Ho Chi Minh City - Vietnam
เกริ่นก่อนสักนิดนึงสำหรับรีวิวนี้ จะเป็นแนวบันทึกการเดินทางของผู้เขียนที่ออกจะเจออะไรไม่คาดคิดเยอะมาก แต่ก็แทรกข้อมูลต่างๆไว้ให้ด้วยค่ะ ^^"
ฝากติดตามการเดินทางและพูดคุยกับผู้เขียนได้ที่ Fanpage :
https://www.facebook.com/Mytravelholicdiary/ นะคะ
มาเวียดนามครั้งนี้ต้องเดินทางมาคนเดียวก่อน แล้วจะมีเพื่อนอีกคนบินตามมาอีกวัน ความทุลักทุเลเริ่มตั้งแต่ขึ้นเครื่องบินที่ดอนเมือง ต้องนั่ง Shuttle Bus ไปขึ้นเครื่องบินทางบันได แล้วฝนตกหนักมากกกกก เหมือนโดนเอาน้ำสาดวันสงกรานต์ T_T เป็นลูกหมาตกน้ำขึ้นเครื่อง แอร์โฮสเตทต้องเดินแจกทิชชู่ไว้ซับหน้าซับตัวที่เปียก นั่งหนาวสั่นอยู่ชั่วโมงกว่าๆ เราก็บินมาถึงสนามบินนานาชาติเติ่น เซิน เญิต (Tan Son Nhat)
ความทุลักทุเลต่อมา ไปรอรับกระเป๋าแบ๊คแพ๊คที่สายพาน วินาทีที่หยิบกระเป๋าออกมา เฮ้ย!!! กระเป๋าแตกกก!!! สายสะพายก็ขาด สะพายหลังไม่ได้แล้ว ต้องอุ้มอย่างเดียว แล้วคือมันหนักเกือบ 20 โล T_T และด้วยความที่กลัวไม่ทันรถเมล์เที่ยวสุดท้าย ก็ต้องอุ้มกระเป๋าวิ่งออกมาจากตัวอาคาร เลี้ยวขวาตรงดิ่งไปที่รถเมล์สาย 152 ในใจคิดว่า ทันแน่นอนเพราะรถเมล์ยังจอดอยู่ แต่ปรากฏว่าเขาไม่เข้าเมืองแล้ว รถเมล์หมดเวลา T_T
ตัวเลือกถัดไปในการเข้าเมืองคือ Taxi ต้องอุ้มกระเป๋าแตกๆ ย้อนกลับมาอีกทาง ซึ่งถ้าออกจากตัวอาคารจะเลี้ยวซ้าย เราก็ไปยืนเก้ๆกังๆ มีเจ้าหน้าที่คอยจัดคิวให้ ยืนรออยู่สักพัก เห็นนักท่องเที่ยวอายุน่าจะเท่าๆกัน เป็นผู้ชายหน้าตาเอเชียก็เลยเข้าไปคุยด้วย เป็นคนจีนที่แบ๊คแพ๊คเที่ยวมาจากเมืองไทย ก็เลยชวนกันแชร์ค่า Taxi เข้าเมืองไปด้วยกัน
Taxi ไปจอดที่ตลาดเบนทันห์ (Ben Thanh Market) ซึ่งตรงนี้เป็นแหล่งช้อปปิ้งที่สำคัญของเมืองโฮจิมินห์ และเป็นวงเวียนอนุสาวรีย์เจิ่นเหวียนหาน บิดาของการสื่อสาร ผู้ใช้นกพิราบสื่อสารเป็นคนแรก ซึ่งตรงข้ามตลาดจะเป็นท่ารถบัสสาย 152 ที่ไปถึงสนามบินด้วย (มาขึ้นตอนขากลับค่ะ)
ณ วงเวียนนี้เราก็ได้พบกับอีกหนึ่งประสบการณ์ที่ระทึกที่สุดในชีวิต!!! คือการข้ามถนนฝ่ากองทัพมอเตอร์ไซค์โดยไม่มีสัญญานไฟจราจร!!! ว่ากันว่าเฉพาะเมืองโฮจิมินห์มีคนประมาณ 9 ล้านคนและมีมอเตอร์ไซค์ 7 ล้านคัน ตอนนั้นได้แต่ยืนตะลึงทำอะไรไม่ถูกนานมากเกือบ 15 นาที ซึ่งก่อนที่จะมา ได้ศึกษามาบ้างว่าการข้ามถนนที่นี่ คือมองไปข้างหน้า ก้าวขาเดินออกไปอย่างแน่วแน่ด้วยความเร็วสม่ำเสมอและห้ามหยุดชะงักกลางถนน เพราะมอเตอร์ไซค์เค้าจะเห็นเราเองและกะจังหวะที่จะหลบไม่ให้ชนเราได้ แต่ถึงเขาจะว่ากันอย่างนั้น ใครจะไปกล้า ห๊าาาา - -"
