ผมเคยเล่าให้ฟังเรื่องโฮมสเตย์บ้านนาต้นจั่นมาแล้วครั้งหนึ่ง ในกระทู้นี้ https://pantip.com/topic/40370349 เวลาผ่านไป 1 เดือนผมกลับไปที่นั่นอีกครั้งพร้อมกับครอบครัวของภรรยา ที่นี่มีดีอะไรที่ทำให้ผมกลับไปอีกครั้งและพาผู้ใหญ่ไปเที่ยวด้วย ผมจะเล่าให้ฟังในรีวิวนี้ครับ
สำหรับท่านที่ไม่เคยอ่านกระทู้เดิม ผมย้อนให้นิดนึงครับ โฮมสเตย์บ้านนาต้นจั่นอยู่ที่จังหวัดสุโขทัย แต่เป็นขอบๆค่อนไปทางจังหวัดแพร่แล้วล่ะครับ ที่นี่เป็นกลุ่มโฮมสเตย์ที่ประกอบด้วยบ้านพัก 29 หลัง มีกิจกรรมและการท่องเที่ยวที่สนับสนุนชาวบ้านอย่างแท้จริง
การเดินทางคราวนี้ต่างจากครั้งก่อนครับ ครั้งนั้นผมเดินทางไปจากเชียงใหม่ส่วนคราวนี้ขับรถยาวไปจากกรุงเทพฯเลย ใช้เวลาประมาณ 6-7ั ชั่วโมงขึ้นอยู่กับความเร็วและการหยุดพัก
ที่พักของผมคราวนี้เป็นบ้านที่ผมตั้งใจจองเลยครับ ชื่อ "บ้านกลางนาดรุณี" บ้านหลังนี้เป็นบ้านที่เรียกว่าเป็นสัญลักษณ์ของบ้านนาต้นจั่นก็ได้ครับ อาจจะเพราะเป็นบ้านหลังแรกสุดที่นักท่องเที่ยวจะเจอเวลามาที่นี่ และตัวบ้านอยู่กลางทุ่งนาทำให้ค่อนข้างโดดเด่นสะดุดตา นักท่องเที่ยวต้องมาถ่ายภาพที่นี่เป็นที่ระลึก
ตัวบ้านเป็นบ้านไม้สองชั้น มีห้องนอนทั้งหมด 4 ห้องทุกห้องมีห้องน้ำในตัว รองรับได้ 12 คนสบายๆ บ้านนาต้นจั่นจะจัดบ้านตามความเหมาะสมนะครับ การมาที่นี่ครั้งแรกทางกลุ่มจะจัดบ้านพักให้ เพื่อเฉลี่ยให้ครบ 29 หลัง ส่วนถ้ามารอบต่อๆไปจะระบุบ้านก็ได้ครับ แต่สมมุติว่าถ้ามา 2 คนแล้วจะจองบ้านกลางนาหลังนี้ในวันเสาร์-อาทิตย์ มันก็จะดูไม่เหมาะสมใช่มั้ยครับ ทางกลุ่มก็จะจัดให้พักบ้านอื่น แต่ถ้าเป็นวันธรรมดาลูกค้าน้อยก็อาจจะได้
ห้องพักทุกห้องจะเหมือนกันหมด มีฟูกให้ 2 ที่ ห้องค่อนข้างกว้างขวางเลยครับ สะอาดและไม่มีกลิ่นอับนอนสบายใช้ได้ครับ ในห้องมีเครื่องปรับอากาศ ถ้าเปิดใช้ก็คิดเพิ่มวันละ 300 บาทแต่ถ้าไม่ใช้ก็ไม่เสียครับ ตรงกลางของชั้น 2 จะมีอีกห้องหนึ่งที่ไม่ถึงกับเป็นห้องแบบจริงจังมากนัก แต่มีมุ้งเอาไว้เผื่อนอนได้อีกสัก 2 คน
ชั้นล่างมีเปลและตาข่ายให้นอนเล่นได้ วันฟ้าโปร่งๆกลางคืนนอนดูดาวก็สวยใช่ย่อยครับ ไม่ค่อยมีแสงรบกวน ส่วนเช้าๆมานั่งจิบกาแฟชมนกชมไม้ก็ผ่อนคลายดีทีเดียว
