ทุ่งโนนสน อุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง พิษณุโลก เส้นทางเดินป่าศึกษาธรรมชาติที่ว่ากันว่าเที่ยวไม่ยาก สวยงามด้วยดอกไม้ป่า ลานสน ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ คุ้มค่าที่สายลุยสายชอบใช้ชีวิตกลางแจ้งจะลองไปเที่ยวสักครั้ง ซึ่งเมื่อโอกาสเหมาะๆ มาถึง ผมเองคงไม่พลาดเช่นกัน
ปากต่อปาก เพื่อนชวนเพื่อน ต่อๆ กันมา ผมเลยมีโอกาสเที่ยวทุ่งโนนสนเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ได้ยินชื่อเสียงมานานว่าป่าที่นี่สวยไม่แพ้ที่ไหน แถมจะได้สัมผัสป่าสนของภาคกลางตอนบน เหนือตอนล่างจริงจังสักที หลังเคยแค่เฉียดๆ เที่ยวทุ่งแสลงหลวง ที่หนองแม่นา ฝั่งเขาค้อ แค่นั้น
อธิบายสักนิดว่าทุ่งโนนสน อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง คร่อมพื้นที่ระหว่างพิษณุโลกกับเพชรบูรณ์ แต่อุทยานฯ กำหนดให้เข้าจากบ้านเผ่าไทย - บ้านรักไทย อำเภอเนินมะปราง เพียงทางเดียวโดยอยู่ห่างจากตัวเมืองพิษณุโลก 60 กิโล และห่างจากตัวอำเภอเนินมะปราง 30 กิโล
ที่นี่มีรถประจำทางผ่านใกล้สุดแค่ทางเข้าบ้านรักไทย ซึ่งยังต้องต่อเข้าไปอุทยานฯ อีกกว่า 15 กิโลเมตร ดังนั้นวิธีสะดวกที่สุดคือหากไม่เหมารถมาจากทั้งฝั่งพิษณุโลกหรือเนินมะปราง ก็ต้องขับรถส่วนตัวแหละนะ
จุดนัดพบคือที่ หน่วยพิทักษ์อุทยาน สล.12 (รักไทย) ตั้งต้นเจอเจ้าหน้าที่ ชั่งของให้ลูกหาบ ทริปนี้วันเสาร์-อาทิตย์ หยุดยาว นักท่องเที่ยวรวมแล้ว 60 คนนิดๆ แต่ยังถือว่าสบายเมื่อเทียบกับพื้นที่ทุ่งโนนสน พอทำอะไรเสร็จสรรพเรียบร้อยค่อยขึ้นรถกระบะชาวบ้านเข้าไปยังจุดเริ่มเดินอีกราว 8 กิโลเมตร ทริปนี้พวกเราทั้งหมด 14 ชีวิต ส่วนมากเป็นน้องๆ กลุ่มเพื่อนที่เพิ่งเรียนจบมหาวิทยาลัย ทำให้รู้สึกตัวเองแก่ขึ้นมาทันที (ฮา...)
