ฝากติดตามเพจของเราด้วยนะค้า ^^
https://www.facebook.com/wherewegopage
เสม็ดนางชี และ เขาหลัก เป็นที่ที่ไผ่ยินชื่อบ่อยๆ
ซึ่งดูจะเป็นที่เที่ยวฮอตฮิตที่เข้าใจว่าไปยาก
และไม่เคยได้หาข้อมูลลึกๆเลยว่าอยู่ที่ไหน ไปยังไง
แต่แล้วเราก็มีโอกาสได้มา ‘พังงา’ และค้นพบว่า
อ้าว อยู่ที่นี่เอง!!! ที่เที่ยวฮอตฮิตที่รู้งี้มาตั้งนานแล้ว
พังงา
มันไม่ได้ไกล ไม่ได้ไปยาก แถมโคตรคุ้มค่าแก่การมา
และไม่ได้มีแค่ เสม็ดนางชี และ เขาหลัก แต่มีที่เที่ยวที่อื่นอีกเพียบ แถมมีร้านอาหารซีฟู๊ดลับๆ และอาหารปักษ์ใต้รสชาติจัดจ้านเด็ดๆ ที่ไปทานแล้วแบบ เฮ้ยยย ต้องบอกต่อ อยากให้ไปกินหลายร้านเลย เรียกได้ว่าเป็นจังหวัดที่ไปแล้ว เดี๋ยวต้องมีไปซ้ำอีกแน่นอน
การเดินทางไปพังงาก็อย่างที่บอกเลยค่ะ ถึงไม่มีสนามบินแต่ก็ไม่ได้ยากอย่างที่คิด
รอบนี้เราไป 3 วัน 2 คืนค่ะ
- เริ่มจากเราบินกับ AirAsia ไปลงที่ภูเก็ต
- จากนั้นก็ให้รถโรงแรม Khaolak Bhandari Resort & Spa
ที่พักของเราในทริปนี้มารับที่สนามบินมุ่งหน้าตรงสู่พังงาเลย
ใช้เวลาแค่ 1 ชั่วโมงนิดๆก็ถึงแล้ว
ส่วนสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ เราเที่ยวกับ Khaolak Wonderland Tour ค่ะ สะดวกสบาย ไม่ต้องขับรถเอง
Day 1:
เราบินกับ Airasia ไฟท์ 10:00 น. (กำลังดี ไม่ต้องตื่นเช้ามากแล้วทริปนี้ เย้! ) เพื่อมาลงยังสนามบินภูเก็ต
นั่งสบายๆ แปปๆ แค่ชั่วโมงนิดๆ เครื่องก็แลนด์ถึงท่าอากาศยานภูเก็ตแล้ว
เดินออกประตูมาก็มีรถของโรงแรม Khaolak Bhandari Resort & Spa มาชูป้ายรอรับแล้ว นั่งรถดูวิวเพลินๆ ชั่วโมงนิดๆ ก็มาถึงโรงแรมแล้วค่ะ
โรงแรมตั้งอยู่ที่เขาหลักเลย ที่พักของเราจะเป็น Zone Family ออกสไตล์ไทยๆ มีพื้นที่ค่อนข้างกว้าง เหมาะแก่การพักผ่อนสุดๆ ข้ามถนนเล็กๆหน้าโรงแรมไปก็เป็นทะเลเลย และที่สำคัญทะเลที่อยู่หน้าโรงแรมคือ ‘หาดทรายดำ’ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งจุดที่ต้องมา Check-in ของพังงาเลยค่ะ
เราก็เพิ่งมารู้ตอนหลังนี่แหละว่าอยู่หน้าโรงแรมเลย เฮ้ยย โชคดีมาก!
