ทริปมาคนเดียวแบบกังวลในระดับหนึ่ง นับแบบจริงๆให้เป็นทริปที่ 2 ของ Solo long vacation ก่อนหน้าคือ London 5 คืน 2 ปีที่แล้วที่เจอประสบการณ์ตกรถบ้าง ตั๋วหายบ้าง จองตั๋วผิดวันอีก

ครั้งนี้จำความพลาดจากครั้งก่อน คอยรอบคอบมีสติมากๆ ที่กลัวน่าจะเพราะผู้หญิงเอเชียตัวเล็กๆคนเดียว เดินก็จะคอยระวังมากๆ เพิ่มความยากจากลอนดอนคือเป็นต่างประเทศไม่เคยไปมาก่อนเลย

เรื่องพลาดมีตั้งแต่วันแรก


ถ้าจะไม่มีเรื่องพลาดเลยก็คงจะเก่งเกินไป ความพลาดก็มีตั้งแต่วันแรกที่บินลงอิตาลีเพราะดันได้เที่ยวบินลงถึงมิลานตอนสามทุ่ม ถ้ามันราบรื่นไปโรงแรมได้เลยก็คงจะดีแต่…ลืมคิดถึงปัญหาแถว ตม ก็รอไปเลยชั่วโมงครึ่ง แพลนพังหนึ่งก็มีอย่างอื่นไล่ตามมาสนามบินอยู่ห่างเมืองมิลานไป 1 ชั่วโมงยังดีที่รถบัสสนามบินมีตลอดทั้งคืน แต่...มันไม่มีแท็กซี่ในเมืองมิลานจากที่ลงรถบัสกดรับไปโรงแรม กว่าจะเข้าเมืองมิลานก็ดึกมากแล้วยิ่งให้คิดถึงเดิน(ไม่ทำเด็ดขาด) สรุปแล้วก็แก้ปัญหาด้วยการนั่งเมโทรที่ยังวิ่งอยู่ตอนเที่ยงคืนไปลงให้ใกล้โรงแรมมากขึ้นแล้วลองกดแท็กซี่อีกที ตอนแรกก็คิดว่าใต้ดินจะเงียบแบบไม่มีคนแล้วแต่คนเยอะกว่าที่คิดมาก แต่ในสถานีมันเงียบและสถานีใกล้โรงแรมก็เงียบมากเช่นกัน และรถแท็กซี่นั้นน…ก็ยังไม่มีรถรับเหมือนเดิม จนตัดสินใจจะเดินเพราะมันไม่ไกลมากแล้ว…แต่แต้มบุญยังเหลือ! มีรถกดรับตอนเริ่มเดินไปนิดเดียว ตอนนั้นน้ำตาจะไหลกลัวเดินแล้วเจอคนเมาอย่างเดียว เห้อออ ฉันเหนื่อยมากนะอิตาลี

วันที่สองที่หายเหนื่อย

ได้นอนแค่ไม่กี่ชั่วโมงก็ต้องตื่นเช้าไปทัวร์ที่จองไว้ ทริปนี้ตั้งใจมากกว่าอยากไปขึ้นรถไฟ Bernina Express จากคำล่ำลือและรูปวิดีโอตามรีวิวที่สวยมากๆ ก็คิดว่าควรที่จะไปสักครั้ง ในเมื่อโอกาสอยู่ใกล้แล้วครั้งนี้แหละที่ไปได้เพราะมีทัวร์ที่ตั้งต้นรับที่มิลาน 

แล้วใครจะไปคิดว่าวันที่รอจะกลายเป็น special moment ได้ขนาดนี้ ถ้าจะพูดว่ารูปที่ถ่ายมาคือวิวที่สวยที่สุดตั้งแต่เที่ยวมาก็ไม่เกินจริง วันนั้นมีแต่คำว่าสวยอยู่ในหัวแทบทั้งวันจนเปลี่ยนเป็นคำว่าโกง เพราะสวิซรอบนี้คือสวยเกินเรื่องมากๆ สวยจนที่ไหนจะไปสู้ได้

ปกติประเทศนี้มันก็สวยมากๆอยู่แล้ว จากก่อนไปหนึ่งวันฝนตกวันถัดไปอากาศชื้นเลยเจอริ้วหมอกบนเขาตลอดทาง นี่ยกให้เป็น Special moment เลยนะ ไกด์ยังบอกว่าฉันนึกว่าพวกคุณจ่ายแพงกว่ารอบอื่นเพราะวันนี้มันสวยมากก

