การดู Aurora หรือ Northern Light หรือแสงเหนือ ถือเป็นความใฝ่ฝัน 1 อย่างในชีวิตผมอยู่แล้วว่าจะต้องเห็นให้ได้สักครั้งในชีวิต แล้วผมเพิ่งรู้ว่ามันสามารถมองเห็นได้ที่ Alaska (คิดว่าต้องไปที่ Iceland หรือ แถวๆ Scandinavia อย่างเดียว เพราะคนไทยไปที่นั่นกันเยอะ) แล้วเพิ่งรู้ด้วยว่าเป็นที่ที่ดีที่สุดในการดูแสงเหนือด้วย (จากการสอบถามคนท้องถิ่นและคนญี่ปุ่นที่ไป Alaska กันจำนวนมาก) เดี๋ยวกลับมาเล่าให้ฟังว่าทำไม
Alaska (The Last Frontier)
เป็น รัฐที่ตั้งอยู่ฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือสุดของอเมริกา ฝั่งตะวันออกติดกับ British Columbia และ Yukon ของประเทศแคนาดา ขณะที่ฝั่งตะวันตกติดกับประเทศรัสเซียโดยมีช่องแคบ Bering คั่นอยู่ ทางเหนือติดกับทะเล Chukchi ทางใต้ติดกับมหาสมุทร Arctic
Alaska ถือเป็นรัฐที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของอเมริกา แต่กลับมีประชากรน้อยที่สุดเป็นอันดับ 3 จึงเป็นรัฐที่มีประชากรอยู่กันอย่างแออัดน้อยที่สุดของอเมริกา ซึ่งมากกว่าตรึ่งของประชากรใน Alaska อาศัยอยู่ที่เมือง Anchorage
เมื่อ ก่อนรัฐนี้เป็นส่วนหนึ่งของประเทศรัสเซีย แต่อเมริกาได้ซื้อมาจากรัสเซียเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 1867 ในราคา7.2 ล้านดอลลาห์สหรัฐ (ประมาณ 2 cent/acer) และได้เป็นรัฐที่ 49 ของอเมริกาในวันที่ 3 มกราคม 1959
พอรู้ว่าเราสามารถมองเห็นได้ที่ Alaska ผมก็เริ่มวางแผนทริปทันที ตอนนั้นชักชวนสมาชิกได้เพิ่มอีก 2 คน เราเลยมีผู้ร่วมชะตากรรมทั้งหมด 4 คน ผม ภรรยาผม และเพื่อนร่วมบ้านที่ San Francisco อีก 2 คน
ด้วย ความที่ Alaska เป็นรัฐหนึ่งของ USA ทำให้เราไม่ต้องขอวีซ่า เพราะเรามาเรียนกันอยู่ที่ SF อยู่แล้ว และการบินไป Alaska ก็ไม่ได้ยากอะไร จาก SF บินไปต่อเครื่องที่ Seattle ก็ถึง Alaska เลย
ทริ ปนี้มีหลายคนแนะนำว่า Alaska ไม่ควรไปหน้าหนาว เพราะมันจะหนาวมาก และทุกอย่างปิดหมด แต่ผมจะไปดูแสงเหนือ ถ้าไม่ไปหน้าหนาวซึ่งเวลากลางคืนมากกว่าหรือพอๆกับกลางวัน จะให้ไปหน้าร้อน ซึ่งมีเวลากลางวันเกือบ 24 ชม.หรือ พอมาสอบถามข้อมูลใน pantip ก็แนะนำคล้ายๆกันคือ ไม่ควรไปหน้าหนาว แต่...Alaska หน้าหนาวไม่ได้มีดีแค่แสงเหนือครับ
ผมเตรียมทริปนี้ ก่อนไปประมาณ 3 เดือน หาข้อมูลทุกอย่างช่วงเวลาที่ดีที่สุด อากาศไม่หนาวจัดมาก ก็ได้ช่วงเวลาที่ดีที่สุดมาคือ ประมาณปลายเดือนกุมภาพันธ์ถึงต้นมีนาคม เพราะที่ Anchorage มีเทศกาลวิ่งหมาลากเลื่อนและวิ่งกวางแรนเดียร์ และที่ Fairbanks ก็มีงานแกะสลักน้ำแข็งระดับโลกด้วย
เมื่อได้วันแล้วก็ ได้เวลาวางแผนการเที่ยว จองตั๋วเครื่องบิน ที่พัก รถเช่า ซึ่งเราวางแผนจะไปอยู่ Anchorage กัน 4 วัน 4 คืน แล้วบินจาก Anchorage ไป Fairbanks อยู่ที่ Fairbanks 3 วัน 3 คืน เพื่อดูแสงเหนือโดยเฉพาะ ค่าเครื่องบินรวมทั้งทริปที่เราได้ก็ $382/คน ครับ
ส่วน ที่พักเรานอนกันที่ Anchorage 3 คืน ขับรถไปนอน Seward 1 คืน นอน Fairbanks 3 คืน แต่ทีเด็ดคือ ผมไปเจอโรงแรมนึงซึ่งเป็น Hidden Gem ของ Trip Advisor อยู่ห่างจากตัวเมืองไปประมาณ 30 กม. ซึ่งเหมาะกับการดูแสงเหนือมาก ทุกคนใน Trip Advisor ให้ review 5 ดาวหมดเลย และส่วนมากคนที่ไปพักเป็นคนญี่ปุ่นด้วย การจองก็ทำได้ทางเดียวคือ E-mail ไปจองกับเจ้าของบ้านเท่านั้น ซึ่งที่พักที่นี่มันต้องมีอะไรดีแบบสุดๆแน่ๆ เพราะจองก็ยาก ราคาก็ไม่ใช่ถูก แล้ว review สูงด้วย ผมจึงไม่รอช้า ส่ง mail ไปจองทันที เดี๋ยวมาเล่าช่วงดูแสงเหนือนะครับ รายละเอียดโรงแรม
เราบินออกจาก SF ช่วงเย็นๆ ถึง Anchorage ประมาณ 22.30 (ต่อเครื่องที่ Seattle ประมาณ 2 ชม.) เราเช่ารถจากสนามบิน Anchorage ไปพักที่พักในเมืองที่โรงแรม Guesthouse Anchorage Inn ขอบอกว่าสัญญาณโทรศัพท์ที่นี่ใช้ไม่เหมือนกับ USA แผ่นดินใหญ่ครับ ลงเครื่องมามีสัญญาณโทรศัพท์คือโทรได้แต่ไม่มีสัญญาณ Internet(ไม่ว่าจะเป็นของเครือข่ายใดๆเลย) เราเลยต้องใช้สัญญาณ Wifi ของสนามบินพาไปที่พัก และเรา Load offline map ของ google ไว้
