𝟯𝟱 𝗗𝗿𝘆 𝗔𝗴𝗲𝗱 𝗕𝗲𝗲𝗳 สุดยอดร้านดัง จองคิวข้ามเดือน
ไม่น่าเชื่อออออ!!! ในที่สุดวันที่เรารอคอยมาตลอดก็มาถึง นี่คือสุดยอดร้านเนื้อที่ดังที่สุดในโลกออนไลน์ขณะนี้เลย นั่นคือร้าน "35 Dry Aged Beef“ ที่ต้องจองกันล่วงหน้า 1-3 เดือน ถึงจะได้กิน แล้วถ้าจองไม่ทันคิวเต็มก่อน ก็ต้องรอจองใหม่ไตรมาสต่อไปเลยนะจ๊ะ อ่านไม่ผิดค่ะ ไตรมาสต่อไปเลย อะไรจะขนาดนั้นวะ 5555555 ตอนเดือนที่แล้วเรามีโอกาสได้ไปรีวิวโรงแรม 7 Days Premium at Icon Siam Station ที่อยู่ใกล้ ๆ วงเวียนใหญ่ ตอนนั้นเราเจ็บใจมาก เพราะร้านนี้ห่างจากโรงแรมแค่ 500 เมตร คิดดู ห่างแค่เพียงเอื้อมมือ แต่มันคือแสนไกลลลล มีเงินก็กินไม่ได้ค่ะ เพราะไม่ได้จองไว้ เศร้าจังโว้ยยย
แต่แล้วส้มก็หล่นลูกเบ้อเริ่มเข้าใส่เรา เมื่อทางร้าน 35 Dry Aged Beef ได้โพสต์ประกาศคิวหลุดของวันศุกร์ที่ 11 กันยายน 63 ที่ผ่านมา ผ่านทางแฟนเพจของร้าน ไม่เสียแรงจริง ๆ ที่ติดดาวเพจไว้ ด้วยความเร็วแสงเรารีบทักไปทาง Line@ เพื่อขอเสียบคิวที่ว่างลง แล้วก็ได้ค่ะ ครั้งแรกจาก 7 ครั้ง 555555 แค่จองด้วยวิธีปกติก็ต้องแย่งชิงกันจะแย่แล้ว นี่จะเอาคิวหลุดยิ่งต้องไวค่ะ เพราะเฉือนกันหลักวินาทีเลย เคยทักตอนเห็นโพสต์ไปได้ 2 นาทีก็ไม่ได้ค่ะ ความไวเป็นเรื่องของปีศาจ แต่ลาภปากเป็นเรื่องของดวงล้วน ๆ ค่ะ 555555 และด้วยความฟลุคนี้ ครั้งนี้เราจะมารีวิวสุดยอดร้านเนื้อแห่งปี 2020 กับร้าน 35 Dry Aged Beef ค่าาาาา
ร้าน 35 Dry Aged Beef ตั้งอยู่บนถนนเจริญรัถ ซึ่งติดกับถนนลาดหญ้าค่ะ เดี๋ยวท้ายรีวิวจะใส่ Location ไว้ให้นะคะ ซึ่งสามารถเดินทางมายังร้านได้หลายวิธี เช่น
- ถ้านั่งรถไฟฟ้า ให้นั่ง BTS มาลงสถานีวงเวียนใหญ่ แล้วต่อวินเข้ามายังร้านค่ะ หรือถ้าใครฟิตหน่อยจะเดินจาก BTS ไปร้านเลยก็ได้ ประมาณ 950 เมตร
- ถ้านั่ง Grab ให้ search ว่า 35Dryagedbeef พิมพ์ติดกันหมดเลยนะ
แต่ถ้าใครจองช่วงเย็น แล้วไม่สามารถเผื่อเวลาเดินทางได้ เช่น เลิกงานปุปรีบมาเลยแบบเรา แนะนำให้นั่ง BTS ไม่ก็ Grab bike ค่ะ เพราะรถติดมากกก เลิกคิดเรื่อง Taxi, Grab Car หรือขับรถยนต์มาเองไปเลยค่ะ 55555 แต่ถ้าเผื่อเวลาได้ ไม่ได้รีบมาก็เลือกวิธีเดินทางได้ตามสะดวกเลย