สุดท้ายมีคนเวียดนามคนนึงกำลังข้ามถนน ตามที่เราได้ศึกษามาเป๊ะ เรานี่รีบวิ่งไปเกาะแอบอยู่ข้างหลังค่อยๆเดินตามเขาไปด้วย มอเตอร์ไซค์หลายร้อยคันพุ่งตรงเข้ามาแทบไม่เบรค เสียงแตรดั่งสนั่น เฉียดเราไปทั้งข้างหน้าข้างหลัง วินาทีนั้นขวัญหนีกระเจิงกันเลยทีเดียว T_T ในที่สุดก็ข้ามถนนมารอดปลอดภัย - -"
เราแยกกันกับเพื่อนใหม่ที่ตลาดนี้ เพราะโรงแรมที่พักไปกันคนล่ะทาง ต่อไปก็เป็นความทุลักทุเลในการอุ้มกระเป๋าหนักๆ ตามหาโรงแรมที่จองไว้บริเวณถนนฟาม หงู ลาว์ ซึ่งห่างจากตลาดเบนทันห์ประมาณ 1 กม. ย่านนี้เป็นศูนย์กลางธุรกิจท่องเที่ยวแบบครบวงจร มีบริษัททัวร์มากมาย แพ๊คเกจท่องเที่ยวทุกที่ในเวียดนามที่ต้องการ แหล่งที่พักโรงแรมหรูไปจนถึงห้องพักเกสต์เฮ้าส์ในราคาไม่แพง มีบริการทุกอย่างสำหรับนักท่องเที่ยวไม่ว่าจะเป็นซิมการ์ด บริการอินเตอร์เนต จุดแลกเงิน แหล่งเช่ามอเตอร์ไซค์ ร้านสปา บาร์เบียร์ อารมณ์ประมาณถนนข้าวสารเมืองไทยค่ะ
หลังจากที่เดินอุ้มกระเป๋า กับถือใบจองโรงแรมถามคนมาตลอดทาง ซึ่งทุกคนช่วยเหลือดีมาก ประทับใจเลยค่ะ เพราะถึงแม้เค้าจะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ แต่ก็พยายามชี้ๆทางให้ จนมาถึงโรงแรมที่จองไว้ค่ะ
แต่!!! โรงแรมที่จองไว้ ไม่มีห้องพักให้เรา!!! ด้วยความที่เราจองผ่าน booking.com ซึ่งยังไม่ต้องจ่ายเงินก่อน แล้วทางโรงแรมก็เลยปล่อยห้องที่เราจองให้กับนักท่องเที่ยวที่เขาขอพักต่ออีกคืน ทางโรงแรมก็ขอโทษขอโพย แล้วพาไปหาที่พักใหม่ แพงกว่าเดิมนิดนึง เดินไปไม่ไกลกัน ก็โอเค ขึ้นห้องพักต่ออินเตอร์เนตได้ก็ต้องรีบคุยกับเพื่อนที่จะมาพรุ่งนี้ว่าเราเปลี่ยนโรงแรม เพราะเดี๋ยวจะคลาดกัน พักยังไม่ทันหายเหนื่อย เพื่อนก็ส่งข้อความเตือนมาว่าให้รีบออกไปจองทัวร์ครึ่งวันเช้าวันพรุ่งนี้เที่ยวรอเขาก่อน แล้วให้รีบออกไปเพราะเดี๋ยวบริษัททัวร์จะปิด - -" ณ ตอนนั้นเกือบสองทุ่มแล้ว ก็ต้องออกไปจองทัวร์ครึ่งวัน(พรุ่งนี้)ไปอุโมงกู่จีของบริษัทเวียตซี ก็เลยถามพนักงานว่าแถวนี้มีร้านอาหารแบบ Traditional เวียดนามบ้างไหม เขาก็แนะนำร้านเฝอให้เดินเลยไปอีก ร้านอยู่หัวมุมประมาณนั้น ทานเฝอเสร็จก็หาทางกลับห้องพัก...