เช้าวันถัดมา สอบถามจากเจ้าหน้าที่โรงแรมกับตำรวจ ได้ความว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของการวิ่งหมาหิมะ จะเริ่มวิ่งประมาณเที่ยง (เค้าวิ่งกัน 3 วัน) แต่งานเทศกาลอื่นๆยังมีอยู่นะครับ เราเลยเปลี่ยนแผนกันเล็กน้อย ช่วงเช้าไปซื้อของตุนเป็นเสบียงกับหาซื้อ sim ที่มีสัญญาณโทรศัพท์กันที่ Walmart (ที่ Anchorage มีหมดนะครับ ทั้ง Safeway Walmart Target) แต่ๆๆๆ sim ที่ซื้อมาดันมีปัญหาเชื่อมต่อกับเครือข่ายไม่ได้ซะงั้น เราเลยขอ refund แล้วอยู่กัน 7 วันโดยไม่มีสัญญาณ Internet (มีเฉพาะในโรงแรม) ซึ่งบางทีก็ดีนะครับ ผมกลับชอบ อยู่แบบไม่มีโลก online กันบ้าง เราจะได้ใกล้ชิดกับคนรอบข้างมากขึ้น
แล้วเที่ยงๆก็มารอดูการวิ่งหมาลากเลื่อน ซึ่งจัดวิ่งกันตรงโรงแรมที่เรานอนเลย เทศกาลนี้จะจัดขึ้นทุกปีนะครับ ประมาณปลายเดือนกุมภาถึงต้นมีนานี่แหละ แต่เห็นจากข่าวว่าปีนี้หิมะน้อย เลยต้องไปขนหิมะมาจากที่อื่น เพื่อมาทำทาง
ดูได้ประมาณชั่วโมงนึงครับ
เราต้องขับรถไป Seward ประมาณ 3 ชั่วโมง เพื่อไปนอนที่ Seward ระยะทางประมาณ 200 กม. เส้นนี้เป็นเส้นทาง Scenic Route นะครับ เพราะต้องขับเลียบไปตามทะเลสาบ ขับผ่านภูเขาหิมะมากมาย ขับไปตามทางหลวงหมายเลข 1 ลงใต้ไปเรื่อยๆ
นี่คือ View Point ระหว่างทางไป Seward
ก่อนตรงถึงทางแยกไปเมือง Whittier จะมีทางแยกไปเมือง Gridwood ตรงนั้นมีปั๊มน้ำมัน ซึ่งเป็นปั๊มเดียวที่เปิดระหว่างทางนี้ ให้เข้าห้องน้ำ ซื้อของอะไรให้เรียบร้อยนะครับ
ขับเลยทางแยกไป Whittier ลงใต้ไปเรื่อยๆ จะมีทางแยกให้ไปตามทางหลวงหมายเลข 9 ผ่านเมืองเล็กๆอย่าง Moose Pass ซึ่งทุกอย่างปิดหมด ขับผ่าน Kenai Lake ซึ่งน้ำในทะเลสาบเป็นน้ำแข็งทั้งหมด
เราออกจาก Anchorage ช่วงบ่ายๆ ไปถึง Seward เกือบๆ 5 โมงเย็นเลยทีเดียว เพราะแวะถ่ายรูประหว่างทางตลอด เรามาถึงก็เข้าที่พักคือ Mountain View B&B ที่นี่เราจองผ่าน Booking.com ซึ่ง review ของ booking.com ให้ 9.0 เลยทีเดียว ซึ่งก็ไม่ผิดหวังบ้านน่ารักมาก มีห้องครัว ห้องนั่งเล่น เสียอย่างเดียว Wifi ใช้ไม่ได้เพราะ password ที่คุณป้าให้มาผิด คุณป้าเจ้าของบ้านพยายามหา wifi อันใหม่ให้ก็ใช้ไม่ได้ เราเลยช่างมัน อยู่แบบไม่มี Wifi นี่แหละ สัญญาณโทรศัพท์ก็ไม่มี Wifi ก็ไม่มี ไม่ตายหรอก มี google map offline ซะอย่าง ไม่มีหลง
Seward
เป็นเมืองที่อยู่ทางใต้จาก Anchorage เป็นเมืองเล็กๆที่อยู่ติดกับคาบสมุทร Kenai มีประชากรประมาณ 2500 คนเท่านั้น
ที่ Seward นี้ ช่วงหน้าร้อนจะสามารถขับรถไปชม Exit Glacier ที่ Kenai Fjords National Park ได้ครับ แต่ช่วงที่เราไปมันปิด หรือสามารถจองทัวร์นั่งเรือไปชม Fjords ได้ ซึ่งตอนหน้าหนาวที่เราไปมันปิดอีกเช่นกัน นอกจากนี้ที่นี่ยังมี Alaska Sea life Center ที่ให้ชมสัตว์น้ำต่างๆในสถานที่จัดแสดงแห่งนี้ของ Seward
นอกจากนี้ยังมีจุดที่เราสามารถชมวิวอันสุดสวยของอ่าวนี้ได้คือ Resurrection Bay ชมพระอาทิตย์ขึ้นที่บริเวณนี้ ตอนเช้า สวยมากๆ ในเมืองนี้มี Safeway อยู่ 1 แห่งนะครับ shopping ซื้อของต่างๆได้ (ที่ Safeway มีสัญญาณ Internet ด้วย)
วันที่ 2
ตอนกลางคืนหิมะตกหนักมาก ทำให้เช้าวันถัดมาหน้าบ้านกับรถเรามีสภาพแบบนี้
เราตื่นแต่เช้าเพื่อชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ Resurrection Bay ครับ
แล้วก็ไปซื้อของที่ Safeway ต่อนิดหน่อย จึงกลับเข้าที่พัก อาบน้ำ ซักผ้า(ที่พักเรามีเครื่องซักผ้ากับเครื่องอบผ้าให้ใช้ด้วยนะครับ) กว่าจะออกกันก็ 11 โมงกันเลยทีเดียว เราขับรถไปตรงส่วนที่ใกล้ที่สุดของทางที่ไป Exit Glacier กันก่อนออกจาก Seward ครับ เพราะขับลึกไปจากทางผ่านกลับ Anchorage แค่ประมาณ 5 กม.เท่านั้น ตรงทางที่ปิด วิวตรงนั้นสวยดีครับ เป็นแม่น้ำขนาดใหญ่ที่ไหลจาก Kenai Fjords National Park ลงทะเล แต่น้ำตรงนั้นเป็นน้ำแข็งเกือบทั้งหมด
