คนนิจิวะ มินนะซังงงง ~
เปิดตัวญี่ปุ่นจ๋าขนาดนี้ แน่นอนว่าทริปที่ทุกคนกำลังอ่านคือ ญี่ปุ่น ปุ่น ปุ่น ปุ่น บอกเลยว่าทริปนี้ไม่หลง ไม่งง ไม่ใช่เรา
ออกตัวก่อนว่าเราไม่ได้เก่งภาษาญี่ปุ่นมากนัก ภาษาอังกฤษก็ระดับเด็กประถม แต่เรียกได้ว่าเรามีสกิลในการเอาตัวรอดสูง เพื่อนๆ ก็จองตั๋วจองที่พักกัน แล้วจะลอกแพลนการบ้านเราก็ได้นะ ไม่หวงไม่ห้ามจ้า แล้วมาปรับแพลนในแบบของเราอีกทีนึงก็ได้ (แต่สงสัยจะลอกยากสักหน่อย เพราะเราเองก็งงและหลงมันทุกวัน)
เราเดินทาง 13-17 03/62 นะคะ แต่ดองไว้นานมาก เพราะไม่มีเวลามาลง (ขนาดรูปที่ลงนี่ยังไม่ได้แต่งเลยค่ะ ฮือออ มีแต่งลงไอจีบ้างบางรูปก็แฮบมา) แต่เราจำทุกเหตุการณ์ได้อย่างดี <3
ตอนเราจองตั๋ว เราบินขาไปกับScootค่ะ ขากลับเป็นNokScoot เรากดได้ราคาโปรมา ราคารวมกระเป๋าไป20กลับ30โล รวมภาษีเบ็ดเสร็จแล้วประมาณเก้าพันปลายๆ
ที่พักเราจองทีหลังค่ะ เพราะเราจะเลือกโซนที่เราอยากพักก่อนแล้วค่อยหาที่พัก ไปตกลงปลงใจที่โรงแรม Star plaza ikebukuro มีตั้งแต่พันกว่าบาทจนถึง คืนละ 2 พันกว่าบาท แล้วแต่สะดวกค่ะ
ก่อนไปเราก็เช็คสภาพอากาศ วางแพลน หาข้อมูลหลายๆ อย่าง จนคิดว่าน่าจะพร้อมประมาณนึง ที่เหลือไปหลงเอาข้างหน้าละกัน...
ถ้าเตรียมตัวพร้อมแล้วก็ออกเดินทางกันเล้ยยยยยย.....
ปล. ในแต่ละวันเราจะมีคำศัพท์ไว้ที่ช่วงท้ายของวันนั้นๆ นะคะ หวังว่าจะนำไปใช้ประโยชน์กันได้จริง
Day 1 เมื่อฉันเดินทางถึงJapan
เราเลือกบินกับสายการบิน Scoot ค่ะ แม้จะได้ยินข่าวมาหนาหูเกี่ยวกับเวลาการเดินทางของสายการบินนี้ แต่สำหรับเราก็โอเคนะคะ ออกตรงเวลา เครื่องมาจอดรอก่อนเวลาด้วยค่ะ ไม่มีอิดออด ที่นั่งกว้างไม่อึดอัด (เราสูง162cm.) นั่งยาวๆ 6 ชั่วโมงหลับตลอดไฟล์ทบินเลยค่ะ (กลัวตอนเช้าไม่มีแรงเที่ยว)
......6 ชม. ผ่านไป....
นี่คือภาพตอนพระอาทิตย์กำลังขึ้นค่ะ เห็นแต่ท้องฟ้าแดงๆ ตื่นมาเห็นสวยดีเลยถ่ายไว้
ความรู้สึกแรกที่ลงมาสัมผัสอากาศประเทศญี่ปุ่น หนาวค่ะ หนาวมากก หนาวจริงๆ น่าจะสัก 12-13 องศาได้ แต่มันหนาวกว่า13องศาบ้านเราเยอะ ดีที่เอาเสื้อโค้ทมาห่มตอนอยู่บนเครื่องเลยได้ใส่พอดี มาถึงรับกระเป๋าเรียบร้อยก็ไปล้างหน้าแปรงฟัน แล้วเดินตรงไปตามป้ายชี้ทางลงไปชั้น B1 เพื่อซื้อตั๋วขึ้นรถไฟเข้าเมือง
เราเลือกเข้าเมืองด้วย Skyliner ค่ะ ราคาไม่แพงมาก ยิงตรงถึง Nippori แล้วต่อรถไฟไปสาย Yamanote line เพื่อไป Ikebukuro (ย่านโรงแรมที่เราพัก)
ซื้อตั๋วเสร็จก็ไปซื้อ Suica Card เพื่อใช้เดินทางในเมือง ซื้อที่ศูนย์ JR ได้เลยค่ะ เราเติมไว้ 3,000 เยน
หลักจากตั๋วพร้อมก็เดินผ่านเข้าช่องเสียบตั๋วเพื่อเข้าไปในชานชาลา ตอนแรกงงๆ ค่ะ ไม่รู้ว่าไปทางไหน กำลังอึนๆ เดินเลยมานิดนึงแล้วก็มองหาป้าย เลยตัดสินใจถามคุณเจ้าหน้าที่ เค้าก็บอกว่าให้เดินกลับไปตรงป้ายสีส้มๆ แล้วเลี้ยวเข้าไปทางนั้น ซึ่งมันก็คือ ถ้าเราเสียบตั๋วเข้ามาแล้วเดินมาไม่กี่ก้าวเลี้ยวซ้ายตามป้าย Ueno เข้ามาก็จบแล้ว
ระหว่างยืนรอ ก็มองหาว่าเราต้องขึ้นตรงนี้ใช่มั้ยนะ มองเวลาบนป้ายกับในตั๋วสลับกันไปมา พอรถไฟมาถึงก็ยังไม่แน่ใจค่ะ 5555 (ขี้กังวล) เลยถามคุณป้าที่อยู่ตรงนั้น เค้าก็บอกคันนี้แหละให้เราขึ้นไปก่อนเพราะรถจะออกแล้ว แล้วค่อยเดินหาตู้และที่นั่งข้างในนะ พร้อมกับยืนโบกมือบ๊ายบายส่งเราขึ้นรถไฟ (คนญี่ปุ่นน่ารัก นี่คือความประทับใจแรกที่เจอ) ความรู้สึกหัวใจมันพองโตมากๆ เลยนะ ได้เจอได้เห็นได้คุยภาษาที่เราสนใจ ระหว่างทางในหัวคิดตลอดเลยว่าญี่ปุ่นครั้งแรกนี้ต้องพยายามพูดภาษาญี่ปุ่นเยอะๆ งัดความรู้ที่มีในสมองอันน้อยนิดออกมาให้หมด!!