ห้องพักของเราเป็น Thai Style Bangalow ก็คือจะเป็นหลังๆแยกออกมาเลย มีระเบียงด้านหน้า ซึ่งเป็นมุมที่เหมาะกับการนั่งพักผ่อน อ่านหนังสือชิลล์ๆ มากค่ะ ด้านในห้องกว้างเลย มีส่วนที่เป็นเตียงนอน และมุมนั่งเล่น แถมมีส่วนของห้องน้ำที่มีประตู 2 ฝั่ง ฝั่งหนึ่งเปิดออกไปจะเจออ่างแช่น้ำ outdoor ส่วนตัวมากๆค่ะ ส่วนประตูอีกฝั่ง เปิดออกไปจะเจอที่นั่งเล่น ซึ่งหันหน้าเข้าหาสนามหญ้าสบายตา
โซนนั่งเล่นสบาย แถมมีหน้าต่างกระจกบานใหญ่รอบห้องด้วย ดีมากๆค่ะ
เก็บของนั่งพักกันซักพักนึง เริ่มหิวแล้ว เลยออกมาทานข้าวที่ห้องอาหารของโรงแรม
เมนูที่นี่มีทั้งอาหารไทย และอาหารต่างชาติค่ะ ด้วยความหิวทั้งไผ่และพี่ปุ่นเลยสั่งกันอย่างไม่คิดชีวิต เพราะราคาอาหารที่นี่ไม่แพงด้วย ผลที่ได้คือเต็มโต๊ะจร้าาา แถมมาจานใหญ่ๆทั้งน๊านนน งื้อออออ
สั่งมาแล้ว ต้องจัดให้เรียบ จะว่าบอกว่า ‘พิซซ่าซีฟู้ด’ นี่ต้องโดนค่ะ อร่อยมากกก หน้าแน่น ทานแล้วกลิ่นซีฟู้ดตลบอบอวลเลย ดีงาม ปลื้มปริ่ม
พออิ่มแล้ว ต้องเดินย่อยเยี่ยมชมโรงแรมซะหน่อย เนื่องจากเราจะเริ่มออกเที่ยวกันวันพรุ่งนี้ วันนี้เลยเป็นวันพักผ่อนชิลล์ๆ ที่โรงแรมค่ะ
บรรยากาศภายในโรงแรมร่มรื่น มีต้นไม้เยอะ ตามสไตล์รีสอร์ทเลยค่ะ
นอกจากตัวห้องพักของเราเองแล้วที่เหมาะกับการนอนชิลล์ อ่านหนังสือ ที่นี่เค้ายังมีศาลาไว้ให้สามารถไปนั่งเล่นนอกห้อง หรือใครจะไปเล่นโยคะตรงนี้ก็ได้ค่ะ บรรยากาศดีมาก
เดินไปสุดทางจะเจอกับเรือนไทยหลังใหญ่ ย้ำว่าใหญ่จริงค่ะ ส่วนนี้จะเป็นสปาค่ะ ได้ข่าวว่าสปาที่นี่ขึ้นชื่อมากเลยน้า ต้องมาลองๆ
อ๊ะ อย่างที่บอกไปตอนต้นค่ะว่าโซนที่เราพักเป็น Zone Family
ซึ่งที่ Khaolak Bhandari Resort & Spa เนี่ย เค้าจะมีห้องพักอีกโซนหนึ่งด้วย เรียกว่า Zone Oriental หรือที่เราได้ยินพนักงานที่นี่เค้าเรียกกันว่า ‘โซนหนุ่มสาว’
พอมาเห็นก็จะ อ้อ เข้าใจละว่าทำไมเรียกว่า ‘โซนหนุ่มสาว’ 555
โซนนี้จะมีความ Modern กว่า และห้องชั้นล่างเรียกได้ว่ามีสระว่ายน้ำตรงระเบียงหน้าห้องเป็นของตัวเองทุกห้องเลย สระสีฟ้าสด น่าว่ายมากค่ะ ดูมีความเป็น pool party เหมาะกับวัยหนุ่มสาวจริงงงง
เดินทัวร์รอบโรงแรมแล้ว เราเลยชวนกันเดินข้ามถนนไปเยี่ยมชมทะเลหน้าโรงแรมเรากันซะหน่อย
หาดทรายดำ หรือ หาดนางทอง ความพิเศษของที่นี่ อย่างแรกก็ตามชื่อเลยค่ะ ทรายที่หาดนี้จะเป็นสีดำจากแร่ดีบุก แนะนำว่าให้มาช่วงเย็นจะเห็นทรายดำเยอะกว่า เพราะว่าน้ำลงแล้ว ส่วนอีกจุดเด่นของที่นี่คือประภาคารค่ะ ถ่ายรูปออกมาคือสวยมากๆ เราเดินถ่ายรูปเพลิน ลืมเวลาไปเลยจร้าาาตรงนี้
ทะเลสีดำ...ไม่มีแสงไฟ
ไม่ใช่แล้ว! อันนี้ หาดทรายสีดำ! 555
เดินเล่นกันเพลิน อ้าว ถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว
มื้อเย็นวันนี้เราฝากท้องไว้ที่โรงแรมเหมือนเดิม ด้วยความที่มาภาคใต้ เราก็หมายหมั่นปั้นมือว่าได้ทานอาหารใต้ เย็นนี้เราเลยจัด เซทอาหารปักษ์ใต้ ไปเลยจร้า ซึ่งมาฟู มาเต็มอีกแล้ว!
