ทริปนี้พวกเราวางแผนกันไว้
ว่าจะไปตะลุยกันที่จังหวัดสตูล
เราจะพาทุกคนไปรู้จักชุมชนหนึ่ง
ชุมชนที่เน้นการใส่ใจของธรรมชาติ
มากกว่ามองในเรื่องของรายได้
ที่นี่ครับ
"บ้านบากันใหญ่"
เราออกเดินทางกันแต่เช้าที่สนามบินดอนเมือง
มุ่งหน้าไปสู่สนามบินหาดใหญ่ครับ
พวกเรานั่งมาลำเดียวกับทีมเมืองทอง ยูไนเต็ดด้วยครับ
เดินออกมาพร้อมกันแบบนี้ เราเลยขอถ่ายรูปกับเมสซี่เจไว้เป็นที่ระลึกหน่อยครับ
ถึงแล้วครับการเดินทางวันแรกของเราอากาศร้อนอบอ้าวเลยทีเดียว
มาถึงเราก็มานั่งรอรถสองแถวเพื่อต่อไปยังคิวรถตู้เกษตร
คนเต็มแล้วก็ไปกันครับ
คิวรถตู้เกษตรห่างจากสนามบินหาดใหญ่ไม่มากครับ
ไม่เกิน 20 นาทีเราก็มาถึง
ซื้อตั๋วไปสตูล เพื่อที่จะต่อไปยังปากบารา
คืนแรกของพวกเราจะพักกันที่นั่นครับ
ระหว่างทางเราก็คุยกับพี่คนขับรถ
คุยกันไปคุยกันมา พี่เค้าบอกว่าน้องมันไม่มีรถเข้าไปส่งนะ
รีสอร์ทที่น้องจะไป เดี๋ยวพี่เข้าไปส่งให้ละกัน
คนใต้นี่ทั้งใจดี น่ารัก และเป็นกันเองมากครับ
ถึงแล้วครับที่พักคืนแรกของเรา
ลากูน่ารีสอร์ท ปากบารา รีสอร์ทที่นี่เป็นรีสอร์ทเดียวที่อยู่ติดหาดครับ
คนขับรถตู้บอกกับเราว่า พระอาทิตย์ตกยามเย็นไม่แพ้แหลมพรหมเทพเลย
เดี๋ยวมาดูกันว่าจะจริงมั๊ย!!!!
แล้วก็เป็นอย่างที่พี่เค้าว่า
สวยไม่สวยดูกันเอาเองเลยครับ
พระอาทิตย์ตกหลังภูเขาอีกหนึ่งเสน่ห์ทะเลไทย
ได้เวลาออกไปกินข้าวเย็นกันแล้ว
มาทะเลคงหนีไม่พ้นอาหารทะเล
แต่พี่คนขับรถตู้บอกกับเราไว้ว่า ชาชักที่สตูลนี่เด็ดมาก ต้องไปลองครับ
แล้วเราก็ขี่มอเตอร์ไซค์ที่เช่ามาจากรีสอร์ท
ไปแถว ๆ ท่าเรือปากบารา แถวนั้นมีร้านอร่อย ๆ เยอะครับ
บรรยากาศอบอุ่นมากครับ มองผิวเผินนี่เหมือนร้านเหล้า
แต่ไม่ใช่ครับทุกคนมานั่งกินโรตีกินชาชักกัน
รสชาตินี่อร่อยละมุนละไมมากครับ
กินไปนั่งฟังเสียงทะเลไป บรรยากาศช่างเพลิดเพลินดีแท้
ใครมาสตูลแนะนำว่าให้มาร้านนี้เลยครับ
หรอยจังฮู้ววววว
ได้เวลากลับที่พัก
พรุ่งนี้เราต้องตื่นกันแต่เช้าเพื่อขึ้นรถตู้ไปยัง อ.ท่าแพ
จุดหมายปลายทางเราอยู่ที่นั่นครับ
อาหารเช้าของรีสอร์ท
เราซื้อคูปองไว้เป็นบุฟเฟ่ต์คนละ 80 บาทครับ
สำหรับใครที่อยากจะไปเกาะหลีเป๊ะ
ทางรีสอร์ทก็มีรถให้บริการรับส่งถึงท่าเทียบเรือปากบาราครับ
เราติดต่อกับทางรีสอร์ทไว้
ให้ไปส่งที่ท่ารถตู้ปากบารา คิดค่าบริการราคา 100 บาทจากที่พักครับ
เราขึ้นรถตู้สายสตูล - ละงู เพื่อที่จะลงไปยัง อ.ท่าแพ ครับ
จากปากบาราไปไม่ไกลครับ ประมาณครึ่งชั่วโมงได้
เรานัดให้เพื่อนมารับที่สามแยกทุ่งริ้น เพื่อเดินทางสู่ท่าเทียบเรือประมงครับ