เราออกจาก Seward ก็เกือบๆเที่ยง เมืองต่อไปที่เราจะไปคือ Whittier ครับ ระยะทางประมาณ 140 กม. ใช้เวลาขับประมาณ 2 ชม. แต่ระหว่างทางไม่มีร้านอาหาร ร้านขายของ หรือห้องน้ำใดๆเลยนะครับ ทุกอย่างปิดหมด ปัญหาที่สำคัญของเราคือ ห้องน้ำครับ ทุกคนในรถอยากเข้าห้องน้ำมาก
เราไปถึง Begich Boggs Visitor Center ก่อนเข้าอุโมงค์สั้นๆอันแรกครับ แต่มันปิด!!!! เราเลยต้องเดินทางกันต่อ แต่ไปไม่ไกลเราจะเจอด่านเก็บเงินค่าลอดอุโมงค์ไป Whittier เสียค่ารถคันละ $13 และที่สำคัญคือ ตรงนั้นมีห้องน้ำ รอดตายกันเลยทีเดียว อากาศหนาว ปวดฉี่บ่อยๆ เป็นเรื่องปกติ
การเข้าผ่านอุโมงค์ไป Whittier มีทางเข้าออกทางเดียวครับ เป็นทางเลนเดียวเท่านั้น เพราะฉะนั้นการเข้าออกเลยต้องเป็นไปตามเวลา รถทุกคันต้องไปจอดรอที่จุดที่มีไฟแดงเพื่อรอสัญญาณไฟเขียว ตอนนั้นเราไปถึงกันประมาณบ่าย 2 รอบถัดไปที่ให้รถเข้าไปในเมืองคือ 14.30 ครับ เราเลยจอดรถรอกันประมาณครึ่งชั่วโมง ออกไปเดินเล่นนอกรถก็ไม่ไหวข้างนอกประมาณ -5 พร้อมกับมีลม
ทางเข้าเป็นอุโมงค์เล็กๆสำหรับรถคันเดียวผ่าน ถนนที่วิ่งก็เป็นรางรถไฟ!!! คือเราต้องขับรถบนรางรถไฟเข้าออกจากเมืองนี้
http://www.dot.state.ak.us/creg/whittiertunnel/index.shtml
Whittier เป็นเมืองเล็กๆมากๆ มีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 200 กว่าคนเท่านั้นเมืองนี้เป็นเมืองท่าเรือที่สำคัญตั้งแต่สมัยสงครางโลกครั้งที่ 2 แต่ความสำคัญของเมืองนี้คือ เป็นท่าเรือที่จะนั่งเรือพาเราไปชม Prince William Sound หรือ ช่องแคบ Prince William ครับ จะสามารถมองเห็นธารน้ำแข็งขนาดใหญ่ สัตว์น้ำนานาชนิด ซึ่งสวยงามมาก ซึ่งเรือจะเริ่มเปิดช่วงฤดูร้อนเท่านั้น อยากนั่ง cruise ตามข้อมูลด้านล่างเลยครับ
https://www.phillipscruises.com/
ตอนที่เราไปถึง Whittier มีเรากับนักท่องเที่ยวอีกกลุ่มเท่านั้น นอกนั้นไม่มีประชากรใดๆอยู่แถวๆนั้นอีกเลย เมืองเงียบมากๆ
เราอยู่ได้ประมาณชั่วโมงนึงครับ เพราะต้องรอรอบเวลาออกจากอุโมงค์ ขับรถวนรอบๆเมือง ถ่ายรูป ออกจากเมืองเวลา 4 โมงเย็น กลับทางเดิมครับ ทางกลับได้ชมวิวพระอาทิตย์ตกด้วย แต่เหมือนเดิมครับ ออกจากรถไม่ไหว รีบออกไปถ่ายรูปแล้วรีบเข้ารถ
ถึง Anchorage ก็ประมาณ 6 โมงครับ เข้าพักโรงแรมเดิม Guesthouse Inn Anchorageวันที่ 3 เราก่อนออกไปเที่ยวตามที่วางแผนไว้ ผมขอไปเช็คเส้นทางกับ Visitor Center ของเมืองก่อนว่า สถานที่ท่องเที่ยวตรงไหนปิดบ้าง Visitor Center ชื่อ Visit Anchorage ครับ อยู่ไม่ไกลจากที่พัก เจ้าหน้าที่เป็นผู้หญิงแก่ๆ 2 คนที่ใจดีมากๆๆๆ ให้ข้อมูลเราดีมากๆ ลืมบอก เราค่อนข้างประทับใจคน Alaska ครับ คือ พยายามช่วยเหลือนักท่องเที่ยวมากๆ อัธยาศัยดีแทบทุกคน ไม่เหมือนอากาศที่หนาวเย็น
วันที่ 3
จากข้อมูลที่ได้มา เป็นไปตามที่อยากไปครับ คือ เราจะขับรถขึ้นเหนือไปเมือง Palmer โดยจะไปแวะเที่ยวระหว่างทางที่ Eklutna Lake ซึ่งสอบถามทางแล้ว ถนนไป Lake ไปได้ ก่อนออกจากเมืองเราก็ขอแวะซื้อเสบียงกันที่ Walmart ทางผ่านก่อน
ซึ่งระหว่างทางไปถึง Walmart นั้น เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น มีรถคันสีขาวตามหลังเรามาพักใหญ่ๆ หน้ากระจกรถเปิดไฟกระพริบรอบกระจกหน้ารถเลยครับ ตอนแรกผมยังหันไปบอกทุกคนในรถเลยว่า ไอ้รถวัยรุ่นข้างหลังจะขับตามทำไมจริงจังวะ เปิดไฟกระพริบสีน้ำเงินอีกน่ารำคาญ พอเราขับไปจอดที่จอดรถ Walmart ปรากฏว่ารถคันนั้นเป็นรถตำรวจครับ ขับมาจอดหลังรถเรา ตำรวจ 1 นายเดินลงมาที่รถเรา ถามว่าคุณไม่เห็นสัญญาณเหรอ ว่าให้หยุด เราก็งงๆ กันทั้งรถ เพราะรถคันนั้นทั้งคันไม่มีอะไรบ่งบอกเลยว่าเป็นรถตำรวจ มีแค่ไฟสีน้ำเงินกระพริบรอบกระจกรถ ผมเลยตอบไปว่า ผมไม่รู้ว่าเป็นรถตำรวจ ซึ่งเค้าบอกว่าถ้าคุณเห็นรถที่มีไฟสีน้ำเงินกระพริบด้านหลัง คุณต้องหยุด สรุปผมโดน Limit Speed เพราะไปขับรถเร็วเกินกว่า 30 ไมล์ต่อชั่วโมง ในเขตบ้านเรือนผู้คน (มีป้ายบอกแต่ไม่ทันได้มอง เพราะมัวแต่ไปสนใจ GPS) ก็อ้อนวอนคุณตำรวจกันไป ว่าผมไม่ทราบจริงๆ ไม่ได้ขัดขืนการจับกุม ซึ่งตำรวจก็เชื่อนะครับ แต่ก็โดนข้อหาขัดขืนการจับกุมอยู่ดี แต่โดนค่าปรับต่ำสุดไป คุณตำรวจบอกว่าให้เป็นค่าประสบการณ์ ให้เสียค่าปรับอย่างเดียว ไม่โดนโทษอาญาอื่นๆ ก็รับสภาพกันไป เลยไม่เถียงต่อ เถียงมากกลัวโดนเพิ่มโทษ
