ส วั ส ดี เพื่อนๆ ทุกคนค้าบบบ..
มาต่อ 'Ep.2' ของ (มหากาพย์) รีวิวฉบับเต็ม
C e b u, P h i l i p p i n e s ฟินส์จนต้องหลงรักที่ระดับน้ำทะเล
. . .
ตอนแรก :: Ep.1 ǀ Cebu, Philippines ฟินส์จนต้องหลงรักที่ระดับน้ำทะเล
https://th.readme.me/p/3734
. . .
ยินดีให้คำแนะนำสำหรับทริปเต็มที่
แวะไปพูดคุยกันได้ที่ >> https://www.facebook.com/hungrytraveller คับผม :)
♥ ♥ ♥
Day 03 ǀ Whale Shark Watching - Sumilon Island (One day trip)
วันนี้โปรแกรมของเราอยู่ใกล้ๆ ครับ ไม่ต้องเดินทางไปไกลมาก ประกอบไปด้วยการดำน้ำกับฉลามวาฬตอนเช้า และไปเที่ยวเกาะ Sumilon ตอนสายๆ ถึงเย็น ที่อยู่ไม่ไกลมากนักจากที่พัก แค่สองโปรแกรมนี่ก็หมดไปแล้วหนึ่งวัน รายละเอียดตามแผนที่ด้านล่างเลยครับ
อีกหนึ่งไฮไลท์ที่ห้ามพลาดเมื่อมาเที่ยวเกาะเซบู ฟิลิปปินส์ นั่นก็คือ " การดำน้ำกับฉลามวาฬ!" ซึ่งกิจกรรมนี้เองเป็นจุดดึงดูดให้นักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกต่างหลั่งไหลเข้ามาเพื่อมาเยือนเซบูให้ได้สักครั้งในชีวิต
วันนี้ถือว่ามีความพีคอีกวันหนึ่ง (คือเมื่อวานก็พีคมากแล้วจาก canyoneering) จะเป็นยังไง ติดตามรายละเอียดกันได้เลยครับ..
เราตื่นกันตั้งแต่ตีห้า (ที่นี่ตีห้าก็สว่างแล้ว อย่ามัวแต่นอนตื่นสายกันละ) เพราะอยากไปดูฉลามวาฬแต่เช้าให้ทันรอบแรก เพื่อนที่อยู่เซบูแนะนำว่าให้ไปรอบแรกๆ เลย เพราะฉลามวาฬยังหิวและยังไม่ได้กินอาหารเช้า ทำให้เห็นแบบใกล้ชิดได้มากกว่าไปตอนสายๆ ที่ฉลามวาฬอาจอิ่มและเผลอๆ อาจว่ายกลับทะเลไปแล้ว แต่ข้อเสียคือแสงแดดตอนเช้าอาจจะไม่แรงมากทำให้ถ่ายรูปออกมาไม่สวยเท่าไหร่
บังเอิญมากที่ข้างๆ รีสอร์ทเป็นจุดที่ชาวประมงจอดเรือและเตรียมอาหารให้ฉลามวาฬในตอนเช้าทุกๆ วัน ผมเลยลงไปพูดคุยและขอถ่ายรูป
อาหารของฉลามวาฬก็คือ krills หรือ เคอย (เป็นกลุ่มของกุ้งขนาดเล็ก ที่เรานำมาทำกะปินั่นเอง) อาหารจะส่งมาแบบนี้ตอนเช้าทุกวันแล้วชาวประมงก็จะแจกจ่ายไว้ตามเรือที่ให้อาหารสำหรับฉลามวาฬแต่ละลำ ส่วนเรือลำอื่นๆ ก็จะทำหน้าที่ในการรับส่งนักท่องเที่ยว
หกโมงเช้าก็ไปติดต่อกับทางรีสอร์ท แล้วทางรีสอร์ทจะออกใบเสร็จคร่าวๆ มาให้และพนักงานของรีสอร์ทจะเป็นคนนำเงินนี้ไปซื้อตั๋วกับทาง oslob whale shark watching center อีกที ซึ่งจะขายราคาเดียวกันทุกที่ครับ (อันนี้ไม่ต้องกังวลเรื่องโดนโก่งราคา)
Whale shark watching มี option ให้เลือกสองแบบด้วยกัน
