ช่วงวันหยุดยาวนี้แอดแอบหนีไปเที่ยวที่กาญจนบุรีมา ปกติถ้าเที่ยวในตัวเมืองจะไปกาญแบบเช้าไปเย็นกลับ แต่คราวนี้มานอนค้าง ก็เลยกลายเป็นทริป 2 วัน 1 คืน มาดูว่าไปไหนกันบ้าง วันที่เราไปคือช่วงกลางของวันหยุดยาว 5-6 กันยายน ตอนขาไปรถไม่ติดมากนักเพราะว่าคนน่าจะออกไปตั้งแต่วันที่ 4 กันแล้ว
เราไปถึงตอนเกือบเที่ยงเลยเข้าไปที่พักกันก่อน จะได้เอาของไปเก็บ เผื่อดูห้องอื่น ๆ เอามารีวิวด้วย วันนี้เราพัก hostel ที่ Thyme hostel อยู่ใกล้ ๆ กับสุสานดอนรัก ซึ่งจากจุดนี้สามารถไปที่ท่องเที่ยวอื่น ๆ ได้ค่อนข้างสะดวก เป็นอาคารขนาด 2 ชั้นมีที่จอดรถด้านหน้า ถ้าจอดแบบแน่น ๆ จะได้ราว 8 คัน
ห้องที่เราพักเป็น Double bed ซึ่งจะดูเหมือนห้องโรงแรมคือมีห้องน้ำในตัว และสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐานให้ ทั้ง TV ตู้เย็น ไดร์เป่าผม สบู่ ยาสระผม ผ้าเช็ดตัว ฉะนั้นถ้าคิดว่ามาพัก hostel ต้องพกอะไรมาเยอะแยะ ก็ไม่ต้องนะครับ
เราได้ไปเยี่ยมชมห้องอื่น ๆ เพราะว่าแขกยังไม่เข้ามาพัก เอารูปมาฝากกันเผื่อว่าเพื่อน ๆ จะไปเที่ยวตาม ห้อง Twin bed มีเตียงคู่ โดยขนาดเท่ากับห้อง Double bed แต่พิเศษตรงที่มีปลั๊กไฟที่หัวนอน
ทั้ง 2 ห้องมี TV LED และตูเย็น น้ำเปล่า 2 ขวด พร้อมกับปลั๊กเสียบ
ห้องน้ำมีแยกเป็นตู้อาบน้ำ กันน้ำเลอะบริเวณอื่น มีเครื่องทำน้ำอุ่นและ สบู่ ยาสระผม บริการ
ราคาห้อง หาก Walk-in วันธรรมดา 700 บาท วันหยุด 750 บาท แต่ถ้ามาพักคนเดียวลดให้ 100 บาท
และมีห้องขนาดย่อมไว้บริการแบบเตียงเดี่ยวนอนคนเดียว ราคา 500 บาท ห้องนี้อาจจะแคบหน่อย แต่ก็ได้ห้องน้ำเป็นส่วนตัวในราคาประหยัด
และถ้าใครไม่ซีเรียสว่าต้องมีห้องน้ำส่วนตัว ไปอาบห้องน้ำนอกห้องพักก็จะมีห้องบริการหลายแบบ
ห้อง Share room 2 bed ราคา 500 บาท ห้องนี้ไม่มีห้องน้ำในตัว และไม่มีตู้เย็น มีแต่ TV แขวนผนังให้
ห้อง Share room bunk bed วันหยุด ราคา 270 บาท วันธรรมดา 250 บาท เป็นห้องรวมแต่แยกชายหญิง โดยมีห้องละ 6 เตียง แต่ละเตียงสามารถปิดม่านกั้นได้ รวมทั้งเตียงล่างและบนเพดานค่อนข้างสูง ไม่อึดอัด
ในส่วนนี้จะมีห้องน้ำเพิ่มด้านในให้ด้วย เป็นห้องอาบน้ำ 2 ห้อง โดยจะอยู่ในห้องขับถ่าย แปลว่าเวลาขับถ่ายก็จะไม่สามารถใช้ห้องอาบน้ำนี้ได้สินะ
Hostel ยังมีโซนห้องน้ำและส้วมแยกออกมาอีก เพื่อให้ห้อง Share ทุกห้องได้ใช้งาน
มีโซนส่วนกลางสำหรับนั่งพักผ่อนดูหนัง กินอาหารว่าง
