การเดินทางของเราเริ่มต้นอีกครั้งพร้อมกระเป๋าใบเดิม
ระยะทางกว่า 700 กิโลเมตร กับการเดินทางกว่า 12 ชั่วโมง
‘ กรุงเทพ - เชียงดาว ’
พร้อมมั้ย ! หยิบกุญแจ สตาร์ทรถ ออกเดินทางกันเลย
เชียงดาว หนึ่งในอำเภอของจังหวัดเชียงใหม่ เป็นที่รู้จักในหมู่นักท่องเที่ยวสายเทรคกิ้งที่อยากมาพิชิตยอดดอยที่สูงเป็นอันดับสามของประเทศไทยอย่าง ‘ดอยหลวงเชียงดาว’ ที่ UNESCO ประกาศให้เป็นพื้นที่สงวนชีวมณฑลแห่งใหม่ของโลก แต่ทริปนี้เราไม่ได้พามาพิชิตยอดดอยนะ เรามีเป้าหมายมาเชียงดาวแค่มานอนโฮมสเตย์ ดูวิวดอยหลวง ชมสายหมอก เท่านั้นเอง .. โดยปกติแล้วเดือนที่เหมาะแก่การมาเที่ยวเชียงดาวจะอยู่ในช่วง พ.ย. - ก.พ. แต่เราอยากให้ทุกคนได้เห็นว่าเชียงดาวสามารถเที่ยวได้ตลอดทั้งปีจริงๆน๊าาา .. การเดินทางสู่เชียงดาวของเราในครั้งนี้จะเป็นอย่างไร ตามเรามาเที่ยวได้เลยจ้า .. บรื้น ๆ
Route Plan แพลนคร่าวๆ สำหรับทริปเชียงดาว 4 วัน 4 คืน
Day 1 : เดินทางถึงจังหวัดเชียงใหม่ > อำเภอเมือง > อำเภอแม่ริม > อำเภอแม่แตง > อำเภอเชียงดาว
Day 2 : อำเภอเชียงดาว > เมืองคอง > อำเภเชียงดาว
Day 3 : อำเภอเชียงดาว > อำเภอเมือง
Day 4 : อำเภอเมือง > ลำปาง > เดินทางกลับกรุงเทพ
Place to Visit :
- วัดพระธาตุดอยคำ
- สวนสนแม่แตง
- ล่องแพไม้ไผ่เมืองคอง
- น้ำตกบ้านธารชีวี
- ถ้ำเชียงดาว
- ตลาดอัศวิน
- วัดพระธาตุลำปางหลวง
Place to Eat :
- ไข่กระทะเลิศรส
- Wander Cafe
- Pronto Coffee
- เฮือนม๋วนใจ๋
- สถานีส้มตำ By ชะนีแคระ
- One Nice Chiang Mai
- เต้ย ติ่มซำ
Place to Stay :
- ภูเมี่ยงคำโฮมสเตย์
- บ้านระเบียงดาว
- Kokotel Chiangmai
คืนวันที่ออกเดินทาง : 27 กรกฎาคม 2565
การเดินทางไปเชียงใหม่ของเราในครั้งนี้เป็นรอบที่ 4 โดยเรามีจุดหมายอยู่ที่อำเภอเชียงดาว .. เราเลือกเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัว ขับยาวๆ 8 ชั่วโมง จาก กรุงเทพ - เชียงใหม่ .. ทริปนี้ เรามีสมาชิกไปด้วยกันทั้งสิ้น 6 คน โดยพวกเรา 4 คนจะออกเดินทางกันก่อนและเพื่อนอีก 2 คนจะไปเจอกันในวันพรุ่งนี้ที่เชียงใหม่อีกที .. หลังจากเลิกงานเรารีบจัดการภารกิจส่วนตัวแล้วรีบตรงดิ่งไปยังจุดนัดพบเพื่อขึ้นรถ .. เราเริ่มออกเดินทางกันในเวลา 21.00 น. เราใช้เส้นทางหลวงสายเอเซีย ผ่าน จ.อยุธยา อ่างทอง สิงห์บุรี ชัยนาท อุทัยธานี นครสวรรค์ กำแพงเพชร ตาก ลำปาง ลำพูน จนถึงตัวเมืองเชียงใหม่ ค่ะ ..
วันแรกของการเดินทาง : 28 กรกฎาคม 2565
สวัสดีตอนเช้าที่จังหวัดเชียงใหม่จ้า ~ เราเดินทางมาถึงกันตอน 6.00 น. โดยประมาณ แวะล้างหน้าล้างตาที่ปั๊ม ปตท. และหาอะไรทานตอนเช้ากันก่อนที่ จ.เชียงใหม่ ร้านที่เราเลือกเป็นมื้อเช้านี้ คือ ไข่กระทะเลิศรส สาขา 1 ร้านอาหารเช้าง่ายๆ ที่มีเมนูให้เลือกหลายเมนูเลย
ชื่อร้านก็บอกแล้วว่า ไข่กระทะเลิศรส จะไม่สั่งไข่กระทะก็กระไรอยู่ ไข่กระทะทรงเครื่องจะ on top ด้วย กุนเชียง หมูยอ หมูสับ โรยหน้าด้วยต้นหอม พริกไทย และหอมเจียว
นอกนั้น เราสั่งเป็นต้มเส้น(แกงเส้น), กาแฟเวียดนามมีทั้งแบบหยดและสำเร็จรูป, ขนมปังไส้ต่างๆมาทานตามชอบ ค่ะ ..
