รีวิวนี้ขอย้อนความหลังถึงทริปๆหนึ่งที่เกิดขึ้นในช่วงปลายปีก่อน ซึ่งเป็นการตะลอนเที่ยวแบบจุใจที่ไม่ไกลจากกรุงเทพมหานคร เวลาจะทานอาหาร ถ้าเราคิดไม่ออก ส่วนใหญ่หวยก็จะไปออกที่กระเพาไข่ดาว เช่นกันเมื่อคิดไม่ออกว่าวันหยุดจะไปเที่ยวไหนดี เชื่อว่า 1 ในตัวเลือกลำดับต้นๆก็คงจะหนีไม่พ้นเขาใหญ่ เนื่องด้วยธรรมชาติอันเขียวขจี อากาศที่เย็นสบายโดยเฉพาะในช่วงหน้าหนาว รวมถึงคาเฟ่และสถานที่ท่องเที่ยวที่มีให้เลือกมากมายแบบเที่ยวได้เป็นสิบๆวัน ดังนั้น ถ้าทุกคนพร้อมแล้ว ขอเชิญพับกบ เอ้ย! พบกับ รีวิว "ปักหมุด สถานที่เที่ยวเขาใหญ่ 3 วัน 2 คืน ที่ไม่ควรพลาด" ได้เลยฮ่ะ

กล้องที่ใช้: Fuji xt-20 +Filter: Classic Chrome + Lightroom

ช่วงที่ไป: ปลายปี 2021

Tip: ระหว่างเดินทางจาก กทม มายัง เขาใหญ่ ถ้าใครกำลังมองหากาแฟอร่อยๆสักร้าน เราแนะนำร้าน Proof café สระบุรี (เปิดทุกวัน: 7.00 – 17.00, หยุดทุกวันพุธ) ซึ่งเป็นคาเฟ่มินิมอลสุดจิ๋วสไตล์ญี่ปุ่นที่แอบอยู่ข้างๆ 7/11 แต่รสชาติบอกเลยว่าไม่ธรรมดา 


Day 1 

ขอเริ่มต้นด้วยคาเฟ่แรกในเขาใหญ่ที่มีชื่อว่า Hao Khaoyai (เปิดบริการ: ทุกวัน 7.30 – 17.00) อ่านว่า “เฮา” ที่แปลว่า “เรา” คาเฟ่บ้านไม้เก่าแก่ 2 ชั้นสไตล์จีนสุดคลาสสิคที่มีมุมถ่ายรูปเยอะแบบกระหน่ำซัมเมอร์เซลล์ทั้งในโซน In door และ Out door ส่วนเรื่องอาหารการกินที่นี่เขาก็มีครบทั้งคาว-หวาน โดยอาหารที่หลายๆคนแนะนำก็มีทั้งกาแฟเฮา ชาร้อนๆ ขนมครก ไปจนถึงขนมปังอบจิ้มสังขยาหอมๆ


โดยมุมแรกที่แนะนำก็คือตรงหน้าร้าน แนะนำว่า ต้องอาศัยจังหวะดีๆสักหน่อย ถ้าไม่อยากให้คนอื่นติดเข้ามาในเฟรม ปล. รูปนี้เราถ่ายช่วงบ่ายๆ แต่ถ้าไปช่วงเช้าหรือช่วงเย็น แสงน่าจะดีกว่านี้นะ

อีกมุมหนึ่งที่น่าสนใจก็จะเป็นกำแพงหน้าร้านที่มีกระจกวงกลมขนาดใหญ่พร้อมสัญลักษณ์ของร้านแปะอยู่ ใครกลัวไม่รู้จะยืนโพสยังไง ลองหยิบกาแฟมาถือจิบๆแก้เขิลก็เก๋ไปอีกแบบ

ถ่ายมุมเฉียงมาแล้ว ถ่ายมุมตรงก็ดีนะเออ

พอเดินเข้ามาด้านใน เราก็สบโอกาสจังหวะที่พนักงานเข้าไปทำธุระหลังร้าน ทำการโจรกรรม เอ้ย! ทำการเก็บภาพหน้าเคาเตอร์สักหน่อย โคมไฟ้แบบจีนๆและตัวอักษรจีนที่เป็นไฟอีออนด้านหลัง ทำให้ได้บรรยากาศอาตี๋ อาหมวยนิคะไม่ได้ตั้งใจสุดๆ

