ด้วยความที่จังหวัดกาญจนบุรีมีสถานที่ท่องเที่ยวมากมายหลายแห่งให้ได้เที่ยวกันตลอดทั้งปี แถมเที่ยวมาหลายครั้งก็เก็บไม่ครบสักที 5555 ทำให้ในช่วงปี 63 ช่วงที่เกิดสถานการณ์โรคระบาด Covid-19 ใหม่ ๆ เราต้องไปเที่ยวทริปเมืองกาญจน์บ่อยมาก เรียกว่าในปีเดียวเที่ยวที่จังหวัดนี้ถึง 4 ครั้งกันเลยทีเดียว เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลและถ่ายภาพสวย ๆ ของสถานที่ท่องเที่ยวแต่ละแห่งให้ได้มากที่สุดมาฝากให้เพื่อน ๆ ได้อ่าน ได้ชม และไปเที่ยวกัน วันนี้เราเลยจะมารีวิวในชื่อทริป “ชิลล์ไปเรื่อย...เอื่อยเฉื่อยที่กาญนะจ๊ะบุรี” เกริ่นมาเยอะแล้วตามเราไปเที่ยวพร้อมกันดีกว่าค่า! ^^
เราออกเดินทางช่วงสาย ๆ ประมาณ 9 โมงกว่า ๆ เดินทางไปเรื่อย ๆ จนถึงจังหวัดนครปฐม ก็ใกล้มื้อเที่ยงพอดี จึงแวะกินข้าวเพื่อเพิ่มพลังที่ “ร้านครัวจ่าพอง” ร้านอาหารป่าสไตล์บ้าน ๆ ในย่านกำแพงแสน ซึ่งเมนูอาหารที่เราได้สั่งไปนั้นได้แก่ สามชั้นทอดน้ำปลา, ผัดเผ็ดหมูป่า, หมูมะนาว, กบทอดกระเทียม, ต้มยำปลาคัง และทอดมันปลากราย รสชาติอาหารโดยรวมถือว่าอร่อยเด็ดเผ็ดถึงใจ ใครเดินทางผ่านกำแพงแสน...ลองแวะไปกินที่ร้านได้นะคะ บริการดีมาก (โฆษณาให้ร้านไปในตัวแบบไม่คิดเงิน อิอิ ^^)
หลังจากกินอาหารเที่ยงเสร็จก็นั่งรถต่อไปยังจังหวัดกาญจนบุรี เพื่อเช็กอินเข้าที่พัก ณ “โรงแรมมาร์กาญ รีสอร์ท”ซึ่งโรงแรมแห่งนี้ตั้งอยู่ติดถนนใหญ่ ใกล้กับปั๊มน้ำมันและศูนย์การค้า TMK Park เดินทางสะดวก มีอาหารห้องพัก 2 อาคาร รวมทั้งหมด 40 ห้อง แต่ละห้องมีรูปแบบห้องแตกต่างกันไป นอกจากนั้นยังมีห้องประชุมให้ได้ใช้สำหรับกลุ่มทัวร์ที่มาประชุมหรือสัมมนา ส่วนในห้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกพร้อม โดยเฉพาะ Wi-Fi ให้ได้ใช้ฟรี 5555 ส่วนรูปบรรยากาศภายในโรงแรมที่เห็นด้านบนนี้เป็นช่วงค่ำ ๆ เนื่องจากช่วงบ่าย ๆ ก่อนจะเช็กอินเข้าพักลืมถ่ายรูปบรรยากาศโดยรอบของโรงแรมและภายในห้องพักค่ะ (หากใครต้องการชมภาพห้องพัก แนะนำให้คลิกลิงก์ที่ชื่อโรงแรมได้เลยนะคะ 😁😁😁)