ร้านไข่กระทะเลิศรส มีด้วยกัน 2 สาขา คือ
- สาขา 1 ร้านอยู่ใกล้ๆตลาดประตูเชียงใหม่ เปิดเวลา 06.30 น. - 14.00 น.
- สาขา 2 ร้านอยู่ตรงกันข้ามประตูคณะทันตแพทย์ มช. แถววัดสวนดอก เปิดเวลา 06.30 น. - 13.30 น.
หลังจากเติมพลังเรียบร้อย เราเดินทางไปต่อที่ วัดพระธาตุดอยคำ เพื่อมาถวายดอกมะลิ เพราะ ครั้งที่แล้วที่เรามาสิ่งที่ขอประสบความสำเร็จ ..
เมื่อเสร็จภารกิจเราก็หาสถานที่ที่จะไปต่อ .. ทริปนี้ เรามาแบบ Plan is No Plan ค่ะ กว่าจะเชคอินที่พักคืนแรกได้ก็บ่ายสองโมง เราเลยจะหาที่สิงสถิตกันก่อน จนมาจบที่ Wander Cafe ตั้งอยู่บริเวณสะพานขัวเหล็ก ริมแม่น้ำปิง เปิดทุกวัน 08.00 น. - 19.00 น.
บรรยากาศภายในจะตกแต่งด้วยกราฟฟิตี้สวยๆ ตกแต่งด้วยไฟนีออน เปิดเพลงตื๊ดๆหน่อยให้ฟีลเหมือนอยู่ในผับ เครื่องดื่มมีให้สั่งทั้งชา, กาแฟ, เบเกอรี่ .. เราก็พลาดไม่ได้กับเมนู Dirty ที่เป็นเมนูประจำตัวของเราเลยค่ะ คาเฟ่ไหนมีต้องสั่งตัวนี้ตลอด
นอกจากนี้ ยังมีอีกฝั่งนึงของคาเฟ่อยู่ติดริมแม่น้ำปิง ฝั่งสะพานขัวเหล็ก มีที่นั่งให้เลือกทั้ง Indoor และ Outdoor แต่จะร้อนหน่อยๆ แนะนำให้มาช่วงเย็นๆ .. ช่วงเย็นคาเฟ่ก็จะเปลี่ยนเป็นร้านนั่งชิลล์ยามเย็น มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขายด้วยค่ะ
เราสิงสถิตที่นี่เป็นลูกค้ากลุ่มแรกและกลุ่มเดียวในช่วงเช้าเลย สอบถามจากน้องๆพนักงาน น้องๆแจ้งว่า ลูกค้าส่วนใหญ่จะมาในช่วงบ่าย-เย็น และด้วยความที่ขับรถมาทั้งคืนเลยใช้คาเฟ่นี้ในการพักสายตา ต้องขออภัยกับเจ้าของสถานที่ด้วยนะคะ แม้เพลงจะตื้ดแค่ไหนก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการนอนของกลุ่มเรา ฮ่าๆ
หลับไปได้หน่อยก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมามากเลยค่ะ พร้อมขับรถขึ้นเชียงดาวแล้วค่ะ .. เรามาแวะซื้อเสบียงกันที่แมคโครแถวแม่ริมก่อน แล้วระหว่างทางขับไปยังอำเภอเชียงดาว มีหนึ่งสถานที่เราเลยจอดแวะถ่ายรูป ที่แห่งนี้ก็ คือ สวนผลิตเมล็ดพันธุ์ไม้สนสองใบ (สวนสนแม่แตง) เป็นสวนผลิตเมล็ดพันธุ์ไม้สนสองใบของงานวิจัยการพัฒนาและฟื้นฟูแปลงทดลองปลูกไม้สนคาริเบีย ด้วยความที่เป็นพื้นที่ที่มีต้นสนเรียงกันเป็นแถว จึงเป็นสถานที่ยอดนิยมมาแวะถ่ายภาพ ไม่เสียค่าเข้า มีที่จอดรถ และคนไม่เยอะค่ะ
ป่ะ! ออกเดินทางกันต่อ จากตัวเมืองมาเราใช้ทางหลวงหมายเลข 107 ขับมาเรื่อยๆจะผ่าน อำเภอแม่ริม อำเภอแม่แตง จนถึงอำเภอเชียงดาว รวมระยะทางถึงเชียงดาวประมาณ 75 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทาง 1.30 - 2 ชั่วโมง ก็จะถึงที่พักแรกของเราในคืนนี้ นั่นก็คือ ภูเมี่ยงคำโฮมสเตย์ ตั้งอยู่ที่ บ.แม่แมะ ต.แม่นะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ กว่าจะถึงก็เล่นเอาเหนื่อยเหมือนกันนะ เพราะ ทางขึ้นค่อนข้างแคบและลาดชัน ควรใช้ความระมัดระวังในการขับรถขึ้นมาเป็นอย่างมาก
ที่มาของชื่อโฮมสเตย์นี้ เกิดขึ้นจากที่โฮมสเตย์ปลูกชาอยู่บริเวณรอบๆที่พัก โดยใบชาคนเหนือเค้าเรียกว่า ‘ใบเมี่ยง’ เพราะเหตุนี้แลจึงเป็นที่มาของชื่อโฮมสเตย์ ‘ภูเมี่ยงคำ’ นี่เอง และโฮมสเตย์นี้ได้วิวทิวทัศน์เป็นวิวภูเขามุมสูงนะ .. ข้อสำคัญ! สำหรับการมาพักโฮมสเตย์ คือ งดใช้เสียงดังหลัง 22.00 น. นะจ้าทุกคน ..