ถัดมาข้างๆจะมีปฏิทินจีนแปะเรียงรายกันอยู่ เชื่อว่าหลายคนโดยเฉพาะลูกหลานชาวจีนน่าจะคุ้นชินกับปฏิทินแบบฉีกนี้เป็นอย่างดี ซึ่งถ้าใครสั่งเซ็ตชาร้อนมา ก็สามารถวางเป็นพร็อบได้นะ ดูเข้ากันดีเลย

Tip: โชคดีในวันที่เราไปเป็นวันศุกร์ คนเลยไม่พลุกพล่าน ทำให้สามารถย้ายมุมถ่ายได้หลายมุมโดยไม่ต้องรอนาน แต่ถ้าไปวันเสาร์-อาทิตย์คนอาจจะเยอะ แนะนำให้มาเช้าหน่อยน่าจะดีกว่า

เก็บภาพอาหารกลางวันที่เราได้ฝากท้องมายั่วสักหน่อย โดยเราสั่งกาแฟเฮา ชาร้อน ไข่กระทะ และก๋วยจั๊บญวน (ถ้าจำไม่ผิด) ส่วนของหวานอื่นๆที่เป็นเมนูแนะนำของร้าน เรายังไม่มีโอกาสได้สั่งเพราะอิ่มมากๆ ไว้คราวหลังมาอีกจะแวะชิมแน่นอน

ภาพบรรยากาศเพิ่มเติมครับ ปล. ชั้น 2 ก็มีที่นั่งจิบกาแฟชมวิวแบบชิวๆนะ

หลังจากที่ได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศกันอย่างเต็มอิ่ม เราก็ใช้เวลาเดินทางกันต่ออีกประมาณ 20 นาที เพื่อไปยังหมุดหมายต่อไปนั่นคือ ไร่ทองสมบูรณ์คลับ (เปิดบริการ: จันทร์ – ศุกร์ 09.00 - 18.00 น. / เสาร์ – อาทิตย์ 08.30 – 18.00 น.) ฟาร์มน่าเที่ยวสไตล์คันทรี่ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ โอบล้อมไปด้วยภูเขาและความเขียวขจีของใบไม้ใบหญ้า นอกจากนี้ยังเพียบพร้อมไปด้วยกิจกรรม Adventure มากมาย เช่น ขี่ม้า ยิงปืนเป้านิ่ง สนามบีบีกัน รอกลอยฟ้า รถ ATV รถโกคาร์ท ล่องแก่ง เป็นต้น เท่านั้นยังไม่พอ ที่นี่ยังมีที่พักและร้านอาหารให้บริการด้วยนะ เรียกได้ว่ามาครบจบในที่เดียวจริงๆ โดยรวมแล้วดูเหมาะกับการมาเป็นครอบครัว แก๊งเพื่อน หรือกลุ่มที่ทำงานเพราะมีกิจกรรมให้ทำแทบทั้งวัน

ส่วนไฮไลท์สำคัญหนึ่งเดียวที่เราเล็งไว้ก็คือ ต้นไม้รูปหัวใจที่ตั้งตระหง่านอยู่ในทุ่งหญ้ากว้าง แต่น่าเสียดายช่วงที่เราไปพื้นหญ้ารอบๆต้นไม้มันแห้งแล้งพอสมควร ภาพที่ได้เลยไม่ค่อยเหมือนกับที่ได้วาดฝันไว้ก่อนมาสักเท่าไหร่

สำหรับค่าเข้าสถานที่พร้อมตั๋วนั่งรถชมฟาร์มสนนราคาอยู่ที่ 50 บาท/คน ซึ่งรวมจุดสุดท้ายอย่างต้นไม้รูปหัวใจแล้ว (ไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม) ส่วนกิจกรรม Adventure อื่นๆที่บอกไปจะต้องเสียเงินเพิ่มในราคาที่แตกต่างกันไป

