ในวันที่สอง ช่วงเช้าเราจะไปเที่ยว Yotoki Inari Shrine กัน ซึ่งละครไทยเรื่อง กลกิโมโน และ Stay in Saga เคยมาถ่ายทำที่นี่ (ไม่เคยดูหรอกนะ 5555) เราออกเดินทางจากสถานีนางาซากิ ไปยังสถานี Hizen-Kashima ซึ่งอยู่ขอบๆของเมือง Saga ก่อนที่จะกลับไปยังสถานี Hakata ที่มาเมื่อวันแรก ใช้เวลา 1 ชั่วโมง 9 นาที
ลงจากสถานีรถไฟ ก้อต่อรถบัสอีกต่อ แล้วเดินตามทางไปอีกนิดก้อจะเจอโทริอิอันใหญ่ สถานที่ท่องเที่ยว วัดและศาลเจ้าของญี่ปุ่นนี่เหมือนกันหมด คือจะบังคับให้เดินผ่านถนนที่เต็มไปด้วยร้านของกินของฝากเยอะแยะมากมาย กว่าจะถึงสถานที่ท่องเที่ยวจริงๆเงินในกระเป๋าก้อเบาลงไปเยอะล่ะ
หน้าวัดจะมีโทริอิหินอันใหญ่ๆอยู่ เดินต่อไปอีกนิด ต้องร้องว๊าวววววเลย วัดสวยมาก แต่ก่อนเข้าวัดต้องเดินไปทางซ้ายก่อน เป็นธรรมเนียมของญี่ปุ่นก่อนเข้าวัดทุกครั้ง
หากใครเคยไปเที่ยววัด หรือ ศาลเจ้าญี่ปุ่น จะเป็นที่สังเกตุได้ว่า หน้าทางเข้าทุกวัดจะมีบ่อน้ำ พร้อมกระบวยตักน้ำอยู่ ตามความเชื่อของชาวญี่ปุ่น บ่อน้ำนี้มีไว้ให้สำหรับผู้ที่มาขอพรที่วัดได้ชำระล้างร่างกายให้สะอาดก่อนจะเข้าไปขอพร โดยให้ทำการล้างมือทั้งสองข้าง และบ้วน หรือกลั้วปาก แต่ห้ามใช้ปากสัมผัสกระบวยโดยตรง เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้คว่ำกระบวยตักน้ำไว้ที่เดิม ที่นี้เราก้อพร้อมที่จะเข้าไปในวัดกันแล้ว
Yutoku Inari Shrine สร้างขึ้นในปี 1688 เป็นศาลเจ้านิกายชินโต ประจำตระกูลนาเบะชิมะ(Nabeshima clan) ผู้ปกครองเมืองซากะ ในสมัยเอโดะ หน้าศาลเจ้ามีสะพานสีแดงคู่กับแม่น้ำสายเล็กๆเป็นจุดถ่ายภาพที่สวยงามเลยทีเดียว
ศาลเจ้า Inari ในญี่ปุ่นมีด้วยกันกว่า 4หมื่นแห่ง โดยศาลหลักจะอยู่ที่เกียวโตคือ Fushimi Inari Shrine ส่วนที่เมือง Saga ศาลเจ้า Yutoku Inari Shrine ที่เราอยู่กันนี้ ใหญ่เป็นอันดับสามของญี่ปุ่น แต่มองดูตัวศาลเจ้าจะคล้ายๆวัด Kiyomizudera หรือวัดน้ำใสที่เกียวโตอยู่เหมือนกันนะ ทีนี้เราต้องเดินขึ้นบันไดสูงๆด้านซ้ายมือขึ้นไป
ดูความชันของบันไดหน่อย แต่นี่ยังแค่เริ่มต้น ใครเดินไม่ไหวเดินไปทางขวาจะมีลิฟท์ให้ขึ้นด้วย มาช่วงใบไม้แดงก้อจะสวยๆหน่อยแบบในรูปครับ
เดินขึ้นมาถึงด้านบนก้อพอเหงื่อซึมๆจะถึงตัวศาลเจ้าจริงๆล่ะ ชื่อ Inari จากชื่อของศาลเจ้า คือชื่อของเทพอินาริ มาจากคำว่า อิเนะ และ นาริ ซึ่งแปลว่าการเพาะปลูกข้าว เทพอินาริจริงๆแล้วประกอบด้วยเทพ 3 องค์คือ เทพแห่งข้าว อุคะโนะมิทามะ, เทพแห่งน้ำ โอมิยะโนะเมะ และเทพแห่งผืนดิน ซะตะฮิโกะ