นั่งกระบะอาบเปลวแดด กินฝุ่นแดงๆ สักครึ่งชั่วโมงจนมาสุดทางถนนที่สวนยางชาวบ้านซึ่งเป็นพื้นที่จัดสรรทำกินในเขตอุทยานฯ ค่อยได้เวลาออกเดินเท้ากัน โดยทางเดินมีจุดมาร์คหลักๆ ตั้งแต่ คลองหินลาด เนินป่าซาง (ประมาณครึ่งทาง) จุดชมวิว 1 จุดชมวิว 2 แล้วจึงถึงลานทุ่งโนนสนด้านบน
เส้นทางศึกษาธรรมชาติทุ่งโนนสนถือว่าไม่ยากมาก ระยะทางจากสวนยางถึงจุดตั้งแคมป์ประมาณ 8 กิโลเมตร ทางช่วงแรกราบเรียบเลยเชียว และพอเข้าเขตป่าแล้วทางส่วนใหญ่ยังค่อนข้างราบสลับขึ้นๆ ลงๆ เหมือนได้วอร์มอัพร่างกาย
แต่ถึงอย่างนั้นก็มีเนินชันมากให้หอบอยู่เหมือนกันสี่ห้าจุด โดยเฉพาะเนินป่าซางซึ่งถือเป็นช่วงโหดสุดของที่นี่ ยังดีว่าระยะไม่ยาวนัก พวกเราเดินไปพักไปไม่รีบร้อน ปัญหารำคาญมากกว่าคือเรื่อง แมลง ยุง ผึ้ง แถมหากใครโชคร้ายอาจเจอเห็บลม เพราะฉะนั้นพยายามอย่าไปนั่งพักใกล้ขอนไม้ ตอไม้ ซึ่งอาจเป็นถิ่นของพวกมันก็แล้วกัน
ร่องรอยของพี่ใหญ่ ในป่าอุทยานฯ ทุ่งแสลงหลวงมีช้างป่าพอสมควรครับ บางครั้งอาจลงมาหากินใกล้แหล่งชุมชนบ้าง แต่ไม่เคยมีปัญหากับนักท่องเที่ยวนะ
สภาพป่าตลอดทางสวยเขียวพอสมควร มีต้นไม้ใหญ่เด่นๆ คือพวกยางนาสูงชะลูด แล้วก็มีไทรใหญ่ทรงสวยแปลกตาให้เห็นพอประมาณ จัดเป็นเส้นทางที่เดินชมธรรมชาติเพลินๆ เลยล่ะ
ใช้เวลาประมาณห้าชั่วโมงเราก็พ้นแนวป่าขึ้นมาถึงลานที่ราบของทุ่งโนนสน มีลักษณะเป็นทุ่งหญ้าสลับป่าสนบนลานหินทรายกว้างใหญ่ เราเดินชิลๆ ผ่านต้นหญ้าพลิ้วๆ จนถึงจุดตั้งแคมป์ มาถึงตรงนี้ไม่มีทางชันแล้วล่ะครับ
จุดตั้งแคมป์มีหลายทำเล เลือกริมลำธาร (ที่ตอนนี้น้ำแห้ง) หรือในป่าสนก็ตามสะดวก ลูกหาบจะช่วยดูแลเรื่องก่อไฟและที่ทางต่างๆ ให้ตามความเหมาะสม ซึ่งพวกผมแม้จะขึ้นไปถึงกลุ่มสุดท้ายก็ยังพอมีที่ทางสำหรับตั้งแคมป์ เต็นท์ก็ดีเปลก็ได้แล้วแต่สไตล์ถนัดเลย
มีเวลาเหลือเยอะแยะให้เดินเล่นสำรวจทุ่งโนนสน ความจริงป่าบนนี้กว้างมากถ้าจะสำรวจให้ทั่วคงต้องใช้เวลาเป็นวันๆๆๆๆ แต่มาเที่ยวแคมปิ้งเสพธรรมชาติอย่างเราเอาแบบหอมปากหอมคอก็พอ สามารถเดินเที่ยวชมธรรมชาติโดยรอบได้เอง ไม่ค่อยมีอันตรายน่ากลัวอะไร หรือจะตีซี้ลูกหาบ เจ้าหน้า ที่พานำชมโน่นชมนี่ก็จัดไปครับ
