ทริปใกล้บ้านคราวนี้ นับว่าเป็นทริปที่ประทับใจ และมีความสุขกันมากๆอีกทริปหนึ่ง
เป็นทริปที่เฝ้ารอเลยก็ว่าได้ เพราะแม่อยากไปดูดอกไม้สวยๆ ส่วนเด็กอยากไปดูน้ำพุ (อันนี้เพื่อนไปมาเมื่อปีที่แล้ว แล้วมาโม้ให้ฟัง เลยอยากไปบ้างค่ะ)
โดยปกติ ทางดาษดา จะจัดงานแสดงดอกไม้ในช่วงวันหยุดสำคัญๆเป็นช่วงๆ ตลอดปี
โดยเฉพาะช่วงปีใหม่หน้าหนาว จะจัดแสดงดอกไม้โดยเปลี่ยน theme ไปเรื่อยๆทุกๆปี
ปีนี้เป็น When The Flowers Say ซึ่งนอกจากงานแสดงดอกไม้แล้ว ยังมีกิจกรรมต่างๆให้นักท่องเที่ยวได้สนุกเพลิดเพลินได้ทั้งวัน
จากเมื่อก่อนเราคิดว่ามีแค่มาดูดอกไม้ ตอนนี้ไม่ใช่อีกแล้ว
ที่ดาษดามีอะไรบ้างนอกจากดอกไม้ ตามเด็กจิ๋วมาดูกันค่ะ...
**รีวิวนี้เป็น SR นะคะ สิ่งที่ครอบครัวเด็กจิ๋วได้รับจากทริปนี้ ก็คือ
ที่พักที่ Dasada Resort 1 คืนพร้อมอาหารเช้า
เด็กจิ๋วออกเดินทางท่องเที่ยวมาตั้งแต่อายุ 5 เดือนนะคะ ชมเรื่องราวการเดินทางของเด็กจิ๋วได้ที่นี่ค่ะ
https://www.facebook.com/DekJewChillOut
http://www.dekjewstory.blogspot.com/
https://www.youtube.com/user/DekJewChillOutเราออกเดินทางจากบ้านแถวๆประชาชื่นกันตั้งแต่ 7 โมงเช้า ใช้เวลาแค่ราวๆ 2 ชั่วโมงก็มาถึงดาษดา ปราจีนบุรีแล้วค่ะ
เช็คอินและฝากของไว้ที่ Lobby ของรีสอร์ทกันก่อน แล้วไปเดินเล่นดูงานแสดงดอกไม้ที่ Dasada Gallery กันค่ะ
สำหรับผู้ที่เข้าพักที่รีสอร์ท จะได้รับแจกสติ๊กเกอร์เล็กๆ ติดเสื้อโชว์ว่าเป็นแขกของรีสอร์ท ซึ่งจะสามารถเข้าชมงานแสดงดอกไม้ และกิจกรรมต่างๆได้ฟรีค่ะ
บริเวณล้อบบี้ ตกแต่งโปร่งๆ น่านั่งเชียวค่ะ
จากส่วนรีสอร์ทข้ามสะพานมานิดเดียวก็ถึงส่วนแสดงดอกไม้ค่ะ
เริ่มจากส่วน Main Hall Gallery กันก่อนนะคะ
เดินมาด้านหน้าจะเห็นกวางไม้เด่นชัดเลย theme ปีนี้ชูกวางไม้นี้เป็นตัวเอกเลยค่ะ
เด็กจิ๋วชอบมากๆ เอามือไปทำท่าป้อนอาหารกวางใหญ่เลย
ฟาแลน (Phalaenopsis) พันธุ์ดอกเล็กๆ สีสวยๆ ลายสวยๆ เต็มไปหมดเลยค่ะ ชอบมากๆ
เดินเข้ามาด้านใน เจอฝูงกวางน้อยเต็มไปหมดค่ะ มีน้องๆเจ้าหน้าที่กำลังเร่งจัดดอกไม้ประดับน้องกวาง
น้องเจ้าหน้าที่บอกว่าจะมีการซ่อมดอกไม้กันทุกๆวัน ตรงไหนเหี่ยวก็ซ่อมเอาออกใส่ดอกสดๆเข้าไปแทน
