การมีเวลาแค่ 3 -4 ชั่วโมงไม่ใช่ข้อจำกัดในการที่จะไปชิวที่อยุธยา จังหวัดที่ใกล้กรุงเทพฯ นิดเดียวแต่มีครบทั้งวัดและคาเฟ่สุดชิวสุดเก๋ที่มีไว้ต้อนรับคนกรุงที่โหยหาธรรมชาติและความสงบอย่างเรา
10 โมงครึ่งก็ได้เวลาเคลื่อนรถออกจากกรุงเทพฯ มุ่งหน้าสู่วัดไชยวัฒนารามวัดที่สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าปราสาททองที่เป็นยุคออเจ้า เอ๊ย! ยุคอยุธยาตอนปลาย วัดแห่งนี้เคยใช้จัดพิธีถวายพระเพลิงศพในพระมหากษัตริย์ในสมัยนั้นด้วย
เราใช้เวลาขับรถแค่ชั่วโมงเดียวก็ถึงแล้ว ที่นี่มีค่าเข้า 10 บาท สำหรับคนไทย ส่วนต่างชาติ 60 บาทจ้า พอเริ่มเดินเข้าไปก็เริ่มเห็นออเจ้าเดินถ่ายรูปกันตามจุดต่างๆ ของวัดกันเยอะพอสมควร
เราเดินเลี่ยงไปถ่ายรูปด้านข้างที่กลุ่มออเจ้ายังไปไม่ถึง หรือเขาไม่อยากไปกันไม่รู้เพราะฝั่งนี้มีการบูรณะเจดีย์องค์หนึ่งอยู่
พอกลุ่มออเจ้าไปเราก็เดินย้อนกลับมาถ่ายรูปด้านหน้าอีกนิดหนึ่งก่อนจะเข้าไปข้างในตรงพระปรางค์ศรีรัตน์มหาธาตุ
เมื่อเดินเข้าไปในเขตข้างในพระปรางค์ศรีรัตนมหาธาตุซึ่งปรางค์ประธานของวัด ตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีลักษณะเป็นปรางค์ทรงจตุรมุขซึ่งมีทางบันไดทางขึ้นสู่มุขทุกด้านแต่เขาห้ามขึ้นนะจ๊ะอย่าคิดไปปีนเชียว ส่วนตรงยอดของปรางค์ทำเป็นรัดประคดซ้อนกัน 7 ชั้น บนสุดเป็นทรงดอกบัวตูม
เราแอบเศร้าเพราะเสียดายตรงที่เศียรพระพุทธรูปที่อยู่รอบๆ ระเบียงคตที่เปรียบเหมือนกำแพงศักดิ์ได้ถูกตัดไป ไม่งั้นที่นี่คงดูสมบรณ์มากกว่านี้
เราเดินต่อไปเรื่อยๆ จนถึงฝั่งที่ติดกับแม่น้ำเจ้าพระยา ตรงนี้อากาศเย็นสบายเชียวมีลมพัดโชยตลอดเวลา ถ้าไปยืนตรงเกือบติดชายน้ำแล้วหันกลับมาจะเห็นภาพของวัดทั้งหมด ดูสวยงามมากนี่ถ้าได้เห็นในยุคนั้นคงงดงามตรึงตาเลยล่ะ
พอเข้าไปกราบพระตรงฐานสี่เหลี่ยมด้านหน้าเสร็จเราก็ได้เก็บภาพไปเรื่อย ลืมบอกไปว่าถ้าใครอยากกลายร่างเปลี่ยนเป็นออเจ้าก็มีร้านให้เช่าชุดอยู่ตรงข้ามวัดเพียบเลย เลือกเอาร้านที่ถูกใจได้เลยจ้า
เราใช้เวลาอยู่ที่วัดประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วก็ขับรถต่อไปอีกประมาณ 4 กิโล ก็ถึงรักษ์นา คาเฟ่ เปลี่ยนบรรยากาศมาสู่โหมดของความเขียวชะอุ่มของท้องนาที่มีคาเฟ่เล็กมุงด้วยหญ้าแทรกตัวอยู่ในท้องทุ่งสีเขียว
เมื่อเข้าไปก็จะเป็นส่วนของคาเฟ่ที่ด้านหน้าสุดมีขายข้าวแกงและก๋วยเตี๋ยวเรือ ข้าวแกงไม่ได้ขายเป็นจานนะจ๊ะขายเป็นถาดจ้า ถัดเข้าหน่อยก็เป็นโซนขายกาแฟเบเกอร์รี่และที่นั่งดื่มสุดชิว
จุดที่นั่งดื่มกาแฟตรงคาเฟ่ที่มีวิวท้องนาเขียวล้อมรอบไปหมดเรียกได้ว่าจิบกาแฟอร่อยๆ พร้อมกับอาหารตาสุดงาม
หรือถ้าต้องการเดินถือกาแฟไปดื่มตามจุดต่างๆ ตามท้องไร่ท้องนาก็ได้ เรียกได้ว่าชิวทุกจุด
แต่จุดที่เราชอบมากที่สุดเห็นจะเป็นเปลที่แขวนไว้ริมทุ่งให้ได้นอนสัมผัสกินข้าวหอมๆ ที่กำลังออกรวงทำให้ได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติได้อย่างเต็มที่
อิ่มเอมกับความชิวบนผืนเปลแล้วก็ได้เวลาเดินถ่ายรูปต่ออีกนิดหน่อยก่อนลากรุงเก่ากลับเข้าสู่กรุงใหม่ตอนบ่าย 2 กว่าๆ
Titi goaround
วันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563 เวลา 15.50 น.