- สำหรับการดำน้ำแบบ snorkel คือแหวกว่ายกับฉลามวาฬได้อย่างจุใจเลย ราคา 1000PHP (760 บาท)
- แต่ถ้าใครไม่กล้าลงน้ำหรือกลัวเปียก ก็นั่งอยู่บนเรือจะจ่ายในราคา 500PHP (380 บาท)
แน่นอนว่าผมเลือกแบบ option แรกครับ บินมาไกลเพื่อสิ่งนี้โดยเฉพาะ และมาทั้งทีจะให้นั่งอยู่เฉยๆ บนเรือได้ยังไง นอกจากนี้ยังมีให้เลือกแบบดำน้ำลึก scuba diving อีกแต่ผมว่าแบบ snorkel นี้เห็นชัดกว่าและได้ใกล้ชิดกว่ามาก
มาทำความรู้จักฉลามวาฬกันก่อนครับ
เจ้า 'ฉลามวาฬ' หรือ whale shark ( Rhincodon typus) เป็นปลาฉลามที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ไม่ใช่ (ปลา)วาฬ ที่เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วนนมน้าาา
ถึงแม้จะมีชื่อว่า 'ฉลาม' แต่กลับไม่ได้ดุร้ายตามชื่อนะครับ เป็นพี่ใหญ่ใจดีแห่งท้องทะเล มีปากขนาดใหญ่ก็จริง แต่อาศัยการกรองกินแพลงก์ตอนตัวเล็กจิ๋วเป็นอาหารผ่านซี่เหงือก เวลาจะกินทีนึงก็จะสูบน้ำเข้าไปเพื่อกรองแพลงก์ตอนเหมือนเครื่องดูดฝุ่นเลย ไม่มีฟันแหลมคมเหมือนฉลามทั่วไปอย่างที่เราเห็นในหนังเรื่อง JAWS ดังนั้นสามารถว่ายน้ำด้วยได้ ปลอดภัย ไม่โดนกัดแน่นอนครับ
ฉลามวาฬไม่ได้พบกันง่ายๆ นะ สำหรับใครที่ชอบดำน้ำลึกแบบ scuba จะรู้ดี การจะเจอฉลามวาฬนี่ขึ้นอยู่กับดวงล้วนๆ (มีชื่อในวงการดำน้ำว่า 'น้องจุด' คล้ายๆ น้องหมาพันธ์ดัลเมเชี่ยนแต่เป็นสีฟ้าแทน) แต่ฉลามวาฬที่นี่ แค่ลงไป snorkel ก็เจอแน่ๆ เพราะมันจะว่ายจากทะเลเข้ามากินอาหารที่ชาวประมงเตรียมไว้ให้ทุกเช้า พออิ่มก็ว่ายกลับไปในทะเลเหมือนเดิม
จริงๆ กิจกรรมที่ให้อาหารแก่สัตว์ที่อยู่อาศัยในทะเลหรือในธรรมชาติแบบนี้ไม่ถูกต้องและเหมาะสมเท่าไหร่นัก เพราะโดยปกติฉลามวาฬจะว่ายน้ำและมีการอพยพไปเรื่อยๆ แต่หากเรามาฝึกให้อาหารมันแบบนี้เท่ากับว่าเราไปเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตามธรรมชาติของมัน และจะไม่ทำให้เกิดการอพยพและส่งผลต่อการดำรงสายพันธุ์ต่อไปในอนาคตได้ มีนักวิชาการหลายคนไม่เห็นด้วยและมาประท้วงกิจกรรมนี้อยู่บ่อยๆ ประกอบกับการให้อาหารแบบนี้ ฉลามวาฬอาจได้รับการบาดเจ็บเพราะปากหรือส่วนของลำตัวกระแทกกับเรือที่ให้อาหาร ดังนั้นภาครัฐจึงเข้ามาควบคุม และแน่นอนรายได้ที่หลั่งไหลเข้ามาอย่างมหาศาล กิจกรรมนี้ก็ยังดำเนินต่อไปให้นักท่องเที่ยวได้มาชม แต่ก็แนะนำให้เพื่อนๆ ปฏิบัติตามกฏอย่างเคร่งครัดนะครับ
