(ต่อ) ไปเที่ยวขอนแก่น Ep.2/2 (ตอนจบ)
หลังจากเดินทางมาถึงขอนแก่นเมื่อวันที่ 10 ช่วงเย็นได้ไปยังตลาดต้นตาล
ไปสักการะศาลหลักเมืองขอนแก่นและไปทำบุญสังฑทานและเดินชมความสวยงามของพระธาตุแก่นนครแล้ว หากใครยังไม่ได้อ่านเรื่องราวตอนข้างต้น สามารถย้อนกลับไปอ่านที่เที่ยวของเราได้ตามลิงค์นี้เลย
>> https://th.readme.me/p/39427<<
ไปเที่ยวของแก่น Ep. 1/2
9. ไตรภพ
รสพระธรรมยังกินใจเราจึงต้องขับต่อไปอีกประมาณ 10 นาทีเพื่อจะพบกับ “วัดทุ่งเศรษฐี” ที่มีมหารัตนเจดีย์ศรีไตรโลกธาตุ หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า “มหาเจดีย์รัตนะ” ตั้งอยู่กลางบ่อน้ำเห็นเด่นชัดมาแต่ไกลเป็นไฮไลท์ของที่นี่ เพราะองค์เจดีย์มีศิลปะและสถาปัตยกรรมแบบผสมผสานในรูปแบบนานาชาติ สะท้อนถึงความเชื่อต่าง ๆ ทั้งสามโลกผ่านองค์เจดีย์ทั้ง 3 คือเจดีย์จุฬามณีบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ นครเจดีย์ในนาคพิภพ และมหารัตนเจดีย์ศรีไตรโลกธาตุบนโลกมนุษย์
เมื่อเราเดินผ่านสะพานที่ทอดข้ามเข้าไปที่องค์เจดีย์ ก็จะพบหลวงปู่ดำหรือ พระพุทธนีลวรรโณศีโลทรัพยุดม ที่ประดิษฐานอยู่ด้านใน หากสังเกตดี ๆ ตามบานกระจกที่หน้าต่างจะมีภาพคำสอนทางพระพุทธศาสนา ที่มีการนำเรื่องราวสมัยใหม่มาเปรียบเปรยกับหลักธรรมทำให้เข้าใจและเข้าถึงได้ง่าย และด้านใต้ของมหาเจดีย์ยังมีห้อง “ปริศนาธรรมวงศ์ไวศยวรรณ” ที่มีภาพแสดงปริศนาหลักธรรมคอยย้ำเตือนจิตใจให้มนุษย์ยึดถือในความดีอีกด้วย
10. วัดใจ วัดดวง
เหรียญยังมี 2 ด้าน มีคนรวยมีคนจน มีสีดำก็มีทั้งขาว มีกลางวันมีกลางคืน ที่พักก็คงเช่นกันมีทั้งดีและ...แต่เพราะช่วงนี้เป็นช่วงรับปริญญา ฯ และเป็นวันหยุดยาวติดต่อกัน 3 วัน ที่พักส่วนใหญ่เต็มหมด แล้วยิ่งแบบ 1 ห้อง 4 คนหรือห้องครอบครัวนี้ไม่ต้องพูดถึง โรงแรมแห่งนี้ตอนจองผ่านช่องทางออนไลน์ก็เหลือเพียงห้องสุดท้ายแล้วด้วย (เสียดายโรงแรมแรกเราจองได้เพียงแค่คืนเดียว) ดังนั้นสำหรับคืนนี้ ที่พักเรามีชื่อ 2 พยางค์ ชื่อเหมือนภาพยนต์ต่างประเทศเรื่องหนึ่งและตัวอักษรแรกคือตัว A ห่างจากมหาวิทยาลัยขอนแก่นประมาณ 15 นาที
เมื่อถึงฟอนต์ความประทับใจแรกแบบ first impressions ก็เกิดขึ้น ในขณะที่กำลังติดต่อเพื่อเช็คอินท์ก็มีลูกค้าที่เข้าพักอยู่ก่อนเดินออกมาจากจากลิฟต์ พร้อมกับพูดกับพนักงานว่า “น้องครับแอร์ห้องพี่ไม่ติดอะครับ” พวกเราถึงกับมองหน้าพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย และยังไม่ทันที่จะได้ฟังคำอธิบายโทรศัพท์ก็ดังขึ้น พร้อมกับคำที่น้องพนักงานพูดตอบปลายสายไปว่า เดี่ยวหนูไปเปลี่ยนหลอดไฟให้นะคะ...