หน้าตาตั๋วก็จะประมาณนี้จ้า
ภาพนี้ถ่ายตอนอยู่บนรถไฟค่ะ.. แชะไปเรื่อย คนมันตื่นเต้นนนนน
กลับมาเดินทางกันต่อ เราลงที่สถานี Nippori แล้วก็มองหาป้ายสาย Yamanote line ที่ไป Ikebukuro
ไม่ถึง 15 นาทีเราก็ลากกระเป๋าใบโตเดินขึ้นมาโผล่ในย่าน Ikebukuro ค่ะ
ความรู้สึกตอนนั้น... งง ต้องไปทางไหนต่อละทีนี้ โรงแรมอยู่ทางไหน จัดการเสิร์ชMapเลยค่ะ แต่Mapเจ้ากรรมทำพิษ งงมาก พาเดินอ้อมไปอ้อมมา หนาวก็หนาว หิวก็หิว พอดีมีพี่สาวคนสวยเดินผ่านมา เลยตัดสินใจถามเลยค่ะ ซึ่งเค้าใจดีมาก หยิบโทรศัพท์ของตัวเองแล้วเปิดMap (ที่ไม่ใช่ google map แน่ๆ ) พาเราเดินไปส่งถึงหน้าโรงแรม (คนญี่ปุ่นใจดีอีกแล้ววว)
เรามาถึงก็คือยังเช็คอินไม่ได้ เลยฝากกระเป๋าแล้วไปลุยข้างนอกก่อน แน่นอนว่าต้องกินค่ะ หิวมาก 5555
มื้อแรกของเรา เลือกเป็นราเมงค่ะ เพราะอากาศมันหนาว เลยเลือกหาอะไรร้อนๆ กินให้ร่างกายอบอุ่นไปก่อน ชามนี้กินไม่หมดเลี่ยนหน่อยๆ เลยกินเกี๊ยวซ่าช่วยชีวิตไปก่อน
หลังจากอิ่ม ท้องก็มุ่งหน้าไปที่วัดAsakusa กันเลยค่ะ นั่งรถไฟจาก ikebukuro มาลง Ueno แล้วต่อ Ginza line มาลงสถานี Asakusa ได้เลยค่ะ
เดินเที่ยวเพลินๆ ดูของไประหว่างทาง เจอเจ้านี่ น่ากินมากกกก อดไม่ได้ที่จะซื้อมาชิมม
กินขนมละ สบายใจ ไปต่อค่ะ เข้าไปไหว้พระขอพร (ขอเป็นภาษาไทยไป ไม่รู้ท่านจะฟังออกไหม) คนเยอะมากกกกกเลยค่ะ อากาศเย็นๆกำลังดี
และแน่นอนที่สุดมาถึงย่านนี้ต้องไม่พลาดที่จะไปลิ้มรสไอติมชาเขียวหลังวัดนะคะ เราเดินออกมาทางหลังวัดแล้วเดินตามถนนมาเรื่อยๆ ก็จะเจอร้านค่ะ ชื่อร้าน “Suzukien” เจ้าเก่า เจ้าดัง ไหนๆก็ไหนๆ มาแล้วต้องลอง มีให้เลือก 7 ระดับ เราเลือกแบบเข้มข้นระดับ 5 มาค่ะ กลัวเข้มมากกินไม่ไหว
ตอนแรกเราซื้อเสร็จก็เอาออกมาถ่ายรูป กำลังจะยืนกินที่หน้าร้าน แต่พนักงานเดินมาบอกให้ไปกินข้างในค่ะ งือออ เขินเลย เพราะข้างในเค้ามีที่ให้กินโดยเฉพาะ
กินเสร็จก็เดินวนกลับมาอีกข้างของวัดค่ะ มาเจอตรงนี้ เจอน้ำเข้าไปมือชาไปเลยย มีรูปอธิบายขั้นตอนละไว้ด้วยนะคะ
ถ่ายรูปสักประมาณนึงก็เดินกลับไปที่สถานีค่ะ เพื่อไปยังย่าน Akihabara เป้าหมายของเราก็คือฟิกเกอร์นั่นเอง สำหรับคนชอบดูอนิเมะอย่างเราแน่นอนว่านี่คือ “ย่านเด็ด” ที่ต้องมา !!
