วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร (วัดใหญ่)
วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร หรือชื่อที่คนส่วนใหญ่เรียกกันว่า "วัดใหญ่" หรือที่หลายคนรู้จักในชื่อ "วัดพระพุทธชินราช พิษณุโลก" แห่งนี้ นับเป็นแลนด์มาร์คอันดับหนึ่งที่ต้องไปเมื่อมาที่จังหวัดพิษณุโลกค่ะ ตั้งอยู่ที่ ถนนพุทธบูชา ริมฝั่งแม่น้ำน่านด้านทิศตะวันออก ตรงข้ามกับศาลากลางจังหวัดพิษณุโลก วัดนี้เป็นที่เคารพนับถือของเหล่าพุทธศาสนิกชน อีกทั้งภายในวัดยังมีสิ่งที่น่าสนใจศึกษาหาความรู้อีกหลายอย่าง วันนี้เราเลยจะอาสาพาทุกคนไปทำความรู้จักกับวัดแห่งนี้ให้มากขึ้นค่ะ
ประวัติ : วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร
วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร ไม่มีหลักฐานว่าสร้างขึ้นเมื่อใด สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นก่อนสมัยสุโขทัย และเป็นพระอารามหลวงมาแต่เดิม เพราะได้พบหลักฐานศิลาจารึกสุโขทัยมีความว่า พ่อขุนศรีนาวนำถมทรงสร้างพระทันตธาตุสุคนธเจดีย์
ส่วนในพงศาวดารเหนือกล่าวไว้ว่า " ในราวพุทธศักราช 1900 พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎก (พระมหาธรรมราชาที่ 1) เป็นพระมหากษัตริย์ครองกรุงสุโขทัย ทรงมีศรัทธาเลื่อมใสในบวรพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังได้ทรงศึกษาพระไตรปิฎกและคัมภีร์ศาสนาอื่น ๆ จนช่ำชองแตกฉาน หาผู้ใดเสมอเหมือนได้ยาก พระองค์ได้ทรงสร้างวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ในฝั่งตะวันออกของแม่น้ำน่าน มีพระปรางค์อยู่กลาง มีพระวิหาร 4 ทิศ มีพระระเบียง 2 ชั้นและทรงรับสั่งให้ปั้นหุ่นหล่อพระพุทธรูปขึ้น 3 องค์ เพื่อประดิษฐานเป็นพระประธานในพระวิหารทั้ง 3 หลัง"
ต่อมาเมื่อ ปี พ.ศ. 2458 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยกขึ้นเป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดวรมหาวิหาร เมื่อ พ.ศ. 2458 ปัจจุบันจึงมีชื่อเต็มว่า วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร
ในวันที่เรามาที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร (วัดใหญ่) เป็นความโชคดีอย่างมาก ที่ได้มีโอกาสร่วมทำบุญกับทางวัด
โดยเราได้ร่วมเป็นเจ้าภาพบรรพชาสามเณรภาคฤดูร้อน ประจำปี 2566 กับทางวัด เมื่อทำบุญกรวดน้ำจิตใจผ่องใสเรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลาเที่ยวชมวัดใหญ่กันแล้วค่ะ