11. คุณเชื่อเรื่องที่มองไม่เห็น บ่
ห้องสี่เหลี่ยม 2 ห้องที่แค่เจาะประตูเชื่อมเข้าหากันแบบไม่มีระเบียง แปลงเป็นห้องแบบครอบครัวพักได้ 4 คน เราได้มาในราคาเท่ากับโรงแรมที่แรกแต่ให้ความรู้สึกเหมือน (หน้ามือกับหลัง...) TV มีรีโมทให้ 1 อันใช้ด้วยกัน 2 ห้องแถมถ่านก็หมดต้องร้องขอให้มาเปลี่ยน เพิ่มความเข้มข้นเพิ่มไปอีกกับเรื่อง คีย์การ์ดแบบเสียบเพื่อให้ระบบไฟฟ้าในห้องใช้การได้ โดยคีย์การ์ดใช้ห้องละหนึ่งอัน แต่พอดีอีกอันหนึ่งพอเสียบไปสักพักแล้วก็ตัด แจ้งน้องพนักงานไปน้องที่แสนน่ารักตอบกลับมาว่า“ยังไงพี่คอยสลับกันระหว่าง 2 ห้องนะคะ” เราก็แบบเดี่ยว ๆ ครับน้องผมต้องเดินสลับกันอย่างงี้ทั้งคืนหรือป่าวครับเนี่ย
เถียงกันจนนางยอมเปลี่ยนให้อันใหม่มา และตามสูตรเรื่องเก่ายังพูดไม่ทันขาดคำจังหวะซิทคอมก็เกิดขึ้น เสียงระเบิดดังตูม คัทเอ้าท์ดีดฉับ !! ไฟตก แอร์ตัด ทุกอย่างก็อยู่ในความมืดมึด มีเพียงหน้าจอทีวีที่วูบวาบ ๆ เห้ย !!! อะไรกันครับเนี่ย นี่ถ้าไม่รู้ว่าไฟไม่พอหรือไฟตัดก่อนหน้านี้ คิดว่าผีจริง ๆ แล้วนะ ประเด็นคือที่พักที่อื่นก็เต็มไปหมดแล้วและค่าห้องก็ตัดบัตรไปแล้วด้วย เฮ้อ...ทำไมเราต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วยเนี่ย โอเคคืนเดียว ครั้งเดียว เดี่ยวพรุ่งนี้ก็เช้าแล้ว... (แต่ถ้าไม่คิดอะไรมากกับเหตุการณ์ accident พนักงาน หรือการเอาไปเปรียบเทียบกับที่อื่น เราว่าก็สามารถนอนได้ไม่มีปัญหาอะไร)
12. เจ้หงส์ โจ๊ก จั๊บ เส้น
เครียดกับห้องพักและน้องพนักงาน ไม่แน่ใจว่าเพราะโมโหหิวด้วยไหมนะ ตกลงกับสมาชิกว่าพวกเราต้องออกไปเปลี่ยนบรรยากาศหน่อยดีกว่า ร้านมื้อเย็นที่เราเลือกมาคือ “เจ๊หงส์ โจ๊ก จั๊บ เส้น” เปิดช่วงตอนเย็นเห็นมีรีวิวว่าต้องมา เราก็ลองไป จัดการสั่งเมนู มาม่าตีนไก่ ต้มเส้น แล้วก็วุ้นเส้นตีนไก่มา (ไม่รู้ว่าแต่ละเมนูเรียกชื่อถูกไหม) ทางร้านแถมน้ำซุปที่มีโครงไก่เปื่อย ๆ มาให้ฟรีด้วย 1 ถ้วยใหญ่ เลยขอถ้วยเปล่ามาแบ่งกันกินจะได้ชิมได้หลากหลายเมนู
สำหรับเราว่ารสชาติน้ำซุปกับโครงไก่ที่แถมฟรีมาอร่อยเลย ส่วนเมนูอันอื่นรสชาติจะออกหวานนิด ๆ แต่ถ้าเอามาปรุงตามใจชอบแล้วน้ำซุปกลมกล่อมอร่อยดีเลยทีเดียว (พริกที่ร้านเผ็ดมาก) และเมนูเส้นจั๊บนี่เราว่าอร่อยสุดเส้นสีขาว ๆ นุ่ม ๆ เด้งในปากดี เหมือนเส้นอุด้งที่เอามาใส่ในก๋วยจั๊บญวน (เพราะเราว่าไม่เหมือนเส้นก๋วยจั๊บญวนแถวบ้านเรา) อิ่มท้องสบายใจจบไปกับมื้อเย็นที่อารมณ์ยังไม่เย็นดี
13. เช้าวันใหม่กับวิถีที่เรียบง่าย