อากาศเริ่มหนาวนี่ยังพอทน แต่ลมที่พัดมาพร้อมกับความหนาวคูณสองนี่แทบไม่ไหว ปกติไม่ใช่คนขี้หนาวนะคะ แต่ครั้งนี้ดันดูเป็นคนขี้เหงาไปเลย อากาศมันพาไป ฮ่าๆ
เดินไปเดินมาที่ย่านAkihabara ได้ฟิกเกอร์มา 2 ตัว คือคุณอามุโร่ กับ เฮียชูขวัญใจเรานั่นเอง อิอิ เจอตู้กาชาเยอะแยะ แต่ไม่เจอตัวโดนๆ เท่าไหร่ เลยได้มาแต่ฟิกเกอร์ จริงๆ มันควรได้เยอะกว่านี้ค่ะ แต่ลืมเอาบัตรเครดิตไปด้วย ลืมทิ้งไว้ในกระเป๋าที่ฝากไว้ที่โรงแรม แอบเขินๆ ตอนจ่ายเงิน เพราะบอกว่าขอจ่ายบัตรแต่พอหาบัตรก็นั่นแหละค่ะ กลับลำขอจ่ายเงินสดแทน
เดินไปเดินมา จนคิดว่าพอใจแล้ว เลยกลับไปพักที่โรงแรมก่อน ขากลับขึ้นสาย Yamanote Line ยิงไป Ikebukuro เลยค่ะ
คำศัพท์ที่คิดว่าน่าจะมีประโยชน์กับทุกคนในวันนี้ค่ะ
すみません ซุมิมาเซน = ขอโทษนะคะ(ใช้สำหรับเกริ่นเรียก)
どちらですか โดจิร่า เดสก๊ะ = ไปทางไหนคะ
いくらですか อิ๊คุระเดสก๊ะ = เท่าไหร่คะ
おねがいします โอะเนไงชิมัส = รบกวนด้วยนะคะ/ขอความกรุณาด้วยค่ะ
これ โคะเระ = อันนี้ (ใช้สั่งอาหาร เราชี้ไปที่เมนูแล้วพูดว่า โคเระ โอเนไงชิมัส)
ひとつ ฮิโตะทสึ = 1 อัน
ふたつ ฟุตะทสึ = 2 อัน
ถ้าอยากรู้อะไรเพิ่มเติมถามมาได้นะคะ ถ้าตอบได้จะช่วยตอบให้ค่ะ
Day2…. ในที่สุดก็ได้พบ...
หลังจากพักแบบเต็มตาเต็มตื่น.. เรียกความสดชื่นกลับมาแล้วว เช้านี้เราจัดแพลนแบบ Anime Day เลยค่ะ 5555 เพราะเราจะไปตามรอย anime ชื่อดังเรื่อง Your name (หลับตาฝัน ถึงชื่อเธอ) ถ้าใครเคยดูคงจะอินไปกับเราได้ค่ะ เพราะเรายังคงจดจำความรู้สึกตอนนั่งดูแล้วน้ำตาไหลเป็นเขื่อนแตกได้เป็นอย่างดี T_T และะะะ เราก็ยังไปหาลูฟี่และพักพวกที่ Tokyo one piece tower ด้วยย
เรานั่งรถไฟมาลงที่สถานี Shinanomachi ออกจากสถานีมาก็จะเจอสะพานที่ตามหาค่ะ ในLocation ก็คงขึ้นชื่อ Shinanomachi Footbridge เป็นสะพานลอยข้ามถนนธรรมดา ไม่ค่อยมีคนเดินผ่านเท่าไหร่ เวลาถ่ายรูปก็จะไม่ค่อยเขินมากนัก
และนี่ก็คือมุมที่ตามหาาาา ตรงนี้มาผิดเวลาไปหน่อย จริงๆแล้วควรจะมาช่วงเย็น เพราะตอนเช้ามันย้อนแสงเห็นเป็นเงามืดแบบนี้ TT
จุดต่อมา เดินมาไม่ไกลค่ะ ประมาณ 15 นาที ปักLocation มาที่ Suga Shrine ได้เลยค่ะ ภายในบริเวณนี้จะเป็นบ้านคน เงียบสงบมากๆ ฉะนั้นเวลาเดินอย่าเผลอส่งเสียงดังนะคะ
มาถึงนี่ก็แวะไหว้ขอพรกันหน่อยค่ะ
ตรงนี้ก็คือจุดที่พระเอกนางเอกเดินสวนกัน
และเรากำลังมโนว่าตัวเองคือ มิซึฮะ นางเอกของเรื่องอยู่ อิอิ ที่นี่ไม่มีคนเลยแบบเงียบสงบดีมากๆ ตอนเล็งจุดถ่ายรูปก็จะไม่เขิน ชิลๆ ไปเรื่อยๆ
หลังจากถ่ายรูปเสร็จสรรพ ก็วาร์ปมาที่ศาลเจ้า Meji กันค่ะ แล้วเหมือนจะเริ่มหิวด้วย เลยแวะหาอะไรกินด้วยเลย ตอนเช้าๆร้านยังไม่มีให้เลือกเยอะมากนัก เห็นร้านไหนเปิดก็พุ่งตัวเข้าใส่ทันที จบเช้านี้ด้วยอุด้ง เมนูเส้นอีกแล้ว
เดินๆ ดูๆ แชะภาพมาฝากค่ะ เดินเล่นชมนั่นชมนี่พอหอมปากหอมคอ แต่ไม่ได้เดินเข้าไปข้างในสุด เมื่อยขาแล้วค่ะ5555
ไปต่อที่ Tokyo One piece Tower ที่อยู่ใน Tokyo Tower เราลงที่สถานี Akabanebashi แล้วเดินมาตาม Tokyo Tower สีแดงที่ตั้งเด่น ไม่ต้องเปิด Map ก็ต้องเดินถูกแล้วล่ะ
ก่อนจะไปถึงก็แวะมุมนี้ก่อน มีคุณพี่ฝรั่งเดินมาให้ถ่ายรูปให้ด้วย ตอนคุยภาษาอังกฤษ ตื่นเต้นกว่าพูดภาษาญี่ปุ่นอีกค่ะ 55555