Tip: ถ้าใครอยากได้แสงนุ่มๆ แนะนำให้มาช่วงเช้าหรือเย็นไปเลยเพราะถ้ามาช่วงบ่ายๆแบบเรา แสงก็จะแข็งๆหน่อย ส่วนถ้าอยากได้รูปที่มีพื้นหญ้ารอบต้นไม้แบบเขียวขจีกว่านี้อาจจะต้องลองเช็คมาก่อน อาจดูจาก Recent post ใน IG วันล่าๆที่คน tag สถานที่นี้ไว้ก็ได้

ต่อจากนั้นเราก็เดินทางต่ออีกประมาณ 30 นาที เพื่อมารับประทานอาหารเย็นกันที่ร้าน Midwinter ซึ่งเป็นหนึ่งในร้านดังที่มีการตกแต่งสไตล์ปราสาทยุโรปพร้อมบรรยากาศด้านหลังร้านอารมณ์ประมาณโรงนาที่เมืองนอก

โดยที่นั่งรับประทานอาหารก็จะมีทั้งโซน Out door บนลานกว้างไล่ระดับที่ให้เราได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศดนตรีสดที่จะเริ่มเล่นประมาณ 18.00 ขึ้นไปและโชว์แสงสีเสียงตอนกลางคืนที่จะฉายเข้าหาตัวปราสาทในช่วง 1 ทุ่มเศษๆ สำหรับใครที่ไม่ชอบความพลุกพล่าน เขาก็มีโซน In door ให้บริการนะ ส่วนอาหารก็จะมีให้เลือกทั้งอาหารไทยและอาหารฝรั่ง 

Tip: สำหรับใครที่อยากได้ที่นั่งในโซน Outdoor บนลานกว้างแนะนำให้จองโต๊ะล่วงหน้ามาก่อนจะดีกว่าเพราะถ้า Walk-in อาจจะรอคิวนานหรือได้โต๊ะในโซน Indoor แทน

ถ้าใครไปที่ร้าน Midwinter ช่วงหน้าหนาวก็จะเห็นการตกแต่งที่เต็มไปด้วยต้นคริสมาสต์และไฟประดับหลากสีสัน ซึ่งพอประกอบกับตัวปราสาทที่เหมือนทำจากหินแล้ว ก็ได้ Feel เหมือนอยู่ต่างประเทศเหมือนกันนะเนี่ย


Day 2 

ก่อนออกไปตะลอนทัวร์คาเฟ่ ขอพูดถึงที่พักเมื่อคืนสักหน่อยนั่นก็คือ U-Khaoyai ที่พักสไตล์ยุโรปที่โอบล้อมไปด้วยธรรมชาติ และแน่นอนว่าจุดเด่นของที่พักในเครือ U-Hotel ที่เป็นที่รู้จักกันดีก็คือการบริการที่ดีเยี่ยม เราสามารถใช้บริการห้องพักได้ 24 ชั่วโมงเต็มๆตามเวลา Check in ที่เราเลือก ส่วนการ Check out เราจะสามารถทำได้ในเวลาเดียวกันในวันที่เราจะกลับ ซึ่งปกติที่พักอื่นมักจะให้เรา Check in ช่วงบ่าย และ Check out ก่อนเที่ยง เป็นต้น ส่วนเรื่องอาหารเช้า เราก็ไม่ต้องกังวลว่าจะตื่นมาทานไม่ทันเพราะที่นี่เราสามารถเลือกเวลาทานอาหารเช้าได้ทุกเวลา โดยทางที่พักจะจัดชุดอาหารมาให้ตามเวลาที่เราเลือก ซึ่งสามารถให้เขามาเสริฟที่ห้องเพื่อนั่งทานริมระเบียงเลยก็ได้ กินไปชมวิวไป ชิลมากๆ แต่ถ้าใครอยากทานแบบบุฟเฟ่ต์อาจจะต้องไปที่ห้องอาหารของโรงแรม ถ้าจำไม่ผิดจะมีเวลาจำกัดไม่เกิน 11.00

Tip: ที่พักมีทั้งหมด 3 ชั้น ถ้าอยากได้วิวชั้นสูงสุด ตอนจองอาจจะลอง request พนักงานดู