ยังไม่หมดนะ ตางศาลเจ้ายังมีป้ายชี้ให้ขึ้นบันไดขึ้นไปอีก เขียนบอกไว้ว่าขึ้นไปอีก 300m ตรงนี้ไม่มีลิฟท์แล้ว ต้อเดินขึ้นไปอย่างเดียว ไหนๆก้อมาละ ลองเดินชึ้นไปดูกันครับ
ในระหว่าง 300 เมตรที่เดินขึ้นไป เราจะพบเสาโทริอิ เรียงรายกันไป สวยงามมากๆ เป็นมุมให้ถ่ายรูปได้อย่างดี แต่แอบบอกนิดนึงว่า ศาลเจ้า Fushimi Inari ที่เกียวโตสวยกว่านะ 55555
ศาลเจ้าจิ้งจอกที่อยู่ด้านบน แวดล้อมไปด้วยต้นไม้ร่มเย็นสวยงาม แต่เดี๋ยวก่อน ทีเด็ดของศาลเจ้านี้ยังไม่หมดแค่นี้ครับ
หลังจากเดินขึ้นมา 300เมตร นึกว่าจะหมดแล้ว แต่ยังมีทางเดินขึ้นเขาไปเรื่อยอีก ดูความชันสิครับ แถมไม่ใช้แค่ 300เมตรแบบเมื่อกี๊ ไม่รู้ว่าเดินขึ้นไปเท่าไหร่ แต่บอกเลยว่าเหนื่อยมากจริงๆ ต้องมีพักเป็นระยะๆเลยทีเดียว ระหว่างทางก้อจะมีโทริอิเรียงๆกันไปอีก
ระหว่างทางที่เดินขึ้นเขา เจอจุดใบไม้แดงสวยๆอยู่เหมือนกัน รูปprofile ก้อถ่ายจากตรงนี้แหละ แต่แนะนำว่าเดินรวดเดียวให้ถึงยอดก่อน แล้วค่อยแวะถ่ายรูปขากลับจะดีกว่า ไม่งั้นไม่ถึงยอดแน่ๆ
สมควรแก่เวลาก้อได้เวลาเดินลงเขาล่ะ ขาลงเดินสบายหน่อย ระหว่างทางมีศาลเจ้าเล็กๆ มีจุดถ่ายรูปให้แวะเรื่อยๆ เพลินมากๆ
ขากลับเห็นหนูน้อยชาวญี่ปุ่นใส่ชุดกิโมโนสวยงามสดใส เลยเดินเข้าไปขอคุณพ่อเค้าถ่ายรูปหน่อย ซึ่งเค้าก้อพยักหน้าแบบงงๆมา แบบว่ามาถ่ายรูปลูกเค้าทำไม 55555 เลยได้ภาพน่ารักๆภาพนี้มา
ขากลับเจอขนมแปลกๆดี รูปร่างเป็นหลอดๆ ดันด้านในขึ้นมาได้ เลยซื้อมาลองชิมสักหน่อย ปรากฎว่าข้างในเป็นถั่วแดง มีโรยน้ำตาลไว้ด้านบน หวานมากๆเลย แต่ซื้อมาแล้วเลยจัดการจนหมด
หลังจากช่วงเช้าเที่ยว Yotuku Inari Shrine ที่เมือง Saga เสร็จ เราก้อเดินทางกันต่อเข้าใจกลางเมือง Fukuoka จุดหมายปลายทางคือสถานี Hakata พระเอกของสองวันนี้คือ เจ้ารถด่วนสาย Kamome ที่พาเราเที่ยวทั้ง Nagasaki และ Saga
หลังจากเที่ยว Yutoku Inari Shrine เสร็จ ก้อนั่งเจ้ารถด่วนสาย Kamome กลับเข้าตัวเมือง Fukuoka โดยจุดหมายของเราคือสถานี Hakata ที่มาเมื่อวานนั่นเอง นั่งกันไปอีกชั่วโมงครึ่ง
หลังจากเก็บของเข้าที่พักเสร็จ นั่งรถจากสถานี Hakata ไปลงสถานี Gion ห่างกันแค่ 1 สถานีเอง จากนั้นเดินต่อเอาอีกหน่อย ก้อมาถีงศาลเจ้าที่เก่าแก่ที่สุดของเมือง Fukuoka กันแล้ว นั่นคือ Kushida Shrine ที่นี่มีชื่อในเรื่องการขอพรเกี่ยวกับสุขภาพครับ เราจะไปขอพรกัน