ตื่นตี 5 พาร่างออกจากโรงแรมที่มีไว้แค่นอน อุณหภูมิข้างนอกประมาณ 16 องศากำลังเย็นสบาย แต่ถ้าหากได้นอนต่อในที่สบาย ๆ ก็คงดี (พอ ๆ เลิกบ่นได้แล้ว) แผนเช้าวันนี้เราจะขับรถไปประมาณ 1 ชั่วโมงเพื่อจะได้พบเจอกับสถานที่เป็นธรรมชาติบ้าง และจุดหมายของเราคือ “จุดชมวิวหินช้างสี อุทยานแห่งชาติน้ำพอง” ตลอดเส้นทางที่เราไปจากวิถีเมืองค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นวิถีชนบทอย่างเห็นได้ชัด
สองข้างทางเป็นสวน ไร่ นาข้าว ทำให้รู้สึกสดชื่นสบายตาขึ้นมาได้ไม่น้อย หากผ่านชุมชนจะพบผู้เฒ่าคุณตา คุณยาย ออกมานั่งอยู่เรียงรายตามหน้าบ้าน มีกระติ๊บข้าวเหนียวพร้อมกับข้าวและดอกไม้เหมือนกำลังจะรอใส่บาตร (อันนี้เราเดา) ลมเย็นพุ่งประทะใบหน้าตอนลดกระจกลงกลิ่นของดินชื้น ๆ ฝางข้าวเปียก ผสมกับกลิ่นของควันไฟที่เห็นลอยจาง ๆ จากตามบ้านเรือนที่น่าจะเริ่มหุงหาอาหารกัน ทำให้รู้สึกผ่อนคลายอย่างน่าประหลาด
14. ธรรมชาติแรก
เบื้องหน้าคือแผ่นน้ำขนาดมหิมาของเขื่อนอุบลรัตน์ที่จับกับสีส้มตรงขอบฟ้าไกลสุดลูกหูลูกตา จุดหมายที่เรายืนอยุ่คือ “จุดชมวิวหินช้างสี” ตรงนี้เรียกว่า “ผาหมื่น” หินขนาดใหญ่ที่ซ้อนเรียงกันจนสามารถออกไปยืนชมวิวทิวทัศน์ที่ธรรมชาติรังสรรค์ให้เราได้ดื่มด่ำได้อย่างเต็มที่ และหากอยากเห็นมุมที่แตกต่างออกไป ยังมีจุดชมวิวที่เป็นมุมสูงจากบนสะพานก็มีบันไดให้เราเดินขึ้นไปได้อีกมุมหนึ่ง
ถัดจากผาหมื่นไปเราสามารถเดินสัมผัสธรรมชาติได้ตลอดเส้นทาง แต่ละจุดจะมีพวกหินขนาดใหญ่ลักษณะรูปทรงต่าง ๆ ให้เราได้ฝึกจินตนาการ ไม่ว่าจะเป็นหินแมวน้ำ หินโรบอร์ท หินปลาวาฬ ถ้ำกบ และอีกมากมาย แต่หินที่เป็นไฮไลท์ของที่นี่ตามชื่อคือ “หินช้างสี” (ที่ถ้าให้คุณเดาว่าทำไมต้องเป็นหินช้างสี ผมว่าความคิดแรกของคุณนั่นแหละครับถูกแล้ว)
ตลอดระยะการเดินทางก็เอาเหนื่อยพอประมาณไม่มากไม่น้อย หากนั่งลงหลับตาให้ลมเย็นพัดพาความรู้สึกผ่านร่างกายอยู่เงียบ ๆ สักพักตรงผาตะวันลับฟ้าเราว่าดีเลยทีเดียว (แนะนำให้ติดขวดน้ำเปล่าไปด้วยสักขวดเผื่อคอแห้ง แต่อย่าลืมเก็บมันกลับออกมาทิ้งข้างนอกด้วยนะเพื่อให้ธรรมชาติยังคงเป็นธรรมชาติอยู่เหมือนเช่นเดิมเหมือนก่อนที่คุณจะเข้าไป)
(ถ้าเหากเขียนอธิบายจุดชมวิวหินช้างสีแยกไปต่างหากเลย 1 บทความไม่แน่ใจจะโอเครหรือปล่าว)
15. หนึ่งศูนย์สี่เก้า
