วันนี้อ้ายกึ่มจะพาหลีกหนีฝุ่นและความแห้งแล้ง ไปเที่ยวเดินป่าดินแดนใต้ ที่ 

อุทยานแห่งชาติเขาพนมเบญจา จ.กระบี่

พร้อมแล้วตามมาโล้ด

อุทยานแห่งชาติเขาพนมเบญจา (Khao Phanom Bencha National Park) ครอบคลุมพื้นที่ อ.เมือง อ.อ่าวลึก และ อ.เขาพนม  จังหวัดกระบี่ เป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 30 ของประเทศและเป็นอุทยานแห่งชาติทางบกแห่งเดียวของจังหวัดกระบี่ที่มีสภาพป่าอุดมสมบูรณ์ มีทิวทัศน์ธรรมชาติที่สวยงาม เต็มไปด้วยเทือกเขาสูงสลับซับซ้อน มีไอหมอกปกคลุม มีลำธารและน้ำตกหลายสายที่เป็นต้นน้ำหล่อเลี้ยงชุมชนเบื้องล่างตลอดทั้งปี 

"เขาพนมเบญจา" มีรูปร่างลักษณะคล้ายผู้หญิงที่กำลังนอนทอดกาย ประกอบด้วยยอดนมสาว คอนางนอน สันจมูกนางและหน้าผากนาง 

เป้าหมายของเหล่านักเดินป่าอย่างพวกเรา เพื่อขึ้นไปสูดอากาศที่บริสุทธิ์และชื่นชมความงดงามของธรรมชาติบนยอดเขาพนมเบญจา ซึ่งมียอดเขาที่สูงที่สุด เรียกว่า "ยอดนมสาว" มีความสูงประมาณ 1,397 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง แต่ในปัจจุบันไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปบริเวณนั้นแล้ว ป้องกันการรบกวนบ้านของสัตว์ป่า เราจึงนอนกันที่แคมป์บริเวณคอนางนอนและเที่ยวชมพระอาทิตย์ตกหรือขึ้นที่บริเวณหน้าผากนาง แค่นี้ก็เต็มอิ่มแล้ว

ทริปนี้ 3 วัน 2 คืน กับเทรลเดินป่าระยะไกลเส้นทางใหม่ ชิลล์ๆ ไม่ต้องเร่งรีบ เน้นการพักผ่อนเป็นหลัก

_________________________________________________________________________

Day 01 : จุดเริ่มเดินเท้า - แคมป์บริเวณคอนางนอน

_________________________________________________________________________

เริ่มต้นจากเส้นทางเทรลใหม่ (เส้นสีม่วง) ระยะทางประมาณ 7 กิโลเมตรกว่าๆ  ชันน้อยกว่าเส้นเดิม (แต่ก็ไม่ได้ง่ายนะ ดันขึ้นเนินเขาไปเรื่อยๆ) ใช้เวลาในการเดินเท้าประมาณ 6 ชั่วโมง ก็ถึงจุดแคมป์คอนางนอน ส่วนในขากลับเราก็ใช้เส้นทางอีกเส้นที่เคยเป็นเส้นเทรลเดิมในการขึ้นเขาพนมเบญจา (เส้นสีดำ) ชันใช้ได้เลย มิน่าละ เมื่อก่อนใครมาเส้นนี้ต้องพักแรมในป่าก่อน 1 คืน หรือบางกลุ่มต้อง Night Trail เพื่อไปให้ถึงแคมป์บริเวณคอนางนอน เพราะมันชันมากใช้เวลาประมาณ 8 – 10 ชม. อย่างต่ำ แต่ถ้าใช้เส้นนี้เป็นเส้นขากลับเราใช้เวลาแค่ 2-3  ชั่วโมง ระยะทางประมาณ 5 ก.ม. ก็ถึงจุดนัดพบเริ่มต้นเดินเท้า


ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่

Facebook : https://www.facebook.com/อุทยา...