ตลอดถนนเส้นเจริญรัถ เต็มไปด้วยตึกแถวที่เปิดเป็นร้านขายผ้าและเครื่องหนัง มันเลยทำให้พอเรามาถึงหน้าร้านนี้ รู้เลยว่าร้านนี้แน่ ๆ เพราะการตกแต่งแตกต่างจากร้านรอบ ๆ อย่างสิ้นเชิง เป็นห้องกระจก 1 คูหา ตกแต่งร้านได้โมเดิร์นมาก ไม่รู้เรียกว่าแนวไร โมเดิร์นไว้ก่อนค่ะ 555555 เน้นสีดำ ไฟร้านเป็นสีเหลือง
ภายในร้านมีที่นั่งอยู่ 2 แบบ คือเป็นเคาท์เตอร์บาร์ชั้นล่าง และเป็นโต๊ะนั่งชั้นลอยค่ะ เราไม่แน่ใจว่าทางร้านรับลูกค้าได้กี่คนต่อรอบ แต่กะเอาด้วยสายตา เคาท์เตอร์ด้านล่างน่าจะนั่งได้ 9-10 คน ข้างบนได้กี่คนไม่รู้เหมือนกัน ทั้งด้านในเคาท์เตอร์หลังเชฟ และด้านนอกเคาท์เตอร์หลังลูกค้า จะมีตู้ดรายเอจเนื้ออยู่หลายตู้เลย เป็นตู้ที่ทางร้านใช้ดรายเอจเนื้อจริง ๆ ไม่ได้แค่เอามาเป็น prop มีส่วนของเครื่องตัด cold cut อยู่ด้านหลังเคาท์เตอร์เลย ส่วนของครัวทำอาหารจะอยู่หลังร้านค่ะ แต่ถ้าชำเลืองดูก็มองเห็นครัวได้
นอกจากจะดังเรื่องเนื้อแล้ว ร้านนี้มีกาแฟสดขายด้วยนะคะ
เข้ามาในร้านมีพนักงานมาต้อนรับอย่างดีค่ะ โดยเราได้ที่นั่งตรงเคาท์เตอร์ด้วยค่ะ นอกจากจะฟลุคที่จองคิวหลุดได้แล้วยังฟลุคได้ที่นั่งเคาท์เตอร์อีก เราใช้ดวงไปขนาดนี้ สงสัยต้องหยุดซื้อหวยซักครึ่งปีค่ะ 555555 เราไม่แน่ใจว่าตั้งแต่ตอนที่จองสามารถรีเควสขอที่นั่งเคาท์เตอร์ได้มั้ย แต่ถ้าเลือกไม่ได้ต้องรอลุ้นเอานะคะ เราว่าการได้นั่งเคาท์เตอร์สำหรับร้านนี้ดีกว่าจริง ๆ ถ้าใครเคยดูรีวิวร้านนี้จาก channel ดัง ๆ ใน youtube มา จะรู้ว่าเชฟเจ้าของร้านจะมีการมาอธิบายเมนูและเนื้อส่วนต่าง ๆ ตลอดเวลา ซึ่งเพิ่มมูลค่าให้กับมื้อนั้น ๆ ได้เป็นอย่างดี มีคิวที่มาทีหลังเราตอนทางร้านให้ขึ้นไปนั่งชั้นลอย สายตาจ๋อยกันไปเลยค่ะ เอ็นดู
เชฟแทน เจ้าของร้านค่ะ อธิบายเก่งมาก
ที่นั่งจะมีการจัดอุปกรณ์เตรียมให้พร้อม ทั้งจานแบ่ง มีด ช้อน ส้อม และให้เมนูมาค่ะ เมนูจะมีราคาบอกไว้ทุกเมนูเลย ที่นี่มี service charge 5% นะคะ ไม่มี vat ถือว่าโอเคมากเลย บางร้านนี่ +7% +10% เลยนะ เมนูจะมีทั้งออเดิร์ฟ เมนูข้างต่าง ๆ จานหลัก สเต็ก แล้วก็ของหวานค่ะ เมนูที่เป็นเนื้อของที่นี่จะเป็นเนื้อดรายเจอทั้งหมดนะคะ ดรายเอจคือการบ่มเนื้อมาเป็นระยะเวลาหนึ่งเพื่อให้เนื้อนุ่มขึ้นและรสชาตินัวขึ้น จะดรายเอจนานแค่ไหนแล้วแต่ว่าจะเอาไปทำเมนูอะไร เมนูหมูก็มี แต่มาถึงนี่แล้วสั่งเนื้อกันเถอะค่ะ 555555