ความแปลกใจคือ อาหารโรงแรมระดับนี้ ราคาไม่แพงเลย คือเหมาะกับการมาพักผ่อนแบบพักผ่อนจริงๆ แบบสามารถใช้ชีวิตในโรงแรมได้แบบสบายๆเลย
Day 2:
วันนี้เป็นออกทัวร์แล้วจร้า
แต่ก่อนอื่น กองทัพเราต้องเดินด้วยท้อง
อาหารเช้าที่โรงแรมมีค่อนข้างหลากหลายเลย แต่ที่จะบอกว่าห้ามพลาดเลยคือ ‘ขนมจีนปักษ์ใต้’ อร่อยมากกก
ทานเสร็จพอดีกับเวลาที่รถตู้ของ Khaolak Wonderland Tour มารับพอดี
จุดหมายแรกของวันนี้จะเป็นที่ไหนไปไม่ได้นอกจากนางเอกของที่นี่อย่าง ‘เสม็ดนางชี’
คนส่วนใหญ่มักจะรู้จักแต่จุดชมวิวเสม็ดนางชีที่คาเฟ่ใช่มั้ยคะ
วันนี้เรามีอีก 1 จุดมานำเสนอค่ะ ตรงนี้เป็นของชาวบ้านทำกันเองค่ะ
ปกติจุดชมวิวของเสม็ดนางชีเนี่ย ไม่ว่าจะจุดไหนก็จะไม่สามารถนำรถขึ้นไปเองได้ค่ะ ต้องใช้บริการรถรับส่งตรงจุดชมวิวนั้นๆ ซึ่งจุดชมวิวของชาวบ้านตรงนี้ค่าบริการรถรับส่งจะอยู่ที่ 90 บาทต่อคน (ถ้าไปกับทัวร์ อันนี้จะอยู่รวมในทัวร์แล้วน้า)
ทางขึ้นก็จะชันๆ โหดๆหน่อย ต้องเกาะขอบกระบะให้มั่นค่ะ 5555
แต่เริ่มเห็นวิวลิบๆเท่านั้นแหละ โอ้โห ทางโหดกว่านี้ก็ได้เอ้า!
ของจริงคือสวยและอลังการงานสร้างมากค่ะ
ตอนแรกไผ่ก็สงสัยอยู่นะว่าทำที่นี่ถึงชื่อว่า ‘เสม็ดนางชี’
เสม็ดมันอยู่ระยองไม่ใช่เหรอว้าาา
พี่ไกด์เค้าเลยมาช่วยไขข้อข้องใจให้
พี่ไกด์: “คำว่า เหม็ด ภาษาใต้ จะแปลว่าถลก แบบถลกผ้าถุงอ่ะครับ ส่วนภูเขาใหญ่ๆนั่นชื่อว่าเขาพระอาด เพราะว่าเมื่อก่อนจะมีพระไปปฎิบัติธรรมที่เขาลูกนั้น ซึ่งข้างๆเขาพระอาดจะมีเขาอีกอันเล็กๆต้งอยู่ข้างๆ ซึ่งเป็นที่ที่แม่ชีพำนักปฎิธรรมอยู่เช่นกัน เวลาที่น้ำลดจะมีทางเชื่อมเดินถึงกันได้ แม่ชีก็จะเดินผ่านทางนั้นมาดูแลพระที่เขาใหญ่ ซึ่งเวลาเดินข้ามมาก็ต้องถลกผ้าถุงขึ้นเพื่อไม่ให้เปียกน้ำ”
และนั่นคือที่มาของคำว่า เสม็ดนางชี ค่ะ
จากเสม็ดนางชี เรานั่งมาต่อกันที่ ‘วัดถ้ำสุวรรณคูหา’ เป็นวัดเก่าแก่สร้างมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2467 ที่มีพระนอนองค์ใหญ่ประดิษฐานอยู่ในถ้ำค่ะ
เข้ามาเราจะเจอพระนอนก่อนเลยค่ะ
เดินเข้าไปด้านในสุดของถ้ำจะบันไดเราเราสามารถเดินเข้าไปชมถ้ำ ซึ่งจะมี 2 ส่วนนะคะ คือ ‘ถ้ำสว่าง’ และ ‘ถ้ำมืด’
จุดหมายถัดไปของเราคือ ‘ชุมชนบ้านบางพัฒน์’ ค่ะ
อ๊ะ หลายคนอาจจะสงสัยว่าพามาเที่ยวชุมชนทำไม?