แต่....จำทางกลับไม่ได้ค่ะ!!! เดินหลงอยู่นานมาก T_T เป็นเพราะโรงแรมอยู่ในซอยเล็กๆด้วย ขากลับคราวนี้ก็เลยต้องถ่ายรูปไว้ตลอดทาง เอาไว้ส่งให้เพื่อนที่จะตามมาวันพรุ่งนี้ จะได้ตามมาถูกทาง - -"
ถึงโรงแรม น้ำตาแทบเล็ด กว่าจะผ่านการผจญภัยวันแรกมาได้ พูดเลยค่ะ ยังไงก็ไม่ชอบเดินทางคนเดียว ขอมีเพื่อนดีกว่านะ T_T
เล่าประสบการณ์ผจญภัยวันแรกซะยาวเหยียด วันต่อไปเราก็มาเริ่มเที่ยวกันล่ะค่ะ ^^"
ตื่นเช้ามาไปรอขึ้นรถตามเวลานัด 08.00am ที่บริษัทเวียตซี ออกเดินทางไปอุโมงค์กู่จี (Cu - Chi Tunnels) ซึ่งอยู่ห่างจากโฮจิมินห์ประมาณ 75 กม. อุโมงค์กู่จีนับเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านและความพยายามขุดเจาะอุโมงค์ใต้ดินความยาวกว่า 200 กม. ความลึก 8 - 10 เมตร ใช้เวลายาวนานถึง 22 ปี เป็นห้องลับใต้ดินแคบๆ เพดานต่ำ เป็นทั้งกองบัญชาการรบและแหล่งหลบภัยในยามสงคราม มีทั้งห้องประชุม ห้องเรียน ห้องเก็บอาวุธ สนามฝึก ห้องครัว ห้องพักอาศัย เป็นต้น สมกับที่เพื่อนแนะนำมาว่า "ห้ามพลาด มันอเมซิ่งมาก"
ไปถึงที่อุโมงค์กู่จีแล้ว เราจะได้นั่งฟังบรรยายเกี่ยวกับประวัติความเป็นมากันก่อนค่ะ
ไกด์ของเราจะพาเดินชมและอธิบายตลอดทริป
มีหลุมซ่อนตัวที่ให้นักท่องเที่ยวลองลงไปด้วยนะ ทั้งแคบทั้งมืด - -"
นอกจากอุโมงค์ ยังมีการจำลองวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเวียดกง หุ่นนักรบชาวเวียดกงชายหญิง การสร้างอาวุธ ลานยิงปืน ฯลฯ
มีการจัดแสดงกับดักนานาชนิดของชาวเวียดกง สร้างจากเศษเหล็ก ที่เคลือบด้วยพิษงูเห่า เพื่อไว้ดักทหารลาดตระเวนอเมริกัน กับดักพวกนี้ไม่ถึงกับทำให้เหล่าทหารลาดตระเวนถึงกับเสียชีวิตค่ะ แค่อาจจะถูกส่งกลับในสภาพขาเน่าเพราะพิษงู...เท่านั้นเอง ^^"
รูปทหารอเมริกันที่ตกลงไปในหลุมกับดัก
ในบริเวณนั้นก็จะมีการโชว์วิถีชีวิตของชาวเวียดนามไว้ด้วยค่ะ เช่นการทำแผ่นแป้งเฝอ โดยการนำแป้งที่ผ่านการหมักและโม่มาแล้ว เทบนผ้าที่ขึงไว้บนปากหม้อที่ต้มน้ำเดือดๆ เป็นแผ่นกลมเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณหนึ่งฟุต เมื่อแผ่นแป้งสุกจะมีสีใส แล้วจึงใช้ไม้ไผ่ม้วนดึงแผ่นแป้งมาวางเรียงบนตะแกรงไม้ไผ่ค่ะ