เก็บของแล้วไปทานข้าวกันครับ ครั้งที่แล้วผมไปทานร้านข้าวเปิ๊บยายเครื่อง ส่วนคราวนี้ผมไปที่ร้าน "ข้าวเปิ๊บล้มยักษ์" ซึ่งอยู่ตรงศูนย์กลางชุมชนนั่นแหละครับ
ข้าวเปิ๊บเป็นอาหารพื้นถิ่นของที่นี่ คำว่า "เปิ๊บ" แปลว่า "พับไปพับมา" วิธีทำข้าวเปิ๊บคือนำแป้งไปนึ่งบนเตาที่เหมือนกับการทำข้าวเกรียบปากหม้อ แล้วก็พับไปพับมา เสร็จแล้วก็มาใส่เครื่องเหมือนก๋วยเตี๋ยว คือใช้แผ่นแป้งแทนเส้นก๋วยเตี๋ยวนั่นแหละ หรือบางอย่างก็เป็นเส้นก๋วยเตี๋ยวเลย
ถ้าเทียบกับข้าวเปิ๊บยายเครื่องคราวก่อน ร้านข้าวเปิ๊บล้มยักษ์จะมีรายการอาหารให้เลือกเยอะกว่า หลากหลายกว่า ส่วนรสชาติบางอย่างร้านยายเครื่องถูกปากกว่า บางอย่างร้านนี้ก็ถูกปากกว่า แล้วแต่คนชอบครับ
คราวนี้ผมไป 3 วัน 2 คืน จึงเก็บการทัวร์หมู่บ้านไว้วันที่ 2 วันแรกไปถึงประมาณ 4 โมงเย็นเลยแค่ไปเดินเล่นที่สะพานทุ่งนาอย่างเดียว คราวก่อนที่ผมมาเพิ่งเกี่ยวข้าวไปจึงเหลือแต่ฟางข้าวเหลืองๆ มาคราวนี้ข้าวรุ่นใหม่กำลังโตเขียวสวยเลยครับ ถ้ามาตอนที่ข้าวสูงได้ที่น่าจะสวยกว่านี้อีกแต่แค่นี้ก็สวยมากแล้วครับ
มื้อแรกยังไงก็ต้องมี "น้ำพริกซอกไข่" เป็นพระเอก ทานกับผักพื้นบ้านต่างๆเข้ากันดีครับ รสชาติของน้ำพริกจะเหมือนกับน้ำจิ้มข้าวขาหมู แต่จะหวานกว่า ไม่เผ็ดมาก กับข้าวอื่นๆที่จัดมาก็อร่อยและปริมาณเยอะทีเดียว ทริปนี้ผมไปกัน 6 คนกับข้าวยังเหลือ
สิ่งที่ชอบอย่างหนึ่งคือน้ำดื่ม ที่นี่ไม่หวงน้ำดื่มเลยครับ นอกจากที่นำมาให้ในแต่ละมื้ออาหารแล้ว ยังมีน้ำใส่ไว้เต็มตู้เย็นอยากดื่มตอนไหนก็ไปหยิบเอา ใจกว้างกว่าโรงแรมใหญ่ๆอีก
เช้าวันต่อมาขึ้นเขา "ห้วยต้นไฮ" ซึ่งเป็นจุดชมวิวของที่นี่ จุดชมวิวนี้ค้นพบโดยป้าผู้นำกลุ่มโฮมสเตย์ตอนที่มาเก็บเห็นเมื่อนานมาแล้ว จากนั้นชาวบ้านก็ช่วยกันทำทางให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปชมความสวยงามได้
ตี 4 ครึ่งได้เวลานัดหมายกับรถที่จะพาผมไปยังเชิงเขา มีค่าใช้จ่าย 450 บาท ซึ่งจะเป็นรายได้ของเจ้าของรถ 400 บาท ส่วน 50 บาทจะเข้ากองทุนของหมู่บ้าน รถ 1 คันจะรับแค่กลุ่มเดียวเท่านั้น ไม่ปนกับกลุ่มอื่นและพี่คนขับรถก็จะขึ้นเขาไปกับนักท่องเที่ยวด้วยครับ
การเดินขึ้นเขาห้วยต้นไฮ ไม่ถึงกับลำบากหรือยากเย็นอะไรครับ แค่เป็นคนที่มีร่างกายแช็งแรงก็เดินขึ้นได้สบายๆใช้เวลาประมาณ 30 นาทีถ้าเดินอย่างต่อเนื่อง แต่ถ้าไม่รีบร้อน เดินบ้างพักบ้างจะไช้เวลาไม่น่าจะเกิน 1 ชั่วโมง