โทร : 075-855216 หรือ คุณแอ๋ว 095-4200217

เริ่มเดินก็เข้าป่าเลย ร่มรื่น แต่ค่อนข้างอับลม แนะนำให้พกพัดมาด้วยจะดีมาก เรื่องทากไม่ต้องกลัว ดินและใบไม้แห้งมาก เพื่อนบางคนต้องเปลี่ยนกางเกงเป็นขาสั้น สบายๆ เวลาเริ่มเดินของพวกเรา 10.00 น. ไม่เช้าไม่สายจนเกินไป

ป่าเขียวๆ ต้นไม้น้อยใหญ่หนาแน่นเต็มไปหมด มีมุดมีลอดต้นไม้ที่ล้มขวางทางเป็นระยะๆ 

ดอกไม้ป่าเริ่มออกดอกให้เห็น ส่วนมอสเขียวๆ ก็เริ่มแห้ง

เส้นเทรลใหม่นี้อย่างที่บอก ระยะทางจะเยอะกว่าเส้นเดิม แต่ไปได้สบาย เนินเนิบๆ ไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็พัก หัวหน้าแกงค์บอกว่าพวกเราต้องไปให้ถึงแคมป์คอนางนอนให้ได้ เพื่อจะได้นอนที่นี่ 2 คืนเลยไม่ต้องย้ายแคมป์ สามารถชมพระอาทิตย์ขึ้นที่หน้าเต็นท์ได้เลย ได้ยินแบบนี้ทำให้พวกเรามีแรงฮึ๊บขึ้นมา พวกเราต้องทำได้และต้องถึงแคมป์ก่อนค่ำ แพลนวันนี้เอาให้ถึงแคมป์พอ 

เดินมาสักหน่อยพวกเราก็เห็นพระเอกของทริปนี้ที่พวกเราตามหาคือ สิงโตพัดเหลือง (Bulbophyllum retusiusculum Rchb.f.) ชื่อเรียกอื่น Cirrhopetalum retusiusculum (Rchb.f.) Hook.f.

เป็นกล้วยไม้อิงอาศัย ในไทยพบตามป่าดิบเขาทางภาคเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้ จากเหนื่อยๆ พวกเราต้องหยุดและถ่ายภาพจนลืมความเหน็ดเหนื่อย มีแรงเดินต่อ

ขนาดเห็นแค่ดอกเดียวนะเนี่ย ยังตื่นเต้นเลย พี่เจ้าหน้าที่บอกว่า ด้านบนมีเยอะกว่านี้อีก ว๊าวววววว

มองไปไหนก็เขียวสวยงาม นี่แหละเสน่ห์ป่าใต้ แห้งแล้งแค่ไหนก็ยังคงเขียวกว่าทางตอนบนของประเทศเราแน่นอน

ตอนนี้ก็ดันขึ้นมาได้สูงพอสมควร มองเห็นวิวข้างล่าง เริ่มมีลมเย็นๆ ปะทะหน้า 

สำหรับกลุ่มที่ไม่อยากฝืนเพื่อให้ถึงแคมป์คอนางนอน สามารถแคมป์ได้ที่แคมป์แรก มีแหล่งน้ำให้ใช้ เย็นสดชื่น ส่วนพวกเราก็ล้างหน้าล้างตาและกรอกน้ำเย็นๆ แล้วไปกันต่อ

ไม่นานก็มาโผล่จุดนี้ นั่นแหละเตรียมดีใจได้เลย เพราะอีกไม่กี่ร้อยเมตรก็ถึงแคมป์คอนางนอนเป้าหมายเราสำหรับวันแรก 

เดินไปอีกหน่อย ก็จะถึงแคมป์แล้ว

สมาชิกก็เริ่มทยอยมาถึงกัน ทุกคนทำได้ แข็งแรงกันสุดๆ รวมแล้วใช้เวลาประมาณ 6 -7 ชั่วโมง ก็ถึงแคมป์คอนางนอน

จากนั้นก็หาที่ตั้งแคมป์กลาง ใครถนัดนอนเปลก็มีพื้นที่เยอะแยะแถมติดลำธารเย็นสบาย กลางคืนนี่อย่างหนาว ใครชอบนอนเต็นท์ก็มีพื้นที่เพียงพอ พื้นอาจลาดเอียงบ้าง พื้นเต็มไปด้วยหินบ้าง หาทำเลกันดีๆ 

วันแรกนึกว่าจะรอดฝน ก็มีฝนหลงมานิดหน่อยพร้อมลม เย็นและหนาวสมใจอยาก หมอกขาวฟุ้งไปมา ทีมวิศวะกรก็ช่วยกันตั้งแคมป์ ทีมอาหารก็ช่วยกันหุงหาอาหาร เสน่ห์การเดินป่ามันคือตรงนี้แหละ การช่วยเหลือกันและกันมันโคตรสนุก ของส่วนกลางก็ช่วยกันแบกขึ้นมา ของกินอย่าให้ขาด กินหรูกว่าที่บ้านอีก ขอบคุณแม่ครัวใหญ่ "พี่โอ๋" ที่เป็นทั้งหัวหน้าทริป เป็นทั้งแม่ครัวหลักจัดแจงให้พวกเราทุกอย่าง ขอคารวะ 1 จอก 