สำหรับใครที่จะมาให้มาลงที่สามแยกทุ่งริ้น
แล้วนั่งมอเตอร์ไซค์ต่อมาลงท่าเทียบเรือประมง ราคา 40 บาท ประมาณ 8 กม. ครับ
นั่งกันไปไม่นาน เราก็มาถึงกันแล้วครับ
เรานัดกับบังอดุลย์ไว้
บังจะพาเราข้ามไปยังบ้านบากันใหญ่กันครับ
วันที่เราไปเจอกับกลุ่มใหญ่ครับ
เป็นคณะอาจารย์และนักศึกษาพยาบาลจากมอ.ปัตตานี
คนเยอะขนาดนี้ ทริปนี้คงจะคึกคักไม่เบาครับ
เรือมาแล้วก็ลงกันเลยครับ
เราจะใช้เวลาเดินทางกันประมาณ 40 นาทีครับ
สำหรับท่าเรือที่นี่ เรือวิ่งแค่รอบเดียวเท่านั้น ต้องมาให้ถึงก่อน 11 โมง
ถ้ามาช้ากว่านี้น้ำจะลดแล้วเราจะข้ามไปไม่ได้ครับ
ระหว่างทางก่อนถึง ต้นโกงกางจะขึ้นเต็มไปหมด
บ่งบอกได้เลยว่าทะเลแถบนี้ ยังคงความอุดมสมบูรณ์ไว้ได้ดีทีเดียวครับ
นั่งรับลมกันไปเพลิน ๆ ถึงแล้วครับบ้านบากันใหญ่
นี่เป็นที่ตกปลากันยามค่ำคืนครับ
ใครที่ชอบกิจกรรมนี้
ตกดึกก็มานั่งตกปลากันชิว ๆ ได้ครับ
ที่นี่ก็ยังมีแหล่งเพาะพันธุ์ปู
หรือชาวบ้านเค้าเรียกกันว่า ธนาคารปูไข่ครับ
มาถึงที่แล้วเราก็จัดเก็บสัมภาระกันก่อน นี่เป็นที่พักของพวกเราในค่ำคืนนี้ครับ
มุมนั่งเล่นที่พักของพวกเราครับ
เดี๋ยวๆๆๆ จะทำหน้าจริงจังกันไปไหน ยิ้มให้กล้องหน่อยสิค้าบบบบบ
ที่นี่ยังมีชิงช้าภายใต้ต้นไม้ใหญ่
ช่วยทำให้อากาศที่ร้อนระอุ มันเย็นลงไปได้บ้างครับ
นี่ๆๆๆๆ มั่นใจแล้วเหรอ
ว่าชิงช้าจะไม่พังน่ะ ลงมาเถอะ พี่ขอร้อง ฮ่าๆๆ
สำหรับใครที่สนใจมาบ้านบากันใหญ่
สามารถมาเที่ยวได้ทั้งปีครับ เนื่องจากเป็นทะเลใกล้ฝั่ง
ช่วงมรสุมจึงไม่ค่อยอันตรายเหมือนทะเลลึก รับรองได้ว่าปลอดภัยจากคลื่นลมมรสุมแน่นอน
เพราะที่นี่มีเกาะแก่งต่างๆ ล้อมรอบเป็นเกราะกำบังไว้นั่นเองครับ
นั่งเล่นกันไปสักพัก
มื้อเที่ยงของเรามาแล้วครับ อาหารสด ๆ จากทะเลสตูล
รับรองว่าต้องยั่วให้น้ำลายไหลกันแน่ ๆ
ปูม้าสด ๆ เติมได้ไม่อั้น
หอยหวาน กินแล้วกินอีก
แหม๊อะไรจะอร่อยขนาดนี้
อยากให้มาลองชิมกันซะจริง ๆ
นั่งกินไปดูแพะไป
เฮ้ยมันใช่เหรอ นอนหลับซบกัน
เห็นแล้วก็น่ารักดีครับ
ซัดกันเรียบ ไม่เหลือซากครับ
เด็กๆ ที่นี่น่ารักนะครับ
ยิ้มให้กล้องตลอด ดูอย่างน้องคนนี้สิ
แหมะท่าตั้งแต่รุ่นเราสมัยยังเด็ก ๆ
พออิ่มกันได้ที่ ได้เวลาออกไปดูสิ่งมหัศจรรรย์
อันซีนแห่งท้องทะเลสตูลกันแล้วครับ
ระหว่างทางเดิน
ก็จะเต็มไปด้วยก้อนกรวดสีแดง
เต็มไปหมดซึ่งจะต่างจากทะเลที่อื่นครับ
หาดแถวนี้ชาวบ้านเรียกว่า หาดทรายแดง ครับ
พอน้ำลดจะเห็นเป็นสันทรายคล้ายมังกรโผล่พ้นน้ำทะเล