มีช่างทำรองเท้าโชว์การตัดรองเท้าให้ดูด้วยค่ะ
กลับมาที่อุโมงค์อีกครั้ง...นักท่องเที่ยวจะได้ลงไปสัมผัสภายในอุโมงค์ ที่แม้จะขยายให้ใหญ่ขึ้น เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวไซส์ยุโรปให้เข้าไปได้ แต่ด้านในบางช่วงยังแคบและสูงไม่พอต้องย่อตัวค่อยๆ กระดึ๊บๆ ไป ทำให้นึกถึงชาวเวียดกงที่ต้องอาศัยชีวิตในอุโมงค์แคบๆ มืดๆ ยากลำบากทีเดียว
ด้วยความที่เรากลัวที่แคบและความมืดขึ้นสมองอยู่แล้ว และยังมาที่นี่คนเดียวโดยไม่มีเพื่อน แต่ต้องเดินตามกรุ๊ปทัวร์ที่มาด้วยกันลงไปในอุโมงค์ ช่วงที่ต่อคิวเรียงหนึ่งเข้าไป ทุกคนจดจ้องไปข้างหน้าทางที่จะมุดเข้า มีเราคนเดียวที่มองด้านหลัง ในใจคิดว่าถ้าเปลี่ยนใจตอนนี้แหวกประชาชนออกไป เค้าจะด่าเราไหม - -" พอถึงคิวเราต้องย่อตัวก้ม ก้าวขาไปแล้ว 1 ข้าง เราก็ตัดสินใจเด็ดเดี่ยวก้าวถอยหลังออกมา บอกคนข้างหลังแถวยาวเหยียดว่า "Sorry sorry I can't get inside. It 's terrible!!!" และไม่มองหน้าใคร เบียดผู้คนออกมายืนอยู่บนปากหลุมได้ เหงื่อแตกพลั่ก หน้าตาตื่นกลัวสุดๆ จนไกด์ที่นั่งรออยู่ข้างบนขำกลิ้งเลย T_T
ในบริเวณนี้ยังมีที่ให้เราศึกษาการใช้ชีวิตของชาวเวียดกงสมัยสงครามอีกมากมาย เช่นด้านล่างของแผ่นปูนนี้ก็คือห้องครัว ที่เปิดระบายควันจากการทำอาหาร ซึ่งต้องทำเป็นช่องเล็กๆเพื่อไม่ให้ควันออกมามากเกินไปจนทหารลาดตระเวนของอเมริกาอาจจะมาพบได้
นอกจากนี้ เราจะได้ชิม มันสำปะหลังต้มจิ้มถั่วลิสงบด อาหารหลักในยามสงครามที่หาง่าย อิ่มท้อง และให้พลังงานสูง...ก็อร่อยดีนะ ^^
จุดจัดแสดงมีตลอดทางเดินค่ะ
มีร้านขายของที่ระลึก น่ารักๆ ด้วย
จบจากอุโมงค์กู่จี ก็กลับเข้าเมืองโฮจิมินห์ในตอนบ่ายกันค่ะ แล้วก็ได้เจอเพื่อนที่นัดไว้ อุ่นใจที่สุดแล้ว ^^" เพื่อนก็พามาที่ร้านไอศครีมโฮมเมดชื่อดังของที่นี่ค่ะ ชื่อร้าน Ken Bach Dang คนเยอะมากกกก....แต่เราว่าเมืองไทยอร่อยกว่าเยอะค่ะ ^^"
กินไอติมเสร็จ เราก็เดินมาที่จัตุรัสโฮจิมินห์ (Tran Nguyen Hai Statue) ซึ่งเป็นอนุสาวรีย์ของอดีตประธานาธิบดีโฮจิมินห์ กำลังดีดพิณประคองเด็ก เป็นสถานที่สำคัญกลางเมืองของการเรียกร้องสิทธิเสรีภาพและปฏิวัติของอดีตผู้นำและวีรบุรุษคนสำคัญของเวียดนามค่ะ
