15th October 2021


เพราะคำว่า "เมืองผ่าน" สำหรับเรา "เวียงป่าเป้า" เป็นได้แค่นั้นจริง ๆ ที่ผ่านมา
แม้จะวิ่งเชียงใหม่ - เชียงรายเพื่อกลับบ้านปีละ 2 - 3 ครั้งตลอด 20 กว่าปีที่ผ่านมาเวียงป่าเป้าไม่เคยได้ขยับเป็นเมืองพัก เมืองเที่ยวสำหรับเราและครอบครัวบ้างเลย

ทริป "ปิดเทอม" ที่สองคราวนี้ เราทำให้การข้ามเขาจากเชียงใหม่มาเชียงรายสำเร็จจนได้ วิ่งบนถนนเอเชีย 118 สู่เวียงป่าเป้าโดยตั้งเป้าว่าจะเที่ยวให้ทั่ว  ไม่ก็ให้เยอะที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่ข้ามอำเภอ และไม่ออกนอกเขตไปไหน  และก็ดันพายุเข้าพอดี มันทำให้อากาศในทริปนี้ "ดี" คูณสอง  แม้จะต้องเพิ่มความระมัดระวังในการเดินทางขึ้นอีกเท่าตัวก็ตาม



ตามแพลนที่วางไว้คร่าว ๆ เอามาก ๆ
เราปรับเที่ยวในร่มตามสภาพฝนที่ตกปรอย ๆ หมอกหนาที่เห็นจนชินตาตลอดทางที่ขับผ่าน ๆ มาทำให้พับที่เที่ยว outdoor ไว้ในช่วงเช้าไว้ก่อน


ถึงเวียงป่าเป้าเข้าแม่ขะจานที่สามแยกไปวังเหนือ ที่หมายแรกของเราเพื่อเที่ยวหลบฝน



วัดพระยอดขุนพลเวียงกาหลง


วัดพระยอดขุนพลเวียงกาหลงอดีตเดิมได้ดำเนินการก่อตั้งขึ้นอยู่บนเนื้อที่เขตติดต่อของที่พักสงฆ์ป่าอุดมธรรม ตำบลวังเหนือ อำเภอวังเหนือ จังหวัดลำปาง ทางคณะศรัทธาได้มอบพื้นที่ดังกล่าวถวายแด่พระเดชพระคุณ พระอาจารย์ธรรมสาธิต เวียงกาหลง สภาพพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ทำการเกษตรของชาวไร่ชาวนา และยังมีร่องรอยที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ของเมืองเวียงกาหลงเก่า ไม่ว่าจะเป็นเตาเผาโบราณ เศษกระเบื้องเคลือบ ซึ่งแสดงออกถึงวัฒนธรรมประเพณีและร่องรอยทางประวัติศาสตร์ ที่พักสงฆ์ป่าอุดมธรรมจึงมีสภาพทางภูมิศาสตร์ เห็นว่าเป็นสถานที่เหมาะสมกับการที่จะบำเพ็ญ ปฏิบัติธรรม บนเนื้อที่ที่มีหุบเขาล้อมรอบ มีสายน้ำลำธารไหลผ่านอุดมสมบูรณ์และพื้นที่ทั้งหมดบางส่วนอยู่ในพื้นที่เขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าขุนวังแม่ป้ายแปลงที่ 3 อำเภอวังเหนือ จังหวัดลำปาง
ดังนั้นพระเดชพระคุณพระอาจารย์ธรรมสาธิต เวียงกาหลง จึงได้ริเริ่มดำเนินการสร้างสรรค์ปรับภูมิทัศน์ พัฒนาสถานที่ ตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2536 เป็นต้นมา ให้เป็นสถานที่พักอาศัย ปฏิบัติธรรม บำเพ็ญธรรมจัดสถานที่เป็นแหล่งเรียนรู้ศึกษาดูงาน เรื่องราวอุทยานธรรมพระพุทธเจ้า 5 พระองค์และแปลงสาธิตการเรียนรู้ในเรื่องภาคการเกษตรอินทรีย์ทั้งยังจัดกิจกรรมการเรียนรู้พื้นที่อนุรักษ์ป่าต้นน้ำลำธาร และปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติ

เครดิต : https://chiangrai.mots.go.th/news_view.php?nid=1192
(อ่านประวัติฉบับเต็มได้ที่เว็บนี้เลยค่ะ )




ฝนปรอย ๆ อย่างนี้
วิวด้านล่างก็สวยไปอีกแบบนะคะ




อากาศอย่างนี้

การจิบชากาขาว OTOP ของที่นี่เป็นสิ่งที่ไม่ควรพลาด
เราตามไปที่ไร่ชาค่ะ เจอคนที่ทำงานข้างในมาต้อนรับแต่เพราะฝนตกอย่างนี้ทำให้การเก็บชาเป็นอันงดในวันที่เราเยือน
พี่คนงานผู้ชายแนะนำเราไปที่ศูนย์วัฒนธรรมเวียงกาหลง แล้วแวะชิมชากาขาวได้ที่สหกรณ์




ด้วยความอยากลองจิบชากาขาว
เราตามไปที่สหกรณ์ในศูนย์วัฒนธรรมเวียงกาหลงซึ่งอยู่ในบริเวณใกล้ ๆ กัน ที่สหกรณ์จำหน่ายทั้งชากาหลง ยาสมุนไพร OTOP และเครื่องปั้นดินเผาเวียงกาหลงที่สืบทอดกันมากว่าร้อยปีค่ะ