ได้ของจาก Walmart เรียบร้อย พร้อมค่าปรับจากตำรวจ หมดเงินไปหลายเลยทีเดียว ก็ได้เวลาเดินทางต่อ จาก Anchorage ไป Eklutna Lake ใช้เวลาประมาณ 1 ชม. คิดว่าช่วงหน้าร้อนคงใช้เวลาสั้นกว่านี้
Eklutna Lake เป็นทะเลสาบขนาดใหญ่อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของ Anchorage ช่วงหน้าร้อนทะเลสาบนี้มีกิจกรรมให้ทำเยอะครับ ทั้งการ Hiking รอบทะเลสาบ ปั่นจักรยาน พาย Kayak ก่อนถึงทะเลสาบมีร้านไอศกรีมด้วยนะครับ แต่ทุกอย่างที่กล่าวมาปิดหมดในหน้าหนาว รวมทั้ง Visitor Center ด้วยที่จะเปิด 22 พฤษภาคม - 7 กันยายน แต่ในช่วงหน้าหนาวนี้ทะเลสาบเป็นน้ำแข็งหมดเลยครับ เราสามารถเดินลงเดินเล่นในทะเลสาบได้เลย แต่ผมเห็นหลายคนลงไปเล่น Ice Skate กันครับ ซึ่งน่าจะสนุกมาก เพราะสถานที่กว้างมาก เสียดายที่เราไม่ได้เตรียมรองเท้า Ice Skate มา ก็เลยได้แต่เดินไปเล่นในทะเลสาบ ซึ่งลื่นมากๆ ต้องใช้รองเท้าที่มีดอกยางชนิดพิเศษ หรือที่มีเหล็กแหลมๆเล็กๆแทนดอกยาง ซึ่งพวกเราเตรียมมา แต่ก็ยังคงลื่นอยู่บ้าง แต่สนุกดีครับ
แต่ที่เห็นเด็ดกว่านั้นคือ มีคนปั่นจักรยานกันบนทะเลสาบเลยทีเดียว เค้ามาขอให้ผมถ่ายรูปให้ แล้วเค้าบอกว่าเค้ากลัวมาก ปั่นจักรยานบนน้ำแข็งเนี่ย ผมก็ยังถามย้ำว่าคุณกลัวเหรอ เค้าตอบว่าเค้ากลัวมาก แล้วก็ปั่นไปกลางทะเลสาบกับหมา 1 ตัววิ่งตาม แบบผมยืน งงๆ ว่านี่กลัวเหรอ
จาก Eklutna Lake เราก็ไปกันต่อที่เมือง Palmer เพื่อไปดู farm สัตว์ต่างๆ ที่ Palmer เป็นเมืองขนาดกลางๆ มีปั๊มและร้านอาหารมากมาย เพราะฉะนั้นไม่ต้องกลัวเรื่องห้องน้ำ ของกิน เราขับรถขึ้นเหนือจาก Palmer นิดหน่อย เพื่อไป Musk Ox Farm ไปดูเจ้าตัว Musk Ox แต่พอไปถึงเจ้าของฟาร์มบอกว่าเราต้องจองมาก่อนถึงจะเข้าไปดูได้ ค่อยมาใหม่พรุ่งนี้ เราเลยขับลงไปอีกที่นึงคือ หมู่บ้าน Butte เพื่อไปที่ Reindeer Farm ไปถึงเจ้าของฟาร์มบอกจริงๆปิด(ช่วงหน้าหนาว)แต่เข้าไปดูได้ แต่อย่าเข้าไปเกินกว่ารั้ว ที่นี่มีทั้งกวาง Reindeer ทั้ง Tule Elk ม้า ครับ ถ้ามาช่วงที่เปิดมีคนพาเข้าไปนี่สามารถเข้าไปชม เริ่มเปิด 1 พฤษภาคม – 7 กันยายน ครับ
http://www.reindeerfarm.com/ เข้าไปดูข้อมูลได้ตามนี้เลย เด็กๆน่าจะชอบ
วันที่ 4 วันสุดท้ายที่ Anchorage เรามีโปรแกรมต้องขึ้นเครื่องบินไป Fairbanks กันตอน 5 ทุ่มครับ แต่วันนี้ตอนกลางวันเรามีโปรแกรมไป Matanuska Glacier ตามคำบอกเล่าของคุณยายที่ Visitor Center และตามคำสรรเสริญสถานที่นี้ของคุณปู่ที่ Palmer ซึ่งเราไปถามคุณปู่ เรื่องระยะเวลาการเดินทางไป คุณปู่บอกว่าคุณควรจะต้องไปให้ได้ มันสวยมาก
จาก Anchorage ไป Matanuska Glacier Recreational Site ขับรถประมาณ 2 ชั่วโมง ทางที่ไปนี่เป็น Scenic Route อีกเส้นหนึ่งซึ่งสวยมาก เพราะเส้นทางจะเลียบไปกับแม่น้ำ Matanuska ซึ่งเป็นน้ำแข็งไปตลอดทาง แต่ขอบอกว่าจะออกนอกรถไปถ่ายรูปแต่ละที มันยากลำบากเหลือเกิน เพราะอุณหภูมิติดลบ 5 – ติดลบ 7 บวกกับมีลมตลอดเวลา ทำให้ต้องรีบถ่ายรูปแล้วขึ้นรถอย่างเร็วไว
นี่คือแม่น้ำ Matanuska
ไปถึง Matanuska Glacier ประมาณบ่าย 2 โมง (เราออกจาก Anchorage เกือบๆ 11 โมง เพราะเมื่อคืนขับรถไปดูแสงเหนือ แต่มันไม่เห็น เลยตื่นสายกัน)
เลย Matanuska Glacier Recreational Site ไปประมาณ 1 ไมล์ จะมีร้านอาหารและที่พัก ชื่อ Long Rifle Lodge เราสามารถเข้าห้องน้ำ กินอาหาร ดื่มชา กาแฟ ที่นี่ได้