พอเช็กอินเข้าที่พักแล้วก็พักร่างซะหน่อยหลังจากเดินทางมากว่าครึ่งวัน จนกระทั่งบ่าย ๆ เย็น ๆ ก็ออกไปนั่งรถเล่นชิลล์ ๆ และได้แวะมากินที่ “ร้านหอมคะน้าคาเฟ่” ซึ่งร้านหอมค่ะน้าคาเฟ่เป็นร้านคาเฟ่สวย ๆ ที่ด้านหลังร้านเป็นวิวไร่คะน้าสีเขียวไม่ต่ำกว่า 100 ไร่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตาท่ามกลางเขาสิงโตคล้ายกับสิงโตนอนหมอบ ส่วนด้านข้างร้านมีสะพานไม้ให้เดินไปถ่ายรูปในทุ่งดอกไม้เล็ก ๆ อย่างทุ่งดอกหญ้าสีขาวกับทุ่งดอกดาวเรืองออกดอกชูช่อสวยงาม พร้อมทั้งมีมุมถ่ายรูปหลายมุม ไม่ว่าจะเป็นโดมไม้ไผ่, แก้วกาแฟยักษ์ และชิงช้าค่ะ
เมนูอาหารของร้านหอมค่ะน้าคาเฟ่มีหลากหลายเมนู ทั้งอาหารทานเล่น, อาหารจานเดียว, ก๋วยเตี๋ยว, เมนูของหวาน, กาแฟ และน้ำอิตาเลียนโซดา แต่ด้วยความที่ช่วงกลางวันนั้นกินเยอะกันไปหน่อย ช่วงเย็นเลยสั่งแค่สปาเกตตีขี้เมาทะเลจานเดียวมาแบ่งกัน 3 คน (แม่ พี่ และเรา) โดยระหว่างที่รอพนักงานมาเสิร์ฟอาหาร เราก็เดินถ่ายรูปวิวรอบร้านไปเรื่อย ๆ มุมโน้นบ้าง มุมนี้บ้าง พออาหารมาเสิร์ฟปุ๊บก็แบ่งกันกิน และนั่งรถต่อไปยัง“สะพานข้ามแม่น้ำแคว” เพื่อชมบรรยากาศยามเย็นบนทางรถไฟสายมรณะทั้งสองข้างทางค่ะ
เมื่อเดินทางมาถึง “สะพานข้ามแม่น้ำแคว” แล้ว เราก็เดินมาถ่ายรูปบริเวณริมแม่น้ำด้านล่างของสะพานที่มีซากของเครื่องบินจำลองตั้งวางไว้อยู่ ซึ่งสะพานข้ามแม่น้ำแควนั้นถือเป็นแลนด์มาร์กสำคัญที่นักท่องเที่ยวต่างต้องแวะมาเที่ยวชมกัน เนื่องจากเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 และเป็นอนุสรณ์ของสงครามมหาเอเชียบูรพา โดยแรงงานของเชลยศึกฝ่ายสัมพันธมิตรภายใต้การควบคุมของกองทัพญี่ปุ่นร่วมกันสร้างขึ้น แต่ด้วยความที่การสร้างสะพานเป็นไปอย่างลำบาก ประกอบกับอยู่ในช่วงภาวะสงครามพอดี ทำให้เชลยศึกหลายหมื่นคนต้องเสียชีวิตลงจากความโหดร้ายทารุณของกองทัพญี่ปุ่น, โรคภัยไข้เจ็บ และการขาดแคลนอาหารนั่นเอง ปัจจุบันสะพานแห่งนี้ได้รับการยกย่องให้กลายเป็น “สัญลักษณ์แห่งสันติภาพ” ค่ะ
พอถ่ายรูปซากของเครื่องบินจำลองเสร็จแล้วก็เดินขึ้นไปบนสะพานข้ามแม่น้ำแคว เพื่อชมบรรยากาศยามเย็นของแม่น้ำแควทั้งสองฝั่ง ซึ่งการรถไฟฯ อนุญาตให้นักท่องเที่ยวเดินบนทางรถไฟสายมรณะที่มีระยะทาง 300 เมตร และโพสท่าถ่ายรูปสวย ๆ กลางสะพานได้ แต่ต้องฟังหรือระวังสัญญาณรถไฟผ่านมาให้ดีด้วย เนื่องจากรถไฟสัญจรเป็นปกติทุกวัน ถือได้ว่าเป็นจุดเด่นหรือไฮไลต์ของการมาเที่ยวชมที่นี่เลยทีเดียวค่ะ