มาดูกันว่าเราพักที่นี่ได้อะไรกันบ้าง? แก๊งค์เรามีทั้งหมด 6 คน เราจองเป็นบ้านใหญ่จำนวน 3 ห้อง มีทั้งแบบห้องน้ำในตัวและห้องน้ำรวม มีน้ำอุ่นให้ไม่ต้องกลัวหนาว เราจ่ายในราคาคนละ 700 บาท ราคานี้รวมอาหารเย็นและบุฟเฟต์อาหารเช้า (มัดจำ 50%) .. ที่นี่ไม่มีเครื่องปรับอากาศ เป็นแอร์จากธรรมชาตินะคะ แต่ตอนกลางคืนก็ไม่ได้รู้สึกร้อนใดๆ อากาศดีมาก ช่วงที่เราไปอุณหภูมิตอนกลางคืนประมาณ 23 องศาเซลเซียส นอนหลับสบาย ~
สำหรับใครที่อยากปิ้งย่างสามารถหยิบอุปกรณ์ใช้ตามสบาย (แต่ก็เก็บล้างด้วยหลังทำเสร็จก็ดีนะ สงสารคนดูแลโฮมสเตย์ ถ้าเค้าต้องมาทำให้เรา) .. แนะนำให้ซื้อของสด-เครื่องดื่มขึ้นมาเลยนะ หรือจะสั่งหมูกระทะมาทานก็ย่อมได้ ส่วนน้ำดื่มและน้ำแข็งมีให้ฟรี หยิบทานได้ตลอด
ตอนมาถึงพี่ที่ดูแลโฮมสเตย์จะสอนเราชงชา กาแฟสด จากนั้นเราสามารถชงดื่มเองได้ตลอดจ้า (โฮมสเตย์นี้ไม่หวงของเลย ถูกใจจริงๆ)
ในส่วนของอาหารเย็นจะมาเสิร์ฟประมาณ 18.00 น. รสชาติไม่ได้ขี้เหร่นะจ้า อร่อยเลยแหละ มาดูหน้าตาอาหารของเรากันดีกว่า อาหารง่ายๆ พื้นๆ แต่สารอาหาร ครบ! มีอะไรทานบ้าง ไปดูกันเลย!
หากใครสนใจโฮมสเตย์แบบนี้ สามารถติดต่อได้ที่ Facebook : โฮมสเตย์บ้านแม่แมะ ภูเมี่ยงคำ หรือโทร 0979483448, 0988082606
สุดท้าย เรื่องสัญญาณโทรศัพท์ เครือข่ายที่รอดชีวิต คือ AIS จ้า (ปรบมือ) ส่วนค่ายที่ไม่ได้ไปต่อ คือ DTAC True มีนิดๆแต่ไม่แรงมาก .. ที่นี่ไม่มีสัญญาณ Wifi นะจ๊ะ เตรียมตัวกันมาให้ดีล่ะ ~ ฝันดีนะ คร่อก zZ
วันที่สองของการเดินทาง : 29 กรกฎาคม 2565
เราตื่นมาตอน 6 โมงเช้าด้วยความเคยชิน มองออกไปหน้าต่างไร้วี่แววของสายหมอกยามเช้า เราจึงลุกล้างหน้า แปรงฟัน ลงมาที่ชานบ้านเพื่อมาชงกาแฟและทานอาหารเช้า ..
