้ง 13 คน แล้วก็เดินทางมาง่าย อยู่ติดถนนใหญ่เส้น 12
ที่นี่ไม่ได้มีอาหารให้นะ ตอนเช้าเราก็ไปหาอะไรกินกันที่ตลาดมูเซอ ส่วนใหญ่ที่ตลาดก็จะเป็นพวกของฝากต่างๆ แต่ก็จะมีของทอด ข้าวเหนียว กับข้าวนิดหน่อย
กินเสร็จแล้วเราก็ต้องกลับกันแล้ว วันนี้วันสุดท้ายแล้ว 4 วัน 3 คืนของพวกเราเป็นยังไงบ้าง เอาจริงอยากกลับไปนอนเล่นชิวๆ ที่พักมาก ต้องมีรอบหน้าแน่นอน ขอบคุณทุกคนสำหรับทริปลุยฝนของพวกเรา แล้วพบกันใหม่ทริปหน้า บาย 👋🏻👋🏻👋🏻
แถมอีกนิดเราแวะกินข้าวที่ร้านเพื่อนที่อุทัยธานี ชื่อร้านบ้านสวน จะบอกว่าอาหารอร่อย ราคาไม่แรงด้วย แถมที่นี่มีที่พักด้วยนะ
ค่าใช้จ่าย
- ค่าเข้าอุทานแห่งชาติแจ้ซ้อน ( รถ 1 คัน + 2 คน ) 100 บาท
- คนบนดอยโฮมสเตย์ คนละ 450 บาท ( รวมอาหารเช้า , เย็น )
- ค่าเข้าไปเมืองคอง คนละ 20 บาท รถคันละ 20 บาท
- บ้านนอกฮอกควาย คนละ 500 บาท ( รวมอาหารเช้า )
- ดอยมูเซอร์ โฮมสเตย์ จะมีหลายราคา ( ห้อง 2,3 คน ราคา 400 ,600 บาท ส่วนห้องใหญ่ 13 คน ราคา 1,500 บาท)
เที่ยวแบบเรา : Once-a-month
วันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2563 เวลา 09.53 น.