นี่เป็นครั้งแรกที่มาวัดนี้ เราเลยเริ่มต้นด้วยการไปยังจุดที่ทางวัดจัดไว้ให้ประชาชนที่ต้องการมากราบสักการะองค์พระพุทธชินราช ด้วยการบูชาดอกไม้ ธูปเทียน และปิดทอง ที่ "ศาลาปิดทองปฎิมาบูชาธิษฐาน" เพราะด้านในพระวิหารจะไม่อนุญาตให้ปิดทององค์ท่านค่ะ
สิ่งน่าสนใจ : ภายในวัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร
พระเหลือ
ฝั่งตรงข้ามกับศาลาปิดทองปฎิมาบูชาธิษฐาน จะมีวิหารหลังเล็กๆ อีกหลังหนึ่งอยู่ใต้ต้นโพธิ์ใหญ่ วิหารที่ว่านั้นมีขนาดเล็กมากจริงๆ ค่ะ จนคนอาจเข้าใจผิดได้ แต่!!! วิหารหลังเล็กที่ว่านี้เป็นวิหารของ "พระเหลือ" นั่นเอง
เหตุที่พระพุทธรูปในวิหารนี้ได้ชื่อว่า "พระเหลือ" ก็เนื่องมาจาก...เมื่อครั้งที่หล่อพระพุทธรูปสำคัญทั้ง 3 องค์ อันได้แก่ พระพุทธชินราช, พระพุทธชินสีห์ และพระศรีศาสดานั้น ก็ยังคงมีเศษทองสัมฤทธิ์หลงเหลืออยู่ พระยาลิไทจึงมีรับสั่งให้ช่างนำเศษทองนั้นมาหล่อเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ขนาดหน้าตักกว้างเพียง 1 ศอกเศษ และเรียกท่านว่า "พระเหลือ" ถึงกระนั้นเศษทองก็ยังเหลืออยู่อีก จึงได้หล่อพระสาวกขึ้นมาอีก 2 องค์ยืนอยู่ด้านข้างขององค์พระเหลือ
ส่วนอิฐที่ใช้ก่อเตาสำหรับหลอมทองที่หล่อพระพุทธรูปนั้น ได้นำมารวมกันแล้วก่อเป็นฐานชุกชีสูง 3 ศอก ตรงตำแหน่งที่หล่อพระพุทธชินราช พร้อมกับปลูกต้นมหาโพธิ์ 3 ต้นลงบนชุกชีนั้น แสดงว่าเป็นมหาโพธิ์สถานของพระพุทธชินราช, พระพุทธชินสีห์ และพระศรีศาสดาทั้ง 3 องค์ จึงเรียกว่า "โพธิ์สามเส้า" และได้สร้างวิหารเล็กๆ ขึ้นมาระหว่างต้นโพธิ์นั้น เพื่อเป็นที่ประดิษฐานของพระเหลือและพระสาวก จึงเรียกชื่อว่า "วิหารพระเหลือ"
ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงได้ตั้งชื่ออย่างเป็นทางการใหม่ว่า "พระเสสันตปฏิมากร" แต่ก็ด้วยชื่อของท่านนั่นเอง ที่ทำให้ผู้คนมักนิยมไปสักการะขอพรจากท่าน ด้วยเชื่อว่าจะทำให้มีเงินมีทองเหลือใช้เหมือนอย่างชื่อของท่าน
พระเหลือ ถูกจัดให้อยู่ในพระพุทธรูปหมวดพระพุทธชินราช (พระพุทธรูปสกุลช่างเมืองพิษณุโลก ซึ่งมีลักษณะต่างจากหมวดใหญ่เล็กน้อย คือพระพักตร์ที่อวบอ้วนมากกว่าและตที่สำคัญคือการทำปลายนิ้วพระหัตถ์ทั้ง ๔ ยาวเสมอกัน ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของพระพุทธรูปหมวดนี้) ถือเป็น 1 ใน 4 หมวดของพระพุทธรูปสมัยสุโขทัย
ลักษณะทางพุทธศิลป์ พระเกศรัศมียาวเป็นเปลวเพลิง พระเกศาขดเป็นก้นหอย วงพระพักตร์ค่อนข้างกลมไม่ยาวรีเหมือนผลมะตูมเช่นพระพุทธรูปสมัยสุโขทัยหมวดใหญ่ พระวรกายอวบอ้วนมีสังฆายาวปลายหยักเป็นเขี้ยวตะขาบ ฝ่าพระบาทแบนราบค่อนข้างแคบเมื่อเทียบกับพระพุทธรูปสมัยสุโขทัยหมวดใหญ่ ส้นพระบาทยาว มีพระอัครสาวกทั้งเบื้องซ้ายและเบื้องขวาประกอบ