เมนูอาหารเช้าของโฮมสเตย์ก็จะมีเมนูข้าวต้ม, ไข่ลวก, ขนมปังปิ้ง, ไข่ดาว เลือกทานได้ตามใจเลยค่ะหรือจะทานทั้งหมดเลยก็ได้นะ
พอทานอาหารเช้าเสร็จ เรากลับขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัว เรามีแพลนจะเดินไปดูน้ำตกที่ห่างออกไปไม่ไกลนัก สามารถเดินไปได้จากโฮมสเตย์ที่เราอยู่ .. เราเดินไปยังทางเข้าของบ้านต้นไม้ (Tree House) ด้านในจะมีที่พักอยู่อีกหลายแห่ง เช่น บ้านต้นไม้ เฌอชีวา บ้านระเบียงน้ำ เป็นต้น
เดินลงไปเรื่อยๆประมาณ 200 เมตร เราจะได้เจอกับน้ำตกเย็บเฉียบ พร้อมกับที่พักที่เป็นทั้งโฮมสเตย์และคาเฟ่ชื่อดังอย่าง ‘บ้านธารชีวี’
เราอยู่บริเวณน้ำตกไม่นานก็กลับมายังโฮมสเตย์เพื่อเก็บสัมภาระและเตรียมตัวออกเดินทางกันต่อ .. เราแวะทานอาหารกลางวันที่ร้าน Pronto Coffee ร้านอยู่ซ้ายมือก่อนทางขึ้นเชียงดาว .. เราไปในวันที่มีวันหยุดยาวต่อเนื่องหลายวัน เลยทำให้มีคนมาเที่ยวเยอะ แต่ยังดีนะเราได้ที่นั่งในโซน Indoor ไม่งั้นคงต้องเปลี่ยนร้าน เพราะ อากาศตอนกลางวันมันร้อนมากจริงๆ
เราสั่งเมนูผัดไทกุ้งสดกับชาพีชมาทาน ราคาอาหารไม่แพงมาก ทางร้านมีโรงคั่วกาแฟเอง สามารถแจ้งได้ว่าจะเอากาแฟคั่วระดับไหน เข้ม-กลาง-อ่อน
เมื่อท้องอิ่มเราก็พร้อมออกเดินทางต่อไปยังจุดหมายต่อไป แต่ในระหว่างทางเราก็หยุดจอดรถไม่ได้เมื่อเห็นจุดถ่ายรูปที่เป็นที่นิยม ในเส้นทาง ชม.3024 ถนนเส้นเชียงดาว - เมืองคอง .. เอกลักษณ์ของจุดถ่ายรูปนี้ คือ ต้นยางนาที่ยืนเด่นอยู่สองข้างทางกับถนนที่คดเคี้ยวดูมีมิติ เลยเป็นจุดถ่ายรูปที่เป็นที่นิยมเมื่อผ่านมาตรงจุดนี้ แต่ก็ระวังรถที่สัญจรผ่านไปผ่านมาด้วยนะคะ .. ถัดไปอีกหน่อย เราต้องจ่ายค่าผ่านทางให้กับเจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตวป่าเชียงดาว รถยนต์ 30 บาท ผู้ใหญ่ คนละ 20 บาท
เราปิดแอร์เปิดกระจก รับลมธรรมชาติได้ไม่เท่าไหร่ ฝนเจ้ากรรมก็ตกลงมาต้อนรับการขึ้นเชียงดาวของเราอย่างพรั่งพรู เราขับรถมาเรื่อยๆจนกระทั่งมาถึงที่พักของเราในคืนนี้ นั่นก็คือ บ้านระเบียงดาว เป็นโฮมสเตย์เจ้าแรกๆบนเชียงดาว ตั้งอยู่ที่บ้านนาเลาใหม่ ชื่อที่อาจไม่คุ้นหูแต่ถ้าได้เห็นบรรยากาศแล้วจะร้อง อ๋อ! เพราะเป็นที่ตั้งของโฮมสเตย์ชื่อดังต่างๆมากมาย
บ้านระเบียงดาว เป็นที่พักที่ไม่ได้หรูหรา ไฟฟ้าที่มีก็ได้มาจากพลังงานโซลาร์เซลล์ (ไม่มีแดด=ไม่มีไฟฟ้า) ถ้าถามหาความสะดวกสบายแทบไม่มี แต่คนที่มาพักที่นี่ไม่ได้ต้องการสิ่งเหล่านั้น แต่ต้องการเพียงความเรียบง่ายกับวิวที่สวยงาม ในราคาหลักร้อยวิวหลักล้าน เท่านั้นเอง ..
และนี่คือวิวแรกที่เราเห็นจากหน้าระเบียงบ้านพักของเราจ้า อลังการงานสร้างไหมล่ะ ที่พักหลักร้อยวิวหลังล้านมีอยู่จริงนะ
สำหรับราคาที่พัก ถ้าจองเป็นบ้าน คนละ 650 บาท เต้นท์คนละ 550 บาท รวมอาหาร 2 มื้อ เช้า-เย็น ค่ะ .. ถ้าสนใจสามารถติดต่อสอบถามได้ที่
Facebook : บ้านระเบียงดาว
Tel. 0899980712 , 0899030083
เรามาถึงที่พักกันตอนบ่ายสามโมงซึ่งเป็นเวลาที่เรานัดกับกลุ่มชาวบ้านล่องแพเมืองคองไว้ จนพี่เค้าโทรมาตามว่าเรายังจะไปล่องแพอยู่รึป่าว พวกเราก็สองจิตสองใจเพราะฝนก็ตกไม่มีวี่แววว่าจะหยุด แต่ไหนๆก็มาแหละไปให้ถึงก่อนละกัน ล่องแพได้ไม่ได้ค่อยว่ากันอีกที
เส้นทางการไปเมืองคองนั้นก็เป็นเส้นเดียวกันกับที่เราขึ้นมาเชียงดาวเนี่ยแหละค่ะ แต่เลยไปอีกหน่อยเพราะเมืองคองนั้นอยู่ด้านหลังของดอยหลวงเชียงดาว เป็นชุมชนเล็กๆที่อยู่ท่ามกลางหุบเขา บางช่วงบางตอนทางจะค่อนข้างคดเคี้ยวเหมือนงูไปบ้าง ก็ขับรถด้วยความระมัดระวังนะคะ ไม่ต้องรีบ ^^
จากบ้านระเบียงดาวขับต่อไปอีกประมาณ 23 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 40 นาที ก็จะถึงที่ล่องแพไม้ไผ่เมืองคอง (กลุ่มชาวบ้าน) ถ้าใครอยากไปล่องแพแบบเราแนะนำให้โทรไปจองก่อนนะคะ ตามเบอร์นี้เลย ..