เอาจริงๆ ผมก็แอบรู้สึกผิดเล็กๆ เหมือนกันที่ไปสนับสนุนแบบนี้ แต่จุดที่หนึ่งผมโอเค ก็คือ อย่างน้อยที่นี่ก็ไม่ได้กักพวกมันไว้ในบ่อหรือล้อมรั้วไม่ให้มันกลับทะเล พวกมันได้ว่ายไปมาได้อย่างอิสระแต่จะแวะมาทาน breakfast เท่านั้นเอง - - "
Whale Shark Watching.. ในที่สุดฉันกับเทอก็ได้เจอกัน
หกโมงครึ่งนั่งรถของรีสอร์ทไปยัง Oslob Whale Shark Watching Center ที่อยู่ไม่ไกลจากรีสอร์ทมากเท่าไหร่ จากนั้นพนักงานของรีสอร์ทจะไปต่อแถวซื้อตั๋วให้เรา
เราก็มานั่งฟัง brief พนักงานจะบอกข้อปฏิบัติสำหรับกิจกรรมนี้ ว่าห้ามทำอะไรบ้าง
ที่สำคัญก็คือ ห้ามจับหรือสัมผัสกับฉลามวาฬ เป็นอันขาด และห้ามทา sunblock คือถ้าใครนั่งทาอยู่ตรงนั้นต้องไปล้างออกเลยไม่งั้นอาจโดนปรับและติดคุกได้เลยนะ เราควรปฏิบัติตามกฏอย่างเคร่งครัด
พอได้ตั๋วมารอเรียกตามเบอร์ ของเราได้เบอร์ 22 คือ คนเยอะมาก นี่ขนาดไปเช้าแล้วนะ พอเจ้าหน้าที่เรียกเบอร์ ก็จะแจกหน้ากากดำน้ำและเสื้อชูชีพให้แล้วก็ขึ้นเรือ (ไม่มีตีบกบให้ครับ)
เรือที่นั่งเป็นเรือแมงมุมที่เป็นเรือพายเล็กๆ มีคนพายหัวกับท้าย พายออกจากฝั่งไม่ไกลประมาณ 50-100 เมตรเอง ไม่น่าเชื่อว่าใกล้ฝั่งขนาดนี้จะมีฉลามวาฬรอคุณอยู่ตรงนั้น!
เรือจะไปจอดต่อแถวเรียงกันเป็นวงกลม และจะมีเรือที่ให้อาหารฉลามวาฬอยู่ตรงกลาง เจ้าฉลามวาฬก็จะว่ายตามเรือที่ให้อาหารไปเรื่อยๆ คอยอวดโฉมให้นักท่องเที่ยวได้ดูกัน
จำนวนของฉลามวาฬที่เข้ามาในแต่ละวันไม่แน่นอนครับ และขนาดของตัวก็แตกต่างไป บางวันก็เจอตัวที่โตเต็มวัย บางวันก็เจอตัวเล็ก หรือ ยังไม่โตเต็มวัยก็มี อันนี้แล้วแต่ดวงล้วนๆ
พอเรือถึงจุดที่ฉลามวาฬอยู่แล้ว ผมเห็นฉลามวาฬว่ายตามเรือที่ให้อาหาร นี่มันฉลามวาฬหรือหมาน้อยกัน ทำไมได้เชื่องแบบนี้... โอ้วพระเจ้า! แค่นี้ก็ตื่นเต้นสุดๆ แล้ว
จากนั้นคนเรือบอกให้ลงน้ำเลย ผมถอดชูชีพออกและรีบลงไปในน้ำทันทีเพราะอยากว่ายลงไปในน้ำแบบ free diving และน้ำตอนเช้าก็เย็นเหมือนกันนะ ผมเวลาไม่มากครับแค่ 20 นาทีเท่านั้น เป็นนาทีทองสุดๆ เลย แหวกๆ ว่ายๆ พยายามให้ได้มุมเซลฟี่กับน้องฉลามวาฬให้มากที่สุด อุปกรณ์สำคัญที่ห้ามพลาดเลยคือ 'กล้องกันน้ำ' ไม่งั้นไม่ได้รูปเซลฟี่กับน้องฉลามวาฬน้าาา
ถ้าใครว่ายไปใกล้ฉลามวาฬ เจ้าหน้าที่เรือจะคอยเตือน (บางทีคลื่นมันแรกมาก หรือฉลามวาฬว่ายมาเข้าใกล้เราเอง อันนี้ก็ต้องระวังกันหน่อน) ไปตอนเช้าแดดไม่แรง น้ำไม่ใสมาก ถ่ายรูปออกมาไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ แต่ก็โอเคครับ