พระพุทธชินราช
ที่นี่ คือ สถานที่ประดิษฐานขององค์พระพุทธชินราช ไม่มีหลักฐานว่าสร้างขึ้นเมื่อใด สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นก่อนสมัยสุโขทัย พระวิหารพระพุทธชินราช เป็นวิหารทรงโรง ตัวพระวิหารสร้างมาตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย และได้รับการบูรณะให้มีสภาพดีมาตลอดจนถึงสมัยปัจจุบัน พระวิหารหลังนี้จึงเป็นสถาปัตยกรรมสมัยกรุงสุโขทัยที่มีความสง่างาม และยังคงสภาพสมบูรณ์มาก
และการเข้าไปสักการะองค์พระพุทธชินราชนั้น ห้ามใส่กางเกงขาสั้น กระโปรงสั้น เสื้อแขนกุด หรือเปิดไหล่ แม้แต่ผู้ชายก็ห้ามใส่กางเกงขาสั้นเช่นกันค่ะ แต่!!! ถ้าคนที่มานั้นแต่งกายไม่สุภาพ ทางวัดก็มีเสื้อผ้ากางเกงให้บริการยืมใส่อีกด้วยค่ะ
องค์พระพุทธชินราช ที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร (วัดใหญ่) ได้ชื่อว่าเป็นพระพุทธรูปที่มีพุทธลักษณะงดงามที่สุดของเมืองไทย พระพุทธรูปองค์นี้สร้างขึ้นในสมัยของพระมหาธรรมราชาที่ 1 หรือพญาลิไทย กษัตริย์ในราชวงศ์พระร่วง สมัยสุโขทัย หรือเมื่อประมาณ พ.ศ. 1900 ในครั้งนั้นได้มีพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นในคราวเดียวกันอีก 2 องค์ คือ พระพุทธชินสีห์ และพระศรีศาสดา ซึ่งอีกสององค์นั้น ขณะนี้ได้ประดิษฐานอยู่ที่วัดบวรนิเวศ กรุงเทพมหานคร ส่วนที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุนี้เป็นองค์จำลอง
พระพุทธชินราช ถูกจัดให้อยู่ในพระพุทธรูปหมวดพระพุทธชินราช (พระพุทธรูปสกุลช่างเมืองพิษณุโลก ซึ่งมีลักษณะต่างจากหมวดใหญ่เล็กน้อย คือพระพักตร์ที่อวบอ้วนมากกว่าและที่สำคัญคือการทำปลายนิ้วพระหัตถ์ทั้ง 4 ยาวเสมอกัน ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของพระพุทธรูปหมวดนี้) ถือเป็น 1 ใน 4 หมวดของพระพุทธรูปสมัยสุโขทัย
ลักษณะทางพุทธศิลป์ พระเกศรัศมียาวเป็นเปลวเพลิง พระเกศาขดเป็นก้นหอยขนาดใหญ่ วงพระพักตร์ค่อนข้างกลมไม่ยาวรีเหมือนผลมะตูมเช่นพระพุทธรูปสมัยสุโขทัยหมวดใหญ่ มีพระอุณาโลมผลิกอยู่ระหว่างพระขนง พระวรกายอวบอ้วนมีสังฆายาวปลายหยักเป็นเขี้ยวตะขาบฝังด้วยแก้ว นิ้วพระหัตถ์ทั้งสี่ยาวเสมอกัน (ทีฆงคุลี) ฝ่าพระบาทแบนราบค่อนข้างแคบเมื่อเทียบกับพระพุทธรูปสมัยสุโขทัยหมวดใหญ่ ส้นพระบาทยาว มีรูปอาฬวกยักษ์และรูปท้าวเวสสุวัณหล่อด้วยทองสัมฤทธิ์เฝ้าอยู่ที่พระเพลาเบื้องขวาและซ้ายขององค์ตามลำดับ มีซุ้มเรือนแก้วและสลักด้วยไม้สักลงรักปิดทองประดับเบิ้องพระปฤษฎางค์ปราณีตอ่อนช้อยช่วยเน้นให้พระวรกายของพระพุทธชินราชมีความงดงามยิ่งขึ้น