มาถึงแล้ววววว ขึ้นมาชั้น 3 ได้เลยจ้า เข้าแถวซื้อตงซื้อตั๋วเสร็จก็ไปลุยข้างในกันนนนน เราซื้อแบบรวมไลฟ์แอ็คชั่นด้วย
ประทับใจ ตรึงตราตรึงใจมาก น้ำตาจะไหล (ฟังไม่ออก หยอกๆ 555) ก็พอฟังออกอยู่นิดหน่อยตอนที่เขาคุยกันช้าๆ อะค่ะ ตอนที่ ถามลูฟี่ว่า อยากเจอใครมากที่สุด แล้วลูฟี่ก็ทำท่าคิด แล้วพูดว่า หมายถึงเอสหรอ ถ้าเป็นเอสล่ะก็ไม่อยากเจอหรอก เพราะเอสมีชีวิตอยู่ในความทรงจำอยู่แล้ว คือแบบ โอ๊ยยย ขอบคุณนะที่พูดช้าๆ ทำให้เราอินได้หน่อย
อยากให้คนที่เป็นแฟนวันพีชได้มาดูจริงๆ ค่ะ คาแร็กเตอร์แต่ละคนคือแบบ ใช่มากกกก เหมือนหลุดมาจากอนิเมะ อยากกรี๊ดดดด โดยเฉพาะโซโร เจ้าหัวมอสขี้หลงทางนี่อย่างเท่ ตายตาหลับได้อย่างสงบแล้วเรา U_U
ข้างในมีเกมส์ให้เล่นด้วยน๊า เราไปเล่นเกมของโซโล นามิ อุซป แล้วก็กองทัพเรือมา ตลกดี เล่นไปก็ขำไป บ่นไปอีกต่างหาก พนง.น่ารักค่ะ เล่นและลุ้น บิลด์เราไปด้วย แม้เราจะเอาแต่พูดว่า มุซึคาชี่ ~ (ยากจัง) สนุก ขำๆ กันไป
วันที่เราไปคนไม่เยอะ หรืออาจจะเป็นเพราะเราเลือกวันธรรมดาและมาเร็วด้วยล่ะมั้ง
สูบพลังเต็มพิกัด แล้วMove ไปช้อปปิ้งกันบ้างที่ชิบุย่า ดูนาฬิกาล่วงเลยมาเกือบ 4 โมงเย็น เลยคิดว่าควรหาอะไรกินก่อน แต่เราก็ไม่รู้ว่าจะเดินทางไหนอะไรยังไง เดินมันมั่วๆ มาเจอร้านราเมงร้านนี้ค่ะ บอกได้คำเดียว “The Best”
อากาศมันหนาวและเย็นจนอดไม่ได้ที่จะเลือกเมนูราเมงเพื่อหวังเพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกาย
ร้านนี้เป็นร้านเล็กๆ เปิดประตูเข้ามาเห็นคุณป้ากำลังนั่งดูทีวีและคุยโทรศัพท์อยู่ พอเราเข้ามาเค้าก็วางสายแล้วรีบหยิบเมนูมาให้เราทันที ที่นั่งในร้านเป็นแบบเคาท์เตอร์บาร์ที่เราสามารถมองเห็นขั้นตอนการทำได้ว่าเค้าปรุงหรือทำอะไรยังไงบ้าง เห้ยแกรรร เหมือนในซีรีส์ที่เคยดูเลยเว้ยยยยย ตื่นเต้นนนนนนนนนนน
คุณป้า Speak English เก่งมาก เก่งจนเรางงไปเลยย เลยเลือกที่จะคุยเป็นภาษาญี่ปุ่นสลับEngบ้าง ในคำที่นึกไม่ทัน ตอนเราเลือกเมนูเราเลือกแบบราเมงแห้ง ที่มีน้ำซุปแยกต่างหาก คุณป้าก็พยายามอธิบายว่าอันนี้มันแยกน้ำนะ จะเอาแบบร้อนหรือแบบเย็น ถึงจะงูๆปลาๆ ก็คุยกันรู้เรื่องอยู่นะ
พอราเมงถ้วยใหญ่มาวางเสิร์ฟตรงหน้า ก็อดตื่นเต้นไม่ได้เพราะเราแอบมองคุณป้าทำอยู่ อิอิ
หน้าตามันก็ราเมงธรรมดาๆ นี่แหละ แต่ว่า !! รสชาติซุป รสชาติหมู รสชาติเส้น มันดีมากๆๆๆๆๆๆๆ ไม่รู้อาจจะเพราะเราหิวหรือเปล่า แต่รู้สึกเลยว่า ไม่เคยกินซุปมิโสะราเมงรสชาติแบบนี้ที่ไหน มันอร่อยแบบประทับใจมากกกกกกก และปกติเรากินอะไรเยอะๆ แบบนี้ไม่ค่อยหมดหรอกค่ะ วันนี้กินหมดแบบแทบจะกินชามเข้าไปด้วย
พอกินเสร็จก็อดไม่ได้ ที่จะกล่าวคำว่า “ขอบคุณสำหรับอาหาร อร่อยมากเลยค่ะ” คุณป้าแกก็ อาริงาโตะ กลับมา
ไปๆ มาๆ แกก็ชวนคุยค่ะ บอกว่าเนี่ย อีก2สัปดาห์ ซากุระจะบานสวยมาก เราก็บอกว่าเราจะกลับวันอาทิตย์นี้แล้วคงไม่ได้เห็นหรอกค่ะ คุยไปคุยมา แกก็ถามว่าเรามาจากฟิลิปปินส์หรอ ฮืออออ ได้แต่ตอบไปว่า “I’m come from Thailand.” (อยากใส่ฟีลลิ่งแบบที่นางงามแนะนำตัวเหลือเกิน)
สบายพุงแล้วก็ไปช้อปปิ้งค่ะ ไม่ได้เปิด Google map อะไรเลย แค่คิดว่าเดินไปทางที่ดูคนเยอะๆ แล้วก็มาเจอแหล่งช้อปย่านชิบุย่าจริงๆด้วย ได้รองเท้ามา 1 คู่ กับของกระจุกกระจิกอย่างอื่น เดินจนเมื่อยและเหนื่อยมากเลยตัดสินใจกลับไปพักร่างที่โรงแรมเพื่อเอาของไปเก็บ แล้วค่อยออกมาเดินสู้ลมหนาวตอนราตรี