เพราะเป็นป่าบนลานหินทราย แน่นอนว่าทุ่งโนนสนต้องขึ้นชื่อเรื่องดอกไม้ป่ากับพวกเอื้องดินทั้งหลาย เด่นสุดเห็นจะเป็นเหลืองพิศมร ซึ่งบานเต็มลานหินหลังแคมป์ของเรานั่นแหละ... แต่เป็นช่วงราวปลายตุลาคมนะ ส่วนเราไปซะใกล้หมดพฤศจิกายนก็ย่อมโรยราตามกาลเวลา เหลือพอมีให้เห็นบ้างเล็กน้อย
เหลืองพิศมรอาจจะโรย แต่ก็ได้ดอกดุสิตาสีม่วง กับหยาดน้ำค้าง กำลังแข่งกันอวดโฉมเพียบเลย แล้วยังมีดอกไม้ดินต่างๆ อีกหลากหลายสีให้ชม ใครตาดีขยันเดินหาก็ได้เห็นเยอะหน่อย
หยาดน้ำค้างดอกลักษณะแบบนี้น่าสนใจมากครับ เป็นพืชกินแมลง ตรงปลายขนแหลมๆ มีน้ำเมือกติดอยู่ไว้ดักจับและย่อยแมลง มองดูเหมือนน้ำค้างนั่นไงล่ะ
ที่นี่ยังมีหม้อข้าวหม้อแกงลิงไม่น้อยด้วยครับ หม้ออวบๆ ใหญ่ๆ สมบูรณ์มาก
สำหรับผมบรรยากาศโดยรวมที่ทุ่งโนนสน สวยมีเสน่ห์ไม่ต่างจากป่าที่อื่น โดยเฉพาะยิ่งเข้าสู่ยามเย็นท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี และเหมาะกับการดูดาวกลางคืนมากๆ แสงไฟรบกวนแทบไม่มี
เพราะไม่ได้อยู่ริมหน้าผาหรือมีจุดชมวิวกว้างๆ ตอนเช้าผมเลยไม่รีบร้อนเท่าไหร่ (ความจริงเป็นข้ออ้าง... ฮา) ตื่นสบายๆ สักเจ็ดโมงค่อยออกมาเก็บภาพบรรยากาศ มีไอหมอกบางๆ ลอยเหนือทุ่งหญ้า เป็นภาพธรรมชาติที่ทำให้เรารู้สึกปลอดโปร่งโล่งใจดีเหลือเกิน
มีเวลาเหลือเฟือก็เดินเล่นหามุมถ่ายรูป เพลิดเพลินกับสิ่งละอันพันน้อยรอบตัว
ดอกหงอนนาคที่นี่ก็มีนะ พอเห็นประปรายไม่เยอะมากเพราะเลยฤดูของมันมาแล้ว
ใครอยากอาบน้ำอาบท่า ปกติมีจุดดีๆ ตรงน้ำตกกุหลาบแดง เดินจากจุดกางเต็นท์สักสามสี่ร้อยเมตร น่าเสียดายว่าปีนี้ค่อนข้างแล้งน้ำเลยเหลือน้อยนิดเท่านั้น
ที่นี่เป็นพลาญหินทรายกว้างใหญ่ หินเกล็ดพญานาคถ้ำนาคา บึงกาฬ ซึ่งกำลังโด่งดังก็มีลักษณะการเกิดแบบเดียวกับหินตรงนี้แหละ รออีกสักพันปีหมื่นปีที่ทุ่งโนนสนตรงนี้อาจสวยเหมือนที่นั่นบ้าง (ฮา...)