Tip: ตอนเราไป ที่พักเข้าร่วมโครงการ "เราเที่ยวด้วยกัน" ด้วยนะ เห็นมีข่าวว่าโครงการเราเที่ยวด้วยกันจะมีการเพิ่มสิทธิ์ ถ้าสนใจพักที่ U-Khaoyai ก็ลองติดต่อสอบถามไปได้

สำหรับด้านหน้าที่พักก็จะมีมุมให้ถ่ายรูปมากมาย ทั้งวิวแอ่งน้ำหรือวิวตัวอาคารก็ดูหรูหราหมาเห่าดี

พอเก็บบรรยากาศด้านหน้าที่พักเรียบร้อย เราก็เดินไปด้านหลังของที่พักกันต่อ ซึ่งก็จะมีน้ำตกและลำธารขนาดเล็กอยู่ บรรยากาศดูร่มรื่นสุดๆ เหมาะที่จะมาพักเพื่อชาร์จพลังหลังจากการทำงานที่เหน็ดเหนื่อยมากๆ

ส่วนใครที่อยากใช้เวลาในที่พักให้คุ้มค่ากับเงินทุกบาททุกสตางค์ที่เสียไป ทางที่พักเขาก็มีกิจกรรมให้เราเลือกทำหลายอย่างโดยแทบไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเลย ไม่ว่าจะเป็นการปั่นจักรยานเพื่อชมบรรยากาศรอบที่พัก กิจกรรมพายเรือคายัคในคลองด้านหลังที่พัก กิจกกรรมมัดยอมหรือกิจกรรมปลูกผัก เป็นต้น นอกจากนี้ทางที่พักยังมีชุดปิกนิกพร้อมอาหารให้บริการด้วยนะ เพื่อเอาไว้เป็นพร็อพถ่ายรูปเก๋ๆ ไว้ลงในโซเชียล แต่อันนี้ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมนะ

ต่อมาเป็นคาเฟ่แรกในวันที่ 2 ซึ่งอยู่ห่างจากที่พักของเรา 20 นาที นั่นก็คือ EL Café Khaoyai: เอล คาเฟ่ เขาใหญ่ (เปิดบริการ: ทุกวัน 8.30 – 17.30) คาเฟ่โทนขาวสไตล์มินิมอลที่ตัดกับไม้สีน้ำตาล แถมด้วยวิวธรรมชาติของอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่และจุดถ่ายรูปน่ารักๆให้เลือกแบบจุใจ ปล. เราสามารถพาน้องหมาน้องแมวมาคาเฟ่นี้ได้นะ เห็นว่าทางร้านเป็น Pet-friendly café ด้วย

เริ่มกันที่มุมแรกเลย แน่นอนต้องถ่ายรูปกับชื่อร้านสักหน่อยเพราะ logo ร้านอออกจะเด่นเห็นแต่ไกลซะขนาดนี้

ใกล้ๆกันจะเป็นโซนเหมือนบาร์ที่มาพร้อมกับเก้าอี้ทรงสูง

สำหรับด้านในตัวร้านจะไม่ใหญ่มาก แต่ก็มีมุมเด็ด ซึ่งพอถ่ายไปจะเห็นเป็นวิวธรรมชาติของอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ผ่านทางกระจกขนาดใหญ่ ปล. ส่วนใหญ่คนจะเข้ามาสั่งน้ำสั่งขนมหวานและไปทานด้านนอกร้านซึ่งมีพื้นที่ๆใหญ่กว่า

ถัดมาเป็นมุมม้านั่งไม้ยาว ซึ่งถ้ามาตอนเช้าหรือตอนเย็นคงจะดีกว่านี้ เพราะแดดเมืองไทยมันจ้าซะเหลือเกิน ปล. จริงๆแล้วมีมุมนั่งพื้นพร้อมชุดปิกนิกด้วยนะ แต่ด้วยแสงแดดยามเที่ยงที่แรงขนาดนี้ ขอหลบเข้าร่มก่อนจะดีกว่า