เมื่อเริ่มเข้าใกล้เมืองคอง เราจะเจอกับสัตว์อย่างวัว,ควายตลอดทางเลยค่ะ แอบสงสัยว่า เดินมาถึงนี่กันได้ยังไง มีเจ้าของรึป่าวถึงได้ปล่อยฟรีสไตล์ขนาดนี้ ดูๆจากระยะทางที่ผ่านมาแล้วเหมือนไม่เจอชุมชนเลยค่ะ ระยะทางก็ไกลเอาเรื่องอยู่นะ เก่งกันจริงๆ (ความรู้สึกเหมือนอยู่ในสวนสัตว์เปิดเลยค่ะ)
พอมาถึงจุดที่จะรับเราขึ้นกระบะไปยังจุดล่องแพ โชคก็เข้าข้าง ฟ้าฝนเป็นใจ หยุดให้เราได้ออกไปล่องแพค่ะ .. ช่วงเวลาที่น่าล่องแพจะอยู่ราวๆ 16.00 น. - 18.00 น. จะเป็นเวลาที่ดีในการล่องแพค่ะ ไม่ร้อนเกินไป ไม่เย็นเกินไป ใช้เวลาล่องประมาณ 1 ชั่วโมงขึ้นอยู่กับความแรงของกระแสน้ำด้วยค่ะ แพ 1 ลำ นั่งได้ 3-4 คน (รวมคนถ่อเรือ) ส่วนเรานั่งสวยๆ นั่งชิลล์ๆชมบรรยากาศ หรือใครจะติดเครื่องดื่มมาทานระหว่างล่องแพด้วยก็ได้นะคะ แต่ต้องเก็บไปทิ้งให้เรียบร้อย
พอเราล่องแพกันเสร็จเราก็ตรงดิ่งกลับที่พักกันในทันที ทางที่พักก็เตรียมสำรับอาหารให้พวกเราพร้อมเลยค่ะ ถ้ากับข้าวหมดขอเพิ่มได้ ทีเด็ดก็คงจะเป็นน้ำพริกนรกแตกของบ้านระเบียงเนี่ยแหละค่ะ ยิ่งทานกับไข่เจียว ยิ่งอร่อยไปอีก
ส่วนสัญญาณโทรศัพท์ไม่ต้องพูดถึง No Service แม้กระทั่ง AIS ที่มาๆหายๆ แต่โดยรวมคือเล่นไม่ได้เลย ไม่ต้องกลัวแบตมือถือหมดเลยค่ะ .. กิจกรรมสุดท้ายที่เราทำกับในคืนนี้ คือ การที่เราได้มานั่งมองดวงดาวบนท้องฟ้า ที่ชัดมากหาดูชัดๆแบบนี้ไม่ได้ในกรุงเทพ แต่เอ๊ะ! เหมือนเห็นทางช้างเผือก เพื่อนๆช่วยดูหน่อยว่า ใช่ไหม? (เราใช้กล้องโทรศัพท์ของ IPhone 13 ของเพื่อนถ่ายนะ)
การที่ได้มาพักที่นี่ทำให้คนถึงการใช้ชีวิตในสมัยก่อน ในวันที่เราไม่ติด social และยังเห็นความสำคัญของคนรอบข้าง มันดีมากๆเลย ที่เราได้นั่งพูดคุยมากกว่าการจิ้มโทรศัพท์มือถือ ได้นั่งล้อมวงกินข้าวไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบ บอกได้คำเดียว โครตดี! ..
