เคยได้ยินมานานแล้วว่า หมู่เกาะในประเทศไทย สวยงามไม่แพ้ที่ใดในโลก
อยากลองเอาสองเท้าไปเหยียบดูสักครั้ง ให้เห็นกับตา ว่าสมคำล่ำลือแค่ไหน
ผมจึงตัดสินใจเลือกเอาชีวิตมาหยุดไว้ที่นี่ หมู่เกาะทะเลตราด สวรรค์แห่งเมืองต้องห้าม...พลาด เกาะหมาก
เหตุผลที่ผมตัดสินใจเลือกเกาะหมาก คือ
1. ใกล้กรุงเทพ ใช้เวลาเดินทางไม่กี่ชั่วโมง
2. เป็นเกาะเล็กๆที่ค่อนข้างสงบเงียบ
3.ค่าใช้จ่ายไม่สูงจนเกินไป
ถ้าพร้อมแล้ว ออกเดินทางไปพร้อมๆกันครับ....
ทริปนี้เราเดินทางกันสี่คน มีผม แฟน เพื่อนผม และหลานอีกคน เราออกจากบ้านเวลา 04.30 น. ใช้เวลาเดินทางจากสมุทรปราการถึงท่าเรือกรมหลวงชุมพรประมาณ 4 ชั่วโมง ขับมาเรื่อยๆเหนื่อยก็แวะปั๊ม ถึงท่าเรือกรมหลวงชุมพร เวลาประมาณ 8.30 น. ซึ่งมาก่อนเวลาเรือออกเยอะพอสมควร
หลังจากที่สักการะเสด็จเตี่ยแล้ว ก็ขับรถต่อมายังท่าเรือแหลมงอบที่อยู่ใกล้ๆกัน
หามื้อเช้ากินก่อนลงเรือสปีดโบ้ท (ท่าเรือแหลมงอบไม่ใช่ท่าเรือที่จะลงสปีดโบ้ทนะครับ อย่าสับสน เพราะผมหลงมาแล้ว
อิอิ โชคดีที่เหลือเวลาเยอะกลับลำทัน
จากนั้นขับรถเอาของมาลงที่ท่าเรือกรมหลวงชุมพร แล้วจะมีมอไซค์รับจ้างพาเราไปฝากรถ
ค่าฝากรถคืนละ 50 บาท ค่าวินมอเตอร์ไซต์ 20 บาท
เรือสปีดโบ้ทของเราออกเวลา 10.30น. ซึ่งเป็นเที่ยวแรกของวันนั้น เราจองเรือผ่านเว็บ Ilovekohmak
ค่าเรือไปกลับ คนละ 900 บาท เด็กไม่เกิน12 ปี จ่ายครึ่งราคา
(สามารถจองเอง หรือจองผ่านโรงแรมในเกาะหมากที่ท่านพักได้นะครับ)
ใช้เวลาบนเรือประมาณ 50 นาที เรือก็พาเรามาเทียบท่าที่มะกะธานีรีสอร์ท เกาะหมาก
เอาละครับ....ได้เวลาหยุดโลกไว้ที่นี่แล้ว ^_^ อ่อลงเรือแล้วอย่าลืมสวมเสื้อชูชีพนะครับ
ก้าวแรกที่เราทั้งสี่เหยียบบนสะพานท่าเรือแห่งนี้ แล้วมองไปรอบๆตัว บอกได้คำเดียวครับ ว่ามันโคตรใช่ นี่มันสวรรค์กลางทะเลชัดๆ
รอบตัวมีแต่น้ำทะเลใสๆสีฟ้าๆ กับเกาะเล็กเกาะน้อย มองลอดไปใต้สะพาน โอ้ว!! แม่เจ้า ปลิงทะเลตัวเบิ้มๆ
(ผมกับแฟนเพิ่งเคยเห็นตัวเป็นๆในทะเลก็วันนี้แหล่ะ เลยตื่นเต้นกันเล็กน้อยครับ แฮ่ะ แฮ่ะ)
เสียงคนขับรถของรีสอร์ทตะโกนเรียก “โคโค่เคปคร้าบ โคโค่เคป ทางนี้คร้าบบบ" ใช่แล้วครับ พวกเราจองที่พักไว้ที่ โคโค่เคปรีสอร์ท
ซึ่งในความคิดผม ผมว่าเป็นรีสอร์ทที่บรรยากาศน่าเข้าพักที่สุดแล้วครับ
ตอนจองทางรีสอร์ทแจ้งว่าต้องจองผ่านอโกด้าเท่านั้นนะครับ
และแล้วเราก็มาถึง รีสอร์ท พนักงานของรีสอร์ท ต้อนรับด้วยน้ำใบเตย หอมหวาน อร่อยสดชื่นมากๆ