ด้านหลังอนุสาวรีย์ เป็นอาคารโฮจิมินห์ซิตี้ ฮอลล์ (Hochiminh City Hall) ก่อสร้างด้วยสไตล์ฝรั่งเศษมีหอนาฬิกาอาคารหน้ามุก ประตูหน้าต่างเป็นศิลปะลวดลายปูนปั้น สวยงามมากกก
ต่อมาเป็นโบสถ์นอร์ทเธอดาม (Notre Dame Cathedral) สร้างในปี 1877 ใช้เวลาก่อสร้าง 6 ปี โดยมีต้นแบบมาจากโบสถ์นอร์ทเธอดามในฝรั่งเศษ ตามแบบฉบับสถาปัตยกรรมของตะวันตกที่เรียกว่า "นีโอแมนซ์ (Neo - Roman)" ตัวโบสถ์สร้างจากอิฐแดง และสัญลักษณ์หอระฆังคู่ บริเวณนี้จะมีคู่หนุ่มสาวนิยมมาถ่ายพรีเวดดิ้งกันด้วยค่ะ
ด้านหน้ามีรูปปั้นพระแม่มารีสีขาวขนาดใหญ่ตั้งอยู่
ถัดไปเป็นกรมไปรษณีย์กลาง (Central Post Office) ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามโบสถ์นอร์ทเธอดามส้รางขึ้นในปี 1891 ในสไตล์ฝรั่งเศษเช่นกัน ถือเป็นอาคารไปรษณีย์แห่งแรกและใหญ่ที่สุดของเวียดนาม
ปัจจุบันกรมไปรษณีย์กลางยังคงเปิดให้บริการตามปกติค่ะ
ด้านในอาคารเป็นห้องโถงกว้าง มีภาพอตีตผู้นำโฮจิมินห์โดดเด่นอยู่ตรงกลาง
เดินกันมาเรื่อยๆ จนถึงอดีตทำเนียบประธานาธิบดี (Reunification Hall) ในอดีตที่นี่เป็นทำเนียบผู้ว่าการชาวฝรั่งเศษ ต่อมาใช้เป็นที่พักของประธานาธิบดีเวียดนามใต้ และในปี 1963 ได้รับความเสียหายจากระเบิดเพื่อสังหารอดีตประธานาธิบดีโงดิ่งเซียม จึงก่อสร้างขึ้นใหม่ในชื่อ ทำเนียบอิสรภาพ (Independence Palace) ปัจจุบันจัดเป็นพิพิธภัณฑ์เพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์การรวมชาติของเวียดนามค่ะ
อาหารข้างทางค่ะ คือนั่งเก้าอี้เตี้ยๆ กินกันอยู่บนริมฟุตบาทให้เหมือนคนเวียดนามเลย ก็ต้องลองนะ และสำหรบคนกินง่ายอย่างเรา อะไรก็อร่อยหมดค่ะ ฮ่าๆ
เสิร์ฟพร้อมน้ำซุปผักกาดดองนัวๆ
อีกหนึ่งอย่างต้องลองที่เวียดนามคือกาแฟค่ะ เข้มข้นมากกก
อิ่มล่ะก็มาต่อกันที่พิพิธภัณฑ์ทหารและสงคราม (War Remnants Museum) เป็นที่รำลึกเรื่องราวสงครามเวียดนามอันยาวนานและการประกาศอิสรภาพของเวียดนาม
สัญลักษณ์นกพิราบสีขาว เพื่อสื่อถึงอิสรภาพและเสรีภาพ ด้านนอกจัดแสดงเครื่องบินรบ รถถัง อาวุธ ห้องขังนักโทษ เครื่องประหารขีวิตต่างๆ ที่ฝรั่งเศษนำมาใช้ในสงคราวเวียดนาม ส่วนด้านในจัดแสดงภาพของชาวเวียดนามท่ามกลางสงคราม ความสูญเสีย โหดร้ายจากสงคราม....รู้สึกหดหู่ T_T