สำหรับใครที่จะถ่ายรูปภายในพระอุโบสถนั้น สามารถทำได้แต่!!! ห้ามยืนถ่ายรูปกับองค์พระ ต้องนั่งถ่ายรูปได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ทางด้านขวามือขององค์พระพุทธชินราช ก็จะเป็นจุดสักการะองค์พระนเรศวร
และอีกความงดงามในพระอุโบสถหลังนี้ คือ ภาพวาดจิตรกรรมฝาผนัง ซึ่งทางวัดได้มีการบูรณะดูแลไว้เป็นอย่างดี
ท้าวเวสสุวรรณ ปางประทับนั่ง
ทางด้านซ้ายมือขององค์พระพุทธชินราช จะมีองค์ท้าวเวสสุวรรณที่เก่าแก่ ปางประทับนั่ง ถือคทาวุธัง สถิตถวายการอภิบาลอยู่ที่ฐานชุกชีรัตนบัลลังก์ ข้างพระชานุด้านซ้ายขององค์พระพุทธชินราชมายาวนาน ซึ่งอยู่ในท่านั่งเพียงองค์เดียวของประเทศไทย และเชื่อกันว่ามีความศักดิ์สิทธิ์มาก ผู้คนนิยมมากราบไหว้ขอพรกันอีกด้วยค่ะ
ระหว่างทางที่เราเดินไปยังสถานที่ถัดไป ก็จะมีพระพุทธรูปเรียงรายอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งเรียกว่า "ระเบียงคต" เมื่อเดินตามทางไปเรื่อยๆ ก็มาเจอกับ...
พระสังกัจจายน์
พระสังกัจจายน์ ที่ประดิษฐานอยู่ในวิหารนั้น มีขนาดหน้าตักกว้าง 3ศอก อยู่บริเวณลานภายในระเบียงวิหารคตด้านทิศใต้ พระวิหารพระพุทธชินราช พิษณุโลก
วิหารพระสังกัจจายน์ ได้รับการบูรณะ หลังจากทรุดโทรมมายาวนานนับแต่ครั้งอะแซหวุ่นกี้เผาเมืองพิษณุโลก ในปี พ.ศ.2318 บูรณะถวายโดย จีน หลวงอุดมไมตรี และนางทับ ภรรยา ในปี พ.ศ.2376 ในสมัยรัชกาลที่ 3
โดยผู้คนนิยมมากราบไหว้พระสังกัจจายน์ เพื่อมาขอพรให้อุดมไปด้วยโชคลาภ สตรีที่สมรสแล้วก็นิยมมาอธิษฐานของบุตรกัน อยากจะได้ผู้หญิงหรือผู้ชายก็มาอธิฐานขอพรกับพระสังกัจจายน์ แล้วตีระฆังใบใหญ่ที่แขวนไว้ เป็นสัญญาณแห่งการร้องขอต่อองค์ท่าน แล้วก็มีหลายคนสำเร็จสมปราถนากันไปเป็นจำนวนมากค่ะ
พระปรางค์วัดใหญ่
และตรงบริเวณลานหน้า วิหารพระสังกัจจายน์ เป็นอีกมุมนึงที่มองเห็นยอดเจดีย์ได้อย่างสวยงาม
พระปรางค์วัดใหญ่ เป็นโบราณสถานสมัยสุโขทัย สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ตั้งอยู่ ณ ศูนย์กลางของวัด เดิมนั้นพระปรางค์วัดใหญ่น่าจะเป็นเจดีย์ทรงดอกบัวตูม หรือพุ่มข้าวบิณฑ์ ความสูงประมาณ 15 วา ต่อมาสมเด็จพระบรมไตรโลกนารถ สมัยอยุธยาตอนต้น พิษณุโลกได้เป็นเมืองหลวงถึง 25 ปี จึงทำนุบำรุงพุทธศาสนานำเอาศิลปะแบบอยุธยาเข้ามาสร้างให้ มีเอกลักษณ์เพื่อเป็นขอบเขตอาณาจักร สัญลักษณ์ขอบเขตที่เป็นพื้นที่ๆ ห้ามรุกราน เจดีย์จึงได้บูรณะปรับปรุงให้เป็นพระปรางค์ตามยุคสมัย กลายเป็นพระปรางค์ทรงคล้ายฝักข้าวโพด