Bernina express รถไฟที่เขาว่ากันว่าทางสวยสุดในโลก เดินทางวันนี้จากการซื้อทัวร์ day trip จาก get your guide ขึ้นรถบัสจากมิลานวิ่งผ่านทะเลสาบ lugano และข้ามประเทศไปสวิซแวะเข้าเมือง St.Moritz ก่อนจะไปขึ้นรถไฟ Bernina express ที่เป็นปลายสายของเส้นรถไฟนี้ ความจริงแล้วเมืองนี้และรถไฟจะสวยที่สุดตอนหน้าหนาวเพราะเหมือนรถไฟวิ่งบนหิมะ แต่ขนาดวันนี้ที่เป็น Autumn ก็สวยมากแล้ว ส่วน St.Morit ก็เป็นเมืองที่สวยมากๆ

ปล. กลับเข้าเมืองมิลานยังพอมีเวลาได้เดินเล่นผ่านย่านช็อปปิ้งทางกลับโรงแรม เจลาโต้ที่มิลานอร่อยมากกก โคนช็อกมันดีย์



เวียนนา เมืองสะอาดในยุโรป

วันต่อมายังพอได้ตื่นสายกว่าวันก่อนนิดหน่อย แต่เผื่อเวลาไปถ่ายรูปรอบ Duomo di Milano ก่อนต้องขึ้นเครื่องไปเวียนนาตอนเที่ยง เหยียบเข้าเวียนนาความรู้สึกแรกคือเมืองนี้สะอาดและดูใหม่กว่ายุโรปเมืองอื่น ทางเท้าดูดี เห็นคนขี่จักรยานสกู๊ตเตอร์ตลอด เป็นเมืองที่ดูเดินทางปลอดภัยในความรู้สึกเรา มี งง กับรถไฟใต้ดินของที่นี้ เพราะมันไม่มีที่กั้นเช็คตั๋วก่อนเข้าชานชาลา แต่มีตู้ขายตั๋วกับเครื่อง validate ticket หน้าทางเข้าานชาลาสถานี ก็เลยงงว่าเขาจะตรวจตั๋วยังไง  แต่ตอนนั้นก็ซื้อตั๋วแบบ 48 ชั่วโมงไว้ก่อนเพราะพักเวียนนา 3 คืน ก่อนเข้าชานชาลาก็จัดการ validate ตั๋วแล้วใช้ตั๋วที่ซื้อมายาวๆเลย ใช้ได้ทั้ง รถไฟ รถราง บัส ในเวียนนา  จนมารู้จากไกด์ทัวร์ Hallstatt อีกวันว่าที่นี้ใช้ระบบความเชื่อใจ ไม่มีการตรวจตั๋วแต่ต้องซื้อตั๋ว บางครั้งเขาจะมีการสุ่มตรวจตั๋วในรถไฟถ้าเกิดดวงดีโดนตรวจตอนไม่มีตั๋วก็จ่ายเงินก้อนไปจุกๆ..จำไม่ได้ว่าเท่าไร

วันแรกในเวียนนาไม่ได้ทำอะไรมาก เดินเล่นย่านช็อปปิ้งกับกินอาหารไทย

วันที่สองได้เห็นป้ายโฆษณาในโฮสเทลเรื่อง free walking tour เลยทำการจองแล้วไปทัวร์วันนั้น ก่อนถึงเวลาทัวร์เลยสำรวจ google map ดูสถานที่เที่ยวของที่นี้

ก็มาเจอตลาด Naschmarkt ในเมือง ซึ่งก็ถือว่าเป็นตลาดใหญ่ของเวียนนาเลย

พอได้จอยทัวร์ก็ได้แต่เดินตามกรุ๊ปไปเรื่อยๆ เพราะสำเนียงไกด์ค่อนข้างฟังยากสำหรับเราแล้วเขาพูดเสียงเบา 

เวียนนาเป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์เยอะมากแถมยังเป็นเมืองของดนตรีคลาสสิค เลยมีประวัติศาสตร์และโรงจัดแสดงดนตรีเยอะ ต้องขอบคุณยูทูปช่องพี่ฟาโรห์ที่ทำให้มาเวียนนาแล้วรู้สึกอินมากขึ้น จากที่ก่อนจะมาไม่รู้ว่าความเป็นมาของสถานที่อะไรในเมืองเลย

