สวัสดีเพื่อนๆท่องเที่ยวทุกท่าน
ถ้าเอ่ยถึงจังหวัดพังงา หลายๆคนจะนึกถึงเกาะตาชัย หรือเกาะสิมิลัน ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวอันโด่งดัง
และสร้างชื่อให้กับจังหวัดนี้อยู่มาก หรือจะเป็นเขาหลักที่เคยเกิดเหตุการณ์อันน่าเศร้าเมื่อหลายปีก่อน
ปัจจุบันนี้การท่องเที่ยวของพังงาเริ่มคึกคักมากขึ้น แต่คึกคักบางช่วงฤดูกาลสำหรับเกาะแก่ง
และอุทยานทางทะเลต่างๆ พอถึงช่วงหน้ามรสุมก็จะเงียบไปอีกรอบ
วันนี้ผมจะพาเพื่อนๆไปเปิดมุมมอง สถานที่ท่องเที่ยวของจังหวัดพังงากัน ในแบบฉบับที่ไม่ใช่ เกาะตาชัย เกาะสิมิลัน
ในแบบที่สามารถเที่ยวได้ในช่วงมรสุม และให้เพื่อนๆได้เห็นว่าแท้จริงแล้ว พังงา... สามารถท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี
“Let's go South Let's go Phangnga"
ปล. สำหรับ เพื่อนๆ ที่ต้องการติดตาม หรือสอบถามเพิ่มเติม ได้ที่
http://www.facebook.com/Nejuphoto
ด้วยความกรุณาจาก การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จังหวัดพังงา ได้ให้โอกาสทางผมเข้าร่วมกิจกรรม
“ชวนกันเที่ยวใต้ หรือ Let's go South"
โดยจังหวัดที่ไปในครั้งนี้คือจังหวัดพังงา และเป็นการท่องเที่ยวที่เน้นแนวศึกษาธรรมชาติและวิถีชาวบ้าน
หรือที่เรียกว่า “Eco Tourism" นั่นเอง
เพียงแค่ 1.15 ชม. จากกรุงเทพ ถึงสนามบินภูเก็ต และจุดเริ่มต้นของทริปนี้ได้เริ่มขึ้น ณ. ท่าเรือบางโรง
ท่าเรือที่ใช้โดยสารเพื่อไปยังเกาะยาวน้อย เกาะยาวใหญ่ จังหวัดพังงา
ถ้าเป็น speed boat จะใช้เวลาประมาณ 30 นาที ถึงท่าเรือมาเนาะ เกาะยาวน้อย ราคา 200 บาท ต่อคน
และ ถ้าเป็น เรือหางยาว จะใช้เวลาประมาณ 60 นาที ถึงท่าเรือมาเนาะ เกาะยาวน้อย ราคา 120 บาท
ต่อคนพาหนะที่ใช้เดินทางบนเกาะยาวน้อย เกาะยาวใหญ่นั้นจะเป็นรถ 2 แถว
หรือเป็นกระบะ Taxi ที่คิดราคาตามระยะทางหรือจะเป็นการเช่ามอเตอร์ไซค์ขี่เที่ยวบนเกาะเองก็ได้เช่นกัน
เกาะยาวน้อย
มีแนวขอบเขตของจังหวัดภูเก็ต พังงา และกระบี่ โอบอยู่เป็นรูปคล้ายตัว U คว่ำ
ทำให้การเดินทางไปเกาะยาวน้อยสามารถเริ่มต้นได้จากทั้ง 3 จังหวัด แต่การเดินทางจากท่าเรือบางโรงดูจะสะดวกที่สุด
วิถีประมงพื้นบ้าน ผู้คนที่อาศัยละแวกนี้ อาชีพหลักคือประมง การมีกระชังปลาสาธิต ถือว่าเป็นโชคดีของผู้ที่มาเยือน
ที่ได้มาเห็นสัตว์ใต้น้ำ ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ทั้งกุ้งมังกร ปลาดาว ปลาปักเป้า ที่นำขึ้นจากกระชังมาให้ดูแบบเป็นๆ
แต่เอาขึ้นมาได้แปปเดียวนะครับ ไม่อย่างนั้นสัตว์เหล่านี้จะไม่มีชีวิตรอดต่อไป
ผมว่าการท่องเที่ยวเชิงวิถีชีวิตชาวบ้านนี้เป็นเสน่ห์แบบหนึ่งของเมืองไทย
ชาวต่างชาติหรือแม้กระทั่งคนไทยเรามาเที่ยวเองยังหลงรักวิถีความเป็นอยู่แบบเดิมๆแบบนี้เลยครับ
“Still Slowly Life" ชีวิตที่เดินช้า วิถีชีวิตแบบง่ายๆ มีความเป็นอยู่แบบง่ายๆ