จนเกิดเป็นทะเลแหวกสันหลังมังกรแดงอย่างที่เราเห็นกัน
ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งความมหัศจรรย์ของเมืองไทยที่ท้องทะเลสตูลแห่งนี้ครับ
ยิ่งเดินน้ำก็ยิ่งลดลงเรื่อย ๆ
ขากลับเราก็จะเห็นสันหลังมังกรนี้ ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ครับ
น้องๆ ที่มาจากปัตตานี
นึกสนุกก็เอาก้อนกรวดสีแดงมาพอกทับตัวซะเลย
คาดว่าหลังจากนี้พลังของน้องคงจะเยอะขึ้นแน่ ๆ ครับ ฮ่าๆๆ
นั่งพักเหนื่อยกันไปสักพัก ได้เวลาไปลุยกันต่อครับ
บังอดุลย์เรียกพวกเรามาพูดคุยกันก่อนที่จะไปยังที่ต่อไป
เพราะที่ที่เราจะไปเป็นแหล่งปะการังน้ำตื้นครับ
พอเย็นแล้ว น้ำก็จะลดลงแบบนี้ครับ
ระหว่างทางเดินเราก็จะพบกับป่าชายเลน ที่มีต้นไม้น้อยใหญ่ขึ้นเต็มไปหมดตลอดทาง
นี่เป็นโฉมหน้าบังริน ผู้นำทริป
ที่พาพวกเราไปดูปะการังครับ
ที่เห็นกันอยู่นี้เรียกว่า รากอากาศ ครับ
ใครเผลอเหยียบเข้าไปมีร้องแน่ ๆ
เดินไปสักพัก เราก็จะผ่านอุโมงค์ต้นลำพู
ต้นนี้เป็นไฮไลท์ของที่นี่ครับ
เดี๋ยวพรุ่งนี้เราจะมาพายคายัคลอดใต้ต้นนี้กัน
นายแบบประจำทริปเราครับ เท่สุด ๆ
เมื่อเรามองลอดต้นลำพู ขึ้นไปด้านบน
เราจะเห็นฝูงค้างคาว เวลาน้ำลดมันจะมาเกาะที่ต้นนี้กันประจำครับ
ถึงแล้วครับ แหล่งปะการังน้ำตื้น
ที่นี่สมบูรณ์มาก จนชาวบ้านบอกกันว่าเป็น บากันใหญ่อควอเรี่ยม เลยทีเดียวครับ
จะสมบูรณ์แค่ไหน ตามไปดูกันครับ
เดินกันไปเราก็จะเจอกับสัตว์น้ำหลากชนิด
นี่เป็นเจ้าปูก้ามเดียวครับ ที่ก้ามอีกข้างมันหายไป
เพราะว่ามันเกิดการต่อสู้กัน ปูที่นี่ดุไม่เบานะครับ อย่าได้ไปแหย่มันเชียว
ต้นกัลปังหาครับ
แล้วสิ่งที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน
ก็มาอยู่ตรงหน้าเรา ปลาดาวสีแดง ครับ
ข้อควรระวังในการเดินที่นี่
ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะปะการังเป็นสิ่งที่บอบบาง
เดินห่างให้มากที่สุด อย่างน้อย ๆ เราก็เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยรักษาปะการังเหล่านี้ไว้
ให้รุ่นลูกรุ่นหลานเราได้ดูได้เห็นกันไปอีกนานๆ ครับ
อีกหนึ่งหินที่สวยงามของที่นี่ เป็นหินหลังช้างครับ
เมื่อพระอาทิตย์ตกลง จะตกลงตรงกลางร่องหินพอดี
ถือว่าเป็นจุดชมพระอาทิตย์ที่สวยอีกที่หนึ่งครับ
เดินชมปะการังกันจนเหนื่อย ได้เวลากลับไปกินข้าวเย็นกันแล้วครับ
อาหารเย็นเรามานั่งกินกันในนี้ พร้อมๆ กับน้องๆ นักศึกษาจากปัตตานีครับ
เมนูอาหารในคืนนี้ครับ
ยังๆ ไม่จุใจ
บังอดุลย์จัดเมนูพิเศษให้เรากินอีก
เป็นเมนูปิ้งย่างกินกันริมทะเลครับ อาหารยังไม่ทันย่อย