ประมาณสิบโมงหลังจากเสพธรรมชาติอย่างเต็มอิ่ม พวกเราค่อยเก็บแคมป์เก็บของแล้วเดินลง ที่นี่มาทางไหนกลับทางนั้นครับ เดินสบายไม่มีหลง มีเจ้าหน้าที่คอยรั้งท้ายเพื่อความปลอดภัย
ก่อนบ่ายสองโมงไม่นาน เราก็โผล่ถึงสวนยางจุดเดิมที่รถโฟร์วีลมาจอดรอรับ มีน้ำอัดลมเย็นๆ ไอติมหวานๆ ของชาวบ้านมาขาย ช่วยกันอุดหนุนกันตามระเบียบ
ทริป 2 วัน 1 คืน เดินป่าทุ่งโนนสน อช.ทุ่งแสลวงหลวง เป็นเส้นทางศึกษาธรรมชาติระยะกลาง-ไกล ที่ไม่ยากครับ อาจไม่หวือหวาอลังการมากแต่ก็สวยมีเสน่ห์กำลังดี นักเที่ยวป่ามือใหม่มาได้สบาย ที่สำคัญมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลอย่างดี
ใครกำลังเบื่อเส้นทางเดินป่าดังๆ ต้องแย่งกันเที่ยว แย่งกันกางเต็นท์ แย่งกันใช้ทรัพยากร ลองมองที่นี่เป็นตัวเลือกดูครับ ความสนุกของการเที่ยวป่าไม่ใช่แค่เราต้องเดินโหดๆ เจอวิวล้ำๆ เท่านั้นหรอกนะ การได้เรียนรู้ด้วยตัวเองว่าป่าละแห่งเป็นอย่างไร มีเสน่ห์อย่างไร แตกต่างจากที่อื่นตรงไหน นั่นแหละคือสิ่งสำคัญที่สุดแล้ว
ข้อมูลสักนิดก่อนเที่ยวทุ่งโนนสน
- อยู่ในพื้นที่ อช.ทุ่งแสลงหลวง หน่วยฯ สล.12 (รักไทย) อำเภอเนินมะปราง พิษณุโลก ติดต่อท่องเที่ยวที่หัวหน้าฯ ณัฐสวรรค์ 0821675346
- เปิดให้เที่ยว 2 วัน 1 คืน ทุกวัน ตั้งแต่ราวเดือนตุลาคมถึงกุมภาพันธ์ แต่ดอกไม้ป่ามีให้ชมเยอะระหว่างตุลาคมถึงต้นธันวาคม
- เส้นทางเดินเท้า 8 กิโลเมตร ทางส่วนใหญ่ค่อนข้างราบ มีทางชันบางช่วงประมาณสี่ห้าจุด
- จุดตั้งแคมป์มีหลายทำเล กางเต็นท์ได้ ผูกเปลได้ สะดวกทั้งคู่
- มีแหล่งน้ำธรรมชาติ มากน้อยขึ้นอยู่กับฤดูกาล แต่น้ำดื่มควรจัดเตรียมไปด้วยให้เพียงพอ
- ไม่มีห้องน้ำ ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆ
- แมลงเยอะ ยุง ผึ้ง เห็บ โดยเฉพาะฤดูแล้ง ควรแต่งตัวด้วยเสื้อแขนยาว ปลอกแขน กางเกงขายาว
- มีสัญญาณโทรศัพท์ AIS กับ ทรู บางจุดใกล้แคมป์ แต่ไม่มีสัญญาณอินเทอร์เน็ต
- ค่าใช้จ่ายมีค่าธรรมเนียมเข้าอุทยานฯ คนละ 40 บาท ค่าค้างแรมในอุทยานฯ คนละ 30 บาท ค่ายานพาหนะคันละ 30 บาท
- ค่าเจ้าหน้าที่ 1,500 บาท ต่อนักท่องเที่ยวหนึ่งกลุ่ม ค่าลูกหาบหนึ่งคน 1,500 บาท แบกน้ำหนัก 20 กิโลกรัม ค่ารถกระบะรับ-ส่ง จากหน่วยฯ ไปจุดเริ่มเดิน 1,300 บาท
- ไม่อนุญาตให้ขับรถส่วนตัวทุกชนิดเข้าไปจุดเริ่มเดิน ให้จอดไว้ที่หน่วยฯ และใช้บริการรถชาวบ้านซึ่งอุทยานฯ จัดให้เท่านั้น
ติดตามเรื่องราวการท่องเที่ยวเดินทางของผมได้อีกช่องทาง
https://www.facebook.com/alifeatraveller
นายสองสามก้าว / A Life, A Traveller
วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2563 เวลา 10.58 น.