ถัดมาเป็น วิหารพระศรีศาสดา ประดิษฐานอยู่ ณ วิหารด้านทิศใต้ สันนิษฐานกันว่าน่าจะสร้างขึ้นสมัยพระมหาธรรมราชาที่ 1 (พญาลิไท) พร้อมกับ พระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์ และพระเหลือ ภายในวิหารหลังนี้จะเป็นที่ประดิษฐานของ “หลวงพ่อดำ” กับ "พระศรีศาสดา"
พระพุทธเจ้าพระองค์ดำ
เมื่อเราก้าวผ่านเข้ามายังวิหาร เราก็จะเจอกับ พระพุทธเจ้าพระองค์ดำ ก่อนเป็นอันดับแรก เป็นพระพุทธรูปสมัยสุโขทัย เนื้อปูนปั้น ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้สร้าง แต่สันนิษฐานว่าสร้างเมื่อคราวพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕) โดยหลวงพ่อดำได้ประดิษฐานอยู่ด้านหน้าวิหารพระศรีศาสดาแห่งนี้มาตลอด
เหตุที่เรียก “หลวงพ่อดำ” นั้น เข้าใจว่ามีผู้มีจิตศรัทธาได้สร้างถวายเป็นพุทธบูชา เมื่อสร้างเสร็จแล้วจะทำการปิดทองพระพุทธรูป แต่ไม่ทราบว่ามีสาเหตุใดจึงปิดทองไม่สำเร็จ ได้แต่ลงรักปิดทองเอาไว้ เมื่อประชาชนมากราบไว้แล้วเห็นองค์พระเป็นสีดำ จึงเรียกว่า "หลวงพ่อดำ"
พระศรีศาสดา
ในส่วนของ พระศรีศาสดา ต้องเดินอ้อมไปทางด้านหลังของ หลวงพ่อดำ ถึงจะเจอกับประตูเข้าวิหารของพระศรีศาสดา สังเกตุจากป้ายชื่อด้านบนเลยค่ะ
พระศรีศาสดา ถูกจัดให้อยู่ในพระพุทธรูปหมวดพระพุทธชินราช (พระพุทธรูปสกุลช่างเมืองพิษณุโลก ซึ่งมีลักษณะต่างจากหมวดใหญ่เล็กน้อย คือ พระพักตร์ที่อวบอ้วนมากกว่า และที่สำคัญคือ การทำปลายนิ้วพระหัตถ์ทั้ง 4 ยาวเสมอกัน ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของพระพุทธรูปหมวดนี้) ถือเป็น 1 ใน 4 หมวดของพระพุทธรูปสมัยสุโขทัย
ลักษณะทางพุทธศิลป์ พระเกศรัศมียาวเป็นเปลวเพลิง พระเกศาขดเป็นก้นหอยขนาดใหญ่ วงพระพักตร์ค่อนข้างกลมไม่ยาวรีเหมือนผลมะตูมเช่นพระพุทธรูปสมัยสุโขทัยหมวดใหญ่ พระวรกายอวบอ้วนมีสังฆายาวปลายหยักเป็นเขี้ยวตะขาบ นิ้วพระหัตถ์ทั้งสี่ยาวเสมอกัน (ทีฆงคุลี) ฝ่าพระบาทแบนราบค่อนข้างแคบเมื่อเทียบกับพระพุทธรูปสมัยสุโขทัยหมวดใหญ่ ส้นพระบาทยาว
พระพุทธชินสีห์
พระพุทธชินสีห์ เป็นพระพุทธรูปสำคัญพระองค์หนึ่งของหัวเมืองฝ่ายเหนือ สร้างขึ้นคราวเดียวกันกับพระพุทธชินราช พระศรีศาสดา และพระเหลือ ประดิษฐานอยู่ในพระวิหารด้านเหนือ