ทุกวันนี้ชีวิตในเมืองที่อยู่วุ่นวายหนีมาหลบพักกายใจที่นี่จะมีความสุข ลืมทุกข์ได้ไปอีกนาน
เรือแล่นออกจากท่า แค่ 10 นาที พื้นดินก็เปลี่ยนเป็นแหล่งทำมาหาเงินของผู้คนที่นี่
กลางทะเลนี่แหล่ะที่เปรียบเหมือนตึกสูงๆใน กทม. แหล่งรวมออฟฟิตที่หนุ่มออฟฟิตอย่างผมนั่งทำงานอยู่ทุกวี่ทุกวัน
เพียงแต่ที่นี่คือสถานที่ทำงานที่ไม่ใช่ตึกสูงระฟ้า แค่มีพื้นที่น้อยนิดหยิบมือก็สร้างผลกำไรให้กับผู้คนแถวนี้มากพอตัว
“เดี๋ยวผมจะจับกุ้งมังกรมาให้ดูนะครับ" เสียงจากพี่ที่เป็นผู้ดูแลกระชังสาธิตแห่งนี้ ได้อธิบายถึงความเป็นมาของกระชัง เปรียบเสมือนเป็นครูสอนเด็กหนุ่มเมืองกรุงอย่างผม ให้ได้ซึมซับถึงความรู้ของสัตว์น้ำชนิดต่างๆ
ความรู้ที่มีในตำราไม่อาจเทียบเท่าได้กับการมาสัมผัสด้วยตาตัวเอง
ถึงช่วงเวลาอาหารเย็น ณ. โฮมสเตย์ บริเวณแหลมไทร หัวละ 300 บาท ต่อคน บุฟเฟ่ต์อาหารทะเลเติมได้ไม่อั้น
แม้กระทั่งปูม้านึ่ง ที่เฉลี่ยทานไปคนละ 6 ตัว พอดีงาม ^^
แสงอาทิตย์กำลังลาลับขอบฟ้า เป็นสัญญาณในการบอกว่าวิถีที่ดำเนินในวันนี้กำลังจะหมดไป
เตรียมพร้อมชาร์ตแบตชีวิตแล้วเริ่มต้นสู้ใหม่ในวันรุ่งขึ้น
ในส่วนของที่พักคืนแรกบนเกาะยาวน้อย ผมพักที่ The Paradise Koh Yao Boutique Beach Resort & Spa
สัมผัสแรกเมื่อมาถึง คือ สงบ เงียบ และเป็นส่วนตัว ผมขอไม่ลงรายละเอียดในส่วนของที่พักแห่งนี้ไว้มาก
เนื่องจากเดี๋ยวจะมีรีวิวของผมเองที่เจาะลึกโรงแรมแห่งนี้ในโครงการ Thailand Boutique Awards 2014-2015 ครับ
ห้องน้ำ มีบานเฟี้ยมเลื่อน เปิด-ปิด มีที่นั่งเล่นตรงระเบียงด้านนอก
อาหารเช้า ของที่นี่เป็น Buffet Breakfast ไม่มาก ไม่น้อยเกินไป
เติมพลังยามเช้า
โซนที่นั่งมีทั้งแบบ indoor และ outdoor รอรับสายลมจากธรรมชาติที่พัดผ่านมาเบาๆ ในบรรยากาศยามเช้า
ยืดเส้นยิดสายเบาๆหลังจากทานอาหารเช้าเสร็จด้วยการมานั่งมองทะเล ฟ้าสีคราม น้ำสีฟ้า อากาศดีๆ
แค่นี้ที่เรียกว่า “ความสุข"
กิจกรรมต่อไปคือการ trekking เดินป่าด้านหลังที่พักไปถึงอ่าวเคียน
บรรยากาศที่นี่ร่มรื่น มีต้นไม้หลากหลายพันธุ์ อีกทั้งยังมีนกเงือก คอยให้นักท่องเที่ยวจับสายตาสอดส่องดูกันอย่างเพลิดเพลินอีกด้วย
สุดทางเป็นต้นไม้ขนาดใหญ่เท่ากับ 20 คนโอบแสดงถึงความสมบูรณ์ของธรรมชาติในป่าแห่งนี้
ถึงคลื่นลมจะแรง แต่ทะเลทางฝั่งนี้จะได้รับผลกระทบค่อนข้างน้อย
เนื่องจากหุบเขา และเกาะแก่งต่างๆโอบล้อมป้องกันลมจากด้านนอก ทำให้ช่วงมรสุมที่นี่ก็ยังสามารถมาเที่ยวได้เหมือนกัน
เรือได้เทียบเข้าหาด เกาะกูดู แห่งนี้มีนักท่องเที่ยวมาพายเรือคายัคพายชมธรรมชาติ เกาะนี้ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเกาะยาวน้อย
เสร็จจากกิจกรรมเที่ยวเกาะยาวน้อย ต่อไปผมจะพาไปเที่ยวเกาะยาวใหญ่กันต่อเลยครับ ขึ้นเรือที่ท่าเรือมาเนาะ เกาะยาวน้อย