แล้วไม่ได้มีแต่เชฟแทนที่อธิบายเมนูได้นะคะ ทางร้านมีการเทรนด์พนักงานให้ตอบคำถามเรื่องอาหารได้ด้วย อย่างตอนที่เรากำลังจะเลือกส่วนของเนื้อ พี่เค้าก็มาแนะนำให้ว่าเนื้อแต่ละส่วนมีจุดเด่นยังไง อร่อยเหมือนกันและแตกต่างกันยังไง ถึงเจ้าของร้านไม่อยู่ก็ไม่ต้องกังวลเลยค่ะ แล้วเค้าตบมุกเป็นด้วยนะคะ 555555
ได้เวลารีวิวเมนูอาหารแล้วค่ะ เริ่มจากเมนูแรกที่เราสั่ง ชื่อเมนูว่า "Tomato Balsamic Salad" เป็นมะเขือเทศผ่าครึ่ง โรยชีส โปะหน้าด้วย cold cut เนื้อ และราดด้วยซอส balsamic ค่ะ อร่อยมากกก อร่อยมาก ๆๆๆ มะเขือเทศสดชื่นมาก ต่างจากมะเขือเทศทั่วไปที่มีกลิ่นมะเขือเทศที่กินยาก ๆ ชีสและ cold cut เนื้อจะรสนัว ๆ ต้องใช้คำนี้จริง ๆ ค่ะ แต่ที่พีคที่สุดของเมนูนี้คือซอสราดค่ะ ซอสบัลซามิคจะเป็นซอสที่สีเหมือนซีอิ๊ว แต่รสชาติเปรี้ยวแล้วมีหวานตาม เข้มข้น เราเพิ่งเคยกินครั้งแรกค่ะ จานนี้มันอร่อยที่ซอสนี้เลย คนที่ไม่ชอบมะเขือเทศก็กินเมนูนี้ได้สบาย ๆ ค่ะ
เมนูต่อไปเป็น “Cold Cut Platter” จะเป็นการรวม cold cut แบบต่าง ๆ มา 4 ชนิดค่ะ มีหมู 1 ส่วนเนื้อ 3 ส่วน ก่อนแล่มาเสิร์ฟ เชฟจะโชว์ก่อนว่าจะเอาเนื้อส่วนไหนมาทำให้ แต่ละส่วนดรายเอจมานานแค่ไหน รสชาติจะเป็นยังไง ซึ่งจะเป็นแบบนี้ตลอดทั้งคอร์สค่ะ แล้วเชฟเวียนทั่วถึงด้วยนะคะ ใส่ใจลูกค้ามาก แต่ไม่รู้ว่าเชฟได้ขึ้นไปหาลูกค้าที่นั่งชั้นลอยด้วยรึเปล่า 55555 เชฟบอกว่า cold cut ของที่ร้านจะดรายเอจมานานมาก ถึงสามเดือนได้เลย สังเกตในรูปนะคะว่ายิ่งเนื้อดรายเอจมานานแค่ไหน รอบนอกของเนื้อจะแห้งและสีไม่สวยเท่าไหร่ค่ะ แต่พอแล่ออกมาข้างในยังสดอยู่เลยค่ะ
แล่มาแล้วหน้าตาเป็นแบบนี้ค่ะ มีขนมปังกระเทียมมาให้ด้วย พร้อมชีสและแตงกวาดอง ขนมปังอร่อยมากค่ะ ส่วนตัวแฮมนี่ใช้ได้อยู่ รสชาติแตกต่างกันทุกอัน ถ้าใครเคยกินพาร์มาแฮม รสชาติแนวนั้นเลยค่ะ