และทุกๆ สัปดาห์ก็จะมีการเปลี่ยนใหญ่กันครั้งนึงค่ะ ฉะนั้นนักท่องเที่ยวไปดู ก็จะพบแต่ดอกสดๆ งามๆ ทุกๆวันค่ะ
พี่หมียักษ์ สัญลักษณ์ของที่นี่ยังสบายดีเหมือนเดิม
ดอกไม้สวยๆ สดชื่นๆ เต็มไปหมด
ชั้นบนของ Main Hall จะจัดเป็นมุม workshop พวกจัดดอกไม้ เพ้นท์กระเป๋า เพ้นท์ขวด วันที่เราไปเป็นวันธรรมดา มุมนี้เลยปิด จะเปิดเฉพาะวันหยุดค่ะ
ถัดเข้ามาหน่อยจะเป็นห้องแสดงงานจัดดอกไม้ (Flower Art Room) ซึ่งจะเหมือนเป็นห้องแสดงงานศิลปะขนาดย่อม
มีดอกไม้ถูกจัดไว้อย่างสวยงามมากๆ
มุมนี้เป็นมุมแสดงกล้วยไม้ฟาแลนพันธุ์ที่เพาะจากฟาร์มในญี่ปุ่น
ดอกโตสวยงามมากๆ ที่เค้าจัดแสดงจะมีสีต่างๆ นอกจากสีขาวที่เป็นสีดั้งเดิมแล้ว ก็มีสีอมฟ้าๆ ชมพูๆ เขียวๆ
ซึ่งเราว่ามันน่าจะไม่ใช่สีธรรมชาติ ถามเจ้าหน้าที่ดูก็อธิบายว่าสีที่เห็นเกิดจากการฉีดสีเข้าทางราก
สีที่ฉีดเข้าไป จะอยู่ได้ประมาณ 1 สัปดาห์ ลูกค้าบางกลุ่มจะชอบแบบสีๆมากกว่าแบบสีขาว
แต่เราว่าสีขาวธรรมชาติสวยที่สุดแล้ว
ดอกโตงามมากๆ แบบนี้ขายกันที่กระถางละ 6500 บาทค่ะ ดอกอยู่ได้นานหลายเดือน
มุมนี้เป็นร้านขายของที่ระลึก มีทั้งเสื้อยืด สบู่ เครื่องหอม ตุ๊กตาหมี และกล้วยไม้ ดอกไม้กระถางต่างๆ
แม่ก็โดนมานิดๆหน่อยๆ สบู่ขวดนึง น้ำหอมขวดนึง (ว่าแต่หอมมากๆ เลยค่ะ) ดอกไม้กระถางนึง
ฟาแลนพันธุ์จิ๋วสีสวยๆ น่ารักมากๆ ใส่กระถางขายกันที่ 400-500 บาท แล้วแต่ขนาด
งานนี้อดใจไม่ไหวซื้อมา 1 ต้น เจ้าหน้าที่บอกว่าดอกจะอยู่ได้ 3 เดือน แต่ปะป๊าไม่เชื่อบอกว่ารับรองเดือนเดียว ไปแน่ๆ
ออกมาเดินเที่ยวดูใน Main Hall กันต่อนะคะ
วันแรกที่ไป (9 ธันวา) รู้สึกว่าดอกไม้จะยังไม่เยอะเท่าวันที่ 10 ซึ่งคงจะเป็นเพราะเป็นวันหยุด เลยจะมีดอกไม้มาเพิ่มเยอะเลยค่ะ
ต้นไม้ดอกไม้สวยๆ เยอะมากมายเต็มพื้นที่ Main Hall เลย
จริงๆพื้นที่ก็ไม่ได้ใหญ่อะไรมากนะคะ เดินแป๊บเดียวก็ทั่ว
แต่ด้วยความที่มีดอกไม้มากมายหลายมุม แน่นไปหมด ทำให้เราใช้เวลาถ่ายรูปกันตรงนี้นานพอดูเลยค่ะ
ชอบจริงๆเลย ฟาแลนพันธุ์เล็ก น่ารักมากๆ
เราเดินเล่นถ่ายรูปกันใน main hall พักใหญ่ ก็ข้ามออกมาไปเข้าส่วน Secret Garden บ้าง
ส่วนนี้เน้นการจัดดอกไม้เป็นช่อห้อยๆ เหมือนแชนเดอเลียร์ ห้อยบนเพดานเต็มไปหมด