อ้าวววว....ไม่รู้ซะแล้ว สถานที่ลับมันอยู่ที่นี่ค่ะ หึ หึ หึ
ชุมชนบ้านบางพัฒน์ เป็นชุมชนชาวประมงเล็กๆ สองข้างทางเดินในหมู่บ้านจะมีของขาย ส่วนใหญ่จะเป็นขนม และของทะเลตากแห้ง
สถานที่ลับสุดยอดมันอยู่ตรงสุดทางเดินหมู่บ้านค่ะ
นั่นก็คือร้านอาหารซีฟู้ด ‘ครัวอารีย์บังหมาด’ นั่นเองงงงง
คือร้านนี้อยากจะบอกว่าเป็นร้านที่อยากนำเสนอมากๆ เค้าเป็นร้านอาหารทะเลของชาวบ้าน ซึ่งยังไม่เป็นที่รู้จักสำหรับนักท่องเที่ยวมากนัก ความดีงามก็คือ
อาหารทะเลที่นี่สด (เพิ่งชาวบ้านลากอวนจับเองกันที่นี่เลยจร้าาา)
อร่อย (มากกกกกก)
ถูกมากกกก ถูกแบบ เฮ้ย นี่ราคาอาหารทะเลจริงป่าว!
ถามว่าถูกแค่ไหน?
อาหารเซทนี้ 14 จาน ในราคา 2,000 บาท!
สั่งอะไรก็ได้ใน 14 จาน
แถมข้าวฟรีอีกเอ้า!
The Must สำหรับคนชอบอาหารทะเลเลยค่ะ
ตอนนี้พุงตึงมากค่ะ พี่ไกด์เลยพาเรามาเดินย่อยที่รูป Street Art น้องมาร์ดี ฝีมือศิลปิน Alex Face นั่นเอง
ซึ่งจะมี 3 จุดด้วยกันค่ะ
เอาจริงๆ ตอนแรกไผ่ไม่ค่อยตื่นเต้นกับน้องมาร์ดีเท่าไหร่ เพราะ Street Art ในภาคใต้จริงๆมีหลายที่มากๆ
ปกติเที่ยวเอง ก็จะเดินไปเรื่อยๆ ถ่ายรูปๆ ไรงี้
แต่เพิ่งรู้จากพี่ไกด์ว่า จริงๆแล้ว Street Art แต่ละรูปมีที่มาที่ไปด้วยนะ
อย่างน้องมาร์ดีรูปแรก เป็นรูปน้องมาร์ดีกำลังร่อนแร่
คือที่ จ.พังงา เนี่ย จะมีแหล่งแร่ดีบุก สมัยก่อนชาวบ้านที่นี่ จะมีอาชีพร่อนแร่ ซึ่งวันพรุ่งนี้เราจะได้ไปเยี่ยมชมหมู่บ้านนี้ค่ะ
รูปที่ 2 น้องมาร์ดีใส่ชุดเชิดสิงโต
เนื่องมาจากรูปน้องมาร์ดีรูปนี้ตั้งอยู่ตรงข้ามกับศาลเจ้าพอดีจ้า
และรูปสุดท้าย น้องมาร์ดีกับเรือสำเภาในขวดแก้ว
มันมาจาก สมัยก่อนนู้นนน พังงาเป็นเมืองท่า ที่เรือสำเภาจะมาจอดซื้อขาย แลกเปลี่ยนสินค้ากันที่นี่ค่ะ
พอรู้ความหมายที่มาที่ไป แล้วรู้สึกว่าเที่ยว Street Art อินขึ้น สนุกขึ้นเยอะเลย
รู้ตัวอีกทีก็จะเย็นแล้ว พี่ไกด์เค้าก็พาเรามานั่งพกที่ Khaolak Wonderland Tours & Cafe ซึ่งเป็นของบริษัททัวร์เอง ที่นี่เป็นร้านคาเฟ่เล็กๆน่ารักๆ ค่ะ แต่ของกินในเมนูเพียบเลยนะ 555
