เขาค้อ - ภูทับเบิก - ภูหินร่องกล้า
เป็นการ รีวิวเมืองไทยครั้งแรกค่ะ กับกระแสฟีเวอร์ทะเลหมอกที่ภูทับเบิกช่วงปลายฝนต้นหนาว ซึ่งจะมีโอกาสได้เห็นทะเลหมอกสวยๆ กันมากกว่าช่วงอื่น แต่ทริปนี้ไปเมื่อเดือนตุลาคม ปี 2015 ค่ะ อาจจะเก่าไป แต่ก็คิดว่าพอจะใช้เป็นข้อมูลได้บ้างนะคะ
ในวันแรก...เราออกเดินทางในช่วงบ่าย เส้นทางโคราช-เขาค้อ กันก่อน ด้วยระยะทาง 334 กม. ใช้เวลาประมาณ 4 ชม.30 นาทีค่ะ
ก็จะผ่านสะพานพ่อขุนผาเมือง (ห้วยตอง) ซึ่งเป็นสะพานที่มีตอม่อสูงที่สุดในประเทศไทย (50เมตร) อยู่บนทางหลวงหมายเลข12 ที่เชื่อมระหว่างภาคเหนือตอนล่างกับภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เปิดใช้มาตั้งแต่ปี 2518 อยู่ใกล้กับแยกเข้าอุทยานแห่งชาติน้ำหนาวค่ะ
และเมื่อธันวาคม 2556 เกิดอุบัติเหตุรถทัวร์พลิกคว่ำตกสะพาน มีผู้เสียชีวิต 29 ราย ซึ่งหลังจากวันเกิดเหตุไม่ถึงอาทิตย์ เราก็มีโอกาสได้ผ่านมาตรงจุดนี้ ในตอนนั้นยังมีซากรถ เสื้อผ้า สิ่งของกระจัดกระจายไปทั่ว ราวสะพานมีรอยถูกชน แต่ดูไม่ได้เสียหายมากนัก....มาในวันนี้ทุกอย่างไม่เหลือเค้า ของอุบัติเหตุในวันนั้นแล้ว แต่เราก็ยังจอดพักรำลึกเหตุการณ์ทุกครั้งที่มีโอกาสได้ผ่านมาทางนี้ค่ะ
เมื่อนึกถึงภาพอุบัติเหตุในครั้งนั้น บวกกับเวลาใกล้ค่ำโพล้เพล้แทบไม่มีรถผ่าน ก็ทำให้บรรยากาศยิ่งวังเวงเข้าไปอีกสิคะ ><"
ขับรถมาถึงวณัชญา รีสอร์ทก็ค่ำแล้ว เป็นการ walk in เข้ามาเลย โดยไม่ได้จองล่วงหน้า ซึ่งปกติราคาตามหน้าเวป 1,000ต่อคืน / พักได้ 4-5 คน แต่เพราะน้องสาวเคยมาพักที่นี่ ทางเจ้าของรีสอร์ทก็เลยลดราคาให้เหลือห้องล่ะ 800 บาทค่ะ :D
ห้องพักที่นี่มีแต่พัดลมนะคะ เพราะอากาศเย็นสบายตลอดปีอยู่แล้ว
ห้องกว้าง สะอาด ใช้ได้เลยค่ะ
ซื้ออาหารมาทำ มาทาน กันได้ที่บริเวณนี้ค่ะ
เช้าวันที่ 2 ของทริป เรามาเริ่มกันที่พระบรมธาตุเจดีย์กาญจนาภิเษกกันนะคะ เลยจากวรัชญารีสอร์ทมานิดเดียว ตั้งอยู่บนเขาค้อ ริมทางหลวงหมายเลข 2196 เป็นเจดีย์ที่มีสถาปัตยกรรมผสมผสานทั้งแบบสุโขทัย อยุธยา และรัตนโกสินทร์ค่ะ
ออกจากพระบรมธาตุเจดีย์ เรามาแวะจุดชมวิวเขาค้อตรงบริเวณที่ว่าการอำเถอกันค่ะ ตรงนี้จะมีป้ายบอกทางไปสถานที่ท่องเที่ยวของเขาค้ออีกหลายที่ แต่ทริปนี้ไม่ได้ไป เพราะตอนเด็กๆ ไปบ่อยมากกกกกกแล้ว ^^"
ตรงจุดชมวิวเขาค้อ ก็จะมีชาวบ้าน ชาวเขามาขายของที่ระลึก เสื้อผ้า หมวก อุปกรณ์กันหนาวงานแฮนด์เมด แล้วก็มีพวกผัก อาหารอีกนิดหน่อยค่ะ
ของที่ระลึกน่ารักๆ ราคาไม่แพงมากด้วยนะ ;)
น่าจะเป็นซิกเนเจอร์ของเขาค้อค่ะ เห็นมีขายทุกร้านเลย ^^
วิวสวยๆจากจุดชมวิวค่ะ
ขับรถกันมาอีกประมาณ 20 กว่ากิโล ก็ถึงจุดหมายต่อไปของเราค่ะ...วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว :D