ช่วงบ่ายๆ เค้าจะปิดหลังคามืดหมดแล้วส่องไฟมาที่ดอกไม้ ดูสวยงามไปอีกแบบค่ะ
ระหว่างปะป๊าถ่ายรูป เด็กจิ๋ววิ่งเล่นอยู่ในนี้เพลินเลย
นอกจากดอกไม้หลักอย่างฟาแลนแล้ว ยังมีพลูด่างที่ปลูกได้งามสวยมากๆ ห้อยเป็นช่อลงมา
มันช่างต่างกับพลูด่างที่บ้านมากมายจริงๆ
สัปปะรดสีก็เป็นไม้อีกชนิดที่เอามาตกแต่งหลายจุดเลยในงานนี้
เราถ่ายรูปกันเรื่อยเปื่อยมากๆในส่วน Dasada Gallery กว่าจะเสร็จก็บ่ายแล้ว
มื้อกลางวันเราตั้งใจจะไปกินกันที่ร้าน to sit Bloom ค่ะ
จากตรงส่วนแสดงดอกไม้ เดินทะลุไปทางสวนสัตว์ก็จะเจอค่ะ
ที่นี่มี Tiny Park มีสัตว์พวกนก กวาง แพะ ให้เด็กๆได้ดูด้วย
แต่เราแค่เดินผ่านเร็วๆ ไม่ได้แวะดูละเอียดนัก เพราะหิวมากแล้ว และแดดแรงมากๆด้วย
เราเพิ่งรู้ว่าที่ดาษดามีพื้นที่กว้างขวางมากๆ ไม่ได้มีแค่ส่วนแสดงดอกไม้ รีสอร์ท และร้านอาหารเท่านั้น
ในบริเวณยังมีสวนกว้างๆ อีก แต่ตอนนี้แดดแรงมาก รีบเดินให้ถึงร้านอาหารเร็วๆดีกว่า ลมเย็นนะคะ แต่แดดแรงเกิ๊น...
ถึงแล้วค่ะร้านอาหาร to sit Bloom ของดาษดา
วันนี้ตั้งใจมากินยำดอกไม้กรอบ อร่อยดีค่ะ ดอกไม้ชุบแป้งกรอบๆทอดกับน้ำยำรสแซ่บ
อย่างอื่นๆก็มีไก่ทอดให้เด็ก หลนเนื้อปู (ถูกปากเราเพราะว่าไม่เผ็ดและออกหวาน คนไม่ชอบหวานอาจจะไม่ปลื้ม) และโรตีแกงเนื้อค่ะ
อิ่มแล้วเรียกรถมารับไปห้องพักค่ะ ขอไม่เดินแล้ว เพราะว่าค่อนข้างไกล และไม่อยากสู้กับแดดแล้ว
ห้องพักของเราเป็นห้องแบบ Pool Access ค่ะ คือเปิดหลังห้องมาสามารถลงสระว่ายน้ำได้เลย
อันนี้อาคารห้องพักค่ะ เราพักตึกที่ชื่อว่า Crysanthemum หรือดอกเบญจมาศ (ตึกที่นี่จะเป็นชื่อพันธุ์ไม้ทั้งหมดค่ะ)
ให้ดูหลังห้องกันก่อนนะคะ ร่มรื่นน่านั่ง มีชิงช้าด้วย
เห็นแบบนี้แล้วเด็กจิ๋วก็แทบอยากจะโดดลงไปเลยค่ะ
สำหรับห้องแบบ Pool Access แอบเห็นบางห้องจะมีอ่างอาบน้ำที่ระเบียงด้วย ห้องเราไม่มี แต่มีชิงช้าแทน
มาดูในห้องกันบ้างค่ะ ห้องตกแต่งแนวสดใส ดอกไม้ๆ น่ารักน่าพักค่ะ
ประตูบานเลื่อนห้องน้ำกับตู้เสื้อผ้าปักลายดอกไม้น่ารักๆ
ห้องน้ำไม่ใหญ่นะคะ ขนาดพอดีๆ ไม่มีอ่าง มีแต่ส่วน shower ค่ะ
มาดูสระว่ายน้ำกันบ้าง สระจะปูพื้นสีเข้มๆ นะคะ เด็กจิ๋วเห็นแล้วถามว่าแม่ ทำไมน้ำมันดำจัง มันสกปรกรึเปล่า