ไผ่สั่งชาเย็นที่นี่ไป ถือว่าไม่ผิดหวังกับความเป็นชาเย็นใต้ อร่อยเลย
วันนี้เราทานข้าวเย็นกันที่ ร้านในเหมือง ซึ่งเป็นร้านอาหารใต้ที่ได้รางวัล Michellin 2 ปีซ้อน
ในร้านจะตกแต่งแบบวินเทจหน่อย มีดนตรีสดเล่นให้ฟังค่ะ
อาหารที่นี่จะมีความฟิวชั่นเล็กๆ รสชาติอาจจะไม่จัดจ้านเท่าอาหารใต้แบบ Local จ๋าๆเลย บางเมนูจะมีการใส่ความ Creative ลงไปด้วย อย่าง กุ้งสโร่ง จะมาในรูปแบบเสียบไม้บาร์บีคิว ซึ่งเอาน้ำจิ้มมาทำให้อยู่ในรูปแบบวุ้นเสียบไม้ทานด้วยกันด้วย สำหรับเมนูแนะนำสำหรับไผ่คือนี่เลยค่ะ ‘ผัด 3 เหม็น’ คือการเอาผักที่มีกลิ่นแรงมาผัดรวมกัน อันนี้อร่อยเลยค่ะ
[ มีต่อนะคะ ]
Day 3:
เช้าวันสุดท้าย เราเริ่มกันที่ ชุมชนท่าดินแดง ค่ะ
ที่นี่เป็นชุมชนชาวบ้านที่มีกิจกรรมให้ทำหลายอย่างเลย
พอรถจอดปุ๊ป เราประเดิมด้วยการพายเรือคายัคชมป่าชายเลนกันเลย เป็นประสบการณ์ใหม่มากค่ะ เพราะเป็นพายเรือคายัคเข้าไปในป่าชายเลนเลย วันนี้อากาศดี ชิลล์มากค่ะ
ในที่เดียวกันเลย พอขึ้นเรือแล้ว ชาวบ้านก็พาเราไปดูเหมืองเก่าค่ะ เมื่อก่อนชาวบ้านตรงนี้จะสูบดินใต้แม่น้ำขึ้นมาแล้วเอาร่อนแร่ดีบุกนำไปขายค่ะ (รูปน้องมาร์ดีร่อนแร่ ที่เราเราไปถ่ายมาเมื่อวานคือที่นี่นี่เองงงง)
จากนั้นมาต่อด้วย สวนผักไฮโดรโพนิก ค่ะ เป็นสวนผักที่ชาวบ้านปลูกกันเอง
มีผักสลัดให้เราชิมด้วยนะ หวาน กรอบ อร่อยมากค่ะ
มาถึง Highlight วันนี้แล้วค่ะ (สำหรับไผ่นะ 555)
เป็นทริปล่องแพ ที่น้ำตกวังเคียงคู่ เราไปกับแพของโกมลคอนเนอร์ ค่ะ
จะบอกว่าเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมลับ! (รึเปล่า) ที่ต้องมาค่ะ!
ชิลล์มากกก น้ำใสกิ๊ง แถมเย็นเจี๊ยบเลย
ตอนนั่งแพกางกับชายเสื้อก็จะเปียกนะคะ แนะนำให้เอาเสื้อผ้ามาเปลี่ยนกันด้วยน้า
ปิดท้ายทริปนี้ด้วยอาหารปักษ์ใต้ ของโกมลคอนเนอร์ ที่เตรียมไว้ให้เราหลังจากล่องแพ
จะบอกว่า อร่อยมากกกกก มีความปักษ์ใต้แบบ Local จริงจัง เป็นมื้อปิดทริปที่ประทับใจมากค่ะ
เป็นการมาพังงาครั้งแรกที่ประทับใจมาก ต้องมีซ้ำแน่นอนค่ะ!
Where We Go
วันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2563 เวลา 12.27 น.