กลับมาเดินๆวนๆอยู่ในย่าน Ikebukuro (บริเวณโรงแรมที่พัก) ไปเจอร้านทาโกยากิน่ากินมาก อดไม่ได้เลยค่ะที่จะลอง เพราะราเมงที่กินไปได้ย่อยหมดแล้วว เราไม่ได้ถ่ายในร้านมาค่ะ เพราะเป็นร้านเล็กๆ แต่คนเต็มแทบทุกโต๊ะ เหมือนเป็นแหล่งแฮงก์เอ้าท์ของวัยรุ่น วัยทำงานมากกว่า พนักงานน่ารักด้วยค่ะ เหมือนน้องจะเพิ่งอยู่ม.ปลายวัยใส
ทาโกยากิ หน้าตาก็ดี รสชาติก็ดี คนเสิร์ฟก็ดี ไม่ดีอย่างเดียวคือ ร้อนมากกกกกกกก
ก่อนกลับซื้อไอ้เจ้านี่มากินเล่นๆจาก7/11 อร่อยดีเหมือนกันแฮะ
อ้อ... ตอนกลับมาโรงแรมเจอพนักงานที่ฟร้อนท์ เค้าก็ขอกุญแจห้องเราด้วย แล้วบอกว่าก่อนจะออกให้คืนกุญแจไว้ที่เค้า พอเข้ามาก็มารับกุญแจที่เค้า วันแรกไม่ได้คืนกุญแจเลยขอโทษขอโพยกันไป เราว่าน่าจะเป็นการเซฟเรื่องกุญแจหายด้วยแหละ
คำศัพท์ที่ได้ใช้วันนี้ค่าา
写真を取ってもいいですか ฉะชิง โอ๊ะ ทตเตะโม๊ะ อี้ เดสก๊ะ = ขออนุญาตถ่ายรูปได้มั้ยคะ
これは何ですか โคะเระ วะ นันเดสก๊ะ = อันนี้คืออะไรคะ
タイから来ました ไท คะระ คิมาชิตะ = มาจากประเทศไทยค่าา
いただきます อิทะดาคิมัส = จะทานแล้วนะค้าา (ในอนิเมะเค้าพูดกันบ่อยๆ )
ごじぞさまでした โกะจิ๊โซ ซามะ เดชิตะ = ขอบคุณสำหรับอาหารค่ะ (ใช้พูดตอนทานอิ่มแล้วนะคะ)
Day3…. คนเด๋อ 2019 จะได้เจอมั้ยนะ ฟูจิซัง..
เราตื่นแต่เช้า ออกมาที่สถานีชินจุกุ เพื่อซื้อตั๋วไปฮาโกเน่ เราเลือกกดซื้อที่ตู้อัตโนมัติ เป็นตั๋วแบบ Hagone Free pass ใช้ได้ 2 วันค่ะ แต่เราเลือกเที่ยวแบบ One day trip
เราใช้การนั่งรถบัสชมเมืองค่ะ ซึ่งขอบอกว่า คิดผิดอย่างมหันต์ !! เพราะใช้เวลานานกว่าที่คิดไว้ซะอีก แต่ใครชอบนั่งชิลๆ ไปเรื่อยๆ ก็ได้อยู่ อ้อ ตั๋วที่ซื้อมาสามารถเอามาใช้ขึ้นรถบัสได้นะคะ แค่แสดงให้คนขับรถดูเท่านั้นค่ะ
เรานั่งรถไฟมาลงที่สถานี Odawara แล้วต่อรถบัสหรือรถไฟก็ได้ค่ะ เที่ยวได้ทั่วเมือง
ด้วยความหิวเลยมาลงกลางทาง เห็นlowson แว๊บๆ เลยไปหาอะไรกินซะก่อน
มื้อนี้ฝากท้องไว้กับข้าวปั้น และน้ำผลไม้
แต่ไม่คิดว่าความหิวจะพาซวยค่ะ เพราะหลังจากกินเสร็จ ตั๋วก็หาย.. ใช่ค่ะหมายถึงตั๋วที่ใช้สำหรับขึ้นรถ และทุกๆกิจกรรมของวันนี้ อยากร้องไห้ T_T เดินหาเป็นคนบ้าเลยค่ะ ถึงขั้นเดินเข้าไปถามพนง.ใน lowson ว่าเห็นตั๋วหน้าตาแบบนี้มั้ย หายังไงก็ไม่เจอแล้ว
ส่วนตั๋วใบนี้คือแบบที่ใช้จ่ายแบบราคาปกติ ตาามระยะทางที่เรานั่งเลยค่ะ
เที่ยวต่อทั้งอย่างงี้แหละ ฮือออ เอาเงินมาโยนทิ้งเล่นๆ ไปอีก นอยด์แทบจะทั้งวัน
แถมตอนเรามาขึ้น Ropeway เพื่อมาพบฟูจิ เค้าไม่มาเจอเราเลยค่ะ เศร้า เศร้ามากกกกกก
สรุปวันนี้คือวันแห่งการนอยด์ตัวเองค่ะ ฮืออออ เลยย้อมใจด้วยการกินไข่ดำไป 2 ลูกแน่นๆ ข้างบนลมค่อนข้างแรงและหนาวมากกกกกก เราแทบไม่อยากถ่ายรูปเพราะสู้ลมไม่ไหว
เหตุการณ์ต่อจากนี้ก็ไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่ เพราะหนาวเกินกว่าจะวิ่งไปถ่ายรูปกลางแจ้ง เลยซื้อขนมและของฝากนิดหน่อย เอาเป็นว่าเราขอข้ามไปถึงตอนที่กลับมาโตเกียวเลยแล้วกัน TT
ท้องอิ่ม ขาก็เริ่มหมดแรง เดินเล่นสักแปบก็กลับมาพักที่โรงแรม เก็บแรงไว้ลุยต่อ
คำศัพท์ที่ได้ใช้วันนี้ค่ะ
チケットを無くしました จิ๊กเก็ตโตะ โอ๊ะ นะคุชิมาชิตะ = ทำตั๋วหายไปแล้ววว
会いますか ไอมัสก๊ะ = เห็น/เจอ บ้างมั้ยคะ (ตอนที่เราไปถามหาตั๋วที่หาย ก็เอารูปที่ถ่ายไว้แล้วยื่นให้คุณพนักงานดู แล้วพูดประโยคนี้แหละค่ะ)