วันที่สามของการเดินทาง : 30 กรกฎาคม 2565
กู๊ดมอร์นิ่งค่ะทุกคน ~ เช้านี้ ตื่นไวกว่าทุกวันที่ผ่านมาอี๊กกกก ทำไมน่ะหรอ ก็เจ้าไก่ที่บ้านระเบียงดาวน่ะสิ ขันปลุกตอนตี 3 หลังจากนั้น ก็หลับๆตื่นๆมาตลอดจนถึงตีห้าครึ่ง เราจึงออกมาชมวิวดอยหลวงเชียงดาวยามเช้าจากหน้าระเบียงห้องพัก แต่น้ำค้างก็แรงซะเหลือเกิน เราหวังกับการเจอหมอกเต็มๆมากกับทริปนี้แต่เราเจอหมอกลงแค่ย่อมเดียวเองอ่ะ ขนาดเมื่อวานมีฝนตกมาตอนช่วงบ่ายนะ แต่ไม่เป็นไร สวยเหมือนกัน คุ้มค่ากับการตื่นเช้า ^^
พอหกโมงเราเดินไปตรงคาเฟ่ของบ้านระเบียงดาว เพื่อนเราสั่งชุดกาแฟมาดริป ชุดละ 50 บาท มาเสพบรรยากาศสวยๆของดอยหลวงเชียงดาวที่ตระหง่านอยู่ตรงเบื้องหน้า
และจุดไฮไลต์ที่พลาดไม่ได้เมื่อมาที่นี่ เราต้องถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกับ background ดอยหลวงเชียงดาวสักหน่อย หากสายกว่านี้คนจะเยอะ ก็ต้องขออภัยในความหน้าสดในตอนเช้านี้ด้วยนะคะ
พอถึงเวลา 7 โมงเช้า ก็จะมีอาหารเช้ามาเสิร์ฟให้ที่หน้าห้องพักทุกหลัง อาหารเช้าก็จะเป็นอะไรง่ายๆ กับเมนู ข้าวต้ม และกาแฟ/โอวัลตินซอง พร้อมน้ำร้อนหนึ่งกา
ปล.แนะนำให้รีบอาบน้ำนะ ถ้าอาบสายน้ำจะเป็นสีโอวัลตินเลยล่ะค่ะ เจอมาแล้ว .. ก่อนกลับเราก็ไม่พลาดซื้อของฝากเป็นน้ำพริกนรกแตก บ้านระเบียงดาว เพราะ ของเค้าดีจริงๆ อร่อยถูกปากมากค่ะ
ก่อนออกจากบ้านระเบียงดาวไป ก็ถึงเวลาอำลาเพื่อนในกลุ่มอีก 2 คน ที่มีธุระต้องกลับก่อน แต่พวกเราที่เหลือยังมีเวลาอยู่เชียงใหม่อีก 1 คืน ก่อนจะลงไปที่ตัวเมือง มาถึงเชียงดาวทั้งทีจะไม่แวะถ้ำเชียงดาวก็กลัวจะเสียใจ มาถึงนี่แล้วก็ต้องแวะสักหน่อย ค่าเข้าชมถ้ำ คนละ 20 บาท
สำหรับเส้นทางเดินชมถ้ำ มีด้วยกัน 3 เส้นทาง คือ
- เส้นทางที่ 1 ถ้ำพระนอน ระยะทาง 360 ม.
- เส้นทางที่ 2 ถ้ำแก้ว ถ้ำน้ำ ระยะทาง 734 ม.
- เส้นทางที่ 3 ถ้ำม้า ระยะทาง 735 ม.
ซึ่ง 2 เส้นทางหลังจะไม่มีไฟฟ้า จะต้องจ้างไกด์นำไปพร้อมกับตะเกียงนำชมในแต่ละถ้ำ ส่วนเราขอแค่เดินชมแค่เส้นทางที่ 1 ก็เพียงพอแล้วค่ะ
จากนั้น พวกเราก็วิ่งรถยาวลงมาถึงตัวเมืองเชียงใหม่ ปริมาณรถในตัวเมืองทำให้รู้สึกเหมือนอยู่กรุงเทพยังไงยังงั้นเลยค่ะ .. สถานที่ต่อไปแม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่มาแต่ก็ขอแวะ วัดอุโมงค์ อีกสักครั้ง
ตอนนี้ก็เลยเวลาเที่ยงมามากละ ต้องหาอะไรลงท้องหน่อยแล้วล่ะ .. มาถึงเชียงใหม่ก็อยากกินอาหารพื้นเมืองจักหน่อย เลยตั้ง GPS ไปที่ร้านฮ้านถึงเจียงใหม่ แต่ๆๆ คุณลุงคนโบกรถไม่ให้เข้าไปกินจ้า พร้อมป้ายที่ตั้งว่า ที่จอดรถเต็มจำกัดคนเข้ามาในร้านเนื่องจากสถานการณ์โควิด แต่เราเห็นคนออกจากร้านนะ ทำไมไม่ให้เราเข้าไปกินล่ะ เสียใจ TT .. ไม่ง้อ ! หาร้านใหม่ก็ได้ สุดท้ายมาได้ร้าน เฮือนม่วนใจ๋ รอคิวแปปเดียวไม่นาน ดีนะมาทันก่อนครัวจะปิดพักเบรคแล้วจะกลับมาเปิดอีกทีตอนเย็น
พวกเราสั่งเมนูจิ้นส้มหมก, ตำขนุน, แกงหน่อไม้ปลาจี่, น้ำพริกหนุ่มแคบหมู ค่าเสียหายมื้อนี้ 690 บาท หมดเกลี้ยงไม่เหลือสักเมนู ก็คนมันหิวนี่นาา
ป่ะ! เข้าที่พักกันดีกว่า ที่พักคืนสุดท้าย เราพักแถวๆถนนนิมมานเหมินทร์ ชื่อที่พักว่า Kokotel Chiang Mai เราใช้สิทธิ์เราเที่ยวด้วยกันจองมาในราคา 1,557.60 บาท จำนวน 2 ห้อง แบบไม่รวมอาหารเช้า เป็นที่พักประเภท koko couple (King) และ koko party (king & Bunk) ไม่ต้องงงนะคะ ตอนเราจองสมาชิกมีทั้งหมด 6 คนค่ะ ตอนมาพักจริงเหลือ 4 คน ค่ะ แหะๆ .. เราได้ครอบครองห้องใหญ่ค่ะ ไปดูสภาพห้องกันเลย
ที่นี่ Reception มีตลอด 24 ชม. เขคอินได้ตั้งแต่ 14.00 น. เชคเอ้าท์ไม่เกิน 12.00 น. อยู่ใกล้สนามบินและ warm up ฮ่าๆ .. ภายในห้องก็มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ที่นี่นโยบายค่อนข้าง save earth น้ำดื่มเราต้องนำขวดที่อยู่ในห้องไปเติมน้ำที่ตู้กดน้ำเอาค่ะ ..