พระพุทธรูปองค์สีขาวขนาดมหึมาตั้งตระหง่านอยู่บนเขาที่เห็นอยุ่ไกลลิบ ๆ ก่อนการก้าวเดินขั้นแรกไปบนบันได 1,049 ขั้นเส้นทางที่จะพาเราขึ้นไปกราบสักการะพระองค์นี้ด้านบน ที่แห่งนี้คือ “วัดพระบาทภูพานคำ” จากด้านบนเราสามารถเดินชมวิวทิวทัศน์ธรรมชาติได้ 360 องศาแบบเต็มตา ด้านหลังมีผืนน้ำกว้างใหญ่จากเขื่อนอุบลรัตน์เป็น background ความสงบมีอยู่เสมอหากเราหาที่แห่งนั้นเจอ แต่สมมุติว่าคุณเดินไม่ไหวก็ไม่เป็นไร เพราะทางด้านขวามีถนนที่สามารถเอารถขึ้นไปได้ถึงด้านบน (ส่วนสมาชิกของผมนะเหรอโดนหลอกให้เดินขึ้นไปพร้อม ๆ กัน)
16. ปิดท้ายที่ริมเขื่อน
หากมีโอกาสไปเที่ยวแถวเขื่อนสักที่แล้วนึกถึงเรื่องอาหารคุณจะนึกถึงเมนูอะไร ติ๊กตอก ติ๊กตอก ติ๊กตอก หมดเวลา สำหรับผมแล้วที่ไม่ควรพลาดเลยคงเป็นพวกเมนูที่มี “ปลา” เป็นวัตถุดิบ เพราะคิดว่าน่าจะได้ความสดใหม่ เทคเจอร์เนื้อที่แน่น ๆ และฟิลลิ่งแบบริมน้ำ ดังนั้นมื้อสุดท้ายของทริปนี้ที่ขอนแก่นเราเลือกฝากท้องไว้ที่ร้าน “เรือนพานคำ” ที่อยู่ติดริมเขื่อนอุบลรัตน์ ไม่แน่ใจว่าเป็นของเอกชนหรือของรัฐเพราะในใบเสร็จเขียน กฟผ. (หากใครรู้สามารถคอมเมนต์บอกกันไว้ได้นะครับ)
กลับมาต่อที่เรื่องของอาหาร เมนูที่เราสั่งก็มี ต้มยำหม้อไฟปลากดคัง ยำสามแซ่บ ผัดฉ่าปลาคัง ปลานิลสามรส โชคดีที่เรามาโต๊ะแรกเผลอแปบเดี่ยวคนเต็มร้าน มิเช่นคงต้องรอคิวอีกยาวเลยทีเดียว เมื่ออาหารมาถึงผมบอกได้เลยว่าไม่ผิดหวังแน่นอน อร่อยยกนิ้วให้เลยกับรสชาติที่กลมกล่อม ความสดของเนื้อปลาที่ยังเป็นลิ่ม ๆ และที่สำคัญไม่คาวด้วยเอ่อ อวยแบบสุด ๆ แต่ก็ไม่ได้ส่วนลดแต่อย่างใดนะ นับว่าเป็นความประทับใจสุดท้ายก่อนกลับไปสู่ กรุงเทพ ฯ ดินแดนที่ใครก็ว่าคือเมืองศิวิไลซ์ จริงแล้วคือใช่หรือเพียงแค่วัตถุนิยม
สวัสดี
-เสือซ่อนยิ้ม-
สามารถติดตามผลงานก่อนหน้านี้ได้ที่
>> ไปเที่ยว ขอนแก่น ep1/2
>> เพ็ดชะบุรี – เพชรบุรี - ตอนที่ 2 ขาล่องกลับ อุทยานประวัติศาสตร์พระนครคีรี – วัดถ้ำเขาย้อย – เขาอิบิด สวิสต์แลนด์แดนเพชรบุรี
>> เพ็ดชะบุรี – เพชรบุรี - ตอนที่ 1 แก่งกระจาน
>> "น่าน" ไงที่ไหนหละ
>> เมนูวันหยุด กุ้งดองปลาร้า
>> ปิ้งย่างยุคโควิด
>> กระบี่ 3 วัน 2 คืน
>> นั่งรถไฟ ไปปัตตานี
>> สองวันหนึ่งคืน ครึกครื้น แก่งกระจาน
>> เเบกเป้ขึ้นภูสอยดาว
>> พังงา ภูเก็ต เสม็ดนางชี แหลมพรหมเทพ (นางชีทิ้งตะวัน)
>> " บ้านป่าหมาก " จุดกางเต็นท์ริมเขตแดน - ประจวบคีรีขันธ์
>> 7 คต โป่งเส้าก้อน
>> เเบกเป้เที่ยว ลำพูน
>> ภูกระดึง ตึงทั้งตัว
เสือซ่อนยิ้ม
วันอาทิตย์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2564 เวลา 14.37 น.