Day4…. Have a good day ! วันดีๆ ที่ญี่ปุ่น
วันนี้ตื่นสายสักนิด เพราะด้วยความเพลียและอ่อนล้าเต็มที แพลนในวันนี้ ไม่มีอะไรเลยค่ะ นอกจากไปกินซูชิสายพาน ซึ่งร้านที่เราจะไป อยู่ไม่ไกลจากที่พักเราเท่าไหร่นัก และสเต็ปเดิมค่ะ เปิด google map แล้วเดินหลงอย่าง งงๆ งงจริงๆ พาวนไปไหนต่อไหนไปเรื่อยยย
เดินวนๆ จนในที่สุดก็เจอป้ายร้านจนได้ ป้ายหน้าร้านที่เป็นทางเข้ายังไม่ค่อยเป็นที่สังเกต (อาจจะเป็นเพราะเราไม่สังเกตเห็นเอง)
ร้านที่เรามาถือเป็นร้านยอดนิยมเลยแหละค่ะ ซึ่งเรามาถึงประมาณ 10.20 น. (ร้านเปิด 10.30 น.) แต่ก็มีคนมากดจองคิวกันแล้ว เราไปถึงคือเค้าจะมีเครื่องกดบัตรคิวตั้งอยู่ ให้เราเลือกกด ว่าจะนั่งแบบโต๊ะหรือเคาเตอร์บาร์ แต่เราอ่านคันจิไม่ออกสักกะตัว แถมไม่มีภาษาอังกฤษสักกะคำ พนักงานก็ไม่มีนะคะ ดูแลตัวเองค่ะ เค้าอยู่ข้างในร้านกันหมด บอกเลยนาทีนั้น เลิกลั่กไปโหม๊ดดด
โชคดี จังหวะดีค่ะ มีคุณลุงที่เข้าร้านมาพอดี เราเลยรวบรวมความกล้าแล้วถามว่า “ไอ้เครื่องนี้มันกดยังไงคะ พอดีหนูอ่านคันจิไม่ออกเลยค่ะ” เค้าก็ใจดี กดให้นะคะ แทบไหว้ย่อตรงนั้น TT
หลังจากได้คิวมาก็รอเรียกคิวค่ะ แต่ แต่ แต่... ตื่นเต้นอีกละ เพราะที่ร้านเค้าเรียกเป็นภาษาญี่ปุ่นล้วน ไม่มีอังกฤษผสมเลยแม้แต่น้อย แต่ดีที่เราจำได้ว่าเลขอะไรมันออกเสียงว่าไงบ้าง แล้วกว่าจะถึงคิวเรา ก็มีให้ซ้อมฟังและแปลความหมายอยู่หลายครั้งเลย จับใจความได้ก็คือ คิวที่...เชิญค่ะ คล้ายๆบ้านเราเวลาเรียกคิวกินชาบูอะไรเทือกนี้แหละ พอไปถึงก็เอาบัตรคิวให้เค้า เค้าก็จะอธิบายว่าต้องหยิบยังไง แล้วก็เอาเลขโต๊ะให้เราเดินไปนั่งตามเลขที่ได้มา ก็คือ เลือกไม่ได้นะว่าจะนั่งตรงไหน
พอได้ที่นั่งเสร็จสรรพ เวลาที่รอคอยก็มาถึงซะที อันดับแรก ชงชา !! คอแห้ง+หนาวด้วย ที่นี่มีชาฟรี แก้ววางอยู่ข้างบน ผงชาเติมตามความเข้มข้นที่ต้องการ
ส่วนซูชิก็สายพานที่ไหลๆมา แต่ถ้าไม่พอใจก็มีให้กดสั่งที่จอด้วย ในส่วนนี้นั้น.. มีภาษาอังกฤษค่ะ ไม่ต้องห่วงว่าจะจิ้มไม่ถูก
และนี่คือเมนูที่เรากินไป เรากดสั่งมาหลานจานเลยเหมือนกัน เพราะไอ้ที่อยากกินไม่มาสักที แหะๆ แต่พอเรากดจิ้มสั่ง ไอ้ที่อยากกินก็ไหลมาตรงหน้าเราพอดี = =
แถมกินครบ 5 จานมีเกมให้เล่นสุ่มกาชาปองด้วย นี่กินไปทั้งหมด 15 จาน (ไม่ต้องตกใจค่ะ เพราะบางจานมันมีชิ้นเดียว ) ได้เล่น 3 ตา ชนะ 1 ตา ได้เจ้านี่มา
หลังจากกินอิ่ม อิ่มแบบจุกๆ แน่นๆ มีแรงไปเดินต่อ ก็กดเรียกพนักงานมาคิดเงินที่จอนะคะ อ้อ ก่อนกดเราก็หย่อนจานเราเพื่อเช็คจำนวนที่กินไปก่อนได้ พอพนักงานมาเค้าจะแจ้งยอดที่เราต้องจ่ายแล้วให้เราไปจ่ายที่เคาเตอร์ด้านหน้าค่ะ
หลังจากจ่ายเงินเสร็จ ก็ไปเดินเล่นที่ตลาด Ameyoko ย่าน Ueno ที่ไม่มา เดี๋ยวหาว่ามาไม่ถึงโตเกียว เป็นไปตามคาดค่ะ คนไทยเยอะมากกกก แถมพ่อค้าที่นี่พูดไทยกันเก่งเชียวค่ะ ตลาดนี้เดินเพลินดี ของกิน เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า เยอะดีค่ะ เราก็ได้มานิดหน่อย
ที่ประทับใจที่นี่ที่สุดคงเป็นตอนที่เราหยอดกาชาปองโคนัน สนุกมากกกกกก เพราะได้ใช้ภาษาจี้ปุ่งงที่ตั้งใจเรียนมานับขวบปีแบบเต็มที่ ดีใจมากเลยค่ะ เพราะเราเองก็เรียนมาไม่ได้ใช้คงเสียดายแย่