วิวหน้าหนาวนี่สวยจริงครับ แต่ถ้าใครชอบทะเลหมอกแบบท่วมๆ มาช่วงปลายฝนที่ยังมีความชื้นอยู่มีโอกาสได้เห็นมากกว่า แต่ผมชอบแบบนี้นะเห็นแสงพระอาทิตย์สดชื่นดี
กลับจากเขาห้วยต้นไฮก็กำลังหิวได้ที่ เห็นอาหารเช้าที่จัดไว้ให้มั้ยครับมื้อใหญ่เลยนะครับเนี้ยะ ขนาดหิวๆกันมายังทานไม่ค่อยจะหมด ชอบอาหารที่นี่จริงๆครับ ให้เยอะจริง
ช่วงกลางวันของวันที่ 2 ทีแรกคุยกันว่าจะไปเที่ยวที่อุทยานศรีสัชนาลัย ระหว่างที่คุยกันอยู่ก็เจอแม่บัวคำ เจ้าของบ้านที่ผมไปพักครั้งก่อน แม่บัวคำบอกว่าจะไปเก็บผักที่สวน ผมเลยไม่รอช้า ขอแม่ไปชมสวนด้วยเลย
กลายเป็นว่าไม่ได้ไปอุทยานศรีสัชนาลัยซะอย่างนั้น เดินเล่นอยู่ในสวนเป็นชั่วโมงๆ คนกรุงเวลาเห็นผัก ผลไม้แปลกๆมันก็จะตื่นตาตื่นใจ แม่บัวคำชี้ให้ดูต้นอะไรต่างๆตลอดทาง ที่ชอบสุดคือมะนาวของที่นี่ครับ ลูกใหญ่น้ำเยอะจริงๆ
บ่ายนิดๆก็ขอพี่เจ้าของบ้านกลางนาไปดูในครัวเขาอีก กำลังเตรียมอาหารเย็นเลยครับ ผักหลายอย่างที่ใส่ในมื้ออาหารก็เป็นผักพื้นบ้านแถวนี้นี่แหละ ระหว่างทำกับข้าวแม่ครัวใหญ่ก็เล่าเรื่องอะไรต่อมิอะไรให้ฟังไปด้วย ชักหิวแล้วสิ แต่นี่มันเพิ่งบ่าย 3 ยังทานไม่ได้ครับ
ได้เวลา 4 โมงครึ่ง รถอีแต๊กที่นัดไว้ก็มารับไปทัวร์หมู่บ้าน ค่าใช้จ่าย 450 บาทเหมือนเดิมและรับแค่กลุ่มเดียวเหมือนเดิม รถอีแต๊ก 1 คันนั่งได้ประมาณ 8 คนเต็มที่
ป้ายแรกเริ่มที่ไปทานมะนาวน้ำผึ้งก่อน อันนี้เสียเงินเพิ่มนะครับ มะนาวชิ้นใหญ่ ใส่เกลือหน่อย น้ำผึ้งราด ชุ่มคอดีแท้ ทานไม่หมดก็นำไปทางระหว่างเที่ยวชมหมู่บ้านก็ได้
ต่อมาแวะไปดู ตุ๊กตาบาร์โหน ของตาวงษ์ ซึ่งเป็นภูมิปัญญาชาวบ้าน ช่วยเรื่องบริหารกล้ามเนื้อมือ ฝึกสมาธิได้ด้วย นอกจากจะทำให้นักท่องเที่ยวได้ชมแล้ว ยังทำส่งขายทั่วประเทศด้วยนะครับ
ไปต่อกันที่ "การทอผ้าหมักโคลน" ซึ่งเป็นภูมิปัญญาของชาวบ้านเหมือนกัน เป็นผ้าลายชิดที่ทอกันใต้ถุนบ้าน จากนั้นจะนำผ้าที่ได้ไปหมักโคลน ใครอยากลองทอผ้าดูก็ได้นะครับ ยากใช้ได้เลย
ที่ศูนย์กลางชุมชนจะมีจุดเรียนรู้การทำผ้าหมักโคลนอยู่ ซึ่งจะมีข้อมูลให้ดูในเรื่องต่างๆเช่น สีย้อมผ้าที่ทำมาจากธรรมชาติ กระบวนการหมักโคลน และจะมีผู้สูงอายุของหมู่บ้านมานั่งรีดผ้าที่หมักโคลนเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเป็นการกระจายรายได้ให้ผู้สูงอายุในหมู่บ้านด้วยครับ...ปรบมือ