บางส่วนเค็มนำ บางส่วนนัว แต่เมนูพวกนี้เป็นออเดิร์ฟเพื่อปูทางไปสู่จานหลักค่ะ สลัดมะเขือเทศจานแรกเปรี้ยวนำ เพื่อเปิดต่อมรับรส ส่วนแฮมจานนี้ทำให้ลิ้นเราเริ่มคุ้นกับรสเนื้อก่อนจะไปจานต่อไป เมนูนี้เราแนะนำว่า ถ้าอยากลองให้รีบสั่งแต่แรก ถ้าใครไม่ได้ชอบแฮม หรือพาร์มาแฮมเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ให้ข้ามไปเลยค่ะ เพราะถ้าสั่งมาลองทีหลังหลังจากที่กินจานหลักไปแล้ว จานนี้จะไม่อร่อยแล้วค่ะ จะจืดไปเลย
จานหลักจานแรกมาแล้วค่าาา นี่คือ "สตูว์เนื้อ" ค่ะ อร่อยมากกกก เนื้อคือนุ่มและยุ่ยไปเลย เชฟบอกเป็นเนื้อส่วนขานำไปตุ๋น ปกติเนื้อขาจะเหนียวแต่อันนี้นุ่มมาก รสชาติคืออร่อยยย เค็มนำนิดหน่อย เหมือนอยู่กึ่งกลางระหว่างสตูว์จีนกับสตูว์ฝรั่ง เมนูนี้เสิร์ฟพร้อมมันบด มันบดคือเนื้อเนียนเหมือนสลัดครีมเลยค่ะ อร่อยมากกก รสชาตินัวแบบสุด กินคู่กันกับสตูว์คือพอดีเป๊ะ ตาย ๆๆๆ
ติดใจมันบดจนต้องสั่งแยกมาเพิ่มค่ะ
เตรียมเบียร์มาแกล้มแล้วค่ะ 55555 เบียร์ที่นี่มี 2 ตัว ลองดูจากเมนูด้านบนนะคะ
จานต่อไปคือ "เนื้อผัดซอสแจ่ว" ค่ะ จานนี้อร่อยยยที่สุดดดดดในทุกจานที่ได้กินในครั้งนี้ จนต้องสั่งเบิ้ลอีกรอบหลังสเต็กค่ะ เนื้อมี 2 ส่วนคือ พิคานย่า จะเป็นส่วนติดมัน และ tenderloin หรือสันใน ซึ่งเป็นส่วนที่นุ่มที่สุดในวัว ละนุ่มมากกก นุ่มจริง ๆ พิคานย่าก็มันหอมมาก ซอสแจ่วที่ผัดคืออร่อยมากก ความเผ็ดและเค็มจ้ดจ้านไม่แพ้เมนูแจ่วของอีสาน และมีรสหวานหน่อย ๆ เพื่อให้เข้ากับตัวเนื้อ
จานต่อไปเป็นข้าวผัดมันเนื้อค่ะ จานนี้อร่อยมาก รสชาติข้าวผัดนัว ๆ ไม่มีเค็มหรือหวานโดด มันเนื้อที่ผัดมาในข้าวมีความกรุบ ๆ ได้เคี้ยวคล้าย ๆ กระเทียมเจียว แนะนำให้กินข้าวผัดกับจานหลักต่าง ๆ ทั้งสตูว์ เนื้อแจ่ว สเต็กค่ะ ใครชอบรสนัว ทางร้านมีซอสไข่ดองโชยุขายด้วยนะคะ จะเอาเนื้อไปจิ้มหรือตักใส่ข้าวผัดก็อร่อยหมดค่ะ
มาถึงเมนูสเต็กแล้วค่ะ ที่นี่จะมีเนื้อให้เลือกหลายส่วนมากกก ชื่อไหนเป็นส่วนไหนจะมีภาพประกอบให้ในกระดาษที่ปูรองบนโต๊ะค่ะ ถ้าใครไม่เชี่ยวชาญส่วนต่าง ๆ ของเนื้อว่าส่วนไหนรสชาติยังไง เชฟและพนักงานสามารถแนะนำแต่ละส่วนให้เราได้ค่ะ เนื้อแต่ละส่วนจะขายไซส์ไม่เท่ากัน บางส่วนสามารถขาย 100 กรัมได้ บางส่วนก็ 200-300 กรัม หรือบางส่วนจะขายชิ้น 400 กรัมขึ้นไปเท่านั้น ให้สอบถามทางเชฟก่อนนะคะ ซึ่งหลังเคาท์เตอร์ที่ใช้ตัด cold cut ก็จะมีเขียงแล่เนื้อพร้อมตาชั่งด้วยค่ะ ชั่งให้เห็นกันต่อหน้าเลย