อาหารการกินก็เยอะแยะมากมาย ของคาวของหวานครบจนเกิน 5 หมู่ นี่แค่บางส่วนนะ

ค่ำคืนแรกที่แสนจะเหน็ดเหนื่อย พวกเราอิ่มหนำสำราญแล้วก็มานั่งคุยกัน แลกเปลี่ยนความสนุกสนานและทำความรู้จักกันสักหน่อยพอหอมปากหอมคอ จากนั้นก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน คืนนี้หนาวมาก ดาวสวย มาลุ้นกันว่าพรุ่งนี้เช้าจะมีทะเลหมอกสวยๆ มาต้อนรับที่หน้าเต็นท์ไหม

_________________________________________________________________________

Day 02 : แคมป์คอนางนอน - ชมวิว 360 องศา ที่จุดชมวิวหน้าผากนาง

_________________________________________________________________________

สวัสดียามเช้า วันนี้เรายังไม่ไปไหน หากใครมีแรงเหลือๆ ก็สามารถไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่บริเวณหน้าผากนางได้ แต่เราขอชมที่หน้าเต็นท์ก็พอแล้ว แคมป์คอนางนอนเป็นจุดที่อยู่สูงประมาณ 1200 เมตร     จากระดับน้ำทะเลปานกลาง อากาศเย็นสบาย มีลำธารที่ไหลมาจากต้นน้ำบริเวณยอดนมนาง น้ำใส เย็นชื่นใจ สามารถดื่มและใช้ทำอาหารได้ พกเครื่องกรองน้ำแบบพกพามาด้วยนะอุ่นใจดี

นั่งชมวิวสวยๆ สูดเอาโอโซนที่บริสุทธิ์ให้เต็มปอด ปล่อยกายปล่อยใจ ชาร์จพลังจากธรรมชาติให้ตัวเอง

ตะวันลูกกลมโต ทอแสงของวันใหม่สวยงาม

ตอนแรกนึกว่าทะเลหมอกกำลังจะก่อตัว ที่ไหนได้เป็นควันจากโรงงานอะไรสักอย่าง ฮ่าๆๆ

เต็นท์ผมเอง รับลมดอย เมื่อคืนนอนหนาวดี ไม่คิดเลยว่าภาคใต้จะหนาวขนาดนี้ 

น้ำค้างแรงมาก เปียกไปทุกหย่อมหญ้า

ทำเป็นเท่ห์ เออก็เท่ห์จริง แฟนใครก็ไม่รู้มายืนบังวิวเรา

วันนี้ก็ยังคงวนเวียนอยู่แถวบริเวณแคมป์คอนางนอน ชมนกชมไม้ ตามหาสิงโตพัดเหลืองกันต่อ รวมทั้งกล้วยไม้ที่มีชื่อว่า รองเท้านารีคางกบ

นั่นคือทะเลหมอกหรือเมฆ ซึ่งเป็นคำถามของเพื่อนร่วมทริปของเรา

บาริสต้าก็ดริฟกาแฟร้อนๆ ให้พวกเราดื่มยามเช้า ใครง่วงก็ไปนอนต่อ ใครอยากไปเดินหาดอกไม้ก็จัดไป 

เหนือลำธารขึ้นไปจะเป็นลานกินรี เป็นลานหินที่มีมอสเขียวๆ คลุมไปทั่ว ร่มรื่นไปด้วยป่าสีเขียว สดชื่นมาก 

สิงโตพัดเหลือง ยังคงมีให้เห็นตลอด หากเราสังเกตดีๆ 

ตามหาสีเขียวที่สดชื่น

พอเราพักกินข้าวกลางวันเสร็จ พักผ่อนกันให้เต็มอิ่ม ช่วงบ่ายแก่ๆ เรามีนัดกันเพื่อไปชมพระอาทิตย์ตกดินที่บริเวณหน้าผากนาง ห่างจากแคมป์ประมาณ 1 กิโลเมตร เดินง่าย เนินเนิบๆ มีปีนผาแถวบริเวณจมูกนางนิดหน่อยแต่ไม่ต้องกลัวมีเชือกให้ดึง

เส้นทางศึกษาธรรมชาติจากแคมป์ถึงหน้าผากนาง อย่าลืมสังเกตมองหาสิงโตพัดเหลืองตามต้นไม้และดอกกล้วยไม้อื่นๆ ช่วงนี้มันกำลังออกดอกสวยงาม