หายร้อนไปได้หน่อยนึง พนักงานที่นี่ส่วนใหญ่เป็นชาวกัมพูชาครับ ทั้งผู้ชายและผู้หญิง
แต่พูดไทยชัดเจน เพราะอยู่มานาน อัธยาสัยไมตรีดีมาก น่ารักครับ บอกได้เลย
หลังจากที่เราได้กุญแจห้องพัก และรับฟังรายละเอียดต่างๆจากเจ้าของรีสอร์ทเรียบร้อยแล้ว
พนักงานก็พาเราเดินไปที่ห้องพัก ซึ่งกว่าจะเดินถึงเล่นเอาหอบครับ เพราะรีสอร์ทที่นี่ ไม่มีลิฟต์เหมือนโรงแรมในเมือง ใหญ่
เราต้องเดิน T_T ที่สำคัญคือ บ้านที่เราเข้าพัก คือ บ้านภูเขา ซึ่งอยู่บนเขา รายล้อมด้วยป่าจริงจริง ครับ ตัวบ้านทำจากไม้ล้วนๆ
หน้าบ้านมีระเบียงยื่นออกไปให้นั่งเล่น ชมธรรมชาติ แค่ที่พักก็ฟินมากแล้วครับสำหรับผม ถึงจะไม่มีแอร์ แต่มีพัดลมให้หลายตัวนะครับ
มีมุ้งให้กางด้วย ฮาร์ดคอร์ไปนิด ดงดิบไปหน่อย เหมาะสำหรับคนรักธรรมชาติ แต่ไม่แนะนำสำหรับคนที่ขี้ร้อนนะครับ
อ่อลืมบอกไปบ้านที่ผมพักมีห้องใต้หลังคาด้วยนะครับ มีที่นอน 2 ที่ เหมาะสำหรับคนที่มาเที่ยว 3-4 คน
บรรยากาศรอบๆรีสอร์ท ก่อนที่พวกเราจะไป เกาะขาม ตอนบ่ายโมงครับ
เรียกได้ว่าท้องฟ้าเป็นใจมากๆ สำหรับวันนี้ ฟ้าเป็นฟ้า ระหว่างเดินถ่ายรูปเล่นก็ชักคอแห้งซะแล้วสิ....งานนี้ก็ กาแฟเย็นสิครับ ไม่ใช่ร้านไกล้ไกลที่ไหน
ร้านที่รีสอร์ทเรานี่แหละครับ แก้วละ 80บาท เย็นชื่นจายยย
สำหรับใครที่มาเที่ยวที่ Cococape Resort แห่งนี้ ก็คงไม่พลาดที่จะมาถ่ายรูปสะพานที่ถือว่าเป็น Signature ของที่นี่ ขอบอกว่า ถ่ายรูปช่วงเวลาไหนก็สวย ครับ สำหรับสะพานไม้ที่ทอดยาวออกไปนอกทะเลแห่งนี้
นำเสนอแบบมุมมองพาโนรามากันบ้าง
หลังจากสำรวจห้องพักและบริเวณรอบที่พักกันเรียบร้อยแล้ว เราจองเรือไปเกาะขามทันที เพราะใครๆก็บอกว่ามาเกาะหมาก
ถ้าไม่ได้ไปเหยียบเกาะขาม เหมือนมาไม่ถึง ที่โคโค่เคปรีสอร์ท มีเรือบริการไปเกาะขามสองเที่ยว คือ 10.30 น. และ 13.30 น. ค่าเรือรวมค่าเหยียบเกาะ คนละ 250 ครับ
ใช้เวลาเพียง 5 นาที ในที่สุดเราก็มาถึงเกาะขาม ซิกเนเจอร์หนึ่งของเกาะหมาก
สมคำร่ำลือครับ น้ำใส ทรายขาว หินดำ ขอหยุดเวลาไว้ที่นี่สัก 3 ชั่วโมง
ขอตากล้องหล่อ...บ้างรูปนึง
แอบซูมเด็กฝรั่งบ้าง
หลังจากใช้เวลาตักตวงความสุขที่เกาะขามมานานพอสมควร เราก็กลับมาพักผ่อนที่รีสอร์ท
บรรยากาศของรีสอร์ทยามเย็นไปจนถึงหัวค่ำ
ผมขอบรรยายด้วยภาพนะครับ ราตรีสวัสดิ์สำหรับคืนแรกที่เกาะหมาก
วันที่สอง เราตื่นกันแต่เช้าครับ เสียงฟ้าคำรามมาแต่ไกลจากแถว เกาะช้าง แต่ที่นี่ฝนไม่ตกครับ นับว่าโชคดีไป