ถ้าใครมาแนะนำให้เช่าตีนกบแถวนั้นมาก่อนเพราะจะช่วยผ่อนแรงได้มาก ส่วนใครว่ายน้ำไม่แข็งก็ใส่เสื้อชูชีพแล้วก็เกาะเรือเอานะ เรือก็จะเอนๆ ไปฝั่งเดียวกันถ้ามีคนเกาะเยอะๆ ตรงขาแมงมุม (แต่ไม่คว่ำนะครับ ไม่ต้องกังวลไป) โดยฉลามวาฬจะว่ายตามเรือที่ให้อาหาร
วันนี้เห็นประมาณ 4-5 ตัว ยังไม่โตเต็มที่ แต่แค่นี้ก็ถือว่าใหญ่แล้ว ผมดำน้ำลึกมาหลายครั้งไม่เจอสะที มีเจอที่นี่แบบเต็มๆ แล้วก็เยอะด้วย
20 นาทีผ่านไปอย่างรวดเร็วมาก ผมดื่มน้ำทะเลไปหลายอึกเหมือนกันเพราะไม่ได้ใส่ชูชีพและคลื่นแรงมาก แต่เพื่อภาพสวยๆ ก็ถือว่าคุ้มครับ จากนั้นก็กลับเข้าฝั่ง ยังมีเรือนักท่องเที่ยวทยอยๆ เข้ามาอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสายจนถึงช่วงก่อนเที่ยงก็หยุดให้บริการครับ เพราะฉลามวาฬอิ่มและว่ายกลับไปในทะเลกันหมดแล้ว ตรงศูนย์ฯ มีห้องน้ำคอยให้บริการด้วย แต่เรากลับไปอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อที่รีสอร์ทดีกว่า
แวะชอปปิ้งเล็กน้อยที่ร้านขายของที่ระลึกด้านหน้า ได้พวกกุญแจฉลามวาฬมา 3 ชิ้น ในราคา 100PHP ถือว่าเป็นของฝากที่น่ารักและราคาไม่แพงด้วย
ฟิลิปปินส์ก็มีมะม่วงนะเออ... (ขาดแต่ข้าวเหนียว)
ปรากฏรถรถที่รีสอร์ทมาส่งหายไปไหนไม่รู้ ก็เลยตัดสินใจเดินกลับเอง ระหว่างทางมีรถขายมะม่วงจอดขายพอดี คนขายบอกว่าเอามาจาก Negros คือเกาะด้านล่างของเซบู มะม่วงที่นี่อ้วนๆ สั้นๆ ป้อมๆ มะม่วงเป็นอีกหนึ่งผลไม้ที่ได้รับความนิยมของชาวฟิลิปปินส์และนักท่องเที่ยว หาทานได้ทุกที่ ราคาถูก
ที่นี่จะนิยมทานเมื่อมะม่วงสุกแล้วมากกว่าทานดิบ และจะทานเป็นของตบท้ายหลังจากทานอาหารคาวเสร็จ ดังนั้นจะเห็นมะม่วงวางไว้อยู่ทุกร้านขายอาหาร นอกจากนี้ยังนิยมเอามาปั่นทำเป็นน้ำผลไม้ ไว้ดื่มให้ชืนใจจากอากาศร้อนๆ ของฤดูร้อนแบบนี้ สนนราคาไม่แพงเลยครับ โลละ 40PHP (30 บาท) เท่านั้นเอง
จากนั้นก็ไปอาบน้ำ ทานมื้อเช้า (ที่ใช้พลังงานหมดไปกันการว่ายน้ำกับฉลามวาฬ) แล้วเก้าโมงเช้าก็มาติดต่อรีสอร์ทเพื่อที่จะซื้อทัวร์ไปเกาะ Sumilon โดยเกาะนี้จะจำกัดนักท่องเที่ยวในแต่ละวันด้วยนะครับ ดังนั้นให้ติดต่อกับทางโรงแรมไว้แต่เนิ่นๆ จะดีกว่า ราคาทัวร์เท่ากันทุกที่เหมือนของฉลามวาฬครับ คือ 1500PHP (1140 บาท) ซึ่งรวมค่าเรือไปกลับ อาหารเที่ยงบนโรงแรม และสามารถใช้ facility ทุกอย่างของโรงแรมได้เหมือนนักท่องเที่ยว
ออกเดินทางสู่ Sumilon Island!