ต้องมาจัดหนักกันอีกแล้ว ถามว่าไหวมั๊ย ระดับนี้แล้วไหวสิครับ
เตาร้อนได้ที่ ปิ้งกันเลยครับ
เอาให้อ้วกกันไปข้าง
เช้าแรกที่บ้านบากันใหญ่
เราตื่นกันสายหน่อย เนื่องจากเพลียแดดจากเมื่อวาน
แดดที่นี่ร้อนอย่างแรงครับ
เมื่อตื่นสาย อาหารเช้าของพวกเรา
ก็เหลือให้กินอย่างที่เห็นครับ น้อง ๆ ซัดกันเรียบ ฮ่าๆๆ
กินข้าวกันอิ่ม
วันนี้พวกเราจะไปเกาะหินดำกันครับ
น้ำยังลดอยู่เยอะ พวกเราต้องเดินไปขึ้นเรือกันไกลหน่อยครับ
พวกน้อง ๆ นักศึกษา ยิ้มสู้กล้องกันน่าดูเลยครับ
เรือพร้อมออกเดินทางกันเลยครับ
น้อง ๆ ที่มาถึงก่อนก็ลงเล่นน้ำกันสนุกเลยครับ
ถึงแล้วครับเกาะหินดำ
และนี่คงจะเป็นที่มา ที่เกาะหินดำแห่งนี้ครับ
เกาะที่นี่จะมีฝูงค้างคาวแม่ไก่
เกาะกิ่งไม้อยู่เต็มไปหมด ตอนกลางคืนมันจะออกไปหากินผลไม้
แล้วตอนกลางวันมันจะมานอนพักที่เกาะนี้แหละครับ
และนี่ก็เป็นจุดชมวิวของเกาะนี้
ถ้าโชคดีเราจะได้เห็นฝูงโลมา
แหวกว่ายอยู่แถวนี้ ซึ่งเรา...ไม่ได้โชคดีขนาดนั้นครับ
บรรยากาศรอบ ๆ เกาะครับ
เดินชมเกาะกันเหนื่อยแล้ว
เล่นน้ำทะเลให้ชุ่มปอดกันหน่อยครับ
เล่นน้ำกันเสร็จ
ได้เวลากลับไปพายเรือคายัคกันต่อครับ
เราจะไปสัมผัสกับป่าลำพู เวลาน้ำขึ้นจะสวยแค่ไหนไปดูกันครับ
พายกันจนเหนื่อย ถึงแล้วครับต้นลำพู
ที่เราเดินผ่านกันมาเมื่อวานนี้
แต่วันนี้ระดับน้ำทะเลสูงไปหน่อย เราเลยลอดผ่านเข้าไปไม่ได้ครับ
ลอดไม่ได้ก็กลับกันสิครับ
ระหว่างทางกลับ คลื่นแรงไม่เบา
ถามว่าคว่ำมั๊ย จะรอดเหรอครับ ฮ่าๆๆๆ
โชคดีที่น้ำแถวนี้ไม่ลึกมาก ยังยืนถึง
ไม่งั้นคงไม่ได้เห็นภาพสวย ๆ นี้กลับไปแน่ครับ
ที่นี่ถือได้ว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศในรูปแบบชุมชน
มีการจำกัดนักท่องเที่ยวให้เข้ามาได้เพียงเดือนละ 300 คน
ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการรักษาสภาพธรรมชาติให้ไม่บอบช้ำจนเกินไป
เรียกได้ว่าเป็นชุมชนที่จัดการระบบการท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดีเลยครับ
อาบน้ำกันเสร็จเรียบร้อย
ได้เวลาบอกลาบ้านบากันใหญ่กันแล้ว
เราจะนั่งรถไปขึ้นเรือกันอีกฝั่งครับ
เป้าหมายต่อไปของเราอยู่ที่อุทยานแห่งชาติทะเลบันครับ
ห่างจากที่นี่ไม่มาก อยู่ที่ อ.ควรโดน ประมาณ 40 กม. ได้ครับ
เราแวะซื้อของกินกันตามชุมชนก่อน
เพราะกว่าเราจะไปถึงที่นั่น ร้านคงจะปิดกันหมดแล้วครับ
แล้วเราก็มาแวะมาซื้อกับข้าว ที่ร้านตามสั่งนี่แหละครับ
พวกเรามาถึงอุทยานกันด้วยสภาพที่ฝนตกหนัก