บางฝูงก็อยู่สูง บางฝูงก็อยู่ต่ำๆ สังเกตง่ายด้วยดอกสีเหลืองส้มโดดเด่น

บางทีก็เจอสิ่งมีชีวิตอื่นๆ พอให้เราได้ตกใจ

รองเท้านารีคางกบ เป็นกล้วยไม้ชนิดหนึ่งในสกุลรองเท้านารี ก้านดอกแข็ง ให้ดอกเดี่ยว มีขนตามผิวของกลีบในทั้งคู่ กลีบนอกบนตั้งและกว้างเล็กน้อย ริมกลีบสีขาว ด้านในมีเส้นสีม่วงคล้ำบนพื้นสีเขียว กลีบในทั้งคู่แคบ เฉียงลงด้านล่างเล็กน้อย

เสน่ห์ระหว่างทางมันช่างสวยงามจริงๆ 

หน้าผากนาง เป็นจุดที่สามารถชมพระอาทิตย์ขึ้นและตกได้ที่จุดนี้ มองวิว 360 องศา เห็นอ่างเก็บน้ำคลองแห้ง ชุมชนอำเภอเขาพนม มองเห็นสนามบินกระบี่ อำเภอเหนือคลองบางส่วน อ่าวท่าเลน ทะเลกระบี่

เราใช้เวลาชมวิวและถ่ายรูปที่จุดนี้นานพอสมควร จนตะวันลาลับขอบฟ้า พวกเราถึงกลับแคมป์ อย่าลืมพกไฟฉายมาด้วยนะครับ ขากลับแคมป์ต้องใช้

คืนที่สองก็หนาวไม่แพ้คืนแรก แถมมีลมแรงกว่าด้วย พวกเราออกมานั่งเล่นตรงลานหินเช่นเคย พูดคุยกันสนุกสนาน เผลอแป๊บเดียวก็จะได้กลับกันแล้วหรอเนี่ย ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าโคตรมีความสุข ประทับใจ ต่างชอบในทริปนี้ มันช่างดีทุกอย่าง มิตรภาพดี ธรรมชาติสวยงามดี เจ้าหน้าที่น่ารักดีและอาหารโคตรดีเลย

_________________________________________________________________________

Day 03 : แคมป์คอนางนอน - เดินทางกลับ

_________________________________________________________________________

เช้าวันที่ 2 ที่มีลมแรงตั้งแต่เมื่อคืน แต่ไม่ถึงกับแรงมาก สามารถนอนได้สบาย เช้านี้แสงสวยดีแต่หมอกฟุ้งไปทั่วบริเวณ ชื่นใจจังเลย

หลังจากกินข้าวเช้าแล้ว ก็จัดการเรื่องขยะและเก็บสัมภาระ เตรียมพร้อมเดินทางกลับ และที่ขาดไม่ได้ต้องถ่ายรูปหมู่บันทึกรอยยิ้มแล้วความสุขของทุกคน 

ไม่ต้องกลัวแดด เพราะสักพักก็มุดเข้าป่าแล้ว เตรียมตัวดิ่งลงเขา

ทางค่อนข้างชัน ระยะทางประมาณ 5 กิโลเมตร ใช้เวลาไม่นานเฉลี่ย 2-3 ชั่วโมง ก็ถึงกันทุกคน เส้นทางนี้จะเจอน้ำตกและลำธาร สามารถแช่ เล่นน้ำให้หายร้อนได้

ใครชอบแนวเดินป่า อยากแนะนำให้ลองมาสัมผัสธรรมชาติสวยๆ และความสมบูรณ์ของป่าดินแดนใต้ของที่นี่    "อุทยานแห่งชาติเขาพนมเบญจา" กับเทรลเส้นทางใหม่ อย่าให้เป็นเพียงแค่เขาเล่าว่า ต้องมาสัมผัสด้วยตาตัวเองสักครั้ง แล้วจะหลงรัก

"กระบี่" ยิ่งสูง ยิิ่งสวยสง่า


"ประสบการณ์ใหม่ ไม่ออกไปหา ไม่มีทางเจอ " Life is a journey”

#ดีแต่เที่ยว #กระบี่ #Thailand #ประเทศไทย #Krabi #อุทยานแห่งชาติเขาพนมเบญจา #เขาพนมเบญจา

อ้ายกึ่มมักเล๊าะ

 วันจันทร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2564 เวลา 10.51 น.

ความคิดเห็น