หากเราย้อนกลับไป Matanuska Glacier Recreational Site ประมาณ 0.5 ไมล์ เราจะเห็นทางเข้า Glacier อยู่ข้างถนน (จะมีบ้านหลังเล็กๆ สีเหลืองๆ ตั้งอยู่ตรงทางเข้า) ถ้าเรามาหน้าร้อนเราสามารถขับรถลงไปที่ทางเข้าได้เลย แต่ถ้าเรามาหน้าหนาว ด้วยทางที่ค่อนข้างชันบวกกับมีน้ำแข็งบนทาง เลยไม่อนุญาตให้นำรถส่วนตัวเข้า ต้องโทรเรียกเจ้าหน้าที่มารับ ซึ่งเบอร์โทรและข้อมูลสามารถไปสอบถามจากพนักงานใน Long Rifle Lodge ได้นะครับ ค่ามารับไปส่งจุดที่ใกล้ที่สุดของ Glacier คนละ $25 แต่ถ้าอยากได้ไกด์ไปเดินบน Glacier เลยค่าไกด์คนละ $100 (หมายถึงราคาต่อหัวของนักท่องเที่ยวนะครับ) ไปเดินชมใน Glacier ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ซึ่งเรามีเวลาไม่มาก เพราะต้องขับรถกลับไปคืนรถที่สนามบิน รอขึ้นเครื่องอีก เราเลยไม่ขอไปปีนบน Glacier แล้วกัน เดินดูรอบๆจุดที่ใกล้ที่สุดก็พอ เสียคนละ $25 ค่าไปส่ง
นี่คือหนุ่มคนที่มารับส่งเราไป Matanuska Glacier ครับ เล่นเอาสาวๆในทริปตะลึงเลยทีเดียว เพราะเฮียแกหล่อมาก แต่ที่ทำผู้ชายหนึ่งเดียวของทริปอย่างผมเสียวกับเฮียแกก็คือ ขณะแกขับรถขึ้นลงเขา แกชอบหันไปคุยกับสาวๆด้านหลัง พร้อมกับขับรถมือเดียวด้วย
Matanuska Glacier
Matanuska Glacier ถือเป็นธารน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดของ Alaska ที่สามารถเข้าถึงได้ด้วยรถยนต์ (ธารน้ำแข็งส่วนใหญ่ต้องนั่งเรือไป) ธารน้ำแข็งที่นี่มีความยาวประมาณ 41.6 กม. มีความกว้างประมาณ 6.4 กม. ธารน้ำแข็งนี้มีรูปร่างแบบนี้ตั้งแต่เมือ 10,000 ปีก่อน และไม่มีการเปลี่ยนรูปร่างใดๆอีกเลยมากว่า 2 ทศวรรษแล้ว เพราะ Matanuska Glacier ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่เป็นหุบเขา มีอากาศเย็นค่อนข้างคงที่ มีลมเย็นจาก Glacier และลมอุ่นจากด้านเหนือจากเทือกเขา ทำให้เป็นสถานที่ที่ยอดเยี่ยมสำหรับนักท่องเที่ยวจะมาเยือน และที่สำคัญที่นี่เปิดให้เข้าชมตลอดทั้งป
ทางเดินไปนี่เห็นแดดแรงๆอย่างนี้ แต่มันหนาวมาก
เราอยู่ Matanuska Glacier กันได้ประมาณ 1 ชม. ก็กลับประมาณ 4 โมง ระหว่างทางกลับเห็นคนขับรถเล่นบนทะเลสาบน้ำแข็ง เลยอยากขอลองบ้าง
Matanuska River ระหว่างทางกลับครับ
ก่อนถึง Palmer ได้แสงสวยๆที่ แม่น้ำ Matanuska พอดี จอดถ่ายซะหน่อย แต่เจ็บมือมาก เพราะหนาวสุด
เราบินออกจาก Anchorage ตอน 5 ทุ่ม ถึง Fairbanks ก็เกือบๆเที่ยงคืน เช่ารถเสร็จ ขับรถออกมาก็เจอแสงเหนือเลยครับ แต่ไม่แรงมาก เพราะเราเจอแรงสุดๆในวันท้ายๆ เดี๋ยวมาเล่าให้ฟังอีกทีนะครับ
ขอย้อนเล่าการตระเวนล่าแสงเหนือกันที่ Fairbanks ในคืนแรกกันซักนิดก่อนนะครับ เพื่อจะได้ไว้เป็นแนวทางให้คนอื่นๆ เราลงเครื่องมากันตอนเที่ยงคืน เราก็เจอแสงเหนือกันตอนออกมาจากสนามบินกันเลยทีเดียว คนทั้งรถดูฮือฮามาก แต่ผมมองไม่เห็น เพราะต้องขับรถ เลยอึดอัดมาก เพราะโอกาสที่จะเห็นแสงเหนือนั้น ไม่ใช่ง่ายๆ
การจะได้เห็นแสงเหนือนั้น คาดเดาหรือพยากรณ์ล่วงหน้านานๆไม่ได้เลยครับ ที่ผมหาข้อมูลจาก website ต่างๆส่วนใหญ่ก็พยากรณ์ล่วงหน้าได้วัน 2 วัน (แต่เท่าที่สังเกตุดู ไม่ค่อยจะตรงเท่าไหร่)
ข้อมูลรายละเอียดของแสงเหนือ ที่เป็นภาษาไทย อ่านง่ายก็ได้มาจาก web นี้ครับ
http://www.piriyaphoto.com/auroraprediction/#.VuCoCdA1wrV
ขอขอบคุณ คุณ Piriya สำหรับความรู้จาก website นี้นะครับ เป็นประโยชน์มากจริงๆ
นอกจากนี้ผมก็ติดตามการพยากรณ์จาก website ของ University of Alaska Fairbanks ซึ่งสำหรับใช้ดูความแรงในแต่ละวันเฉยๆ ซึ่งพยากรณ์ได้ประมาณ 1-2 วันแหละครับ ถึงจะตรง
http://www.gi.alaska.edu/AuroraForecast/Alaska
แต่ที่ผมดูว่ามันแม่นสุดก็คือจาก website ของช่างภาพฝรั่งคนนี้ครับ
http://auroranotify.com/ เพราะคุณคนนี้จะเป็นเหมือนมี page facebook ที่มีคนแจ้ง Aorora ในแต่ละวันว่าที่ไหนเป็นอย่างไรบ้าง
และที่สำคัญถ้าเข้าไปใน website นี้ ด้านซ้ายมือจะเห็นเป็นรูปโลก มีสีเขียวๆของ Aurora วนอยู่ http://services.swpc.noaa.gov/images/animations/ovation-north/latest.png ผมว่าอันนี้แม่นสุดละ แต่มันเช็คได้เป็นรายชั่วโมงว่า ตอนนี้แสงอยู่ที่ไหนของโลกใบนี้ และมันจะวนมาเรื่อยๆ ถ้าเรา refresh หน้าจอเรื่อยๆ คือเราสามารถคาดการณ์เวลาว่าวันนี้มันจะถึงจุดที่เราอยู่ตอนประมาณกี่โมง