ในครั้งนี้เราสั่งสเต็กไปทั้งหมด 3 ส่วนค่ะ เพื่อจงใจเทียบรสชาติแต่ละแบบเลย ทุกส่วนที่สั่งเลือกความมันระดับ A5 ทั้งหมดค่ะ ซึ่งเป็นระดับที่มันแทรกเยอะที่สุด ขึ้นอยู่กับชนิดเนื้อด้วยนะคะว่าทางร้านมีให้ถึงเอไหน บางส่วนมีถึง A5 บางส่วนอาจสุดที่ A4 หรือ A3 ค่ะ สเต็กที่มาเสิร์ฟทุกจานจะมีเลือกระดับความสุกได้ แต่เชฟจะแนะนำเป็น Medium rare และจะมีผักเคียงมาให้นิดหน่อย พร้อมเกลือและเฮิร์บไว้จิ้มกับเนื้อค่ะ ถ้าใครชอบรสจัดสามารถขอน้ำจิ้มแจ่วได้นะคะ
เริ่มจากส่วนแรกเราตั้งใจว่า ให้เป็นส่วนที่รสเนื้อจัด ๆ เลย อารมณ์แบบเนื้อออสเตรเลีย ให้ได้เคี้ยวหน่อย พร้อมรสเนื้อเต็มที่ เชฟเลยแนะนำเป็นส่วน “Sirloin" หรือสะโพกส่วนบนค่ะ เชฟบอกถ้าเป็นเกรด A5 ไม่ต้องห่วงเรื่องความเหนียวเลยไม่ว่าจะส่วนไหนก็ตาม แฟนเราเป็นคนกินเนื้อบอกว่ารสชาติจานนี้เป็นอย่างที่เชฟบอกเลยค่ะ รสเนื้อจัดจ้าน ได้เคี้ยวกำลังดี ไม่เหนียวเลย มันแทรกประมาณนึง ปกติเราจะไม่ถนัดเนื้อที่รสเนื้อจัด ๆ เพราะงั้นจานนี้เราว่าไม่เหมาะกับคนที่ปกติไม่ได้กินเนื้อค่ะ แต่ถ้าใครชอบเนื้อประมาณเนื้อออสเตรเลีย จานนี้ต้องสั่งค่ะ
จานต่อไปเรารีเควสว่า ขอเนื้อที่รสเนื้อไม่จัด คนกินเนื้อก็กินได้ นุ่ม ๆ ไม่ต้องเคี้ยวมาก เชฟแนะนำเป็นตัวนี้ค่ะ "Chuck“ หรือสันคอค่ะ จานนี้เราชอบมากกก รองจากเนื้อผัดซอสแจ่วก็คือจานนี้แหละค่ะที่ชอบที่สุด texture ของเนื้อคือ นุ่มและเด้ง ได้เคี้ยวนิดหน่อย นิดเดียวจริง ๆ พอเป็นความมันระดับ A5 แล้วมันแทบละลายไปเลย มันแทรกกำลังดี ใครไม่ชอบกินเนื้อ จานนี้ลองเถอะค่ะ และเราคิดว่าส่วนนี้เหมาะมากสำหรับคนที่ชอบกินเนื้อญี่ปุ่นค่ะ