ขนมที่มาแล้วไม่ควรพลาดก็คือ ครัฟเฟิล (Cruffle) ที่ใช้แป้งครัวซองอบในเครื่องทำวัฟเฟิล ทำให้ได้ texture แบบกรอบนอกนุ่มใน หอมกรุ่นจากเตามาก เรียกได้ว่าแค่เดินเข้ามาในโซนร้านไม่กี่ก้าวก็ได้กลิ่นจนน้ำลายสอแล้ว ปล. ที่เราสั่งไปจะเป็นหน้า Chocolate นะ อร่อยมาก

ก่อนกลับก็ขอเก็บบรรยากาศรอบๆร้านอีกสักหน่อย

คาเฟ่ถัดมาใช้เวลาเดินทางประมาณ 40 นาทีจากคาเฟ่แรก นั่นก็คือ Khaam Khaoyai: ขาม เขาใหญ่ (เปิดบริการ: ทุกวัน 8.30 – 18.00) ซึ่งมีที่มาจากต้นมะขามขนาดใหญ่หลายต้นที่อยู่รอบร้าน โดยตัวคาเฟ่ใช้โทนสีขาวผสมกับงานไม้ นอกจากนี้รอบๆตัวร้านก็ยังตกแต่งให้มีลักษณะแบบสวนญี่ปุ่น โดยมุมยอดฮิตแน่นอนว่าต้องเป็นหน้าร้านนั่นเอง แต่แนะนำว่าต้องใช้ความเร็วมากๆ กด Shutter รัวๆไปเพราะจะมีคนเดินเข้าเดินเข้า-ออกอยู่ตลอดเวลา

Tip: เผอิญว่าเราไปช่วงที่คาเฟ่เปิดใหม่ๆและก็เป็นวันเสาร์ ซึ่งบอกเลยว่าคนแน่นร้านสุดๆ แทบไม่มีที่ให้นั่ง และถ่ายรูปไปทางไหนก็ติดคนเต็มไปหมดโดยเฉพาะภายในตัวร้านทั้งชั้น 1 และชั้น 2 ไม่แน่ใจว่าช่วงนี้คนยังเยอะอยู่ไหม แต่ยังไงก็แนะนำให้ไปช่วงวันธรรมดาหรือช่วงเช้าน่าจะพอเลี่ยงความแออัดได้

ส่วนเมนู Signature ของทางร้าน แน่นอนว่าจะเป็นอะไรไปไม่ได้เลยนอกจากเมนูมัทฉะแบบพรีเมี่ยมที่เป็นส่วนผสมอยู่ในเครื่องดื่มและขนมหวาน ยังไง Matcha Lover ต้องหาโอกาสไปลองชิมสักครั้งนะ

เท่านั่นยังไม่พอ เราไปต่อกันที่สถานที่เที่ยวสุดท้ายในวันนี้ ซึ่งคงไม่ใช่คาเฟ่แล้วเพราะเดี๋ยวน้ำตาลในเลือดจะพุ่งสูงเกินไป โดยที่ๆเราไปมีชื่อว่า เขายายเที่ยง ซึ่งอยู่ห่างจาก Khaam café ใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 - 40 นาทีขึ้นไปทางถนนมิตรภาพ เมื่อขับรถขึ้นมาบนเขายายเที่ยง เราก็จะเจอกับอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านบนภูเขาเหนือเขื่อนลำตะคอง ซึ่งไว้สำหรับพักน้ำเพื่อใช้ในกระบวนการผลิตกระแสไฟฟ้า

Tip: ถ้าจะไปให้ search คำว่า “กังหันลมเขายายเที่ยง” ถ้าเปิดดูใน google map จะเห็นเป็นอ่างเก็บน้ำรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส โดยเส้นทางมายังที่แห่งนี้ถือว่าถนนดีเลย 

Tip: เราสามารถขึ้นไปชมความสวยงามของอ่างเก็บน้ำลอยฟ้าแห่งนี้กันได้ตั้งแต่เวลา 08.00-18.00 น. แต่จริงๆควรมาช่วงเช้าหรือช่วงเย็นๆ 16.30 ขึ้นไปน่าจะดีกว่า ถ้าขึ้นช่วงกลางวันรับรองตัวไหม้เกรียมแน่ๆ