เพื่อที่จะเดินทางไปท่าเรือคลองเย เกาะยาวใหญ่ ใช้เวลาประมาณ 15 นาที
เกาะยาวใหญ่
ถ้าเทียบถึงพื้นที่และจำนวนประชากรที่อาศัยอยู่บนเกาะแล้ว เกาะยาวใหญ่มีจำนวนที่มากกว่าเกาะยาวน้อยอยู่หลายเท่าตัว
แต่ความเพียบพร้อม รวมถึงหน่วยงานราชการต่างๆจะตั้งอยู่บนเกาะยาวน้อยเป็นส่วนใหญ่
รวมถึงบนเกาะยาวน้อยจะมี 7-11 อีกด้วย ผู้คนที่อาศัยบนเกาะยาวใหญ่นี้แทบจะ 100% เป็นชาวมุสลิมทั้งสิ้น แต่ไม่ต้องกลัวเลยครับ ทุกคนเป็นมิตร และจิตใจงามกันทุกคน
อีกหนึ่งผลิตภัณฑ์พื้นบ้านที่ถือว่าเป็นของฝากชิ้นเด็ดสำหรับคนที่มาเกาะยาวใหญ่นี้คือ ขนมบ้าบิ่น
ที่นี่มีมะพร้าวอยู่จำนวนมาก ไม่แปลกเลยที่ขนมบ้าบิ่นของที่เกาะยาวใหญ่จะขึ้นชื่อและอร่อยมากๆด้วยครับ
กิจกรรมต่อไปคือการพายเรือคายัค ดื่มด่ำธรรมชาติที่สมบูรณ์ของป่าโกงกาง
ปล่อยตัวเอง ปล่อยใจให้เป็นอิสระ วางภาระวุ่นวายไว้ชั่วคราว... ให้สายน้ำ สายลมพัดผ่านกายไป
ถือว่าเป็นการออกกำลังกาย แถมผ่อนคลายใจไปในเวลาเดียวกัน
อีกหนึ่งไฮไลท์ของการมาเที่ยวเกาะยาวใหญ่ คือการชมพระอาทิตย์ตกดินที่ หาดโล๊ะปาเหรด
ยามเย็น ชาวบ้านจูงพาลูกหลานออกมารับลมทะเล บรรยากาศยามเย็นแบบนี้แหล่ะครับที่ป่าเมืองกรุงแทบไม่มีให้เห็นแล้ว
บอกเลยว่าบรรยากาศดี สงบ และสวยงามมากครับ
มื้อเย็นวันนี้พวกผมมาทานที่ร้านริมเลซีฟู้ด เป็นร้านท่ามกลางบรรยากาศดีๆริมทะเล
ส่วนเมนูจัดเต็มแต่ไม่บุฟเฟ่ต์เหมือนเมื่อวานเท่านั้นครับ
ได้เห็นดวงอาทิตย์กลมๆโตๆกำลังลาลับขอบฟ้าไปอีกหนึ่งวัน
ถือว่าการมาเที่ยวครั้งนี้ของผมโชคดี ที่มีโอกาสได้เห็นสิ่งสวยงามทางธรรมชาติอันหลากหลาย
ที่พักบนเกาะยาวใหญ่ คืนนี้ผมพักที่ Koh Yao Yai Village
ในห้องพักเป็นพื้นปูน ให้ความเย็นสบาย ห้องน้ำเป็นแบบกึ่ง outdoor ต้องบอกเลยว่าห้องน้ำกว้างขวางมว้ากกกกก
มีที่นั่งเล่น เหมาะสำหรับจับกลุ่มสนทนายามค่ำคืน
สระน้ำที่นี่เป็นสระเกลือขนาดใหญ่ครับ
รุ่งเช้า ออกมาสูดอากาศอันสดชื่นของมวลธรรมชาติได้บริเวณริมหาด ที่พักแห่งนี้จะสามารถมองชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นได้สวยงามครับ
ในส่วนของห้องอาหารเช้า เปิดโล่ง มีลมพัดผ่านเย็นสบาย
ไลน์อาหารเช้าเป็นแบบ Buffet มีให้เลือกหลากหลาย ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป
เซ็ทเติมพลังยามเช้าของผม
หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อย เตรียมเก็บของออกเดินทางกลับขึ้นฝั่งพังงา
ไปดูกันว่าถ้านอกจากทะเล หรือเกาะแล้วที่นี่มีอะไรให้เที่ยวกันอีกบ้านสองแพรก พังงา
แค่ชื่อสำหรับผมก็ไม่คุ้นหูแล้วครับ กับที่นี่ บ้านสองแพรก
กิจกรรมที่พวกผมจะมาเที่ยวกันในวันนี้คือ ล่องแก่งที่บ้านสองแพรก ต้องบอกก่อนเลยว่า
ตอนไปยังคิดอยู่เลยว่านี่ไม่ใช่หน้าฝนจะมีน้ำให้ล่องด้วยหรอ ?
นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเยอะมาก แต่นักท่องเที่ยวไทยแทบไม่มีให้เห็นเลย
ก่อนเรือจะออกได้มีเจ้าหน้าที่พูดถึงความปลอดภัยรวมถึงวิธีการ safety ต่างๆ
แต่จนขณะนี้ผมก็ยังไม่เห็นปริมาณน้ำที่จะพาเรือประมาณ 30 ลำออกไปล่องแก่งได้เลย
(ทุกคนพร้อมบนเรือหมดแล้วนะครับ) ???
พูดไม่ทันขาดคำ เสียงสัญญาณปล่อยน้ำได้ดังขึ้น ที่นี่มีการเก็บน้ำไว้ในเขื่อน
และจะมีการปล่อยน้ำเพื่อใช้ในการล่องแก่งวันละ 2-3 รอบ
ตามเวลา 11.00 , 13.00 , 15.00
แค่ไม่ถึง 15 นาที หลังปล่อยน้ำเรือลำแรกก็ได้ออกจากท่ามุ่งสู่แก่งหินตามธรรมชาติต่างๆ
เป็นการท่องเที่ยวที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้สามารถมาเที่ยวได้ทุกฤดูกาล ใครจะไปรู้ว่าหน้าร้อนแล้งแบบนี้ ที่นี่สามารถล่องแก่งได้ครับ
นักท่องเที่ยวสนุก คนถ่ายภาพอย่างผมก็สนุกตามไปด้วย ^^
ใช้เวลาในการล่องแก่งประมาณ 1 ชม. ความอันตรายของแก่งจะอยู่ที่ระดับ 3 แต่มีการป้องกัน safety ไว้อย่างดีทุกจุดที่ล่องผ่าน
หลังจากเหน็ดเหนื่อยกับกิจกรรม adventure กันมาแล้ว ได้เวลารับประทานอาหารแบบสไตล์คนพังงากับร้าน ไอดิน บูติค รีสอร์ท
ที่นี่เป็นทั้งร้านอาหารและรีสอร์ทด้วยครับ
รสชาติอร่อยถูกปากคนเมืองกรุงอย่างผมมากครับ น้ำพริกกุ้งเสียบ แกงเหลือง ปลาทอดสมุนไพร และผัดเห็ด ฟิน!!!
เวลาช่างผ่านไปรวดเร็วจริงๆกับการมาเที่ยวพังงาหนนี้ ได้เวลากลับสู่โลกแห่งความเป็นจริงอีกครั้ง
ช่วงเวลาหยุดพักผ่อนมักผ่านไปไวเสมอ จริงมั้ยครับ ?
แต่รีวิวนี้มีภาคต่อ เพราะอย่างที่บอก พังงาไม่ได้มีที่เที่ยวแค่เกาะสิมิลัน เกาะตาชัย ที่ใครหลายคนรู้จัก
และพังงาก็ไม่ได้มีที่เที่ยวเพียงแค่นี้ ในตอนหน้าผมจะพาไปเที่ยวพังงา ในแบบ adventure มากขึ้น
แต่ safety ยังมีเหมือนเดิม...
ต้องขอขอบคุณการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จังหวัดพังงา ที่ได้เชิญผมไปเที่ยวในครั้งนี้
ขอบคุณผู้ร่วมเดินทาง และ blogger ท่านอื่นๆอีกหลายๆท่าน
ขอบคุณชาวมุสลิมทั้งบนเกาะยาวน้อย เกาะยาวใหญ่ ที่ทุกคนดูเป็นมิตร จิตใจดีงาม
ขอบคุณจังหวัดเล็กๆ แต่สถานที่ท่องเที่ยวไม่เล็ก “พังงา" แห่งนี้ ที่ทำให้ผมได้มาเห็นความสวยงามทางธรรมชาติ
รวมถึงชีวิตที่เรียบง่าย Still Slowly Life ของชาวพังงา ต้องบอกเลยว่าหลงเสน่ห์ของที่นี่ไปเลยครับ...
ใครมีคำถามสอบถามได้นะครับจะทาง message pantip หรือในเพจของผมก็ได้ http://www.facebook.com/Nejuphoto
ขอบคุณที่ตามอ่านกระทู้รีวิวเที่ยวพังงาจนจบ
“Let's go South Let's go Phangnga"
nejutravel
วันอังคารที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 เวลา 21.17 น.