ตอนนี้ รร. ยังไม่มีเพจนะครับ จะติดต่อสามารถติดต่อได้ที่เบอร์โทร 034-914247 หรือ ตามเว็บจองโรงแรมจะมีที่นี่อยู่
เอาละเก็บของเรียบร้อยแล้ว เราก็เตรียมลุยเที่ยวกันได้ สถานที่แรกที่ไปคือสันติภาพชินโตะ
ไปสวนสันติภาพชินโตะ เป็น สวนสาธารณะที่สร้างขึ้นโดยสมาคมสันติภาพแห่งเอเชีย มีพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงของญี่ปุ่น ตอนไปผมก็ไม่มีข้อมูลมากนัก แต่เจอเจ้าหน้าที่เปิดให้เข้าไปชม ก็เลยมีโอกาสเข้าไปชมด้านใน แต่เจ้าหน้าที่ก็จะเดินตามเราตลอดเราก็เกรงใจมาก จริง ๆ อยากขอแค่ชมด้านนอกเท่านั้นแล้วก็อยากจะถ่ายรูป สรุปว่าก็ไม่ได้ถ่ายอะไรมากเพราะเกรงใจเจ้าหน้าที่
เสียดายว่าฝนลงมาก่อนเลยได้ถ่ายภาพไม่เยอะนัก สวนนี้ตอนแรกถามคนที่อยู่กาญ บางคนก็ยังไม่รู้จักเลยครับ อาจจะไม่ใช่ที่เที่ยวที่โด่งดังอะไร ยังไงผมก็อยากแนะนให้ไปดูครับ ต่อให้ไม่มีเจ้าหน้าที่ก็พอมีป้ายภาษาไทยอธิบายครับ
แล้วเราก็คิดว่าหาอะไรกินดีกว่าเลยขับรถไปร้านที่มีที่ถ่ายภาพสวย ๆ นั้นคือร้านดิน แต่ว่าวันนี้คนเยอะมากครับ เห็นรถแล้วท้อเลยไม่อยากไปกินอะไรแบบคนเยอะ ๆ เลยไปที่อื่นต่อ (เนี่ยแหละนะมาช่วงเทศกาลก็เป็นแบบนี้ไม่น่าเลยเรา )
เราขับรถไปจอดที่พักแล้วเดินเล่นรอบ ๆ ที่พัก แผนต่อมาคือจะไป มิวเซียมสักทีหนึ่ง ก็เดินไปที่ พิพิธภัณฑ์ทางรถไฟไทยพม่า สรุปว่าปิดช่วง Covid-19 ครับ ก็ถ่ายรูปมาให้ดูด้านหน้าก็แล้วกัน
จากนั้นก็เดินไปต่อที่ สุสานทหารสัมพันธมิตรดอนรัก ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กับที่พักของเรา อาจจะงงว่าทำไมคนไทยถึงไปที่นี่กัน อยากให้ลองเข้าไปแล้วอ่านป้ายหน้าหลุมศพของเหล่าผู้จากไป จะมียศ หน่วยทหารและ คำอาลัย ถ้ามองในแง่ฝึกภาษาเราก็จะได้อะไร ๆ จากการมาที่นี่ แลัวทำให้เรารู้สึกว่าไม่อยากให้เกิดสงครามขึ้นอีก เพราะมันมีแต่ความสูญเสีย
จากนั้นก็พักกินอาหารบ่าย ๆ ที่ร้าน Bycycle cafe แถว ๆ สุสาน เป็นร้านที่ผมเห็นใน Twitter แนะนำ แต่ว่า.... ผมว่ารสค่อนข้างธรรมดาครับ ไม่ได้วิ้งว๊าวอะไร ไม่แน่ใจว่าตอนไปกินนั้นเป็นเชฟหลักหรือเปล่า ส่วนบรรยากาศร้านจะดูย้อนยุคดี ราคาคือแรงพอควรถ้าเทียบกับรส ที่กินคือ 90 บาท ส่วนน้ำก็ราคาเหรตร้านคาเฟ่ครับ อิตาเลี่ยนโซดา 45 บาท น้ำถือว่าดีอยู่ครับ
จากนั้นก็กลับไปนอน ๆ นั่ง ๆ ที่ที่พัก เพราะว่าแดดเมืองกาญแรงได้ใจมาก ๆ เดินกลางแดดคือเหงื่อออกเป็นหยด ๆ เลย พอเย็น ๆ ก็ขับรถไปเที่ยวตลาดเชลยศึก ที่ไปที่นี่เพราะว่ามีที่จอดรถ ถ้าไปจอดฝั่งสถานีรถไฟคงได้วนรถเป็นสิบรอบ เพราะไปช่วงเทศกาลพอดี ตลาดเชลย เป็นร้านขายของ ร้านขายอาหารกินเล่น และก็มีแนว ๆ ร้านนั่งดื่มอยู่ด้วย และมีจุดถ่ายภาพอยู่หลายจุด ถ้าจะมาสะพานข้ามแม่น้ำแคว มาตรงนี้สะดวกกว่าครับ