เวลาอาหารเช้าที่โคโค่เคปรีสอร์ท คือ 7.30 น. ถึง 10.30 น. ถ้าแขกพักไม่ถึง 30 คน จะเป็นเซ็ทเมนูให้เลือกนะครับ ไม่ใช่บุฟเฟต์
หลังจากที่เราเติมพลังกันเรียบร้อยก็ได้เวลา ทัวร์รอบเกาะครับ เราเช่ามอเตอร์ไซต์ที่รีสอร์ท คันละ 300 บาท/24 ชั่วโมง เขานับตามเวลาที่เราเช่านะครับ เป้าหมายของเราในวันนี้ คือ สะพานไม้ชินน่าม่อน วัดเกาะหมาก พิพิธภัณฑ์เกาะหมาก และชายหาดอื่นๆรอบเกาะ
เราเริ่มต้นด้วยการตระเวนไปชายหาดของรีสอร์ทอื่นๆ ซึ่งไม่แน่ใจว่ารีสอร์ทใดบ้าง ไม่ได้ดูชื่อตรงทางเข้าจริงๆครับ
ขออภัยด้วย เริ่มตั้งแต่ชายหาดฝั่งหน้ามะกะธานีรีสอร์ท ไล่มาจนถึงชายหาดที่อยู่ตรงข้ามเกาะระยั้งนอก เกาะระยั้งใน
ไปจนถึงอีกซิกเนเจอร์หนึ่งของเกาะหมาก นั่นคือ ต้นมะพร้าวที่ลำต้นโค้งยาวยื่นออกสู่ทะเล ซึ่งชายหาดฝั่งนี้จัดว่าสวย
สงบเหมาะแก่การนอนพักผ่อนอาบแดดและเล่นน้ำครับ ทรายนุ่มๆสีขาว น้ำทะเลใส และที่สำคัญคือธรรมชาติอุดมสมบูรณ์มากครับ
สิ่งมีชีวิตทางทะเลทั้งดอกไม้ทะเล ปูเสฉวน ปะการัง ปลิงทะเลตัวใหญ่ๆ หอยมือเสือตัวเบิ้มๆ ปรากฎให้เราเห็นตลอดหน้าหาด
สร้างความตื่นตาตื่นใจให้พวกเราไม่น้อยครับ
เราใช้เวลาตามหาวัดเกาะหมาก และชินนาม่อนรีสอร์ทอยู่นาน ผลปรากฎว่า หาไม่เจอ!!! (ร้องไห้แปบ) ฮ่าฮ่าฮ่า ใช่ครับ
เราหาทางเข้าชินนาม่อนรีสอร์ทไม่เจอ เห็นแต่สะพานอยู่ไกลๆ แต่ไม่สามารถหาทางเข้าไปที่สะพานนั้นได้
และสภาพอากาศที่ร้อนมาก เราจึงตัดสินใจเดินทางกลับมาพักผ่อนที่รีสอร์ทครับ กิจกรรมยามบ่ายของเราในวันนี้คือ
ดำน้ำบริเวณสะพานโคโค่เคปรีสอร์ท ซึ่งที่นี่มีสน็อกเกิ้ลให้เช่า อันละ 100 บาท (ถ้าเรียกไม่ถูกก็ขออภัยครับ ไม่รู้ชื่อจริงของมัน)
เสื้อชูชีพให้ยืมฟรีครับ หรือจะพายเรือคายัคตกปลาเล่นก็ฟินไปอีกแบบ ไม่ต้องออกไปหมู่เกาะกลางทะเลก็เราก็มันส์ได้ครับ ฮ่าฮ่าฮ่า
บอกเลยว่า น้ำไม่ลึกแต่มันส์จริงจริง
ดำน้ำไปได้สักพัก ก็พากันมาว่ายน้ำที่สระว่ายน้ำของรีสอร์ทครับ บรรยากาศเหมือนสระว่ายน้ำส่วนตัวมากๆ เพราะไม่มีใครเลยจริงๆนอกจากพวกเรา อันที่จริงเราตั้งใจจะว่ายน้ำกันช่วงค่ำๆ แต่บังเอิญสระว่ายน้ำที่นี่เขาปิดหกโมงเย็นครับ เลยต้องรีบใช้บริการ
เย็นแล้วตั้งกล้องถ่ายรูปพระอาทิตย์ตกตอนเย็นซะหน่อย แต่..... เสียดายที่เมฆขโมยซีนพระอาทิตย์ซะงั้น