มาถึงส่วนสุดท้ายที่เราสั่งค่ะ ส่วนนี้เรารีเควสไปว่า ขอเนื้อมันเยอะ เอาแบบเนื้อญี่ปุ่นเลยคือรสเนื้อไม่ต้องเยอะ แต่ขอมันแทรกจัด ๆ เชฟเลยแนะนำเป็นส่วน ”Flank” หรือเนื้อช่วงท้องค่ะ ส่วนนี้สามารถสั่งเล็ก ๆ ร้อยกรัมได้ จานนี้รสชาติอย่างที่เชฟบอกเป๊ะเลยค่ะ คือรสเนื้ออ่อน แล้วมันแทรกเยอะตามสไตล์เนื้อส่วนท้อง ยิ่งเป็น A5 ยิ่งละลายไปเลย คนที่ชอบกินเนื้อญี่ปุ่นเอสูง ๆ น่าจะชอบจานนี้นะคะ แต่เราชอบ chuck มากกว่า เพราะรู้สึกว่าจานนี้มันไปหน่อย พอเนื้อส่วนที่รสอ่อนแล้วมันเยอะมาเสิร์ฟทีหลัง ต่อจากเมนูรสจัด ๆ อย่างสเต็ก 2 จานแรก และเนื้อผัดซอสแจ่ว ทำให้เมนูนี้ค่อนข้างเลี่ยนค่ะ ถ้าใครอยากลองเนื้อส่วนมัน ๆ ตามแบบเนื้อญี่ปุ่นเอสูง แนะนำให้สั่งมาเป็นจานหลักจานแรกค่ะ ก่อนสตูว์ ก่อนเนื้อแจ่ว และก่อนสเต็กส่วนอื่นที่จะสั่งค่ะ
มาถึงของหวานตบท้ายค่ะ ของหวานที่มีประจำของที่ร้านจะเป็น Granita 2 แบบค่ะ อารมณ์จะคล้าย ๆ ไอติมเชอเบตค่ะ มีสองรส แตงโมกับแอปเปิ้ลค่ะ รสแตงโมจะมีผงปลาแห้งโรยมาด้วย จะเป็นรสตัดกันระหว่างหวานกับเค็ม ส่วนแอปเปิ้ลจะมีเลม่อนเชื่อมโรยมา รสชาติสองอันนี้แตกต่างกันนิดหน่อย แต่โดยรวมสดชื่นค่ะ ใครจะชอบอันไหนขึ้นอยู่กับแต่ละคนล้วน ๆ ว่าปกติชอบแตงโมหรือแอปเปิ้ลค่ะ วันอื่นถ้าดวงดีอาจจะมีเมนูพิเศษนะคะ เช่นไอติมมะม่วง หรืออะไรแนวนั้น ขึ้นอยุ่กับว่าเชฟจะทำมามั้ยล้วน ๆ
อ๊าาาา ถึงเวลาเช็คบิลแล้วค่ะ เราไปกันสามคน และสั่งเยอะมากกกก ออเดิร์ฟ 2 จานหลัก 3 (เบิ้ลเนื้อแจ่ว) สเต็ก 3 มันบดสั่งเพิ่ม 2 ของหวาน 2 แล้วมีเบียร์ด้วยค่ะ ราคาออกมา ผ่ามพามม ตามรูปด้านล่างเลยค่ะ 555555 สำหรับเราเราว่าราคาสมกับรสชาติมาก ๆ เลยนะคะ บางเมนูถือว่าถูกด้วยซ้ำเมื่อเทียบกับร้านอื่น อย่างเนื้อเกรด A5 กิโลนึงก็หกพันอัพแล้ว แล้วนี่สั่งกันจนอิ่มแบบกินบุฟเฟ่ต์เลย
ตามธรรมเนียมค่ะ มาบอกข้อดีข้อเสียของร้านนี้กัน
ข้อดี
1. อร่อยยย แน่นอนอยู่แล้วค่ะ เป็นเนื้อที่อร่อยมาก นุ่มมาก เค้าปรุงแต่ละจานเพื่อให้ถูกใจลิ้นคนไทยชัด ๆ อะ ไม่ได้ให้กินเนื้อเพลน ๆ จิ้มเกลือเท่านั้น มีเมนูปรุงเข้มข้นหลายเมนูเลยค่ะ
2. หลากหลาย มีเนื้อให้เลือกหลายส่วน และแต่ละส่วนมีที่มาที่ไป ใช้คำว่า มาร้านนี้ครั้งเดียวก็สามารถทำให้รู้ได้เลย ว่าจริง ๆ แล้วเราชอบเนื้อส่วนไหนและไม่ชอบส่วนไหน
3. ใส่ใจลูกค้า เชฟคอยมาอธิบายให้ลูกค้าตลอดเลย พนักงานทุกคน service mind เต็มเปี่ยม ใครแบบมาไม่ทันตามเวลาจริง ๆ ทางร้านก็ให้เลทได้ค่ะ max สุดได้เกือบชั่วโมงเลยนะ แต่อย่าสายเลยค่ะ เกรงใจเขา แล้วก็เดี๋ยวเราไม่คุ้ม 555555