วัด พระธาตุผาซ่อนแก้ว ตั้งอยู่ที่ อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ ด้วยภูมิประเทศที่งดงาม มีธรรมชาติเป็นภูเขาที่สูงใหญ่ ซ้อนกันเป็นทิวเขาเรียงรายโอบรอบบริเวณศาลาปฏิบัติธรรม และบนยอดเขาสูงมีถ้ำอยู่บนปลายยอด ซึ่งมีชาวบ้านหลายคน ได้เห็นลูกแก้วลอยเหนือฟากฟ้าและลับหายเข้าไปในถ้ำบนยอดผา ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นพระบรมสารีริกธาตุเสด็จมา และต่างถือว่าเป็นสถานที่มงคล มีความศักดิ์สิทธิ์ก็เลยเรียกตาม ๆ กันว่า "ผาซ่อนแก้ว" ค่ะ
ตรงนี้เป็นวิวถ่ายจากลานจอดรถ
อุโบสถ พระพุทธเจ้า 5 พระองค์ ตอนนี้ก่อสร้างเสร็จแล้วค่ะ สาธุชนไม่ควรเข้าไปด้านใน และต้องเดินชมด้วยความมีสติระมัดระวัง เพราะเขตสงฆ์เป็นเขตปิดวาจา สำหรับผู้ปฏิบัติธรรมอนุญาติเฉพาะผู้ปฏิบัติธรรมให้เป็นพื้นที่วิเวกในการ เจริญสติภาวนาค่ะ
เจดีย์ พระธาตุผาแก้ว วัตถุประสงค์การสร้างเจดีย์เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวทรงครองราชย์ครบ 60 ปี และเป็นที่สืบพระศาสนาค่ะ ซึ่งความพิเศษของเจดีย์ คือ ลวดลายการตกแต่งด้วยถ้วยกระเบื้อง หินสีต่างๆ ดูงดงามแปลกตาและบริเวณใต้ฐานพระเจดีย์ใช้เป็นที่เก็บรวบรวมหลักธรรมคำสอน ภาพปริศนาธรรม และเป็นที่เจริญสติภาวนา สำหรับพุทธศาสนิกชนทั่วไปด้วยค่ะ
แถวนี้เรียกว่า ทิซซ่าไข่ แต่รู้สึกว่าทางภาคเหนือจะเรียกลูกท้ออะไรซักอย่างนะ รสชาติจะมันๆหวานๆ อร่อยดีค่ะ
เที่ยววัดผาซ่อนแก้วเสร็จแล้ว ก็จะต้องขับรถออกทางด้านนี้ค่ะ เป็นทางที่เลยไปตรงบริเวณที่จอดรถนะ
และที่หมายของเราในวันนี้ก็คือภูทับเบิกค่ะ เป็นจุดที่สูงที่สุดของเพชรบูรณ์ มีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,768 เมตร แล้วที่เรียกว่าภูทับเบิก ก็เพราะอยู่ใกล้กับหมู่บ้านม้งทับเบิกนั่นเอง ^^
ด้วยภูมิประเทศที่สวยงาม อากาศบริสุทธิ์ ไร่กะหล่ำปลี มีไอเย็นตลอดทั้งปี และโดยเฉพาะในเดือนนี้ เป็นช่วงฤดูปลายฝนต้นหนาว ที่จะมีโอกาสเกิดทะเลหมอกในตอนเช้าที่สวยงามมาก ถือเป็นจุดชมทะเลหมอกที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทยค่ะ
วันนี้มาถึงในช่วงเที่ยง อากาศกำลังเย็นสบาย หมอกเริ่มลงแล้ววว
เช้าวันถัดมา ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ตั้งแต่ตี 5 เพราะจะขึ้นไปดูทะเลหมอกที่จุดชมวิวค่ะ แต่ก็ต้องผิดหวัง เพราะหมอกลงเยอะมาก แทบมองไม่เห็นทาง แล้วไม่เกาะเป็นก้อน ฝนตกซ้ำอีก - -"
การมารอดูทะเลหมอก ก็เหมือนกับการซื้อหวยอ่ะนะ ได้เห็นเมื่อไร ก็อารมณ์ยังกับถูกรางวัลที่ 1 ตามมาหลายปีล่ะ ยังไม่โดนเลย ><
เรารอฝนหยุด และหวังว่าอาจจะได้เห็นทะเลหมอก จนเวลาล่วงเลยจนเกือบเที่ยง!!! พอมั่นใจแล้วว่า เราคงไม่ได้พบกัน...ทะเลหมอกภูทับเบิก เราก็ต้องเปลี่ยนแผนกันค่ะ....จะไปภูหินร่องกล้าแทน
เที่ยงแล้วยังไม่เห็นแสงแดดเลย ขับรถแทบมองไม่เห็นถนน ใครเจอสภาพอากาศแบบนี้ต้องระวังกันด้วยนะคะ
มาแวะกันตรงหน้าทางเข้าอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้ากันก่อนค่ะ ตรงนี้จะเป็นจุดถ่ายรูป และชมวิวภูทับเบิกอีกจุดนึงค่ะ