ได้เวลาอาหารค่ำ สำหรับคืนที่สองนี้เราตั้งใจจะไปนั่งกินลมชมบรรยากาศที่ ร้านอาหารบีชคาเฟ่ต์ ของบ้านเกาะหมากรีสอร์ท เมื่อไปถึง ปรากฎว่าครัวไทยปิดแล้วครับ เหลือแต่อาหารอิตาเลียน กับสเต็ก
เราเลยเดินออก มาฝากท้องไว้ร้านอาหารแถวๆนั้น
ซึ่งราคาอาหารก็พอๆกับที่โคโค่เคป รสชาติไม่ค่อยได้เรื่องครับสู้ที่รีสอร์ทไม่ได้
แต่ความสดของอาหารทะเลนี่ใช้ได้เลยครับ
ระหว่างทางกลับจากร้านอาหารมาที่รีสอร์ท เราก็พบสิ่งที่ทำให้พวกเราต้องร้องออกมาดังดังอีกครั้ง หิ่งห้อยครับ
เราเจอหิ่งห้อย ระหว่างขี่มอเตอร์ไซต์กลับที่พัก แต่ที่เราต้องร้องออกมาดังดังเพราะมันไม่ใช่แค่ตัวเดียว
ลองนึกภาพตามนะครับ ถนนที่ไม่มีแสงไฟ ข้างทางที่มีแต่ป่ารายล้อม พอมองเข้าไปปรากฎว่ามีแต่แสงสีเหลืองของหิ่งห้อย
เป็นร้อยๆตัว ระยิบระยับ เหมือนไฟศาลพระภูมิหน้าบ้านยังไงยังงั้น บางตัวบินมาข้างๆ รถที่เราขับผ่านด้วย
แล้วจะไม่ให้ผมตื่นเต้นได้ยังไง เสียดายที่ขับมอเตอร์ไซต์เรยไม่ได้ถ่ายรูปมาฝาก ไว้โอกาสหน้านะครับ
เมื่อกลับมาถึงรีสอร์ท เรารีบตรงไปที่สะพานในทันที กะว่าจะหยุดเวลาตอนนี้ไว้ตรงนี้ให้นานที่สุด
และคืนนี้ดูเหมือนท้องฟ้าจะเป็นใจให้พวกเรา พระจันทร์ขึ้นช้ากว่าเมื่อวาน แต่ดวงดาวนะสิ
มาทักทายเราเต็มท้องฟ้าเลยครับ ขอนอนดูดาวบนสะพานนี้ไปจนกว่าตาจะปิดนะครับ ราตรีสวัสดิ์
ในที่สุด ก็มาถึงวันที่ต้องลาเกาะหมากกลับสู่โลกแห่งความเป็นจริง เราตื่นเช้ามาพร้อมกับเสียงฟ้าคำรามมาจากที่ไกลๆเช่นเดิม
แต่ฝนก็ยังไม่ตกที่นี่ครับ อาหารเช้าเหมือนเดิม เพิ่มเติมตรงที่เราขอถ่ายรูปเสื้อพนักงานของโคโค่เคปรีสอร์ทไว้
พนักงานที่นี่อัธยาสัยดีทุกคนครับ รวมไปถึงเจ้าของรีสอร์ทด้วย
รถของรีสอร์ท พาเรามาส่งที่ท่ามะกะธานีเวลา 11 โมง เพื่อขึ้นเรือรอบ11.30 น. ระหว่างที่รอเรือ เรายังพอมีเวลาสูดอากาศบริสุทธิ์อีกเล็กน้อย ใต้สะพานยังคงเต็มไปด้วยปลิงทะเล ฝูงปลา และหอยมือเสือตัวยักษ์ เช่นวันแรกที่เรามาถึง น้ำทะเลโดยรอบยังคงใสสะอาดเหมือนเดิมหาดทรายยังคงเงียบสงบเช่นเดิม แต่ที่ไม่เหมือนเดิมคือเราต้องไปแล้วครับ สำหรับใครที่กำลังลังเลใจว่าจะไปดีไหม ผมขอแนะนำว่า ไปเถอะครับ ไปให้เห็นกับตา อย่าให้ใครมาหลอกคุณได้ว่ามันสวยงามเกินบรรยายแค่ไหน ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านมาจนถึงบรรทัดสุดท้าย หากข้อมูลผิดพลาดประการใดติชมได้นะครับ
หมู่เกาะทะเลตราด สวรรค์แห่งทะเลอ่าวไทย
I AM POPEYE
วันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 เวลา 16.16 น.