แต่ไม่นะคะ น้ำใสสะอาดมากๆ แต่ด้วยความที่กระเบื้องดำค่ะ
สระที่นี่จะเป็นฟรีฟอร์มรูปกลีบดอกไม้นะคะ ลึกตื้นต่างกันไปในแต่ละจุด เหมือนว่าตรงริมๆจะตื้น ตรงกลางๆจะลึกค่ะ
เด็กจิ๋วเล่นน้ำสนุกสนานตามเคย น้ำเย็นนิดๆ แต่เด็กก็ไม่หวั่น
ชอบขวดน้ำดื่มที่นี่มากเลย เรียบๆเก๋ไก๋
ช่วงค่ำ เราไปเดินดูอุโมงค์ไฟเรืองแสงในสวนกัน
ตรงนี้จะจัดเฉพาะช่วงงาน When the flowers say ถึง 1 มีนาคมค่ะ และจะเปิดไฟช่วง 18.00-20.30 ค่ะ
เป็นการเอาเส้นหลอดไฟหลากสีมาประดับในอุโมงค์ สวยดีค่ะ
รูปนี้คือหาวนะคะ ไม่ได้ทำหน้าโพสท์อะไร ง่วงแล้ว เด็กเล่นไม่ยอมนอนกลางวันเลย
จากตรงอุโมงค์ เราเดินมาลานน้ำพุ เพื่อมารอดูน้ำพุเต้นระบำกัน ซึ่งขอบอกว่าดีกว่าที่คาดไว้เยอะมาก
เพราะเคยไปดูน้ำพุเต้นระบำที่ Bellagio ที่ลาสเวกัสมาแล้ว ยิ่งใหญ่ สวยงาม ประทับใจมากๆ แล้วที่นี่ก็ดูเหมือนจะเล็กๆ ไม่ใหญ่อย่างที่ลาสเวกัส
แต่ปรากฎว่าด้วยแสง สี เล็กๆแค่นี้ก็ประทับใจได้ค่ะ คือตรงนี้ดีตรงที่ได้ใกล้ชิดน้ำพุมากๆ ก็คนละอารมณ์กับที่เวกัสนะคะ
สรุปว่าชอบมากๆเลย แถมตอนจบยังมีให้เข้าไปถ่ายรูปกับน้ำพุได้ด้วย
จุดนี้ชอบมากๆ แนะนำจริงๆค่ะ
หลังจบการแสดง เจ้าหน้าที่ให้เข้าไปถ่ายรูปกับน้ำพุได้ บอกว่าไม่เปียก
555 เรียกว่าเปียกโชกกันทั้งแม่และลูกค่ะ เด็กสนุกมากๆ หนาวจนตัวสั่นก็ไม่อยากจะกลับห้องกันเลยทีเดียว
มาชมน้ำพุเต้นระบำกันค่ะ ดูเพลินๆ สวยงามมากจริงๆ
หลังจากเปียกชุ่มโชกกันทั้งแม่และลูกก็รีบกลับห้องไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า กินข้าวที่ห้องเลย
ชวนเด็กออกมาเดินเล่นอีก มากินข้าวที่ห้องอาหาร ก็ไม่ยอมแล้ว
ปะป๊าเลยออกมาเดินถ่ายรูปยามค่ำคืนคนเดียวอีกแล้ว
ร้าน to sit Bloom
สระว่ายน้ำยามค่ำคืน พื้นสระติดไฟ LED เป็นรูปดอกไม้ด้วย สวยดีค่ะ
แถวๆล้อบบี้ สว่างไสวสวยงาม
ตรงนี้เป็นห้องอาหาร Mokara ห้องอาหารของรีสอร์ท เดี๋ยวเช้าก็มาทานอาหารเช้ากันที่นี่ค่ะ
พระจันทร์ดวงโตสว่างมากๆ ฟ้าหน้าหนาวใสๆ เห็นดาวชัดมาก
ตอนเช้าปะป๊าตื่นมารอพระอาทิตย์แต่เช้า ใส่แจ๊กเกตตัวบางๆกับขาสั้นออกไป เพราะคิดว่าไม่ค่อยหนาว
ปรากฎว่าต้องวิ่งกลับห้องมาใส่ขายาว กับใส่เสื้อกันหนาวเพิ่ม เช้ามืดแบบนี้ หนาวมากๆค่ะ