Hallstatt ปลายทางหลักของทริปนี้

วันสุดท้ายของออสเตรียจัดการจองทัวร์แบบ One day trip ไป Hallstatt จริงๆแล้วทริปนี้นอกจาก Bernina express ก็ Hallstatt นี่แหละที่เป็นที่แรกที่ปักหมุดไว้ในทริปนี้ เห็นรูปมาเยอะมากๆตั้งแต่เด็ก มันเลยรู้สึกว่าอยากมาเห็นกับตาตัวเองสักครั้ง เมืองนี้เป็นเมืองในหุบเขา เลยให้ความรู้สึกแตกต่างกับเมืองอื่นในออสเตรีย สิ่งที่ขายเยอะในเมืองนี้คือเกลือ เพราะมีถ้ำเกลืออยู่ ก็เลยซื้อเกลือกลับมา

ทัวร์ที่ซื้อก็ถือว่าดีในระดับนึงเลย เพราะเขาพาไปเมืองใกล้ๆที่มีประวัติศาสตร์ด้วย ซึ่งคิดว่าสะดวกมากๆสำหรับคนที่มาเที่ยวคนเดียว เพราะลองดูการเดินทางมาเองแล้วดูเปลี่ยนรถไฟหลายต่อ

ปราก ใกล้เหมือนแค่ป(ร)ากซอย

มาถึงเมืองสุดท้ายของทริปนี้ ความจริงแล้วตอนขอวีซ่ายื่นไปเที่ยวถึงแค่เวียนนา แต่โดนป้ายยามาว่าปรากสวยมากและของถูก ด้วยความอยากรู้ก็เลยลองเช็คราคาตั๋วรถไฟจากเวียนนาไปปรากกับราคาโรงแรม…ผลปรากฏว่ามันถูกจริงๆแล้วยังอยู่ในงบที่พอจะรับได้ พอดูช่วงเวลาที่เหลือแล้วทริปนี้ยังเพิ่มวันก่อนกลับไปเรียนได้ ก็ตัดสินใจไปปรากด้วยเลย ไหนๆก็เที่ยวแล้วประเทศก็อยู่ติดกันก็จัดเลย

เดินทางรถไฟข้ามประเทศในยุโรปคือสะดวกมาก นั่งต่อเดียวถึงอีกประเทศเลย ลงรถไฟที่สถานีหลักของปรากมีความไม่ชอบบางอย่าง ออกมาเจอควันบุหรี่คลุ้งหน้าสถานีหนักมากแถมทางเท้าก็ไม่เรียบเหมือนที่เวียนนา ตอนนั้นสงสารกระเป๋าลากมาก โซนที่เดินอยู่เป็น New town ก็ไม่มีอะไรว้าวเลย

แต่พอวันที่สองที่เที่ยวจริงๆก้าวขาเข้า Old town ปุ๊บความว้าวก็มาเลย สวยแบบสวยยยมาก เที่ยวเมืองนี้จอง free walking tour ไว้เหมือนกัน ครั้งนี้ทัวร์ที่ดีมาก สำเนียงไกด์ฟังง่ายแล้วเล่าเรื่องได้ไม่น่าเบื่อ แถมเขายังส่ง list สถานที่กับร้านอาหารแนะนำให้ในเมลล์หลังจบทัวร์อีก ประทับใจมากๆๆ

ในทัวร์เจอคนเม็กซิโกที่มาเที่ยวคนเดียว route คล้ายๆกัน ระหว่างทัวร์ก็เดินคุยกัน ได้เพื่อนใหม่อีกแต่ไม่ได้แลก contact ไว้แอบเสียดาย กลับเข้าโรงแรมเจอคนที่นอนห้องโฮสเทลห้องเดียวกัน ทุกคนมาเที่ยวคนเดียวเกือบหมดเลยได้คุยเรื่องเที่ยวว่าวันนี้ไปเที่ยวไหนมาที่ไหนดีๆก็แนะนำกัน ตื่นเช้ามาอีกวันคนตุรเคียให้ตั๋วเข้าปราสาทปรากมาใช้ต่อ กลายเป็นว่าประทับใจโมเม้นตอนเที่ยวที่ปรากมากๆ ถึงนักท่องเที่ยวจะเยอะมากและสัญญาณเน็ตความเร็วแค่ EDGE แต่ส่วนใหญ่ได้เจอแต่เรื่องที่น่าประทับใจ 


วันเที่ยวสุดท้ายก็เลยเที่ยวปราสาทกับเก็บตกเดินในเมืองไปเรื่อยๆกับตามลิสที่ไกด์ส่งมาให้หลังจบ walking tour วันก่อน