09.00 น. ทางรีสอร์ทก็มาส่งพวกเรายังท่าเรือของ Bluewater Sumilon Island Resort ซึ่งอยู่ห่างกันไม่ไกลสักสิบนาทีเอง ถ้าใครจะไปพักบนเกาะก็ได้ คืนละห้าพันถึงเกือบหมื่นเบาท ราคาสู้ไม่ไหวจริงๆ สำหรับเรานักท่องเที่ยวงบน้อยเอาแบบไป one day tour ละกัน
พอมาถึงท่าเรือ เราก็ไปจ่ายเงินที่นั่นได้เลย มีเจ้าหน้าที่ของรีสอร์ทคอยให้บริการ แล้วก็ฟัง brief เหมือนเดิม
ในแต่ละวันมีเที่ยวเรือหลายรอบเหมือนกันให้เลือกทั้งขาไปและขากลับ แต่เราเลือกที่จะขึ้นรอบ 09.30 น. และกลับรอบสุดท้าย จะได้มีเวลาอยู่บนเกาะนานๆ หน่อย
ระหว่างรอขึ้นเรือ มีมุมถ่ายรูปตรงสะพานไม้ที่ท่าเรือ ทะเลสวยมากอะนี่แค่ยังไม่ขึ้นเกาะนะ เลยจัดมาหลายรูป
พอ 09.30 น. เรือจากรีสอร์ทก็มารับนักท่องเที่ยวพอดี เดินไปขึ้นเรือแมงมุมกันครับ
ใช้เวลาเดินทางไม่นาน สัก 20 นาที บนเรือขาแมงมุม ก็ถึงเกาะครับ
ทุกคนต่างฮือฮาในความใสของน้ำทะเลที่นี่ ที่ไม่น่าเชื่อว่า เกาะที่อยู่ใกล้ขนาด น้ำทะเลอะไรจะใสเบอร์นี้... พี่อดใจไม่ไหวแล้วววววว
มีพนักงานของโรงแรมมาต้อนรับอย่างอบอุ่นเสมือนเรามาเป็นแขกที่มาพักเอง จากนั้นเราเดินไปรับหน้ากากดำน้ำกันก่อนซึ่งรวมอยู่ในแพคเกจแล้ว
เดินไปหาทะเลแหวก.. แจกความ(น้ำ)ใส
ได้หน้ากากดำน้ำเสร็จ ก็เดินไปยังด้านสุดตะวันตกของเกาะเพื่อไปยังทะเลแหวก หรือ sandbar ของเกาะกันก่อน
ซึ่งบริเวณทะเลแหวกนี้จะเป็นที่สาธารณะที่ใครต่อใครก็สามารถมาเที่ยวได้ คนจะวุ่นวาย แต่เราซื้อแพคเกจแบบวันเดย์ของทางรีสอร์ทมา ดังนั้นจะมีเจ้าหน้าที่ของรีสอร์ทคอยตรวจตราไม่ให้คนนอกเข้ามายังเขตรีสอร์ท (คือพนักงานที่ตรวจตราทุกคนมีปืน เหอๆๆ)
เราวางของไว้ตรงซุ้มภายในรีสอร์ทแล้วก็ไปถ่ายรูปกับทะเลแหวกกันก่อน
น้ำทะเลที่ใสโคตรๆ สันทรายที่แหวกขึ้นมาแต่ไม่ยาวเท่ากระบี่บ้านเรา มันช่างดึงดูดใจอะไรเช่นนี้
ไปตามหานีโม่และผองเพื่อนกัน!
แอคท่าถ่ายรูปบนทะเลแหวกสักพัก จากนั้นก็กระโดดคว้าหน้ากากดำน้ำ ตีกรรเชียงว่ายน้ำไปทางด้านซ้ายมือของแนวทะเลแหวก เพียงไม่กี่เมตรก็ถึงแนวอนุรักษ์ปะการังน้ำตื้นซึ่งกว้างมาก (ขอย้ำว่ากว้างมากกกกกกกกกกกกกกกกก)
คือจะบอกว่าปะการังที่นี่ดีงาม และสมบูรณ์มาก ปลาทะเลก็ว่ายมาทักทายนักท่องเที่ยวกันอย่างไม่ขาดสายเลย
น่าแปลกใจที่คนไม่ค่อยมา snorkel กันแถวนี้สักเท่าไหร่ ผมเลยว่ายเต็มที่เลย โคตรจะส่วนตัวอะ แหวกว่ายไปเรื่อยๆ จะ finding nemo หรือ dory ก็เอาให้เต็มที่ครับ
จะดำน้ำนานเท่าไหร่ก็เอาให้คุ้มเลยครับ เรากำหนดเวลาเอง คือดำน้ำตื้นเพลินจนลืมดูเวลาไปเลย ก็น้ำทั้งใส ปะการังสวยขนาดนี้..