จากนั้นเดินต่อมายังสะพานข้ามแม่น้ำแคว
สะพานรถไฟที่เป็นสัญลักษณ์ของเมืองกาญก็ว่าได้ สามารถเดินเที่ยวบนนั้น โดยมีการปูทางเดินที่สะดวกไม่น่ากลัว และมีจุดให้หลบรถไฟเวลารถไฟมา วิวบนสะพานนี้สวยครับ ยืนโง่ ๆ ดูวิวก็สบายใจดี ปกติผมไม่ได้ค้างที่ตัวเมืองกาญเลยมาที่นี่ตอนกลางวันคือแดดแรงมาก ฉะนั้นถ้ามาที่นี่ผมแนะนำมาเย็น ๆ ครับ
แผนของผมคือจะไปเที่ยวถนนคนเดิน แต่ว่า ...... วนรถเป็นชั่วโมงไม่มีที่จอดครับ ก็ช่วงนี้เป็นช่วงหยุดยาวด้วยแหละที่จอดเต็มทุกที่ ถ้าจะมีคือเดินไกลมาก และผมก็กลัวว่าถ้าฝนตกจะลำบาก ก็เลยเปลี่ยนแผนไปกินข้าวเย็นที่อื่นแทน และก็ผมคิดไม่ผิดครับ ฝนตกมาหนักมาก นี่คิดไม่ออกเลยว่าถ้าไปเดินตลาดจะเปียกขนาดไหน
ร้านที่ผมไปกินอาหารเย็นไม่ใช่ร้านท้องถิ่นแต่เป็นร้านชาบูแบบไม่บุฟเฟ่ ร้าน บ้านชาบู ซึ่งมี 2 สาขาในกาญจนบุรี รสน้ำซุปจะหวาน ๆ หน่อย แต่หมูเนื้อสัตว์มีคุณภาพครับ อิ่มแบบพอดี ๆ ครับหมดไปคนละ 250 บาท ได้
จากนั้นก็ไม่ได้ไปไหนเพราะฝนตกหนักมาก เข้าที่พักแล้วก็นอน
วันรุ่งขึ้น
ออกไปกินโจ๊กหลังป่าช้า ไม่ต้องตกใจครับชื่อนี้จริง ๆ ไปยืนรอรถโจ๊กเลย ถามว่าทำไมกินร้านนี้ ร้านดังหรือ คำตอบคือ ใช้ google หาครับร้านโจ๊กที่ใกล้ที่สุด ตอนไปถึงก็มีคนมารอหลายคนแล้ว ก็น่าจะอร่อยมั้ง โจ๊กก็ถือว่าราคาไม่แพงครับราคาทั่วไป เป็นโจ๊กใบเตย สำหรับความเห็นผมคืออร่อยดีครับ ของผมสั่งโจ๊กหมูไข่เค็มไป ชามละ 35 บาท ถ้าใครพักแถว ๆ นี้ก็ลองมาชิมได้ครับ
ส่วนของเพื่อนที่ไปด้วยสั่งโจ๊กทะเลทรงเครื่องอะไรสักอย่างชามละ 60 แต่ก็ได้เยอะมาก ๆ เครื่องก็จัดเต็ม ร้านนนี้แนะนำครับเผื่อเป็นทางเลือกตอนเช้า ๆ หาอะไรกิน
ระหว่างกินเจอน้องหมาจร น่ารักมาก มายืนข้าง ๆ แล้วสะบัดหาง สะบัดทีเย็นเลย
กินโจ๊กเสร็จก็มาดื่มกาแฟ น้องหมาก็ยั่งตามมาเฝ้า
หลังจากกินเสร็จก็เตรียมไปอาบน้ำแล้วก็ Check-out เตรียมไปเที่ยวกันต่อ
วันนี้ผมขับรถไปเที่ยวนอกเมืองบ้าง ไปที่น้ำตกไทรโยคน้อย ผมเองไม่ได้มานานแล้ว นานขนาดไหนหรอ น่าจะมาครั้งสุดท้ายราว ๆ อายุ 12 ปีได้ ทำให้จำไม่ได้แล้วว่าตรงนี้เป็นยังไง สมชื่อน้ำตกไทรโยกน้อยครับ
น้อยจริง ๆ ดูค่อนข้างเล็ก และก็ถือว่าเที่ยวได้ มีจุดถ่ายภาพและที่พักผ่อนหลายจุด อย่างเช่นทางลงจากน้ำตกมีพืชเขียว ๆ ปกคลุมสวยเชียว ถ่ายรูปแล้วเหมือนไปญี่ปุ่นมา