เราเดินผ่านเจ้าตู้กาชาปอง ปกติเราก็จะมองหาโคนัน ก็ไม่ค่อยเจอ มาเจอที่นี่เลยแลกเหรียญแล้วมาหมุนค่ะ แต่เกิดเหตุการณ์ไม่ปกติ คือ เหรียญเรามันไม่ลง บิดคืนก็ไม่ได้ หมุนไปก็ไม่ได้ ในใจแบบ อะไรวะเนี่ยยยย เลยไปตามพนักงานมาไขตู้ให้ค่ะ พอไขแล้วก็ลองหยอดใหม่ (ไม่เข็ด 55555) พนักงานก็มายืนลุ้นด้วยค่ะ อันที่จริงคงมาดูว่ามันจะติดอีกมั้ยนั่นแหละ
หมุนตัวแรกออกมาได้ เฮียชู (อาคาอิ ชูอิจิ) ดีใจมากเลยยย ทีนี้เลยคิดว่าจะหมุนตัวที่ 2
ตัวที่สอง ก็ได้เฮียชูอีกแล้ว !! พนักงานถึงกับขำ แถมยังมาเชียร์บอกว่า อีกครั้งนึงได้ตัวใหม่แน่ๆ เราเลยหยอดเหรียญแล้วบอกให้เค้าเป็นคนหมุนให้เรา
ตัวที่สาม ไม่ซ้ำแล้ววว เพราะได้เซระจังมา คุณพนักงานเลยถามว่า อยากได้ตัวไหน เลยบอกว่า อยากได้คุณอามุโร่ค่ะ นางมาบิลด์ให้หมุนอีก นี่เลยบอกว่าพักก่อน เค้าเลยแนะนำว่าเนี่ยมีฟิกเกอร์อามุโร่ขายนะ ไปดูมั้ย อ่ะ เรามันคนบ้า ตามเข้าไปดูในร้าน ปรากฏว่าเหมือนตัวที่ซื้อไปวันก่อน เลยบอกว่า เพิ่งซื้อไปเองค่ะ แงง
เราเดินดูตู้คีบตุ๊กตาอื่นๆได้แปบเดียวค่ะ กลับไปหยอดกาชาปองโคนันเหมือนเดิม เพราะอยากได้คุณอามุโร่มาก พนักงานคนเดิมเดินมาเจอถึงกับขำ 55555 เออ ก็มันอยากได้ ลองดูอีกสักที ฮือออ
ตัวที่สี่ ก็ยังมาช่วยกันลุ้น เราก็ให้เค้าหมุนให้อีกค่ะ เพราะมือไม่หมาน (ภาษาอีสานเค้าว่าโชคไม่ดีค่ะ55) คราวนี้ได้ชินอิจิคุงมา งืออออ พนักงานเห็นเราหน้าเศร้าที่ไม่ได้อามุโร่สักที ก็บอกไม่เป็นไรนะ สู้ๆ ลองอีกทีสิ (แหน๊ะ ขายของ) เลยบอกว่า 4 ตัวแล้วนะ !! เค้าก็บอกว่า ตัวที่ 5 ได้แน่ (อีกละ555555)
อ่ะ ตัวที่ 5 สุดท้ายละ เพราะตังค์จะหมดละจ้าาา (ตัวละ400เยน) ตานี้เลยหยอดเอง หมุนเอง แต่พอกลิ้งมา พนักงานเค้ารีบปิดไม่ให้เราดูค่ะ 55555 รีบหยิบไปดูก่อนเรา แล้วทำหน้าตกใจแล้วยัดใส่มือเราแล้วยิ้ม แงง เรานี่โคตรลุ้น55555 เปิดมา แทบร้องไห้ เพราะได้เฮียชูอีกแล้ว !!!! หมุนเอง 3 ตัว ได้เฮียชู 3 ตัว 555555555 จะบ้า ขำก็ขำ เสียใจก็เสียใจ
ตัดใจจากคุณอามุโร่ แล้วบอกขอบคุณพร้อมโบกมือลาบ้ายบายพนักงานที่น่ารัก
แอบเสียใจนิดนึงตรงที่ไม่ได้ขอพวกเค้าถ่ายรูปด้วยกัน เพราะนั่นคือความทรงจำที่ดีมากสำหรับเรา ดีมากๆๆๆ เลยแหละ วันนี้ทำให้หลงรักญี่ปุ่นมากขึ้นไปอีกกกกกก เป็นวันที่สนุกและมีความสุขที่สุดของการมาญี่ปุ่นแล้วมั้งเนี่ย ไอ้อาการนอยด์เมื่อวานหายไปเลยย
เริ่มตกเย็น อากาศก็เริ่มหนาว เหงาด้วยเเอ๊าา เริ่มหิวด้วย เลยแวะหาอะไรกินแถวนั้น ไปจบที่ร้านทงคตทสึแบบหยอดเหรียญแล้วเอาคูปองไปให้เค้า เด๋อด๋ามาก เพราะไม่รู้ ไอ้เราไปถึงสั่งเลย ที่ไหนได้เค้าชี้ไปที่ตู้หน้าร้าน 55555
ตอนกำลังจะเดินไปซื้อขนมที่ตึก ทาเคยะ ฝนดันตกอีก หนาวเป็นบ้า ใช้เกียร์4เร่งสปีดเท้าเต็มที่ มาถึงแบบฉิวเฉียด
มีเพื่อนฝากซื้อเจ้านี่ เลยซื้อกลับมาชิม ปรากฏว่า อร่อยยยย เสียดายมากที่ซื้อมาน้อย ไว้ไปอีกจะซื้ออีกกกกกก แนะนำเลยทุกคนน
หลังจากซื้อของเสร็จก็กลับโรงแรมเลยค่ะ เพราะเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ามากเหลือเกิน กลับมาจัดกระเป๋าเพราะพรุ่งนี้ต้องกลับแล้ว ในใจตอนนั้นแบบ ไม่อยากกลับเลยอะ เศร้าไปหมด ฮือออ ฉันต้องกลับแล้วจริงหรออออ เวลาอันแสนสนุกมันสั้นจัง
อิ่มแล้วก็กลับมาเก็บของจนเสร็จก็เตรียมเข้านอน เพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าไปสนามบิน...