หลังจากถ่ายรูปและเดินเล่นกินลมชมวิวที่สะพานข้ามแม่น้ำแควแล้วก็เดินกลับมาที่รถ เพื่อกลับเข้าที่พัก ระหว่างทางเราได้เดินผ่านมุมถ่ายรูปของตลาดค่ายเชลยศึกที่เป็นรถทหารจึงถ่ายรูปเก็บไว้สักหน่อย แต่เสียดายที่มัวแต่ถ่ายรูปสะพานข้ามแม่น้ำแควเพลินไปหน่อยจึงไม่ได้เดินเล่นในตลาด จากนั้นก็นั่งรถกลับที่พัก และอาบน้ำนอน เพื่อเก็บแรงเที่ยวในวันถัดไป เดี๋ยวจะไม่มีแรงเที่ยวค่ะ 5555
เช้าวันถัดมา หลังจากอาบน้ำแต่งตัวและเช็กเอาท์ออกจากที่พักแล้วก็นั่งรถออกมากินอาหารเช้าที่ “ร้านอาหารสบายจิต” ซึ่งร้านอาหารสบายจิตเป็นร้านอาหารจีนเก่าแก่ในเมืองกาญจน์ที่เปิดมานานไม่ต่ำกว่า 45 ปี ขนาดร้านใหญ่ถึง 2 คูหา มีเมนูอาหารให้เลือกอย่างหลากหลายทั้งอาหารไทยและอาหารจีน แต่เมนูที่นิยมมากที่สุดคือเมนูติ่มซำ โดยเราสั่งเมนูติ่มซำ อย่างซี่โครงหมูนึ่งเต้าซี่, ขนมจีบปู, ขนมจีบกุ้ง และหอยจ๊อกุ้ง รสชาติโดยรวมถือว่ากำลังดีค่ะ
กินอาหารเช้าเสร็จแล้วก็นั่งรถไปยัง “วัดถ้ำเสือ” เป็นที่แรก ซึ่งวัดถ้ำเสือเป็นวัดไทยสุด Unseen ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของเมืองกาญจน์ตั้งอยู่บนเนินเขาสูงในอำเภอท่าม่วง มองออกไปทางด้านหลังวัดก็จะเห็นทุ่งนาสีเขียวขจีในช่วงฤดูทำนา โดยในอดีตนั้นเป็นเพียงสำนักสงฆ์ขนาดเล็ก แต่ชาวบ้านผู้มีจิตศรัทธาได้ร่วมกันสร้างและบูรณะวัดจนมีขนาดใหญ่โตสวยงามในเวลาต่อมา ถือได้ว่าเป็นวัดสวยกลางทุ่งนาเลยทีเดียวค่ะ
เมื่อเดินขึ้นบันไดเข้าไปในวัดถ้ำเสือจะพบกับอาคารและเจดีย์ที่มีสถาปัตยกรรมหลายแบบด้วยกันทั้งแบบไทย, แบบจีน, แบบญี่ปุ่น และแบบผสมผสาน ซึ่งจุดเด่นหรือไฮไลต์ของวัดแห่งนี้คือ “หลวงพ่อชินประทานพร” พระพุทธรูปปางประทานพรขนาดใหญ่ที่สุดตั้งประดิษฐานอยู่บนเนินเขา โดยประดับตกแต่งองค์พระด้วยโมเสกสีทองอร่ามทั้งองค์อย่างโดดเด่นสวยงาม มองเห็นมาแต่ไกลค่ะ
จากนั้นเราเดินทางต่อไปยัง “ต้นจามจุรียักษ์” ซึ่งต้นจามจุรียักษ์เป็นต้นไม้ขนาดลำต้นใหญ่ยักษ์เท่า 10 คนโอบและสูงถึง 20 เมตร มีอายุไม่ต่ำกว่า 100 ปีเลยทีเดียว โดยทั้งรากกับกิ่งก้านใบที่ตั้งพุ่มเขียวขจีให้ร่มเงายังแตกแขนงและแผ่ขยายครอบคลุมไปทั่วอาณาเขต ด้วยขนาดของต้นจามจุรียักษ์ที่ใหญ่อลังการนี้เอง ทำให้ที่นี่กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวต่างแวะเข้ามาเที่ยวชมกันอย่างไม่ขาดสาย