ช่วงที่ไปเป็นช่วงใกล้เทศกาลตรุษจีน บริเวณสวนสาธารณะแถวๆ ย่านตลาดเบนทันห์-ฟาม หงู ลาว์ เต็มไปด้วยต้นไม้แปลกตา ดอกไม้มากมาย เวทีใหญ่ เพื่อเตรียมการฉลองปีใหม่จีน....สวยมากกกกกค่าา
เดินเข้ามาหาอะไรทานกันที่ตลาดค่ะ สองแก้วนี่เป็นน้ำอ้อยสด อร่อยชื่นใจในวันร้อนๆค่ะ
อันนี้ไม่ทราบจริงๆค่ะว่าเรียกว่าอะไร มีคล้ายๆ หมูยอ ลูกชิ้นปลาสักอย่าง แต่อร่อยดีนะคะ ^^"
รถเข็นผลไม้ คล้ายๆบ้านเราค่ะ ^^
และอีกหนึ่งไฮไลท์ของการมาเที่ยวเวียดนาม เรียกว่าถ้าไม่มาดู ถือว่ามาไม่ถึงก็คือมาชมการแสดงหุ่นกระบอกน้ำ (Vietnamese Water Puppet Show) เป็นการแสดงพื้นเมืองของเวียดนาม เกิดจากการที่เกิดน้ำท่วมเป็นเวลานาน จึงคิดค้นการเชิดหุ่นกระบอกน้ำขึ้นมา เพื่อสร้างความบันเทิงและผ่อนคลายในช่วงน้ำท่วม
มีดนตรีประกอบการแสดงหุ่นเชิดด้วยค่ะ
การแสดงหุ่นเชิดจะเป็นการบอกเล่าเรื่องราวเทพนิยายเวียดนาม ประวัติศาสตร์ และเรื่องราว สำหรับเสียงบรรยายเป็นภาษาเวียดนามค่ะ แต่ถึงแม้เราจะไม่สามารถเข้าใจได้ แต่รับรองว่าจะเข้าใจเนื้อเรื่องผ่านการแสดงที่สวยงาม สนุกมากๆค่ะ ^^
นอกจากสถานที่ ที่แนะนำนี้แล้วยังมีโอเปร่าเฮ้าส์ เป็นโรงละครที่ยังมีการแสดงผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป มีย่านถนนดงเค่ย ที่เป็นย่านเก่าแก่และถนนสายธุรกิจที่สำคัญของเมือง มีวัดพุทธมากมายเช่นวัดเทียน ฮัว วิหารเง็กเซียนฮ่องเต้ ในช่วงค่ำก็สามารถไปล่องเรือแม่น้ำไซ่ง่อน ทานดินเนอร์ชมแสงสีมหานครโฮจิมินห์เพลินๆกันได้ค่ะ
ซึ่งการเดินทางตะลอนทัวร์ในเมืองโฮจิมินห์ สามารถเลือกได้ทั้งมอเตอร์ไซค์รับจ้าง เช่ามอเตอร์ไซค์ขี่เอง ซึ่งต้องขอบอกว่าต้องใช้ทักษะขั้นสูงมาก เพราะถนนจะคับคั่งด้วยรถมอเตอร์ไซค์และเจ้าถิ่นขั้นเซียน นอกจากมอเตอร์ไซค์ยังมีแท๊กซี่ ขอแนะนำของ Mailinh ซึ่งเป็นมิเตอร์ถูกต้องตามกฏหมายเชื่อถือได้ค่ะ และยังมี ซิโคล่ (สามล้อถีบ) ซึ่งเป็นเสน่ห์ในการเดินทางของเมืองนี้ แต่ก็ต้องตกลงราคากันดีๆนะคะ
จบ one day trip ในเมืองโฮจิมินห์เพียงเท่านี้ค่ะ
My Travelholic Diary
วันจันทร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 เวลา 14.43 น.