เบบี้แครอทค่ะ หัวเล็กๆ น่ารักดีนะ ^^
อากาศเย็นๆ แบบนี้ เราก็มาหาอะไรกินเล่นกันหน้าเตาอุ่นๆ อย่างข้าวโพดกับมันเทศค่ะ
มันเทศสีม้วงม่วง :D
หลังจากหาซื้อของกินเล่นติดรถไว้เผื่อหิวๆระหว่างทางเสร็จแล้ว เราก็ขับรถเข้าอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้ากัน ค่าเข้าอุทยานคนล่ะ 40 บาทบวกค่ารถอีกคันล่ะ 30 บาทค่ะ
อุทยาน ภูหินร่องกล้า ตั้งอยู่บนรอยต่อของสามจังหวัด คือ อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย และอำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์
มี สภาพภูมิประเทศโดยทั่วไปเป็นเทือกเขาสลับซับซ้อน ประกอบด้วยยอดภูเขาที่สำคัญคือ ภูหมันขาว ภูแผงม้า ภูขี้เถ้า ภูลมโล ภูหินร่องกล้า โดยมีภูหมันขาวเป็นยอดเขาที่สูงที่สุด สูงประมาณ 1 ,820 เมตรจากระดับน้ำทะเลค่ะ
จุดแรกที่มาถึงเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีประวัติศาสตร์เกี่ยวกับคนตุลา ก็คือโรงเรียนการเมืองการทหาร ซึ่งในอดีตเป็นสถานที่สำหรับให้การศึกษาตามแนวคิดของลัทธิคอมมิวนิสต์ค่ะ
ไม่รู้ว่าผลอะไร...เห็นหล่นเต็มอยู่หน้าทางเข้าโรงเรียนการเมืองการทหารค่ะ
ที่นี่ประกอบไปด้วยบ้านพักของฝ่ายพลเรือน ฝ่ายพลาธิการ ฝ่ายสื่อสาร และสถานพยาบาล รวมทั้งหมด 31 หลัง
แต่ล่ะหลังจะเป็นบ้านเล็กๆ ที่มีเพียงแคร่สำหรับนอน และโต๊ะเขียนหนังสือเท่านั้น
รถแทรกเตอร์ของบริษัทพิฆเนศ ถูกผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ประเทศไทย ยึดมาเมื่อครั้งสร้างทางสายพิษณุโลก-ด่านซ้าย เป็นการข่มขู่เรียกค่าคุ้มครอง
ก้อนหินนี้ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าก้อนหินนี้มีความสำคัญต่ออดีต พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ที่ภูหินร่องกล้า หลบจากการทิ้งบอมบ์แบบปูพรม คนบาดเจ็บและร่างกายไม่ดีจะไปหลบที่หินก้อนนี้ค่ะ
เดินออกมาจากโรงเรียนการเมืองการทหาร มองไปด้านขวาฝั่งตรงข้ามถนน เป็นอีกจุดที่เราจะไปสำรวจกังหันน้ำกันค่ะ....วิ่งข้ามถนนไปกันเลยยยย
เดินลงมาแค่ 60 เมตรก็จะเห็นน้ำตกกับกังหันน้ำแล้วค่ะ
มาศึกษาประวัติของกังหันน้ำกันสักนิดนะคะ กังหันน้ำนี้ออกแบบและสร้างขึ้นโดยนักศึกษาคณะวิศวะ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่หนีเข้าป่าช่วงหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ซึ่งกังหันนี้ใช้หล่อเลี้ยงคนหลายพันคนบนภูหินร่องกล้า เพราะกังหันน้ำใช้พลังน้ำขับเคลื่อนหมุนแกนกระเดื่องตำข้าวซึ่งเปรียบเสมือน โรงสีข้าวของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย
หลังจากแวะชมโรงเรียนทหารและการเมือง กับกังหันน้ำเสร็จแล้ว ก็ขับรถมาที่ลานหินปุ่มกันต่อค่ะ จากลานจอดรถ ระยะทางในการเดินเที่ยวชมบริเวณนี้ไป-กลับประมาณ 3 กิโลเมตรค่ะ กับอากาศกำลังเย็นสบาย อาจจะต้องแอบวิ่งหนีฝนกันบ้างเล็กน้อย :P
ก่อนการเดินทางไกล มาเข้าห้องน้ำกันให้เรียบร้อยก่อน มีให้บริการฟรีตรงบริเวณลานจอดรถค่ะ