บรรยากาศยามเช้าตรู่ดีมากๆ ปะป๊าบอกว่าชอบมากๆ ไม่นึกว่าจะอากาศดี และสวยขนาดนี้
น้องเจ้าหน้าที่พาปะป๊าและแขกคนอื่นๆไปดูวิวที่ศาลาเทวดากัน
ตรงศาลาเทวดา ดูเหมือนจะเป็นจุดศูนย์กลางของอาณาบริเวณของดาษดาทั้งหมด และเป็นเนินที่น่าจะสูงสุดด้วย
เลยเห็นวิวรอบทิศงามมากๆ จากจุดนี้
ที่เห็นคือโครงการในอนาคตที่กำลังก่อสร้างอยู่ เป็นรีสอร์ทแบบ Luxury น้องเจ้าหน้าที่บอกว่าเป็น Pool Villa แบบ 6 ดาวเลย ชื่อว่า Malaya
วิวตรงนี้งามมากๆ ไม่แพ้ปางอุ๋งเลยทีเดียว
เป็นวิวที่คาดไม่ถึงว่าจะได้เจอจริงๆ ไม่นึกว่าในดาษดาจะมีพื้นที่กว้างขวาง และสวยงามขนาดนี้
ชื่นชมกับวิวธรรมชาติเสร็จแล้ว เราก็มาทานอาหารเช้าที่ Mokara กันค่ะ
อาหารเช้าก็ตามมาตรฐานทั่วไปค่ะ มีดีที่บรรยากาศค่ะ อาหารเช้าบรรยากาศดีมากๆ
อิ่มข้าวเช้าแล้ว เด็กจิ๋วก็เตรียมเปลี่ยนชุดว่ายน้ำมาเลานที่ลานน้ำพุอีกค่ะ
ตอนช่วงสายๆ ลานน้ำพุจะเปิดให้เข้าไปเล่นได้ค่ะ มีเปิดสไลเดอร์ยักษ์ให้เด็กเล่นด้วย
เด็กจิ๋วบอกว่าสนุกที่สุดเลย ชอบมากๆ
เล่นน้ำพุเสร็จ ยังไปต่อสระว่ายน้ำที่หลังห้องอีก
งานนี้เรียกว่าไม่มีใครสุขเกินเด็กอีกแล้ว สุขสนุกสนานจริงๆ
หลังเช็คเอาท์ เรายังไม่กลับกันง่ายๆ ปะป๊าขอไปเดินเก็บภาพที่ส่วนแสดงดอกไม้อีกรอบ
ส่วนแม่กับเด็กจิ๋วนั่งกินไอติม กินขนมรอที่ร้าน La Lalla
เป็นร้านไอติม เครื่องดื่ม ขนม อยู่ในบริเวณจัดแสดงดอกไม้ ถ้าเดินเมื่อยๆแล้ว ก็มานั่งกินขนมที่นี่ สบายใจค่ะ
บรรยากาศดีมากๆ โล่งๆ โปร่งๆ เย็นๆ
ไอติมที่นี่อร่อยมากๆ หม่ำกันไปไม่รู้กี่ถ้วย รสที่เราชอบมากๆคือ Pink Calandiva เป็นรสผลไม้เปรี้ยวๆ ใส่เนื้อเบอรี่ และลิ้นจี่ด้วย
เด็กจิ๋วกับปะป๊าสั่ง Chocolate Lava มาชิมกัน บอกว่าอร่อย แม่ได้ชิมไอติม Chocolate ที่ใส่มานิดนึง สีมันออกจะแดงๆ ไม่เหมือนไอติมช็อคทั่วไป แต่รสชาติอร่อยมากๆ อันนี้ก็ชอบค่ะ
กว่าจะออกจากดาษดาก็บ่ายมากๆแล้ว จบทริปด้วยความประทับใจ เกินความคาดหมายจริงๆค่ะ
ปีหน้าถ้ามีโอกาส จะกลับไปเยี่ยมดาษดาใหม่นะคะ
เด็กจิ๋วบ้ายบายไปก่อนนะคะ เจอกันใหม่รีวิวหน้า ปีหน้าเลยค่ะ
Dek Jew Chill Out
วันอังคารที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2558 เวลา 13.54 น.