เมื่อเข้ามาภายในบริเวณต้นจามจุรียักษ์จะมีสะพานวงกลมแบบยกพื้นสูงเหนือพื้นดินล้อมรอบลำต้นไว้ให้เป็นพื้นที่นั่งเล่นพักผ่อน หรือหลบแดดหลบฝน ตากลมเย็น ๆ ใต้ต้นไม้ ส่วนบริเวณโดยรอบจะปลูกต้นไม้ ดอกไม้ให้ถ่ายรูปสวย ๆ แต่ด้วยความที่ไปเที่ยวในช่วงวันหยุด ทำให้ถ่ายรูปไม่ถนัดนัก เพราะติดภาพคน จึงถ่ายภาพได้แค่นิดหน่อยและตั้งใจว่าจะมาเที่ยวที่นี่อีก เพื่อมาถ่ายรูปแบบไม่ติดคนค่ะ 5555
หลังจากช่วงเช้าเที่ยววัดถ้ำเสือกับต้นจามจุรียักษ์แล้วก็ถึงช่วงมื้อเที่ยงพอดี เราก็นั่งรถไปกินอาหารกลางวันเติมพลังยามบ่ายที่ “ร้านพริกแกง” ซึ่งร้านพริกแกงเป็นร้านอาหารป่าขนาดกลางที่ตั้งอยู่บริเวณสะพานลาดหญ้า มีพื้นที่เปิดโล่งแบบ Open Air โดยเมนูอาหารที่เราสั่งนั้น ได้แก่ กบทอดกระเทียม, ฉู่ฉี่ปลาคัง, ผัดเผ็ดหมูป่า และไก่รวนเค็ม รสชาติโดยรวมถือว่าอร่อยเผ็ดจัดจ้านถึงใจตามสไตล์อาหารเมืองกาญจน์ค่ะ
พอกินอาหารเที่ยงเสร็จแล้วก็นั่งรถเดินทางต่อไปยัง “น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น” ที่อยู่ภายในเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขื่อนศรีนครินทร์ ซึ่งน้ำตกห้วยแม่ขมิ้นเป็นน้ำตกที่สวยงามที่สุดในจังหวัดกาญจนบุรีไม่แพ้น้ำตกเอราวัณและได้รับความนิยมในหมู่นักท่องเที่ยว เนื่องจากมีบรรยากาศที่รายล้อมด้วยธรรมชาติอันสมบูรณ์ประกอบกับม่านน้ำตกที่ไหลลดหลั่นลงมาเป็นชั้น ๆ อีกทั้งยังสามารถเที่ยวชมได้ตลอดทั้งปี โดยน้ำตกแบ่งออกเป็น 7 ชั้น แต่ละชั้นก็จะมีชื่อเรียกและสวยงามแตกต่างกันไป แต่น้ำตกชั้นที่สวยงามที่สุดคือน้ำตกชั้นที่ 4 “ฉัตรแก้ว” ที่มีสายน้ำไหลลดหลั่นเป็นชั้น ๆ คล้ายผ้าม่านค่ะ
นอกจากนั้นทางอุทยานฯ ยังมีพื้นที่/บริการกางเต็นท์พักแรม, เส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติ และเส้นทางเดินขึ้นไปชมน้ำตกแต่ละชั้น ซึ่งการเดินลงไปชมน้ำตกจะนิยมเริ่มที่ชั้น 4 โดยนักท่องเที่ยวสามารถเลือกเดินชมได้จากน้ำตกชั้นที่ 4 ลงไปน้ำตกชั้นที่ 1 หรือน้ำตกชั้นที่ 4 ขึ้นไปยังน้ำตกชั้นที่ 7 แต่ด้วยความที่ช่วงบ่ายเรามีเวลาไม่มากนัก ประกอบกับฝนตกปรอย ๆ เราจึงเดินลงไปจนเกือบล่างสุดเพื่อชมน้ำตกชั้นที่ 1 ก่อนแล้วค่อย ๆ เดินขึ้นมาชมน้ำตกชั้นที่ 4 ที่มีระยะทางเพียง 300-750 เมตรเท่านั้น ไม่ได้ขึ้นไปน้ำตกชั้นที่ 5 จนถึงน้ำตกชั้นบนสุด เนื่องจากมีระยะทางขึ้นไปยังน้ำตกแต่ละชั้นมากกว่า 1 กิโลเมตรนั่นเอง บอกตรง ๆ ว่าเสียดายมากค่ะ ไหน ๆ มาถึงที่นี่ทั้งทีนี่เนอะ ^^”