จากที่ตอนแรกจะนอนกางเต้นท์กัน ต้องเปลี่ยนเป็นนอนบ้านพักกันแทนครับ
ที่นี่จะได้ยินเสียงร้องว้ากๆๆๆ เต็มไปหมด
เป็นเสียงเจ้าเขียดว้ากหรือหมาน้ำนั่นเอง เจ้าตัวนี้ยังเป็นเสน่ห์ที่ดึงดูดให้คนเข้ามาที่นี่
มาแล้วไม่ได้มาฟังเสียงว้ากๆๆ นี้เหมือนมาไม่ถึงครับ
เรามองหาเจ้าเขียดว้ากตั้งนาน มันก็ไม่ยอมโผล่มาให้เราเห็นตัว
เลยถ่ายรูปปั้นมันให้ดูแทนแล้วกันครับ
ท่ามกลางบรรยากาศเย็น ๆ
หมอกบางๆ ก็ลอยอบอวลเหนือบึงบัว
ภาพที่เห็นก็เลยได้อรรถรสไปอีกแบบครับ
ระหว่างทางเดินก่อนเข้าบ้านพัก
เขียวชะอุ่มไปตลอดทางครับ
หลังจากเดินทางกันมาหลายที่ อาการเหนื่อยล้าก็ตามมา
สุดท้ายพวกเราก็สลบกันไป ในค่ำคืนสุดท้ายนี้ครับ
แน่นอนเช้าๆ แบบนี้ ไม่มีใครตื่นครับ หลับกันยาว
เราเลยออกมาเดินดูบรรยากาศ ยามเช้าของที่นี่กันหน่อย
สำหรับชื่อ "ทะเลบัน"
หลายคนอาจจะสงสัยว่าชื่อทะเลแต่ทำไมไม่มีทะเล
ซึ่งที่ตรงนี้เกิดจากปรากฎการณ์จากทะเลที่ยุบตัวลงของพื้นดินระหว่างภูเขาด้วยกัน
จนกลายมาเป็นหนองน้ำขนาดใหญ่อย่างที่เห็นกันนี่แหละครับ
บรรยากาศโดยรอบที่นี่ จะแวดล้อมไปด้วยบึงน้ำจืดขนาดใหญ่
มีศาลาท่าน้ำไว้ให้นักท่องเที่ยวได้นั่งพักผ่อน มีทางเดินรอบบึงให้ได้ถ่ายรูปกันครับ
และนี่ก็เป็นบันทึกการเดินทางของเราตลอด 4 วัน 3 คืนที่ผ่านมาครับ
" ในชีวิตคนเรา
มีบางเรื่องที่ทำก็ได้ ไม่ทำก็ได้
แต่เราเลือกที่จะทำ
ไปในทุกที่ ที่ไม่เคยไป
สุดท้ายแล้วในทุกสิ่งที่เราได้ไปสัมผัส
เราจะตอบตัวเองได้
ว่าเราต้องการคำตอบอะไรให้กับชีวิต "
รายละเอียดค่าใช้จ่าย
ค่าเครื่องบิน ขาไป ดอนเมือง - หาดใหญ่ 1,409 บาท
ขากลับ หาดใหญ่ - ดอนเมือง 1,181 บาท
ค่ารถตู้ คิวรถตู้เกษตร - ปากบารา 100 บาท
ปากบารา - อ.ท่าแพ 50 บาท
อ.ควรโดน - คิวรถตู้เกษตร 90 บาท
ค่ารถสองแถว จากสนามบินหาดใหญ่ - คิวรถตู้ตลาดเกษตร คนละ 30 บาท
คิวรถตู้ตลาดเกษตร - สนามบินหาดใหญ่ 30 บาท
ค่าเช่ารถมอเตอร์ไซด์ เช่าจากลากูน่ารีสอร์ท 300 บาท คนละ 150 บาท
ค่าที่พัก ลากูน่ารีสอร์ทปากบารา 1 คืน 700 บาท ห้องละ 2 คน คนละ 350 บาท
บ้านบากันใหญ่ 1 คืน รวมเรือรับ-ส่งท่าเรือทุ่งริ้นค่าอาหาร 3 มื้อ คนละ 1,700 บาท
บ้านพักอุทยานแห่งชาติทะเลบัน 1 คืน หลังละ 500 บาท คนละ 250 บาท
ค่าอาหารและเครื่องดื่ม คนละ 1,290 บาท
ไปกันทั้งหมด 4 คน รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดคนละ 6,630 บาท
FB : Bean Skullflied
Bean Skullflied
วันพุธที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2559 เวลา 15.40 น.