เริ่มเดินกันแล้วววว ^^
จากจุดนี้ เราจะเดินวนด้านขวาเป็นวงกลมระยะทางประมาณ 3 กม. เสร็จจากนั้นแล้วใครอยากจะไปต่อด้านซ้ายตามป้าย ก็จะเริ่มจากจุดนี้เช่นกันค่ะ
มา แทรกเรื่องราวประวัติศาสตร์กันสักหน่อย ในช่วงปีพ.ศ.2511 - 2525 ภูหินร่องกล้า นอกจากจะเป็นป่าเขารกชันแล้ว ยังถือเป็นหนึ่งในพื้นที่สีแดง ที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตายระหว่างการ สู้รบของคน 2 กลุ่ม คือ พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย กับฝ่ายความมั่นคง
และนี่คือบริเวณที่ฝังร่างของผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ครั้งนั้นค่ะ
ระหว่างทางเดินก็จะเห็นป้ายชื่อที่ตั้งตามลักษณะหินตลอดทางค่ะ
ธรรมชาติสวยๆ ระหว่างทางเดิน
เห็นป้ายนี้แล้ว....กำลังใจก็มา :P
ลาน หินปุ่ม อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานแห่งชาติ ประมาณ 4 กิโลเมตร อยู่ริมหน้าผาลักษณะเป็นลานหินผุดขึ้นเป็นปุ่มไล่เลี่ยกัน คาดว่าเกิดจากการสึกกร่อนตามธรรมชาติของหิน ในอดีตผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ประเทศไทย เคยบริเวณนี้ใช้เป็นที่พักฟื้นของคนไข้เนื่องจากอยู่บนหน้าผา จึงมีลมพัดเย็นสบายเหมาะแก่การนั่งพักผ่อน
วันนี้หมอกลงจัดจนไม่เห็นวิวด้านล่างเลย แต่ก็ดูสวยไปอีกแบบนะคะ ^^"
เดิน ต่อมาจนถึงผาชูธง อยู่ห่างจากลานหินปุ่มประมาณ 600 เมตร เป็นหน้าผาสูงชันสามารถเห็นทิวทัศน์ได้กว้างไกล โดยเฉพาะในช่วงพระอาทิตย์ตกค่ะ บริเวณนี้เคยเป็นสถานที่ที่ ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ประเทศไทย จะขึ้นไปชูธงแดงรูปค้อนเคียว ทุกครั้งที่รบชนะทหารของรัฐบาล
ผาหว้าค้ำ ตามชื่อเลยคือมีต้นหว้างอกอยู่ใต้ชะง่อนหินนี้ จนเหมือนไปค้ำหินเอาไว้ค่ะ
วิวเลียบหน้าผาระหว่างทางเดินค่ะ :)
ร่องรอยของหินตามธรรมชาติ ยังกับเป็นฝีมือคนไปแกะสลักไว้เลย สวยดีนะ :D
ออกจากป่าแล้ว ก็ต้องหาอะไรเย็นๆกินซะหน่อย ถึงแม้อากาศจะเย็นสบาย ไม่มีแดด แต่ก็ยังเรียกเหงื่อได้พอสมควรเลยค่ะ
ขาก ลับ ขับรถมาทางเส้นพิษณุโลกมาทางอุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง เห็นทะเลหมอกกลุ่มเล็กๆ ลอยตัวต่ำ ดีใจจนต้องรีบจอดรถ คว้ากล้องกระโดดข้ามที่กั้นทางไปเก็บภาพกันเลยค่ะ
รถคันอื่นก็จอดกันยาวเลยค่ะ ดีที่ถนนกว้าง รถไม่เยอะ ไม่กีดขวางการจราจรเท่าไร แฮ่ๆ
ตอนแรกมีลังเลว่าพวกเราจะเฝ้าทะเลหมอกกันต่ออีกสักวันไหม เพราะยังไม่ได้เห็นแบบสวยๆเลย แต่เพราะมากันรถหลายคัน หลายคน โค้งสุดท้าย...ก็เลยตัดสินใจกลับค่ะ ^^"
ติดตามข้อมูล รีวิวการเดินทาง พูดคุยกับผู้เขียนได้ที่…
Fanpage : https://www.facebook.com/Mytravelholicdiary/
Instagram : https://www.instagram.com/my_travelholic_diary
My Travelholic Diary
วันอาทิตย์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2559 เวลา 23.50 น.