เมื่อเดินชมน้ำตกห้วยขมิ้นแล้วก็นั่งรถออกมามองหาร้านอาหารใกล้ ๆ กับน้ำตกและเขื่อนศรีนครินทร์ จนได้มาเจอ “ร้านบ้านต้นน้ำ” ที่ตั้งอยู่ตรงข้ามกับเอราวัณรีสอร์ท ซึ่งร้านบ้านต้นน้ำเป็นร้านอาหารไทยแบบ Open Air สไตล์สวนอาหาร ทำให้บรรยากาศภายในร้านร่มรื่นและปลอดโปร่งโล่งสบาย มีโต๊ะที่นั่งให้เลือกนั่งทั้งมุมด้านนอกร้านเหมือนนั่งอยู่ในสวนกับมุมด้านในร้าน ส่วนเมนูอาหารของร้านบ้านต้นน้ำมีอาหารไทยสารพัดเมนูด้วยกัน โดยเมนูที่เราสั่งได้แก่ ข้าวผัดกุ้ง, กุ้งทอดราดซอสมะขาม และต้มยำปลาคังน้ำใส รสชาติอาหารโดยรวมถือว่าอร่อยดี ชอบสุดคือเมนูกุ้งทอดราดซอสมะขามที่เป็นกุ้งชุบแป้งทอดราดน้ำซอสมะขามรสชาติเข้มข้นนี่แหละ กดไลก์ให้เลยจ้า! 👍👍👍
หลังจากกินอาหารเย็นเสร็จแล้วก็นั่งรถไปเช็กอินเข้าพัก ณ “วอร์มเวล โฮสเทล” ที่ตั้งอยู่ใกล้กับสะพานข้ามแม่น้ำแควและห้างบิ๊กซี ซึ่งวอร์มเวล โฮสเทลเป็นโฮสเทลเล็ก ๆ ระดับ 3 ดาว มีห้องพักทั้งหมด 18 ห้องด้วยกัน สามารถเข้าพักได้สูงสุดห้องละ 4 คน ในราคาไม่ถึง 1,000 บาท โดยภายในห้องพักมีสิ่งอำนวยความสะดวกพร้อม เช่น โทรทัศน์, ตู้เย็น, แอร์, ไดร์เป่าผม, ผ้าเช็ดตัว และครีมอาบน้ำ รูปถ่ายได้แค่มุมเดียวนะคะ หากต้องการชมภาพห้องพักแบบเต็ม ๆ สามารถเข้าไปกดคลิกลิงก์ที่ชื่อโฮสเทลได้เลยค่ะ พอเช็กอินเรียบร้อยแล้วก็อาบน้ำ นั่งเล่น ดูโทรทัศน์ไปเรื่อย จนเคลิ้มหลับไป
วันรุ่งขึ้นหลังจากทำธุระส่วนตัวและเช็กเอาท์ออกจากที่พักแล้วจึงเดินทางไปยัง “อุทยานประวัติศาสตร์เมืองสิงห์” ซึ่งอุทยานประวัติศาสตร์เมืองสิงห์เรียกอย่างสั้น ๆ ว่า “ปราสาทเมืองสิงห์” เป็นปราสาทขอมเพียงแห่งเดียวของเมืองกาญจน์ที่ยังคงเหลืออยู่ถึงปัจจุบัน เพื่อใช้เป็นศาสนสถาน โดยสร้างตามแบบศิลปะลพบุรีตอนปลาย พุทธศตวรรษที่ 16-18 คาดว่าน่าจะสร้างขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 18 ในช่วงที่พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ปกครองพื้นที่ภาคกลางและภาคตะวันออกของไทยก่อนที่จะก่อตั้งอาณาจักรสุโขทัย ต่อมาอาณาจักรขอมล่มสลาย ที่นี่จึงถูกทิ้งร้างผุพังอย่างที่เห็นในปัจจุบันค่ะ