ผมใช้แค่ประมาณนี้แหละครับ ใช้พยากรณ์แสงเหนือ ที่เหลือแค่ดูฟ้าเปิดขนาดไหน มีเมฆมากขนาดไหน ซึ่งส่วนใหญ่ก็ดวงล้วนๆครับ ภาวนากันอย่างเดียวเท่านั้นจากนั้ก็เป็นสถานที่ครับ การดูแสงเหนือ จะดีที่สุดคือต้องไปดูในที่มีความมืดมากๆ โล่งๆ ถ้าจะดีมากคือ ไม่มีแสงไฟของเมืองรบกวน คนที่ไปล่าแสงเหนือส่วนใหญ่จึงต้องขับเราออกไปนอกเมืองไกลๆ ให้ห่างจากแสงเมืองมากที่สุด เพื่อให้เห็นแสงเหนือชัดๆนั่นเอง ดังนั้น การออกไปล่าแสงเหนือจึงค่อนข้างลำบาก เพราะบางทีอาจจะต้องผจญพายุหิมะระหว่างทาง หรือต้องออกไปเฝ้ากลางที่โล่งๆในช่วงเวลาอันหนาวเหน็บมากๆ ต้องเข้าๆออกๆรถเพื่อให้ร่างกายอุ่น และอาจจะต้องซื้อทัวร์เพื่อให้ผู้มีความชำนาญ มีอุปกรณ์พร้อมพาไปล่าแสงเหนือกันเลยทีเดียว
ซึ่งวันแรกที่เราไปถึงเราก็ทำอย่างนั้นครับ เพราะวันแรกที่ Fairbanks ของเรา เรานอนในโรงแรมกลางเมือง Fairbanks เลยครับ Regency Fairbanks Hotel (วันอื่นๆเราจะออกไปนอนนอกเมืองกัน) ถึงโรงแรมเที่ยงคืนกว่าๆ กว่าจะออกจากโรงแรมก็เกือบตี 1
สถานที่แรกที่พนักงานโรงแรมแนะนำคือ Hagelbarger Ave อยู่ห่างจากโรงแรมไปประมาณ 10 นาที คือจากโรงแรม เลี้ยวเข้า Streese Highway ขึ้นไปทางเหนือประมาณ 6 ไมล์ แล้วจะเจอ ถนน Hagelbarger Ave เลี้ยวซ้ายเข้า Hagelbarger Ave จะมีลานจอดดูตรงนั้นเลย ข้อดีของสถานที่นี้คือใกล้เมือง แต่สถานที่ถูกรบกวนด้วยแสงของเมืองมาก และคนเยอะ ตอนที่เราไปมีรถจอดอยู่แล้ว 2-3 คัน แล้วมีรถเข้าออกตลอด ทำให้รถกวนการถ่ายรูปมาก
ตรงนี้ถ่ายไม่มีความสุขเลยครับ แล้วแสงมันจางมากๆด้วย เลยย้านที่ดีกว่า
อีกที่นึงคือ ให้ขับรถไปทางถนน Chena Hot Spring จาก โรงแรม Regency Fairbanks ไปประมาณ 10 ไมล์ แล้วเลี้ยวเข้าถนน North Nordale Rd. บนถนนนี้หาจุดแวะโล่งๆข้างทางถ่ายได้เลยครับ ตอนที่ไปถึงจุดนี้แสงจางไปมากจนแทบไม่เห็นแล้ว และตอนออกไปถ่ายนอกรถ หนาวทรมานมาก
ตอนนั้นล่าแสงเหนือจนดึดื่น เบลอมาก ต้องกลับโรงแรมไปพักแบบผิดหวัง
วันที่ 5
เช้าของวันที่ 5 ของทริปนี้ เราตื่นกันสายเลยครับ คือ Check out 11 โมง ตรงตามเวลาที่โรงแรมกำหนดเป๊ะ จุดมุ่งหมายช่วงเช้าของเราคือการไปบ้านซานตาครอส ที่ North Pole อยู่ห่างจากตัวเมือง Fairbanks ประมาณ 15 นาทีเท่านั้น ซึ่งพูดตรงๆนะครับ มันไม่มีอะไรเลย เป็น Shop ขาย Survenir เกี่ยวกับซานตาครอส กับมีรูปปั้นซานตาครอสตัวโตๆอยู่ด้านหน้า
ยังดีที่ตรงข้างๆกันมีลานแกะสลักน้ำแข็งสวยงามกับมีบรรดากวาง Reindeer ให้ได้ชม
ออกจาก North Pole เราก็ตรงดิ่งไปโรงแรมที่เราจองเพื่อจะดูแสงเหนือกันเลยครับ ขอรีวิวโรงแรมนี้ยาวซักนิดนะครับ เพราะมันเป็นที่ที่สุดยอดมาก
โรงแรมนี้ชื่อ Northern Sky Lodge ครับ อยู่ห่างจากตัวเมือง Fairbanks ไปทางใต้ประมาณ 50 กม.
ผมไปเจอโรงแรมนี้ใน tripadvisor ซึ่ง review ที่ทุกคนให้ใน tripadvisor นั้นคือ 5 ดาวแทบทุกคน และมันเป็นสถานที่ที่เหมาะมากในการดูแสงเหนือ คืออยู่ไกลจากตัวเมือง เป็นที่โล่งกว้าง แต่การติดต่อเพื่อเข้าพักนั้น ทำได้ทางเดียวคือ การ E-mail ไปหาเจ้าของครับ ไม่มีการจองผ่าน website ใดๆทั้งนั้น ซึ่งคนที่ review หลายคนบอกว่านี่คือสถานที่ hidden gem ในการดูแสงเหนือ และคนที่ไปพักส่วนใหญ่เป็นคนญี่ปุ่นครับ และเจ้าของบอกว่า เราเป็นคนไทยกลุ่มแรกที่เคยมาพักที่นี่ เค้าเปิดมา 10 ปีแล้วไม่เคยไม่คนไทยเคยมาพักที่นี่เลย
เราไปถึงกันตอนเกือบๆ 4 โมงเย็นครับ ที่นี่ให้เช็คอินได้ตอน 4 โมงเย็น แต่ตอนไปถึงคุณ Pascale ซึ่งเป็นเจ้าของบ้านไม่อยู่ แต่เปิดห้องไว้ให้เราเรียบร้อยแล้ว
เก้าอี้ด้านหน้าไว้ดูแสงเหนือโดยเฉพาะ
ผมกับภรรยานอนชั้น 2 ส่วนอีก 2 คนนอนชั้นล่าง ซึ่งห้องที่ผมจองไว้เป็นห้องที่มองจากหน้าต่างเห็นแสงเหนือทั้ง 2 ห้อง (ห้อง no.6 กับ no.4) ซึ่งราคาก็แพงตามไปด้วย แต่ก็ต้องยอม เพราะเรามาเพื่อสิ่งนี้
รายละเอียดข้อมูลของโรงแรมนี้นะครับ
http://northernskylodge.com/default.aspxข้างนอกโรงแรมเป็นลานหิมะกว้างๆครับ ซึ่งมีของเล่นให้เราเล่นบนหิมะมากมาย
ระหว่างรอคุณ Pascale กลับมาก็เล่นเครื่องเล่นที่มีอยู่กันก่อน
คุณ Pascale เจ้าของบ้านกลับมาแล้ว พร้อมแนะนำบ้านให้เรา ซึ่งคุณ Pascale อยู่บ้านหลังนี้กับลูกชาย และหมาอีก 1 ตัวชื่อ Sid พันธุ์ Golden Retriever อายุ 11 ปีละ ซึ่งขอบอกว่า Sid ฉลาดมาก