ก่อนเข้าไปขอพร เราก้อชำระล้างร่างกายให้สะอาดเหมือนเดิม บ่อน้ำที่ใช้ชำระล้างของแต่ละศาลเจ้าก้อจะมีรูปร่างหน้าตาแตกต่างกันออกไป ของที่นี่ทำเป็นเหมือนอ่างหินวางอยู่บนไม้ไผ่ แกะสลักไว้สวยงามเลย
ก่อนจะถึงตัวอาคารหลักของศาลเจ้า ก้อมีประตูกั้นอีกชั้นนึง วิหารหลังแรกในศาลเจ้า Kushida แห่งนี้ มีอายุด้วยกันถึง 1,200 ปีเลย โดยถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 757 โน่นแหนะ สร้างขึ้นโดยจักรพรรดิโคเคน(Koken) ให้เป็นศาลเจ้าของเทพโอคุชิดะ ซามะ ในศาสนาชินโตซึ่งเชื่อกันว่าจะได้ขอพรเกี่ยวกับการมีอายุยืนยาว สุขภาพแข็งแรงและประสบความสำเร็จในธุรกิจ ตัวอาคารมีการออกแบบและตกแต่งที่ความสวยงามตามสถาปัตยกรรมแบบชินโต ถ้าเรามาที่ Kushida Shrine
มาถึงอาคารหลักที่จะขอพรกันล่ะ การขอพรที่ศาลเจ้าในญี่ปุ่นนั้น นิยมโยนเหรียญลงไปในกล่องรับบริจาคด้วย โดยนิยมใช้เหรียญ 5 เยนกัน เนื่องจาก คำว่าเหรียญห้าเยน (五円) ในภาษาญี่ปุ่น พ้องเสียงกับคำว่า “โกะเอ็น” ที่ย่อมาจาก “โกะเอ็น กะ อาริมัส โยนิ” (ご縁がありますように) ซึ่งแปลง่ายๆได้ว่า “ขอให้โชคดีอยู่กับเรา” หลังจากโยนเหรียญเสร็จแล้ว ให้ดึงเชือกเพื่อสั่นกระดิ่ง แล้วโค้งคำนับ 2 ครั้ง หลังจากนั้นให้ปรบมือเสียงดังๆ 2 ครั้ง แล้วขอพร อธิษฐาน และคำนับอีก 1 ครั้ง เป็นอันเสร็จพิธี
ในช่วงเดือนกรกฎาคม ศาลเจ้า Kushida นั้นเป็นศูนย์กลางของงานเทศกาล Hakata Yamakasa Gion ซึ่งเป็นงานเทศกาล (Matsuri) ที่เก่าแก่ และมีชื่อเสียงที่สุดในเกาะคิวชูเลยทีเดียว ในวันสุดท้ายของงานเทศกาล จะมีการแข่งขันกันแห่เสลี่ยงยักษ์ ที่มีชื่อเรียกว่า Oiyama โดยผู้เข้าแข่งขันจะเป็นตัวแทนจากเขตทั้ง 7 เขตของ Hakata คือ Daikoku, Higashi, Nakasu, Nishi, Chiyo, Ebisu, and Doi สำหรับเสลี่ยงในการแห่ แบ่งได้เป็นสองแบบคือ Kazariyama และ Kakiyama โดยเสลี่ยงทั้งสองแบบจะทำขึ้นมาใหม่ทุกปี โดยจะตกแต่งตามสไตล์ของแต่ละเขต ภายใต้ธีมที่เปลี่ยนไปของทุกปี เสลี่ยงแบบ Kazariyama ปัจจุบันเลิกใช้แล้ว และได้นำไปประดับไว้ตามจุดต่างๆของเมือง ซึ่งหนึ่งในนั้นอยู่ที่ศาลเจ้า Kushida นี่เอง
สำหรับผู้ที่บริจาคเงินให้กับศาลเจ้า จะเขียนชื่อไว้ที่แผ่นไม้ และนำมาวางเรียงประดับไว้