เมื่อเข้ามาภายในอุทยานฯ ก็จะพบกับต้นไม้น้อยใหญ่ร่มรื่น แต่ก่อนจะเข้าไปชมไฮไลต์ของปราสาทเมืองสิงห์ เราได้แวะเข้าไปชมหลุมขุดค้นทางโบราณคดีที่อยู่บริเวณปราสาทติดกับแม่น้ำ ซึ่งมีทั้งโครงกระดูกมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์, เครื่องมือเครื่องใช้ และเครื่องประดับโลหะที่ได้ขุดพบนำมาจัดแสดงค่ะ
เดินชมหลุมขุดค้นทางโบราณคดีแล้วก็เดินไปชมโบราณสถานกันต่อ ซึ่งมีโบราณสถานทั้งหมด 4 แห่งด้วยกัน แต่เราชมโบราณสถานเพียง 2 แห่งเท่านั้นคือโบราณสถานหมายเลข 1 กับหมายเลข 2 โดยโบราณสถานหมายเลข 1 ตั้งอยู่ใจกลางกลุ่มโบราณสถานและใช้เป็นที่ประดิษฐานของเทวรูปศิลปะขอม ถือได้ว่าเป็นปราสาทขอมที่สมบูรณ์ที่สุด ส่วนโบราณสถานหมายเลข 2 เหลือเพียงซากของฐานปราสาทเท่านั้นค่ะ
ชมปราสาทโบราณที่ปราสาทเมืองสิงห์แล้วก็ถึงมื้อเที่ยง จึงนั่งรถไปกินอาหารมื้อเที่ยงที่ “ร้านกบทอดท่ามะกา” ซึ่งร้านกบทอดท่ามะกาเป็นร้านอาหารป่าขนาดใหญ่ชื่อดังของจังหวัดที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากสถานีตำรวจอำเภอท่ามะกา มีพื้นที่เปิดโล่งแบบ Open Air และโต๊ะ-ที่นั่งเป็นแบบไม้มีให้เลือกนั่งไม่ต่ำกว่า 20 โต๊ะ ส่วนเมนูเด็ดที่ขึ้นชื่อของร้านมีทั้งกบทอดกระเทียม, กบผัดพริกแกง, ต้มยำกบ, กบทอด, แกงป่า, ปลาช่อนทอดน้ำปลา, กบผัดกะเพรา, ทอดมันปลากราย, ต้มยำปลาคัง และพล่ากบ โดยอาหารที่เราสั่งมีแต่กบ ไม่ว่าจะเป็นกบทอดกระเทียม, กบผัดพริกแกง, ต้มยำกบ และหนังกบ กินจนหน้าจะเป็นกบอยู่แล้ว 5555 รสชาติอาหารโดยรวมถือว่าอร่อยกลมกล่อมกำลังดีค่ะ
เติมพลังยามบ่ายแล้วก็นั่งรถผ่านสถานีตำรวจอำเภอท่ามะกา ซึ่งเป็นสถานที่ถ่ายทำละครเรื่อง “สารวัตรใหญ่” ละครดังหลังข่าวทางช่อง 7 เมื่อต้นปี 2562 ด้วยความที่เราชื่นชอบละครเรื่องนี้มาก ๆ จึงได้แวะมาถ่ายรูปอาคารโรงพักเพื่อรำลึกถึงความหลังที่ได้ดูละครเรื่องนี้ก่อนเดินทางกลับกรุงเทพฯ ค่ะ 55555
เป็นอย่างไรกันบ้างคะสำหรับรีวิวเที่ยวทริป “ชิลล์ไปเรื่อย...เอื่อยเฉื่อยที่กาญนะจ๊ะบุรี”? ซึ่งบทความรีวิวทริปเที่ยวเมืองกาญจน์ยังไม่จบแค่นี้ เพราะยังมีทริปเที่ยวอีก 3 ทริปให้ได้อ่านกัน แล้วเจอกันใหม่ในรีวิวทริปที่ 2 กันจ้า สำหรับวันนี้ขอตัวลาไปพักก่อน สวัสดีค่า 🙏🙏🙏
Windy_love_Travel หญิงสาวผู้รักการท่องเที่ยว
วันพฤหัสที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2566 เวลา 00.33 น.