ส่วนตัวเราชอบที่พักนี้นะ ห้องกว้าง เตียงนุ่มนอนสบาย ประหยัดงบ เหมาะกับสายท่องเที่ยวแบบเรามากเลย และอย่างสุดท้ายที่เราชอบ เราถูกจริตกับห้องน้ำที่นี่ อาบน้ำสนุกมาก ฝักบัวน้ำแรงซะใจ ..
หากใครสนใจ สามารถติดต่อสอบถาม/สำรองห้องพัก ได้ที่
Tel. 053 218 825
Line ID : https://lin.ee/Va3u6Z8
Fackbook : Kokotel Chiang Mai Nimmanช่วงนี้ก็แยกย้ายพักผ่อนตามอัธยาศัย นัดเจอกันอีกทีที่ล็อบบี้ตอน 6 โมงเย็นเพื่อจะไปถนนคนเดินกัน แต่! ฝนเจ้ากรรมก็ตามมาหลอกหลอนไม่เลิกบวกกับขับรถผ่านแล้วดูไม่มีอะไร หาที่จอดรถไม่ได้ด้วย ขับไปขับมาวนหาร้านทานข้าวจนไปลงเอยที่ร้านบ้านส้มตำ ที่ได้จากการสุ่มเลือกร้านของพวกเรา
ยังไม่จบเพียงเท่านี้มาถึงเชียงใหม่ทั้งที จะไป warm up หรือ ท่าช้าง ก็จะดูหนักไปสำหรับคนที่ต้องเดินทางกลับกรุงเทพในวันพรุ่งนี้ .. เลยขอไปนั่งร้านดื่มชิลล์ๆเป็นร้านรุ่นน้องที่รู้กันมาเปิดร้านที่เชียงใหม่ ชื่อร้านว่า One Night Chiangmai ในร้านมีแต่เด็ก มช. วัยละอ่อนทั้งนั้นเลย เรานั่งในร้านก็รู้สึกแก่ไปโดยปริยาย ฮ่าๆๆๆ
ถึงเวลาอันสมควรประมาณ 23.00 น.เลยขอตัวกลับโรงแรมเพื่อพักผ่อน เตรียมตัวเดินทางกลับในวันพรุ่งนี้ .. เวลาที่มีความสุขมักผ่านไปเร็วเสมอ แปปๆก็ต้องกลับไปเผชิญกับงานกองมหึมาอีกแล้ว แค่คิดก็เศร้า กินเหล้าย้อมใจ เอ้ย! นอนหลับพักผ่อนดีกว่า C U Tomorrow จ้า
วันสุดท้ายของการเดินทาง : 31 กรกฎาคม 2565
เต้ยติ่มซำ เป็นร้านติ่มซำเก่าแก่ย่านกำแพงดิน เปิดทุกวัน 9.30 น.-21.00 น. เมนูติ่มซำมีให้เลือกเพียบ ไม่ว่าจะเป็น ซี่โครงหมูอบ ฮะเก๋า ขนมจีบ ซาลาเปา เกี๊ยวซ่า สาหร่ายทรงเครื่อง ก๋วยเตี๋ยวหลอด และอื่นๆอีกมากมาย .. เริ่มต้นด้วยการเลือกเมนูที่เราต้องการที่ด้านหน้าร้าน พี่เค้าจะนำไปนึ่งอุ่นให้ร้อน แล้วจะนำมาเสิร์ฟให้ถึงโต๊ะ ซอส กระเทียมเจียว น้ำดื่มบริการตัวเองนะจ๊ะ .. ราคาของเมนูนึ่งจะอยู่ที่เข่งละ 29 บาท ของทอดจานละ 60 บาท ซึ่งพวกเราสั่งไปทั้งหมด 405 บาท
ถึงเวลาที่เราต้องเดินทางออกจากเชียงใหม่กันแล้วค่ะ เรามาแวะซื้อของฝากกันที่ ตลาดอัศวิน จ.ลำปาง เป็นทั้งตลาดเช้า ตลาดกลางวัน และตลาดเย็น .. เรามาแวะซื้อน้ำพริกหนุ่ม แคบหมู ไส้อั่ว แหนม ร้านไส้อั่วแม่ถนอม ร้านนี้เค้าทำกันสดๆไม่ใส่สารกันบูดนะจ้า เราว่า รสชาติอร่อยกว่าซื้อในร้านขายของฝาก แนะนำๆเลยค่ะ
ไหนๆก็มาถึงถิ่นเมืองลำปางทั้งที ขอแวะวัดพระธาตุลำปางหลวง สักหน่อย ซึ่งเป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญของจังหวัดลำปาง นับว่าเป็นวัดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองลำปาง และยังมีพระธาตุลำปางหลวง เป็นพระธาตุประจำปีเกิดปีฉลู (วัว) ใครที่เกิดปีฉลู ลองหาโอกาสมากราบสักการะวัดนี้สักครั้งนะ