คำศัพท์ที่ได้ใช้วันนี้ค่ะ
どうやって โด้วหยัดเต๊ะ = ต้องทำยังไงคะ
漢字 が読めないです คันจิ ก๊ะ โยะเมะไน่เดส = ฉันอ่านคันจิไม่ได้ค่ะ
買いました ไคมะชิตะ = ซื้อไปแล้วค่าาา
頑張ってください กัมบัตเต๊ะ คุดะไซ = พยายามเข้านะครับ / สู้ๆนะครับ (อันนี้พนักงานเค้าบอกเราตอนหยอดกาชาค่ะ )
もう一度 โม อิจิโดะ = อีกครั้งนึง
さんねんですね ซังเน็นเดสเนะ~ = น่าเสียดายยจัง
Day5…. บ๊ายบายนะเจแปน ไว้เราจะกลับมาอีก
ในวันสุดท้ายนี้ จิตใจมันก็จะห่อเหี่ยวหน่อยๆล่ะนะ เพราะต้องกลับแล้วนี่เนอะ ไม่รู้มีใครเป็นเหมือนเรามั้ย
หลังจากเช็คเอ้าท์ห้องเสร็จก็ขึ้นรถไฟไปที่ สถานี Nippori เพราะสามารถต่อรถไฟไปนาริตะได้ แต่ความไม่รู้หรือหาไม่เจอหรือยังไง ตอนเปลี่ยนชานชาลาที่จะไปรอรถไฟไปนาริตะ ลิฟท์ มันไม่มี ลิฟท์ไม่มีไม่ว่า บันไดเลื่อนไม่มี !! เรากับชาวต่างชาติที่เป็นคุณพี่ฝรั่งอีกหลายคนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก เพราะหาบันไดเลื่อนกันไม่เจอ แหงล่ะ เพราะกระเป๋าใบโตจะแบกขึ้นบันไดขนาดนี้ลำบากแน่ๆ สุดท้ายไม่มีจริงๆ ก็ต้องแบกขึ้นไปทั้งอย่างงั้น V_V
สุดท้ายก็มาถึงที่สนามบิน เหลือเวลานิดหน่อยก่อนจะเช็คอิน เลยหาข้าวกินส่งท้ายเจแปน เลยเลือกกินเจ้านี่ค่ะ ข้าวหน้าปลาไหล ที่เจ้าเก็นตะคุงชอบกินหนักหนา
โอ้โห มันดีจริงๆอะ มิน่าล่ะ แพงจัง รู้สึกว่าชีวิตนี้ก็พลาดเหมือนกันนะที่ไม่กล้าลองกินปลาไหลมาทั้งชีวิต
หลังจากสบายท้องก็เลยเดินไปเช็คอิน แล้วก็เดินไปนั่งเล่นรอที่Gate ระหว่างเดินก็เห็น คุณปลายฟ้า เค้ามาจอดรออยู่แล้ว
ขากลับเป็น Nok Scoot ที่นั่งกว้างนั่งสบายกว่าตอนมาอีกนะคะเนี่ย แต่ก็นั่นแหละ ด้วยความทที่ 6 ชม. ก็เมื่อยบ้างนิดหน่อย
ตอนอยู่บนเครื่อง นอนไปตื่นนึง ตื่นมาหิวมากเลย หอมกลิ่นมาม่าผดส.คนอื่นด้วยค่ะ อดไม่ได้เลยยย
บ๊ายบายแล้วนะเจแปน หวังว่าจะได้กลับมาพบกันอีก ไม่ใช่สิ แล้วเราจะกลับมาพบกันอีก
เรามีความสุขมากๆเลย ถึงจะมีบางอารมณ์ที่หนาวๆเหงาๆไปบ้าง แต่เรามีพลังกลับไปตั้งใจทำงานเพื่อเก็บเงินมาปรนเปรอความสุขให้ตัวเองอีกเยอะเลยล่ะ
ที่สำคัญเราจะกลับไปตั้งใจเรียนภาษาญี่ปุ่น แล้วเอามาคุยให้เก่งๆ กว่านี้อีกเยอะๆ กลับมาคราวหน้าจะทำหน้างงตอนฟังคนญี่ปุ่นพูดให้น้อยลง เพราะคนญี่ปุ่นนี่พอรู้ว่าพอพูดได้ฟังรู้เรื่องหน่อย คุยเก่งมากเลยนะ รัวใส่ไม่ยั้ง น้องฟังไม่ทัน ฮืออออ แต่ก็สนุกดี ชอบมากเลย
แล้วเจอกันใหม่นะเจแปน.....
“ช่วงเวลานั้นแสนนั้น แต่ความทรงจำนั้นแสนนาน”
ปล. ขออนุญาตฝากกระทู้อื่นๆ ที่เราลงไว้ เอาไว้อ่านแก้เหงาก็ได้น้าา
หวังว่าน่าจะมีประโยชน์กับเพื่อนๆที่ชอบเที่ยวและเดินทางเหมือนกันนะคะ
SHERRY
วันเสาร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2566 เวลา 17.27 น.