ทานมื้อเที่ยงกับวิวหลักล้าน!
หมดแรงไปกับการดำน้ำ เสร็จก็เดินกลับจากทะเลแหวกเพื่อไปทานเที่ยงของทางรีสอร์ทชิวๆ ริมทะเลกันต่อ
คืออาหารมีให้เลือกหลากหลาย เริ่มตั้งแต่ อาหารเรียกน้ำย่อย อาหารคาว หวาน ผลไม้ จัดมาเต็มมาก และสำคัญคือเป็นบุฟเฟ่!
อาหารก็โอเคนะ รสชาดใช้ได้ ไม่น่าเกลียด แต่ผมทานบรรยากาศมากกว่า คือวิวดีมากอะ นั่งชิวๆ ไปเพราะโดดแดดเผาที่ทะเลแหวก แสบผิวไปหมด ณ จุดนี้
ทานเสร็จผมก็เดินเล่นๆ ไปจนสุดเกาะ น้ำทะเลฝั่งนี้ใสเหมือนตอนที่นั่งเรือมาเลย มีทั้งสีฟ้า สีเขียว สีน้ำเงิน ไล่ตามระดับความลึกของทะเล ลมก็ดี แต่แดดจ้าไปหน่อย (ไม่หน่อยนะ)
นอกจากนี้มีมุมเล็กๆ ให้แอบงีบได้ ไม่ว่าจะนอนเปล หรือ นอนในกระท่อม ลองคิดดูครับถ้าได้งีบหลังทานข้าวเที่ยงมาใหม่ๆ น่าจะฟินที่สุดแล้วแหละ
ถ้าใครอยากจะพายเรือคายักก็ฟรีนะครับ เพราะรวมอยู่ในแพคเกจแล้ว ตรงนั้นจะมีบ่อน้ำ (หรือคลอง) ให้พายเรือได้ แต่ไม่มีใครพายเลย 555 สำหรับผมขอบาย ไม่ใช่แนว...
เลยเดินกลับไปว่ายน้ำเล่นต่อดีกว่า..
Cool down ที่ Infinity Pool
ท้องอิ่มแล้ว ตอนบ่ายๆ แวะมา cool down ด้วยการว่ายน้ำใน สระว่ายน้ำแบบไร้ขอบเขต หรือ infinity pool ของ Bluewater Sumilon Island รีสอร์ท ที่เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ "must do" เลยทีเดียว
โดยหากเราซื้อแพคเกจวันเดย์ เราจะสามารถใช้ facility ของรีสอร์ทได้ทั้งหมดเสมือนหนึ่งป็นแขกที่มาพักรีสอร์ทจริงๆ คือมันดีอย่างนี้นี่เอง...
Infinity pool ที่นี่เป็นสระว่ายน้ำจืดที่สามารถชมวิวทะเลได้แบบ 180 องศา แบบไม่มีอะไรมาบดบังวิวสวยๆ เบื้องหน้า เห็นสระแบบนี้ อดใจไม่ไหวแล้ว กระโดดลงน้ำ แล้วลองว่ายไปให้สุดขอบสระแบบไม่ต้องมีอะไรมาบดบัง
ค่อยๆ หลับตาลง แล้วใช้หูฟังเสียงของคลื่น
สูดกลิ่นอายทะเลที่บริสุทธิ์
"มีเวลาให้หัวใจกับสายลมได้ทักทาย
เปิดโอกาสให้แสงแดดและร่างกายได้พบกัน.."