พระพุทธชินสีห์ ถูกจัดให้อยู่ในพระพุทธรูปหมวดพระพุทธชินราช (พระพุทธรูปสกุลช่างเมืองพิษณุโลก ซึ่งมีลักษณะต่างจากหมวดใหญ่เล็กน้อย คือพระพักตร์ที่อวบอ้วนมากกว่าและที่สำคัญคือการทำปลายนิ้วพระหัตถ์ทั้ง ๔ ยาวเสมอกัน ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของพระพุทธรูปหมวดนี้) ถือเป็น 1 ใน 4 หมวดของพระพุทธรูปสมัยสุโขทัย
ลักษณะทางพุทธศิลป์พระเกศรัศมียาวเป็นเปลวเพลิง พระเกศาขดเป็นก้นหอยขนาดใหญ่ วงพระพักตร์ค่อนข้างกลมไม่ยาวรีเหมือนผลมะตูมเช่นพระพุทธรูปสมัยสุโขทัยหมวดใหญ่ พระวรกายอวบอ้วนมีสังฆายาวปลายหยักเป็นเขี้ยวตะขาบ นิ้วพระหัตถ์ทั้งสี่ยาวเสมอกัน (ทีฆงคุลี) ฝ่าพระบาทแบนราบค่อนข้างแคบเมื่อเทียบกับพระพุทธรูปสมัยสุโขทัยหมวดใหญ่ ส้นพระบาทยาว
พระวิหารพระอัฏฐารส
บริเวณหลังวิหารพระพุทธชินราช มีพระอัฎฐารส ซึ่งเป็นพระนามของพระพุทธปฏิมา เป็นพระพุทธรูปยืนขนาดใหญ่ปางห้ามญาติ ความสูง 18 ศอก (ประมาณ 10 เมตร) เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย หล่อด้วยสำริดปางมารวิชัย ศิลปะสุโขทัยตอนปลาย หล่อในสมัยพระมหาธรรมราชาที่ 1(พญาลิไท) สร้างในสมัยเดียวกับพระพุทธชินราช ราว พ.ศ. 1800 เดิมประดิษฐานอยู่ในวิหารใหญ่ แต่!!! วิหารได้พังไปจนหมดเหลือเพียงเสาที่ก่อด้วยศิลาแลงขนาดใหญ่ 3 – 4 ต้น และเนินพระวิหารบางส่วน เรียกว่า “เนินวิหารเก้าห้อง” เชื่อกันว่าหากได้มากราบไหว้จะหายทุกข์หายโศก
หลวงพ่อคง
หลวงพ่อคง เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย เป็นพระพุทธรูปที่สร้างแบบก่ออิฐถือปูนลงรักปิดทอง อยู่ทางทิศเหนือของพระอัฏฐารสหลังวิหารพระพุทธชินราช ประดิษฐ์ฐานอยู่คู่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหวิหาร (วัดใหญ่) นี้มาตั้งแต่เดิม สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยกรุงสุโขทัย
หลวงพ่อขาว
หลวงพ่อขาว พระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะสุโขทัย ประดิษฐานอยู่คู่วัดแห่งนี้มาแต่เดิม สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยสุโขทัย ก่ออิฐถือปูน ขนาดหน้าตักกว้าง 2.63 เมตร ความสูง 3.39 เมตร เชื่อกันว่าหากผู้ใดได้บูชาจะเจริญรุ่งเรือง จิตใจผ่องใส ปราศจากโรคภัยและอุปสรรคอันตรายทั้งปวง
พระอุโบสถ หลวงพ่อโต
พระอุโบสถหลังนี้ มีขนาด 5 ห้อง สถาปัตยกรรมทรงโรง สมัยอยุธยา รอบพระอุโบสถมีกำแพงแก้วล้อมรอบ มีใบเสมาหินชนวนคู่ตั้งอยู่บนฐานเสมา สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยสุโขทัย ด้านในพระอุโบสถเป็นที่ประดิษฐานพระประธาน “หลวงพ่อโต” พระพุทธรูปปูนปั้นขนาดใหญ่ปางมารวิชัย ศิลปะสุโขทัย มีพระพักตร์กลมป้อม งดงาม มีพระอุณาโลมและพระเกศเปลวเพลิงยาว