ช่วงเย็นต้องขอไปลองร้านราเม็งร้านดังที่มีแต่คนพูดถึงกันหน่อย นั่งคือ Ichiran Ramen หรือที่คนไทยเรียกกันว่า ราเม็งข้อสอบนั่นเอง โดยนั่งรถไฟใต้ดินไปลงที่สถานี Nakasu Kawabata ร้านที่ไปกินวันนี้ เป็นร้านต้นตำรับสาขาใหญ่เลยทีเดียว ซึงร้านนี้มีสาขากว่า 80 สาขาทั่วประเทศญี่ปุ่น และขายมาตั้งแต่ปี 60 ทีเดียว
ร้านราเม็งข้อสอบจะมีเมนูหลักอยู่แค่เมนูเดียวคือ Tonkotsu Ramen หรือราเม็งหมูชาชู มีการเคี่ยวน้ำซุป ทงคัตสึสไตล์ญี่ปุ่น พร้อมกับหมูชาชู และ ใส่ด้วยซอสเผ็ดที่เป็นสูตรลับเฉพาะของ Ichiran Ramen ว่ากันว่า ซอสสูตรลับนั้นมีส่วนผสมกว่า 30 ชนิด ที่ทำการปรุงรสกันข้ามวันข้ามคืน แถมด้วยเส้นราเมงที่ทำให้ดูดลื่นกลืนง่าย พร้อมน้ำซุปหมูที่ผ่านการทดลองรสชาติกันเป็นแรมปี
ที่ร้าน Ichiran Ramen มีชื่อเรียกว่า ราเม็งข้อสอบ เพราะว่าทางร้านจัดที่นั่งให้เป็นคอกๆเป็นที่นั่งเดี่ยว และมีกระดาษคำถามให้ลูกค้าเขียน ในการเลือก option ต่างๆ เข่น ความมันของน้ำซุป ความเผ็ด topping เสร็จต่างๆเช่นไข่ต้ม หรือเพิ่มเนื้อหมู โดยก่อนเดินเข้าไปในคอก เราต้องไปกดซื้อราเม็งก่อนที่ตู้อัตโนมัติด้านหน้า แล้วจึงค่อยไปนั่งทำข้อสอบ หลังจากเสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้กดกริ่งเรียกพนักงาน ซึ่งพนักงานจะเปิดม่านด้านหน้าเรา และมารับตั๋วและข้อสอบไป
หลังจากรอไม่นานราเม็งก้อมาส่ง สิ่งแรกที่ติดใจคือน้ำซุปกระดูกหมู หอมอร่อย รสชาติดีมากๆ กลมกล่อมสุด แถมไม่มันเลี่ยนเหมือนราเม็งของที่อื่น เส้นบะหมี่หนึบๆ เคี้ยวอร่อย เพลินมากๆ แถมซอลเผ็ดซอสลับที่ว่า ก้อช่วยเพิ่มความเผ็ดนิดๆให้กับน้ำซุป ทำให้รสหวานเด่นขึ้นมาอย่างน่าอร่อย ใครยังไม่เคยไปแนะนำให้ไปลองเลยครับ แล้วจะไม่ผิดหวัง
หลักฐานครับ อร่อยสุดๆจนหยดสุดท้าย แล้วก้อได้เจออะไรแปลกๆ เอ๊ะ ก้นชามราเม็งมีตัวอักษรอะไรเขียนไว้ด้วย แปลออกมาได้ประมาณว่า “หยดสุดท้ายนี้คือความสุขอันสูงสุดของเรา” แหม ญี่ปุ่นเค้ามีกิมมิคเล็กๆน้อยๆให้เรายิ้มได้ตลอดเลยนะ หลังจากอิ่มกันแล้ว คืนนี้นอนพักที่ Hakata นี่แหละครับ ค้าง 2 คืน ไม่ต้องเหนื่อยเปลี่ยนโรงแรม และแล้วก้อจบในส่วนของวันที่สอง
ติดตามกันต่อได้ที่
https://www.facebook.com/TravelofSalaryMan/
https://www.facebook.com/voravuds
Voravud Santiraveewan
วันจันทร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564 เวลา 10.28 น.