จุดมุ่งหมายต่อไปจะไป Museum ช่องเขาขาด แต่ว่าดันปิดเพราะสถานการณ์โรคซึ่งไม่รู้จะกลับมาเปิดเมื่อใดเหมือนกันครับ
ก็เลยไปทางรถไฟสายมรณะถ้ำกระแซแทน ซึ่งเป็นช่วงการก่อสร้างรถไฟที่ยากมาก และมีคนเสียชีวิตตรงจุดนี้เยอะมากเช่นกัน ตรงนี้จะมีที่เที่ยว 2 ส่วนคือ บริเวณทางรถไฟที่วิ่งไปตามแนวผา
และถ้ำที่มีพระพุทธรูปอยู่ด้านใน
อากาศวันที่ผมไปคือร้านโคตร ๆ ยืนเฉย ๆ เหงื่อก็ไหลเต็มหน้าเต็มตัว เดินไปตรงทางรถไฟได้นิดหน่อยครับ ผมต้องขอเข้าร่มก่อน ถ้าจะมาคือควรพกร่มมาด้วยจะดีมากครับ
และด้วยความโชคดี ไปตอนรถไฟมาพอดี แต่กว่ารถไฟจะมาได้ก็บีบแตรบ่อยมาก เพราะว่ามี นักท่องเที่ยวจ้องจะถ่ายภาพดี ๆ แต่ไม่ได้คิดถึงความลำบากในการเคลื่อนที่ของรถไฟ รถไฟคงไม่กล้าเร่งเครื่องมากลับพี่ ๆ หลบกันไม่ทัน
จากนั้นก็เดินทางกลับไปหาอะไรกิน ระหว่างทางก็ได้ซื้อของฝากเป็นเมล่อน น้อยหน่า และอินทผลัม เวลาผมซื้อของชาวบ้านผมจะไม่ต่อราคานะ คิดในใจก่อนว่าราคาในใจเท่าไหร่ แล้วถ้ามันโอเค ก็ซื้อ ถ้าแพงกว่าที่เราคิดก็ไม่ซื้อ บางทีเราซื้อของต่อราคาชาวบ้าน เขาก็ไม่ได้กำไรมากมาย เจอต่อราคาอีก เงินเขาก็ยิ่งหายไป แต่ก็มีบางจังหวัดที่ต้องต่อนะครับเพราะราคาโขกแรงมาก
หลังจากกลับมากินที่บ้านพบว่า อินทผลัมสด รสยังไม่ดีครับ ส่วนแห้ง ก็เฉย ๆ แต่เมล่อน นี่โอเคเลย
จุดหมายต่อไปคือร้านอาหารไหนก็ได้ แถว ๆ วัดถ้ำเสือ เพื่อจะดูวิวนานและวิววัด และร้านนั้นต้องมีห้องแอร์ ก็ได้ร้าน สะพานนามา เป็นร้านใกล้ ๆ กับร้านดังอย่างชมนา
ร้านนี้ก็ไม่ผิดหวังนะ ราคาอาหารเครื่องดื่มไม่ได้แรงมาก แถมวิวผมว่าดีไม่น้อย เพราะไม่มีอะไรรก ๆ สายตามากนัก มีแค่สะพานไม้ยื่นออกไป เรากินข้าวกันก่อนแล้วก็ออกไปถ่ายรูป คนมาร้านนี้ไม่เยอะครับ ทำให้ไม่ต้องแย่งกันถ่ายภาพ
กินข้าวเรียบร้อยแล้วก็หาทางกลับบ้านกันครับ เราเดาว่ารถเส้นหลักต้องติดแน่นอน แล้วก็เป็นเช่นนั้น เลยใช้พี่กูเกิ้ลบอกทางเลี่ยง พี่ google ก็พาไปลัดตามสวนไร่นา เราทำไม่เห็นถนนใหญ่เลย คือถ้ามาแบบไม่ใช่ googlemap รับรองว่าหลงทางแน่นอน จนแล้วจนรอดก็ถึงที่หมายครับ
สรุปคือ
- ถ้าเลือกได้อย่าไปเที่ยวช่วงเทศกาลครับ
- ลองเปิดใจร้านใหม่ ๆ ดูบ้าง
- บางทีก็อย่าเชื่อรีวิวมากนัก เพราะความอร่อยของเรามันอาจต่างกัน (แล้วจะเชื่อแอดกันไหมเนี่ย)
กินเที่ยว360
วันอังคารที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2563 เวลา 20.52 น.