ใครอยากสนับสนุนหมู่บ้านก็ซื้อหาผลิตภัณฑ์จากผ้าหมักโคลนไปก็ได้ครับ ขายอยู่ที่ศูนย์กลางชุมชนนี่แหละ ราคาอาจจะไม่ได้ถูกแต่ถ้าดูจากกระบวนการทำแล้วก็ถือว่าสมน้ำสมเนื้อ
มื้อเย็นของวันนี้ก็ยังคงเต็มที่ทั้งปริมาณและความอร่อย ทานข้าวอิ่มๆดื่มนิดหน่อยนั่งคุยกันในครอบครัว มันช่างมีความสุขเสียจริง
บ้านกลางนาช่วงค่ำๆนี่ก็สวยไม่หยอกนะครับ และเพราะว่าบ้านสวยเด่นขนาดนี้ทำให้นักท่องเที่ยวแวะมาถ่ายภาพแทบไม่ขาด ถ้าอยากได้ความเป็นส่วนตัวก็ปิดประตูด้านหน้าเอาไว้ครับ
เมื่อวานตอนที่ไปดูพี่เจ้าของบ้านทำกับข้าว คุยไปคุยมาดันเกิดความคิดว่าจะไปทานกาแฟยามเช้าที่กลางนา พี่เจ้าของบ้านบอกไม่มีปัญหาจะเตรียมน้ำร้อน ชา กาแฟ โอวัลตินและปาท่องโก๋ไว้ให้ ตอนออกจากบ้านให้แวะไปรับ
เช้าหน้าหนาว น้ำค้างแรง มาถึงกลางนาพระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นพ้นภูเขา ทำให้เรามีเวลาจัดเตรียมกาแฟและของกินต่างๆให้พร้อม ไม่นานนักแสงแรกของวันก็ออกมาทักทายจากหลังภูเขา...สวยจับตามากๆ ทุ่งนาทั้งผืนไม่มีคนอื่นเลย มีแต่พวกเรานั่งทานกาแฟอุ่นๆ อากาศเย็นๆสดชื่น มีสุนัขเจ้าถิ่นมาเยี่ยมด้วยครับ
กลับมาที่บ้าน ข้าวต้มรออยู่ เป็นข้าวต้มสูตรของทีนี่ครับ ดูจะเหมือนโจ๊กมากว่าแต่ที่นี่จะเรียกว่าข้าวต้ม ที่ชอบคือข้าวผ่านการปรุงรสมาแล้วถึงสีจะดูจืดๆ แต่แทบไม่ต้องปรุงเพิ่มเลยครับ รสชาติเค็มนิด หวานหน่อย ค่อนข้างจะกลมกล่อมดีทีเดียว
ทานข้าวเสร็จก็เก็บของเตรียมกลับกรุงเทพฯ นับว่าเป็น 3 วัน 2 คืนที่ชาร์ตแบตได้เต็มดีจริงๆ ถึงมันจะไม่ใช่การพักผ่อนแบบนอนอย่างเดียว แต่การเรียนรู้ภูมิปัญญาชาวบ้าน วิวสวยๆ และที่สำคัญที่สุดคือน้ำใจไมตรีของชาวบ้านนาต้นจั่น ทำให้ทริปนี้มีความสุขทั้งครอบครัวจริงๆครับ
ช่วงนี้เห็นว่าหมู่บ้านยังปิดอยู่เนื่องจาก Covid-19 นะครับ แต่ถ้าเปิดเมื่อใหร่ แนะนำให้ไปเที่ยวกันครับ เพราะที่นี่ทำให้ผมรู้สึกได้เลยว่าเป็นความร่วมมือและความตั้งใจของชาวบ้านอย่างแท้จริง สนับสนุนให้มีหมู่บ้านแบบนี้เยอะๆครับ...ไว้เจอกันใหม่ สวัสดีครับ
Pratuneung
วันอังคารที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2564 เวลา 11.16 น.