4. เดินทางสะดวก มาได้ทั้งรถไฟฟ้า taxi และ grab ค่ะ ถึงจะบอกว่าตอนช่วงเย็นรถติดมากอย่านั่งเลยรถยนต์ แต่ตำแหน่งของร้านถือว่าเป็นจุดที่เดินทางง่ายนะ หาก็ง่าย search google map ก็เจอ search จาก grab ก็มี (อย่าลืมนะ 35dryagedbeef ติดกันหมด) เดินจาก bts ยังได้เลย
ข้อเสีย มีข้อเดียวถ้วน นั่นคือ จองยากมากก ร้านจะเปิดจองครั้งนึงสำหรับคิว 3 เดือนถัดไป เช่น เปิดจองกันยา เพื่อมากินตุลา - ธันวา เปิดจองธันวา เพื่อมากินมกรา - มีนา ประมาณนี้ มีเงินอย่างเดียวกินไม่ได้ค่ะ ต้องจองได้ด้วย แต่ถ้าใครจองไม่ทัน ยังมีโอกาสอยู่นะคะ เพราะทางร้านจะประกาศในแฟนเพจทุกครั้งถ้ามีคิวหลุด เพราะงั้นติดดาวเพจไว้ค่ะ ถ้าเห็นปุปรีบทักไปถามร้านเลย ถามทางไลน์แอดนะ (ประกาศคิวหลุดในแฟนเพจ แต่ให้จองในไลน์แอด) ต้องแข่งกันเฉือนกันหลักวินาทีเลยนะคะ แบบที่เราทำ 55555
เรื่องราคาเราไม่นับเป็นข้อเสียนะ เห็นในบิลด้านบนอาจดูเยอะ แต่ถ้าลองหารต่อคน มันเหมือนเราไปกินบุฟเฟ่ต์ร้านพรีเมี่ยมอะ แล้วคุณได้เนื้อที่คุณภาพระดับ A4 A5 ที่เวลาไปกินหลายร้านราคาโหดกว่านี้มาก เพราะงั้นเรามองว่าสมราคาแล้วจริง ๆ
วาร์ปร้านจ้าา
35 Dry Aged Beef
Location : https://goo.gl/maps/tLxBrxdYe8...
Fanpage : https://web.facebook.com/35DryAgedBeef
Line@ : @35DryAgedBeef (มี @ ด้วยนะ)
สรุปว่าไปลองกันเถอะทุกคน ใครที่ไม่กินเนื้อเพราะไม่ชอบ อยากให้ลองซักครั้งแล้วจะเปลี่ยนใจ ส่วนคนที่ชอบกินเนื้ออยู่แล้ว ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง เปิดให้จองวันไหนรอเลยค่ะ จองไม่ได้ติดดาวเพจไว้ เฝ้ารอคิวหลุด วันไหนมีดวงจองได้ เตรียมตัวรับอิมแพคเลยค่ะ 5555555
ส่วนเราหลังจากได้มาลองกินที่ร้านนี้จากการได้คิวหลุดนั้น บอกได้เลยว่า เตรียมซ้ำกับการจองปกติครั้งต่อไปแน่นอนค่ะ 55555 กลับมาเจอกันใหม่กับรีวิวต่อไปของ "กิน จน จน" ในครั้งหน้าน้า บ๊ายบายยย
https://web.facebook.com/KiinJonJon
กินจนจน : Poor Eater
วันเสาร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2563 เวลา 15.41 น.