พร้อมกับโพสต์ท่าสวยๆ ถ่ายรูปแล้วอัพลง social media อวดเพื่อนๆ ให้อิจฉาเล่น
หรือถ้าใครอยากลงสระจากุซซี่ก็มีไว้บริการอยู่ด้านล่างของสระ Infinity pool อีกที สระจากุซซี่เห็นวิวทะเลเหมือนกัน คือ relax ได้แบบสุดๆ เลย ว่ายน้ำเสร็จทางรีสอร์ทจะมีผ้าเช็ดตัวคอยให้บริการฟรีคนละหนึ่งผืน
ส่วนเพื่อนผมสองสามีภรรยา หนีไปใช้บริการนวดสปา 1 ชั่วโมง โดยทางรีสอร์ทก็มีไว้ให้บริการในกระท่อมส่วนตัวที่เห็นวิวทะเลด้านหน้าเช่นกัน (แต่ต้องจ่ายเพิ่ม ราคาไม่แพงมาก)
ผมก็มางีบหลับรอริมขอบสระ ตื่นมาอีกทีก็สี่โมงกว่าละ เปลี่ยนชุดแล้วก็เตรียมตัวกลับ
ลาก่อน Sumilon Island ..
ถึงแม้จะยังอยากอยู่ที่เกาะต่อ แต่เรือรอบห้าโมงเป็นรอบสุดท้าย ก็เลยจำใจต้องจากลาเกาะแห่งนี้ ก่อนกลับให้ไปรับ boarding pass ก่อนที่ reception เราขึ้นเรือรอบห้าโมงเย็นกลับ
มีพนักงานของโรงแรมมาโบกมือเพื่อล่ำราแขกผู้มาใช้บริการอย่างพวกเรา ใช้เวลาเท่าเดิมคือ 20 นาทีก็มาถึงฝั่งสักห้าโมงครึ่ง
จากนั้นเราก็เดินกลับรีสอร์ท นั่งดูพระอาทิตย์ตก จริงๆ ที่เซบูนี่ ดูพระอาทิตย์ขึ้นก็สวย พระอาทิตย์ตกก็สวย แถมกลางคืนยังเห็นดาวชัดเจนหลายดวงเลย..
คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายที่เราจะพักที่ Brumini Resort
เพราะพรุ่งนี้ต้องออกเดินทางเพื่อไปเกาะ Panglao และ Bohol ต่อแล้ว..
to be continued..
ไว้เดี๋ยวผมมาต่อ 'ตอนสาม' (ตอนสุดท้าย) นะครับ
Ep.3 ǀ เกาะ Panglao และ เกาะ Bohol (One day trip)
(เอาภาพมาเรียกน้ำย่อยสำหรับตอนต่อไปครับ)
.
.
.
^____^
ขอบคุณสำหรับการติดตาม
หาเงินก็หาไป.. แต่อย่าลืม "หาเวลา" ให้ตัวเอง
~ Hungry Traveller
รีวิวสถานที่ท่องเที่ยวที่ผ่านมา by Hungry Traveller
[[เสม็ดนางชี]] ที่นี่.. กับ Panoramic view ของอ่าวพังงาแบบจุใจ : https://th.readme.me/p/2372
[[[ เ ก า ะ ต า ชั ย . . ช่ายยยยยยยยเลย ]]] :
https://th.readme.me/p/2405
เทกาย . ทิ้งใจ . ไว้ทีนี่.. [[ สิมิลัน ]] : https://th.readme.me/p/2542
สิงคโปร์ไม่ได้มีแค่สิงโตพ่นน้ำ ตอนที่ 1 :: Underground Crossing ที่ Fort Canning Park : https://th.readme.me/p/2459
สิงคโปร์ไม่ได้มีแค่สิงโตพ่นน้ำ ตอนที่ 2 :: Lone tree ที่ Upper Seletar Reservoir Park : https://th.readme.me/p/2672
สิงคโปร์ไม่ได้มีแค่สิงโตพ่นน้ำ ตอนที่ 3 :: วิวแพงแบบไม่ซ้ำใครที่ใต้สุดอ่าวมารีน่า.. กับ Marina Barrage Cove https://th.readme.me/p/2794
Cebu, Philippines เกาะนี้มีดีอะไร ?? :: https://th.readme.me/p/3271
Ep.1 ǀ Cebu, Philippines ฟินส์จนต้องหลงรักที่ระดับน้ำทะเล (3 เกาะ 6 วัน 5 คืน กับงบ 19,xxx) ǀ ไปมันส์กับ Canyoneering กันเถอะ! :: https://th.readme.me/p/3734
Hungry Traveller
วันเสาร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2559 เวลา 23.35 น.