แต่!!! การเที่ยวชมวัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร (วัดใหญ่) พิษณุโลก ในครั้งนี้เราพลาดไป 2 สถานที่สำคัญ คือ
1. วิหารพระเจ้าเข้านิพพาน ซึ่งตั้งอยู่ทางด้านใต้ของพระวิหารพระศรีศาสดา ภายในวิหารประดิษฐาน “พระพุทธรูปปางพระพุทธเจ้าเข้านิพพาน” ซึ่งเป็นหีบบรรจุบรรจุพระพุทธสรีระจำลองของพระพุทธเจ้า ที่มีเพียงแห่งเดียวในไทย ทำจากศิลาลงรักปิดทอง ขนาดกว้าง 46 เซนติเมตร ยาว 160 เซนติเมตร สูง 45 เซนติเมตร บริเวณปลายหีบจะมีพระบาท 2 ข้างยื่นออกมา และพระมหากัสสปเถระนั่งนมัสการอยู่ด้วย เชื่อกันว่าหากได้มากราบไหว้พรขอสิ่งใดมักสัมฤทธิผล
2. รอยพระพุทธบาท ประดิษฐานอยู่บนฐานสูงประมาณ 70 เซนติเมตร เป็นศิลปะสมัยรัตนโกสินทร์ ปัจจุบันตั้งอยู่ในมณฑปพระพุทธบาท ซึ่งอยู่ทางด้านซ้ายของวิหารพระอัฏฐารส
สำหรับใครที่มาเที่ยวจังหวัดพิษณุโลก แนะนำว่าอย่าพลาดที่จะมาเยือน "วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร" หรือ "วัดใหญ่" เพื่อมาสักการะพระพุทธชินราช แล้วก็อย่าลืมตามมาสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในจุดอื่นๆ ของวัดกันด้วย ใครที่ไปพิษณุโลกแล้วไม่แวะก็เหมือนยังไปไม่ถึงพิษณุโลกน๊าา 😁
นอกจากนี้บริเวณใกล้ๆ กับวัดใหญ่ ก็ยังมีอีกวัดที่สำคัญไม่แพ้กัน นั่นก็คือ “วัดนางพญา” ไว้เดี๋ยวจะมารีวิวให้ครั้งถัดไปนะคะ
🎯 : 92/3 ถนน พุทธบูชา ตำบล ในเมือง อำเภอเมืองพิษณุโลก พิษณุโลก 65000
⏰️ : เปิดทุกวัน เวลา 06.00-20.00 น.
☎️ : 055-258966
🌏 : https://maps.app.goo.gl/QHZscr...
🤗ขอให้ทุกคนมีความสุข สนุกกับการใช้ชีวิต
ในแบบฉบับของตัวเองนะคะ🚘🧳🏖🌄
❣️ช่องทางการติดตามเพจ❣️
https://www.facebook.com/TIEWD...
#เที่ยวได้กินกินได้เที่ยว
#เที่ยวพิษณุโลก #พิษณุโลก #วัดพิษณุโลก
#วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร
#วัดใหญ่พิษณุโลก #โพธิ์สามเส้า #พระเหลือ
#พระเสสันตปฏิมากร #พระพุทธชินราช
#ท้าวเวสสุวรรณ #ระเบียงคต
#พระสังกัจจายน์ #พระปรางค์วัดใหญ่
#หลวงพ่อดำ #พระพุทธเจ้าพระองค์ดำ
#พระศรีศาสดา #พระพุทธชินสีห์
#พระวิหารพระอัฏฐารส #หลวงพ่อคง
#หลวงพ่อขาว #พระอุโบสถ หลวงพ่อโต
#วิหารพระเจ้าเข้านิพพาน #รอยพระพุทธบาท
เที่ยวได้กิน กินได้เที่ยว
วันจันทร์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2566 เวลา 14.04 น.