Sid กับ 1 ในผู้ร่วมทริปของเรา
ภายในบ้านมีห้องครัวให้เราใช้ ห้องทานข้าวขนาดใหญ่ มีห้องนอนสำหรับแขก 7 ห้อง ตอนที่เราพักเป็นซึ่งเป็นคนญี่ปุ่นทั้งหมด (เค้าไม่ได้มาด้วยกันนะครับ) เราเป็นคนไทยกลุ่มเดียว
หลังจาก Pascale แนะนำบ้านแล้วก็ออกมาเล่นข้างนอกกันต่อ
ตอนกลางคืนกินข้าวพักผ่อน อาบน้ำกันเสร็จก็ได้เวลาตั้งตาเฝ้าแสงเหนือกัน ช่วงหัวค่ำฟ้าเปิดมากครับ
เริ่มมาเป็นเขียวๆแล้วครับ แต่จางๆ แล้วหายไป
หลังจากนั้นฟ้าก็ปิดยาวเลยครับ จนเกือบตี 1 ตอนนั้นเศร้ากันเลยทีเดียวพอประมาณตี 1 ฟ้าก็เปิดครับ ได้เห็นแสงเหนือแล้ว แรงพอประมาณ แต่มันไม่ Dancing เลย
ได้เห็นพอประมาณ แต่มันยังไม่ Dancing เลย วันนี้มันมาโชว์ประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วก็ไป
วันที่ 6
เช้าวันถัดมาเรามีโปรแกรมไปนั่ง Sledd Dog กับฟาร์มหมาคุณลุง Bill Cotter กันครับ อยู่ห่างจาก Northern Sky Lodge ประมาณ 30 นาที เข้าจะเป็นถนนชื่อ 4 mile Rd. อยู่ก่อนถึงเมือง Nenana ประมาณ 2-3 ไมล์
ที่ฟาร์มคุณลุง Bill มีหมาจำนวน 35 ตัวเป็นพันธุ์ Alaskan Husky ทั้งหมด ถามคุณลุงว่ามันต่างจาก Siberian Husky ยังไง คุณลุงบอกว่า Alaska Husky เป็นหมาเกิดที่ Alaska แค่นั้น
ถ่ายรูปกับคุณลุง Bill
บรรดาน้องหมาทุกตัว friendly มาก พอเราไปถึงทุกตัวเห่าเรียกรับเรากันเลยทีเดียว ยิ่งตอนที่คุณลุงคัดเลือกหมา นี่วิ่งโชว์เห่ากันใหญ่ เพราะแต่ละตัวอยากไปวิ่งกันมาก ตัวที่ได้วิ่งดูมีความสุขมาก
ก่อนออกเล่น Sledd Dog ชุดต้องพร้อมครับ ถ้าไม่พร้อมคุณลุงมีให้เปลี่ยน ซึ่งคุณลุงจะสำรวจก่อนว่าเครื่องแต่งการ ok ไหม
อันนี้คุณลุงสอนวิธีการบังคับ ซึ่งเราต้องมี 1 คนยืนข้างหลังสุด กับอีก 1 คนนั่งข้างหน้าสบายๆ แต่ขอบอกว่าคนที่ยืนมันกว่าเยอะ ทุกคนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าชอบยืนมากกว่านั่ง เพราะสนุกมาก
ทุกตัว friendly และดูอยากวิ่งมากๆ
พร้อม
ไปกันละครับ
ผมชอบที่แต่ละตัวดูวิ่งแล้วมีความสุขมาก แล้วมักจะชอบหันมาดูคนว่ายัง ok อยู่ไหม
จะมีจอดแวะพักเป้นจุดๆครับ เพื่อเปลี่ยนคนนั่งกับคนบังคับด้านหลังบ้าง จะได้สนุกเท่าๆกัน
เราใช้เวลาเล่น Sledd Dog กันประมาณชั่วโมงกว่าๆ ก็กลับถึงบ้านคุณลุง Bill อีกครั้ง
รูปนี้ผมฮามาก ยังกะโจร ISIS
แต่เป็นโจร ISIS ที่ดูร่าเริงเกินไป
เล่นเสร็จ คุณลุงได้มีการเลี้ยงชา กาแฟ ชอคโกแลตร้อน คุ้กกี้ บนบ้านให้กับแขกทุกคนที่มาเยือนด้วยนะครับ นั่งพูดคุยกับคุณลุงกับภรรยาคุณลุงสนุกมาก
หากใครมา Alaska อยากเล่น Sledddog ติดต่อคุณลุง Bill ทางนี้นะครับ
http://billcotterkennel.com/index.html
ค่าเล่นคนละ $140 แต่เห็นว่าหน้าร้อนจะถูกกว่านี้เยอะนะครับ เพราะใช้ล้อให้หมาลากแทน ไม่มีหิมะให้วิ่งออกจากฟาร์มคุณลุง Bill เรามุ่งลงใต้เพื่อจะไปที่ Denali National Park คุณลุง Bill แนะนำว่าเส้นทางนี้เป็น Scenic Route ให้ขับรถดูวิวไปประมาณชั่วโมงครึ่ง ระยะทาง 77 ไมล์
ก่อนเดินทาง เราขอแวะทานข้าวที่เมือง Nenana เมืองเล็กๆที่อยู่ใกล้ๆฟาร์มลุง Bill ก่อน ร้านอาหารที่เราไปกินข้าวกลางวัน เป็นร้านที่มีคุณยายแก่ๆใจดี 2 คน เป็นคนทำอาหารและเสริฟกันอยู่ 2 คน ชื่อร้าน Rough Woods Inn ที่ร้านมี Wishing Well ให้เราขอพรด้วย ผมเลยขอพรเสียงดังๆว่า ขอให้คืนนี้เจอ Aurora Dancing ขอบอกว่าไม่น่าเชื่อครับ ตอนกลางคืนจัดให้หนักมาก จัดจนไม่ได้นอน Wishing Well ศักดิ์สิทธิ์มาก ไม่รู้สาวๆที่ไปด้วยขออะไรกัน เห็นขอกันทุกคน
กินข้าวเสร็จเราไปกันต่อครับ ขับรถยาวเลยทีเดียว ระหว่างทางมีปั๊มน้ำมันเปิดให้แวะประมาณ 2 แห่ง ซึ่งเหมือนว่าเย็นๆก็ปิดละ
ก่อนเข้า National Park แวะถ่ายรูปตรงสะพาน The Spirit of Adventure
เลยไปหน่อยเป็น Mckinley Park ซึ่งทุกอย่างปิดหมดเหมือนเดิม แต่มันมี River Access คือลงไปในแม่น้ำได้
นี่คือแม่น้ำนะครับ
จากนั้นก็ได้เวลาเข้า Denali National Park ซึ่งเงียบมากในเวลานี้ แต่เราได้มันถ่ายแสงสวยๆหลังพระอาทิตย์ตก