Tip: ที่นี่มีที่จอดรถ ห้องน้ำ และร้านค้า ส่วนเเถวๆอ่างเก็บน้ำเห็นว่ามีที่พักและลานกางเต้นท์ด้วย

ตัวกังหันลมที่ตั้งเรียงรายระหว่างทางนั้นอยู่ภายใต้การดูแลของ กฟผ. ซึ่งถือว่าเป็นอีกหนึ่งจุดที่เราควรมาเก็บภาพไว้เป็นความทรงจำ

ด้านหน้าตรงที่จอดรถ เขาจะมีให้บริการเช่าจักรยานในราคา 40 บาท เพื่อปั่นรับลมเย็นๆบนถนนที่ทอดตัวเป็นแนวยาวรอบ ๆ อ่างเก็บน้ำเขายายเที่ยง หรือถ้าใครไม่อยากเดินหรือปั่นจักรยานก็สามารถนั่งรถบริการไปจุดชมวิวเขายายเที่ยงได้โดยมีค่าบริการ 20 บาท ต่อคนไป-กลับ

Tip: ถ้าปั่นจักรยานไปเรื่อยๆจะเจอพระพุทธสิริสัตตราชองค์จำลองประดิษฐานอยู่ให้เราได้กราบไหว้ขอพรกัน

Tip: จักรยานที่นี่มีทั้งแบบปั่นได้คนเดียวและแบบปั่นเป็นคู่ แต่แบบปั่นเป็นคู่อาจจะหมดเร็ว ดังนั้นถ้าใครไปกับแฟนแล้วอยากปั่นจักรยานแบบสวีทๆ แนะนำให้ไปเร็วหน่อยนะ

ในจุดชมวิวเขายายเที่ยงนี้ เราจะได้ชมวิวของเขื่อนลำตะคองที่ไกลสุดลูกหูลูกตา ประกอบกับทิวเมฆและแสงสวยๆในยามเย็น ซึ่งบอกได้เลยว่าเป็นภาพบรรยากาศที่ควรมาชมสักครั้งหนึ่งในชีวิต ส่วนใครที่อยากรอดูพระอาทิตย์ตกดินที่นี่ก็ได้เห็นนะ ท้องฟ้าสวยไปอีกแบบ

หลังจากชมพระอาทิตย์ตกดินจนจุใจ ท้องเราก็เริ่มร้อง เลยต้องหาที่เติมพลังกันก่อนกลับที่พัก ซึ่งร้านอาหารเย็นที่เราไปนั้นมีชื่อว่า บ้านไร่ปลายเนิน อยู่ห่างจากจุดชมวิวกังหันลมยักษ์เพียงแค่ 1 กิโลเมตรเท่านั้น ถ้าถามว่าชอบเมานูจานไหนสุด ก็ต้องจิ้มไปที่ “ปีกไก่บ้านไร่” จิ้มกับสลัดครีมวาซาบิ ขอบอกเลยว่าเข้ากันลงตัวแบบบอกไม่ถูก

Tip: เมื่อพระอาทิตย์ตก เส้นทางลงจากบนเขายายเที่ยงอาจค่อนข้างมืด ใครที่ไม่ชินทาง ควรขับอย่างระมัดระวังเพื่อความปลอดภัย

Tip: ถ้าจะไปทานอาหารต่อที่ร้านบ้านไร่ปลายเนินซึ่งมีที่นั่งเป็นแบบ Outdoor แนะนำให้เตรียมเสื้อกันหนาวหรือผ้าคลุมไปด้วยเพราะตั้งแต่ 18.00 น. เป็นต้นไปอากาศบนเขายายเที่ยงจะเย็นและมีลมแรง


Day 3 

และแล้วก็มาถึงวันสุดท้ายของทริปนี้แล้ว เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก หลังจากเก็บข้าวของออกจากที่พัก เราก็เดินทางมุ่งตรงไปยังหมุดหมายเดียวในวันนี้ นั่นคือ Like A Mountain Khaoyai (ร้านเปิดเฉพาะ ศุกร์-เสาร์-อาทิตย์-จันทร์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ 9.00 - 17.00) คาเฟ่สุด minimal ที่ยังคงเป็น เบอดี้ที่ 1 ในใจเราเสมอ ถ้าเทียบกับบรรดาคาเฟ่ทั้งหมดที่เราเคยไปมา