พอเราเดินผ่านประตูโขง เข้ามาก็จะเจอกับ ‘กู่พระเจ้าล้านทอง’ ภายในประดิษฐานพระเจ้าล้านทอง เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะสมัยล้านนา
วิหารพระพุทธ มีอายุมากกว่า 700 ปี ภายในประดิษฐานพระประธานเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะเชียงแสน
ซุ้มพระพุทธบาท จุดชมเงาพระธาตุกลับหัว ที่ได้รับการยกย่องให้เป็นสิ่ง Unseen Thailand แต่จุดนี้ผู้หญิงไม่สามารถขึ้นไปชมได้
และที่นี่ยังมีวิหารพระแก้ว, วิหารพระศิลา, พิพิธภัณฑ์พระธาตุลำปางหลวงและพิพิธภัณฑ์เครื่องไม้ เป็นต้น ให้เราได้ไปเยี่ยมชม .. เราเดินไม่ทั่วเพราะเกรงว่าเวลาเดินทางกลับจากเลจออกไปอีก เลยชมความงามของวัดพระธาตุลำปางหลวงเพียงเท่านี้ ไว้โอกาสหน้ามาเยือนลำปางแบบเต็มๆจะมาสำรวจใหม่นะ
จบจากสถานที่นี้เราก็จะตรงดิ่งกลับกรุงเทพกันยาวๆ แต่เราโดนฝนเล่นงานตั้งแต่จังหวัดตากมาจนถึงกรุงเทพเลยขับรถเร็วได้ไม่ดีนัก (แต่ก็โดนจ่ายค่าผ่านทางให้คุณตำรวจ ข้อหา ทำความเร็วเกินกำหนด ฮ่าๆ) พวกเรา กลับมาถึงกรุงเทพโดยสวัสดิภาพตอนสี่ทุ่มครึ่ง เป็นการเดินทางที่แสนยาวนานแต่ก็สุขใจ .. หวังว่าทริปเชียงดาว ช่วง Green Season นี้ จะทำให้เพื่อนๆมีแรงบันดาลใจมาท่องเที่ยวเชียงดาวสักครั้งนึงนะคะ ขอบคุณที่ติดตามกันมาค่ะ ^^
ขอบคุณ Sony A7iii + Sigma 24-70 f2.8 DG DN ที่ทำให้เราได้ภาพสวยๆตลอดทริปนี้
แต่งภาพโดยโปรแกรม Lr
ขอบคุณทุกๆคนที่ติดตาม หากผิดพลาดประการใดขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย ยินดีน้อมรับทุกคำติชม
สามารถติดตามการเดินทางของเราได้อีกหนึ่งช่องทาง
PAGE : https://www.facebook.com/inmyeyediary
และฝากกด LIKE และกด SUBSCRIBE เพื่อเป็นกำลังใจให้การทำวีดีโอการเดินทางของเราในครั้งต่อๆไปด้วยนะคะ
YOUTUBE : https://www.youtube.com/channel/UC8BYq-uSUDO23GYAQ-Ck3kQ
.. เจอกันการเดินทางครั้งต่อไป ..
สรุปค่าใช้จ่าย สำหรับทริปเชียงดาว (สำหรับ 6 คน)
ค่าที่พักระเบียงดาว 3,900 บาท
ค่าที่พักภูเมี่ยงคำ 4,200 บาท
ค่าที่พัก Kokotel Chiangmai 1,557.60 บาท
ไข่กระทะเลิศรส 539 บาท
Wander cafe 325 บาท
แมคโคร แม่ริม 487 บาท
7-11 แม่ริม 716 บาท
Pronto Coffee 939 บาท
ค่าเข้าอุทยาน 180 บาท
ล่องแพไม้ไผ่ 1,400 บาท
ค่าดอกไม้ถ้ำเชียงดาว 160 บาท
ค่าเข้าชมถ้ำ 80 บาท
ร้านเฮือนม๋วนใจ๋ 690 บาท
สถานีส้มตำ By ชะนีแคระ 305 บาท
One nice Chiang Mai 840 บาท
เต้ย ติ่มซำ 405 บาท
ค่าก๋วยเตี๋ยว 160 บาท
ค่าน้ำมัน 5,531 บาท
รวมทั้งสิ้น 22,444.60 บาท (ตกคนละ 3,740.77บาท)
In My Eye
วันอาทิตย์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2565 เวลา 12.52 น.