##ปล.
หากใครสนใจเครื่องปั้นดินเผาและรายละเอียดที่ลึกกว่านี้ลองไปที่พิพิธภัณฑ์เวียงกาหลงได้นะคะ



หลังได้ยา และ ของฝาก ของกินเล่นที่สหกรณ์
เวลายังเหลือ เราเลือกที่จะขับไปอีก 14 กม.เพื่อจุ่มเท้าในบ่อน้ำร้อน


(เครดิตรูปภาพ : https://www.tambonbanpong.go.th/travel_detail.php?id=4 )



บ่อน้ำพุร้อนทุ่งเทวี


น่าเสียดายที่เพราะโควิดบ่อน้ำร้อนที่นี่ปิด และสูบน้ำออกจากสระจนหมดค่ะ
เราได้เบนเข็มมาแช่เท้าในบ่อน้ำร้อนของเอกชนที่อยู่ติด ๆ กันกับบ่อน้ำร้อนทุ่งเทวีอย่างทัยทิพย์ออนเซนแทน

มีบริการทั้งแบบห้องส่วนตัวและแช่เท้าที่โซนด้านนอก
เราเลือกเซฟตัวเองด้วยการแช่เท้าก็พอ อัตราค่าบริการ 20 บาท/คน




เลยเที่ยงแล้ว

เราออกจากทุ่งเทวีเพื่อวิ่งบนถนนเอเชียอีกครั้งหาข้าวกิน มีหลายร้านให้เลือก
แต่เราปักหมุดกลับรถไปที่เดิม บ้านปลายนาเวียงกาหลง
ใกล้ ๆ กับวัดยอดขุนพลที่เพิ่งแวะไป



ปล่อยให้ครอบครัวเลือกอาหาร เพราะดูคิวแล้วเราต้องรอนานแน่เลยค่ะ
ลูกค้าเต็มร้าน
เราเดินไปที่ซุ้มกลางนา เพราะฝนทำท่าหยุดตกแล้วและไม่แน่ใจว่าจะมาอีกเมื่อไหร่ ไปเอารูปไว้ก่อนระหว่างรออาหาร
ที่ซุ้มกลางนาเราเจอสิ่งนี้ "คิดถึง" เนาะ





"เศรษฐกิจพอเพียง"





ตากล้องสั่งอาหารเสร็จแล้ว
ตามมาถ่ายรูปให้





ชมทุ่งทั่วแล้ว
กลับโต๊ะเพื่อรออาหารค่ะ เราเจอสิ่งนี้ได้ของกลับบ้านเยอะเหมือนกัน
สินค้าสด ๆ จากสวนที่เราเพิ่งไปเดินมา









เก็บรูปอาหารได้อย่างเดียวเอาจริง เรารออาหารนานเหมือนกันนะ
หิวจนไม่อยากเสียเวลาถ่ายรูป T.T




บ่ายกว่า ฝนทิ้งช่วง
ได้เวลา outdoor บ้างแล้ว

พาโมเสสไปให้อาหารปลาที่วังมัจฉากันค่ะ อ่านป้ายตลอดเวลาขับผ่าน
นี่เป็นครั้งแรกที่แวะในรอบสองทศวรรษที่ขับผ่านเรื่อยมา


ทางเข้าวังมัจฉา เขื่อนดอยงู
มันก็ฟินประมาณนี้ สองข้างทางเรียงรายไปด้วยต้นสนเขียวสดหลังม่านสนมีวิวด้านล่างที่สวยสดไม่แพ้กันในช่วงหน้าฝน
(เราเก็บรูปขาออกนะคะ)








วังมัจฉา

ให้อาหารปลา ดูหมูป่า ดูงูเหลือม










จากวังมัจฉาไปเขื่อนดอยงูแค่ 1 กม.
แต่เรากลับเลือกไม่แวะเพราะคุณแม่เริ่มปวดขา T.T
วกรถกลับที่ยูเทิร์นเพื่อขับกลับเชียงใหม่ ระหว่างทางเจอวัดแม่เจดีย์ครูบาดวงเด่น
เราคิดว่าเราเข้าผิดวัดแหล่ะ เพราะชื่อดันคล้ายกัน แต่แม่ก็เอ็นจอยที่แวะวัดนี้น่ะ




ครูบาฯมาต้อนรับกรุ๊ปเราอย่างดี


ขากลับไม่แวะซื้อของพวกนี้ไม่ได้




อีกร้านกาแฟที่ไม่เคยแวะ
พอแวะแล้วถึงรู้ว่ากาแฟดี แถมวิวดีอีกนี่นา




ออกจากเวียงป่าเป้าเข้าสู่ อช.ขุนแจฝนเริ่มลงเม็ด
แน่นอนว่าม่านหมอกฝนกลับมาร่วมทางเราอีกครั้ง สวย
เราแวะดูลานกางเต้นท์ที่ขุนแจค่ะ อืมหืม อยากให้เข้าหนาวเร็ว ๆ

เที่ยวเมืองผ่านรอบนี้ ทำให้เห็นเวียงป่าเป้าต่างไปจากเดิม
ระหว่างทางที่เอาแต่เหยียบ ๆ ให้ถึงบ้านไว ๆ รอบนี้ไม่ใช่อย่างนั้นแล้วล่ะ การแวะไม่ได้หมายถึงการเสียเวลาเสมอไป






ขอบคุณที่แวะมา

Mariabamboo

 วันอาทิตย์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2564 เวลา 17.51 น.

ความคิดเห็น