ได้เวลากลับบ้านไปนั่งเฝ้าแสงเหนือกันละ
ตอนเย็นมื้อนี้เราจ่ายเงินค่าอาหารเพิ่มสำหรับ Dinner ซึ่งคุณ Pascale จะทำให้บางวันเท่านั้น และบนโต๊ะอาหาร เราได้คุยกับแขกชาวญี่ปุ่น
อย่างที่เคยเล่าครับ Northern Sky Lodge แขกส่วนใหญ่เป็นคนญี่ปุ่น เราเป็นคนไทยกลุ่มแรกที่เคยมาพักที่นี่ และตอนที่เราเข้าพักแขกทุกคนเป็นคนญี่ปุ่นหมดเลย ยกเว้นกลุ่มเรา ซึ่งในแขกชาวญี่ปุ่นนั้น มีคุณลุงท่านนึง ซึ่งแกบอกว่า แกเป็น Professor ด้านสิ่งแวดล้อมจากมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น แกมาที่นี่เกือบทุกปีเป็นเวลา 10 ปีละ เพื่อมาดูแสงเหนือโดยเฉพาะ แกบอกว่าแกไปมาหลายที่ละ ที่ Alaska รวมทั้งที่พักแห่งนี้เป็นนี่เป็นที่ดีที่สุดสำหรับการดูแสงเหนือ เพราะไม่ต้องขับรถออกไปล่าแสงเหนือ แม้อากาศหนาวแต่ก็ไม่มีลมกรรโชกแรง
ซึ่งคุณ Pascale ก็เล่าเสริมว่า ที่ Alaska เป็นที่ที่ดูแสงเหนือง่ายที่สุด เพราะมีลมน้อยกว่าที่อื่น อย่าง Iceland ซึ่งเป็นคาบสมุทรมักจะมีลมหรือพายุบ่อยๆ ทำให้การออกไปชมยากลำบากขึ้น แต่คนไทยมาที่นี่น้อยเพราะมายาก ไม่เหมือนกับคนญี่ปุ่นซึ่งมาง่ายกว่าผมออกไปนั่งรอแสงเหนือตั้งกล้องรอถ่ายตั้งแต่ประมาณ 3 ทุ่ม เข้าๆออกๆบ้านเพื่อ warm ร่างกาย โชคดีที่บ้านคุณ Pascale มีเสื้อกันหนาวหนามากให้ยืมหลายตัว รวมทั้งมีรองเท้ากันหนาวให้ยืมหลายขนาด หลายสิบคู่มาก ซึ่งช่วยได้มาก
หนาวก็เข้ามา warm ร่างกาย กินชา กาแฟร้อนๆ ในบ้าน แล้วค่อยออกไปเฝ้าต่อ
มันมาชุดแรกแบบปานกลางประมาณ 3 ทุ่ม จากนั้นก็เงียบหายไป จนกระทั่งเที่ยงคืน แสงเหนือจึงจัดเต็มครับ เที่ยงคืนยันตี 3 ไม่มีพักเลย สวยงามมาก สวยงามที่สุดในชีวิตตั้งแต่เคยเห็นอะไรแบบนี้มา
สถานที่ดูแสงเหนือหน้าบ้าน ความจริงมันมองเห็นจากหน้าต่างห้องนะครับ แต่ถ่ายรูปออกมากไม่สวย
ลงไม่ไหว รูปเยอะมากครับ ใครอยากดูรูป Aurora สวยๆ ตามไปดูใน Youtube ตามลิงค์นี้ได้ครับ
https://www.youtube.com/watch?v=Qnj9d-QW-lkไม่ไหวละครับ ง่วง เดี๋ยวมาต่อตอนจบนะครับมาต่อครับ ใกล้จะจบละ เขียนรีวิวยาวๆ นี่มันเสียเวลาทำอย่างอื่นมากๆ
คืนวันที่เราดูแสงเหนือ ผมจำได้ว่าได้เข้านอนตอนตี 3 กว่าๆ แบบว่าร่างกายแย่มาก เพราะอากาศหนาวจัด และต้องนอนดึกมาก เข้าห้องนอนจะนอนหลายรอบ พอได้ยินเสีนงคนญี่ปุ่น ฮือฮาด้านนอก ต้องลากสังขารออกไปดูทุกครั้ง
วันที่ 7
เช้าวันถัดมาเลยตื่นกันสาย ตื่นเสร็จเจ้า Sid ก็มานั่งรอหน้าประตูให้พาไปเดินเล่น
ได้เพื่อคนญี่ปุ่นไปเดินเล่นด้วยอีก 1 คนครับ เธอคนนี้มาเรียนภาษาอังกฤษอยู่ที่ Canada
ขอเล่นห่วงยางสไลด์บนหิมะก่อนกลับ
ขอถ่ายรูปหน้าบ้านเป็นที่ระลึกก่อนกลับ บ้านหลังนี้เป็นความทรงจำที่ประทับใจจริงๆ ใครอยากมาดูแสงเหนือ แนะนำนะครับ Northern Sky Lodge
ก่อนออกจาก Fairbanks ซึ่งเรามี Flight กลับตอน 6 โมงเย็นขอแวะเที่ยวงานแกะสลักน้ำแข็งระดับโลกก่อนกลับ งาน World Ice Art Championship 2016 ซึ่งจัดที่ Fairbanks ทุกปี สำหรับปีนี้งานเริ่มมีวันที่ 22 กุมภาพันธ์ - 27 มีนาคม สถานที่จัดอยู่ที่ George Horner Ice Park, Fairbanks รายละเอียดหาข้อมูลได้ตามนี้เลย
ค่าเข้าเป็น one day pass ราคาคนละ $15
เข้าไปส่วนแรก เป็นส่วนของ Kid Park
มีสไลด์เดอร์น้ำแข็งให้เด็กๆเล่นด้วย แต่เด็กๆต้องเตรียมกระบะพลาสติกมากันเอง
วันที่เราไป การประกวด Single Block ประกาศผงไปแล้ว ซึ่งมีการจัดแสดงโชว์อยู่ในสวน แต่ Multi Block ยังไม่ตัดสิน ตอนที่เราไปเป็นช่วงที่ผู้เข้าแข่งขัน Multi Block ยังแกะสลักกันอยู่เลย เสียดายไม่ได้เห็นตอนเสร็จแล้ว
Single Block
มีผู้แข่งขันมาจากทั่วโลกเลยครับ แต่ที่น่าภาคภูมิใจคือ มีจากคนไทยด้วยครับ
เราออกจาก Fairbanks กันตอน 6 โมงเย็น ไปต่อเครื่องที่ Anchorage โดยเรานั่งเครื่องใบพัดขนาดเล็กไปที่ Anchorage บินต่ำมาก ทำให้เห็นวิวข้างล่างอลังการมาก
ลาก่อน Alaska หวังว่าจะได้กลับมาเยือนกันอีก See you next trip
Birdybird
วันพุธที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 เวลา 06.54 น.