ส่งท้ายทริปนี้ด้วยความตื่นเต้น

ความประทับของหลายๆวันที่เที่ยวในทริปนี้คือแฮปปี้มากๆ แต่....มามีเรื่องส่งท้ายทริปให้ตื่นเต้นกันหน่อย

ขามานั่งเครื่องมาวันแรกก็มีเรื่องให้กังวลไปแล้ว ขากลับก็มีเรื่องการวางแผนผิดพลาดอีก...เหตุเกิดจากเที่ยวบินเช้าจริงๆก็ทำเวลาตามที่แพลนไว้ที่จะเดินทางไปสนามบิน แต่ว่าไม่ได้คิดเรื่องป้ายรถบัสที่สนามบินกับเรื่องซื้อตั๋ว กลายเป็นว่ากว่าจะหาป้ายรถบัสเจอก็ไม่ทันรอบที่ตั้งใจจะขึ้นต้องรอรอบถัดไปอีกครึ่งชั่วโมง ถ้าคำนวนแล้วมันก็ยังมีเวลาทัน ไม่ตกเครื่อง...แต่ก็มีเรื่องคาดไม่ถึงเพราะคนที่เข้าคิวก่อนหน้าเราตอน check-in เขามีปัญหาเรื่องตั๋ว แล้วเคาน์เตอร์มีอยู่ช่องเดียวต้องรอคิวก่อนหน้าแก้ปัญหาเรื่องตั๋วกันอยู่นาน กว่าจะถึงคิวเรา check-in เสร็จวิ่งไป gate คือรีบทุกอย่าง จน ตม ถามว่าเกิดไรขึ้นทำไมวิ่ง (ก็จะตกเครื่องแล้วน่ะค่ะ) พอไปถึง gate ทุกคนคือเตรียมตัวขึ้นรถบัสไปเครื่องกันแล้ว เวลาเกือบเฉียดฉิวมาก ประสบการณ์เกือบตกเครื่องครั้งแรกก็จะตื่นเต้นมากไปหน่อย

สุดท้ายก็จบทริปนี้ไปด้วยความตื่นเต้น แต่ความประทับใจ ประสบการณ์ หลายอย่าง รวมคือครั้งนี้ประทับใจมาก ทั้งสถานที่และคนที่ได้พูดคุย รู้สึกภูมิใจในตัวเองมากที่เอนจอยกับการเดินทางและเอาตัวรอดจากการเที่ยวคนเดียวมาได้

สรุปในทริปนี้…

  • ที่ไหนเดินทางยากจะซื้อทัวร์แบบ day trip เพราะคิดแล้วว่าแพงกว่ากันหน่อยแต่เที่ยวแบบมีคนแพลนทริปบางวันให้เราบ้าง ที่สำคัญคืออย่าตกรถแบบครั้งก่อน 😅
  • ประสบการณ์ใหม่คือครั้งนี้แทบไม่หาข้อมูลว่าต้องไปที่ไหนในเมือง แต่จะคอยดูโปสการ์ดจากร้านขายกับ google map แล้วตามชื่อไป แล้วได้ผลดีมากเพราะมีบางช่วงที่ไม่รู้ว่าจะไปไหน ทำอะไรต่อดี เมื่อครั้งที่แล้ว แต่ครั้งนี้ไม่มีเลย
  • free walking tour เหมาะมากกับคนขี้เกียจหาข้อมูลแบบละเอียด ประวัติศาสตร์ของประเทศ ไกด์คอยเล่า แนะนำหลายอย่างมาก พอรู้ที่มาก็เที่ยวแบบอินกว่าหน่อย จบทัวร์เราจะให้เงินหรือไม่ให้เท่าไรก็ได้แล้วแต่ความพอใจ นี่ก็มีทั้งให้และไม่ให้
  • เจอผญเที่ยวคนเดียวหลายคนที่โฮสเทลกับทัวร์มาจากหลายประเทศมาก บางคนเก่งมากไม่ใช้เน็ตเลย  ฝั่งออสเตรเลียมาเที่ยวกัน 3 เดือน กระเป๋าเขาไซส์เดียวกะเราเลย 😅

รวมคือครั้งนี้ประทับใจมาก ทั้งสถานที่และคนที่ได้พูดคุย ยิ่งตอนอยู่ปรากทุกคนในโฮสเทลแชร์ข้อมูลเที่ยวกันทุกวันแล้วยังให้ตั๋วมาใช้อีก 😊

GreatKo Travel Diary

 วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566 เวลา 08.45 น.

ความคิดเห็น