ตัวคาเฟ่จะแบ่งเป็น 2 โซน คือ โซน in door และ out door ซึ่งถือว่าดีงามทั้งสองโซน ในส่วนโซน out door เรียกได้ว่าเป็นโซนที่เราประทับใจสุดๆ เพราะมีต้นก้ามปูขนาดใหญ่รายล้อม ประกอบกับแอ่งน้ำเล็กๆที่อยู่เบื้องหน้า เรียกได้ว่ามองไปทางไหนก็ดูสบายตาสบายใจสุดๆ

Tip: ทางร้านจะมีการจัดคิวให้เข้าเป็นคู่หรือกลุ่มเพื่อให้มีที่นั่งเพียงพอ ไม่เบียดเสียดกัน ดังนั้น เราอาจจะต้องรอคิวนานสักหน่อย

อีก 1 มุมมหาชนที่ต้องถ่ายให้ได้ก็คือสะพานไม้ที่ทอดออกไปในแอ่งน้ำ พร้อมมีทิวทัศน์ด้านหลังเป็นบ้านหลังน้อยสไตล์วินเทจ บอกได้เลยว่าดีงามพระรามแปดจริงๆ

เก้าอี้นั่งในโซน Outdoor ก็จะมีลักษณะเหมือนเก้าอี้ชายหาดที่คลุมโทนเป็นสีขาวกับน้ำตาลอ่อน ส่วนบรรยากาศรอบๆ ขอบอกเลยว่านั่งชิลได้เป็นวัน เห็นแล้วนึกถึงคาเฟ่กาญจนบุรีอย่าง Mulberry Mellow ที่เราเคยเขียนรีวิวไว้ในโพสแรกเลย https://th.readme.me/p/40591 vibe แบบเดียวกันเป๊ะ

คาเฟ่นี้ถ่ายมุมไหนก็สวยบอกเลย หลับตาหรือตีลังกาถ่ายก็สวยอ่ะ

ในส่วนของโซน indoor นั้นจะตกแต่งไปทางสไตล์ minimal ขาวๆคลีนๆ เกาหลีเกาใจ ใครที่เป็นสาย minimal เรียกได้ว่าห้ามพลาด

ส่วนตัวคาเฟ่จะมีลักษณะเหมือนกล่องสีขาวๆคลีนๆ ตัดกับสีท้องฟ้าและสีต้นไม้ เป็นมุมที่สุดจะเก๋มากๆ เข้าใจแล้วว่าทำไมถึงเป็นคาเฟ่สุดฮิตที่หนึ่งในเขาใหญ่ ปล. ตอนถ่ายปรับค่า F กว้างไปหน่อย แสงเลยเข้ากล้องมาเยอะจนแทบไม่เห็นชื่อร้านที่ติดอยู่บนผนังอาคาร >.<

ก็จบกันไปแล้วสำหรับรีวิวเที่ยวเขาใหญ่ 3 วัน 2 คืน แบบจัดหนักจัดเต็มไม่มีกั๊ก หวังว่าเพื่อนๆจะได้อิ่มเอมไปกับบรรยากาศผ่านรูปถ่ายที่ใส่มาและได้รับข้อมูลดีๆไว้ใช้แพลนทริปของตัวเองไม่มากก็น้อย สำหรับรีวิวหน้าเราจะพาไปเที่ยวที่ไหนอีก ก็ฝากติดตามและคอมเม้นต์มาเป็นกำลังใจให้กันได้นะ ก่อนจากไปเช่นเคย ม้าที่ว่าเร็วก็ยังแพ้ลาเพราะลาไปก่อน สวัสดีครัช!

ภาพถ่ายทั้งหมดโดย (By My Side: ผลัดกันถ่าย)

ติดตามทริปอื่นๆของพวกเราได้ที่:

By My Side: ผลัดกันถ่าย

 วันพุธที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 เวลา 19.00 น.

ความคิดเห็น