Iceland เป็นทริปในฝันตั้งแต่ตอนผมเรียนมหาลัยครับ พี่ๆในเวปบอร์ด Pixpros เค้าไปเที่ยวกันช่วงปี 2012 รูปที่ถ่ายมาสวยงามมากกกก เพิ่งรู้ว่ามีสถานที่ๆมหัศจรรย์ขนาดนี้อยู่ในโลกด้วย จำฝังใจตั้งแต่วันนั้นว่าจะต้องไป Iceland ให้ได้
ปัญหาหลักๆในของการเที่ยวประเทศนี้ นอกจากความ Extreme ของสภาพอากาศ ทั้งลม ฝน และหิมะแล้ว ความ Extreme ของวันหยุดและเงินในบัญชีก็เป็นสิ่งที่มองข้ามไม่ได้ ทำให้แผนนี้ต้องถูกดองไปเรื่อยๆ แต่หลังจากเรียนจบทำงานเก็บเงินสักพัก ผมก็ขออนุญาติที่ทำงานลายาวๆในช่วงวันหยุดสงกรานต์เพื่อทำตามความฝันที่ดองเอาไว้ถึง 4 ปี
หลังจากวางแผนอยู่นานจากช่วงสงกรานต์ที่มีอยู่จำกัด จนต้องขยายไปกินวันจักรี สุดท้ายได้วันมาทั้งหมด 13 วัน โดยจะอยู่ใน Iceland จริงๆ 9 วัน อยู่ที่ Oslo ครึ่งวัน Moscow 1 วัน และเวลาเดินทาง 1 วันครึ่ง เดินทางด้วยสายการบิน Aeroflot ของ Russia จากกรุงเทพไปที่ Oslo ประเทศ Norway จากนั้น บินข้ามไป Iceland ด้วยสายการบิน Iceland Air ครับ ขากลับก็ใช้เส้นทางเดิม
Day 1 : กรุงเทพ - Oslo ต่อเครื่องที่ Moscow นอน Oslo คืนนึง
Day 2 : Oslo - Iceland ถึงเมือง Reykjavik ตอนเย็นๆ
Day 3 : Reykjavik - Vik
Day 4 : Vik - Jokulsarlon
Day 5 : Jokulsarlon - Egilsstaðir
Day 6 : Egilsstaðir - Akureyri
Day 7 : Akureyri - Grundarfjörður (Kirkjufell)
Day 8 : Grundarfjörður - Reykjavik
Day 9 : Reykjavik (Golden Circle)
Day 10 : Reykjavik - Keflavík (แวะ Blue Lagoon)
Day 11 : Iceland - Oslo เที่ยว Oslo ครึ่งวัน และบินไป Moscow ถึงดึกๆนอนพักแถวสนามบิน
Day 12 : เที่ยว Moscow ทั้งวัน บินกลับตอนทุ่มนึง
Day 13 : ถึงกรุงเทพตอนเช้า
งบประมาณรวมๆอยู่ที่ 75,000 บาทต่อคน สำหรับ 12 วัน (Iceland-Oslo-Moscow) ซึ่งครึ่งนึงเป็นค่าเครื่องบินประมาณ 36,000 บาท ที่มัวแต่ลังเลทำให้จองได้ราคาไม่ค่อยดีเท่าไหร่ (ดีที่สุดที่หาได้จริงๆคือ 26,000 บาท ช่วงโปร Qatar Air) แต่ก็ได้รับบริการที่ดีเยี่ยมจากสายการบิน Aeroflot มาทดแทน แต่เรื่องที่เจ็บใจที่สุดมาจากค่าตั๋ว Iceland Air ตลบหลังขึ้นราคาในวันที่ผมจอง และลดราคาในไม่กี่วันถัดไป ทำให้แพงกว่าชาวบ้านเค้าไป 3 พันกว่าบาท
ราคาในตารางจะเป็นราคาหาร 6 คน พวกค่ารถกับค่าน้ำมันก็จะหาร 6 เช่นกันครับ
โดยค่ารถ SUV 7 ที่นั่ง พร้อม GPS สำหรับ 9 วันจะอยู่ที่ 43,152 บาทครับ และค่าน้ำมัน 27,534 ครับ
รถเช่าเป็นของบริษัท Green Motion ได้รถ Dodge Durango เป็นรถ 4WD เกียร์ออโต้ทีใช้เบนซิน 95 ทำให้มันกินน้ำมันมากกว่ารถปกติครับ เพราะฉะนั้นหากคุณใช้รถที่ขนาดเล็กกว่านี้ ค่าเช่าและน้ำมันต่อวันจะถูกกว่านี้เยอะครับ
สำคัญมาก!! Iceland กลางวันและกลางคืนยาวไม่เท่ากันในแต่ละเดือน ผมไปช่วงวันที่ 6 - 18 เมษายน 59 ช่วงนั้นกลางวันยาว 14 ชั่วโมงทำให้สามารถเที่ยวได้จนถึงทุ่มสองทุ่ม ถ้าหากคุณมาในหน้าหนาวที่กลางวันสั้นกว่า 10 ชั่วโมงจะใช้แผนเที่ยวแบบเดียวกับผมไม่ได้นะครับ มันจะมืดก่อนเที่ยวได้ครบ รวมถึงสภาพถนนในหน้าหนาวจะกันดารกว่านี้ บางเส้นก็จะวิ่งไม่ได้ ควรเผื่อเวลาสำหรับพายุหิมะเข้า หรือถนนปิดไว้ด้วย
Accessory
FUJIFILM X-E2
XF18-135mmF3.5-5.6 R LM OIS WR
XF10-24mmF4 R OIS
XF55-200mmF3.5-4.8 R LM OIS
XF35mmF1.4 R (งอกระหว่างทาง)
แถม iPhone 6s สำหรับบางรูปและบางคลิป
การเตรียมตัว
1.เอกสาร
Iceland อยู่ในเขตเชงเก้น การขอวีซ่าต้องไปขอผ่านสถานทูตเดนมาร์กตรงเพลินจิต ขอไม่ยากครับ มีคนในนี้ช่วยรีวิวไว้หลายอันมาก นอกจากวีซ่ากับพาสปอตแล้ว ไอซ์แลนด์ไม่มีการขอดูเอกสารอะไรมากมายครับ ในช่วงที่เข้าประเทศเชงเก้นก็จะมีการถามคำถามนิดหน่อยว่ามาทำอะไร ถ้าเรามีแผนการเดินทางหรือใบ Booking ที่พักไปด้วยก็จะสะดวกมากขึ้นหากโดนถาม แต่สำหรับรัสเซียถ้ามีใครจะแวะไปควรมีเอกสารยืนยันว่าประเทศไทยไม่ต้องขอวีซ่าเผื่อไว้ เนื่องจากที่ได้ยินมาบางทีตม.จะไม่ทราบเรื่องนี้ แต่จากประสบการณ์ไปรัสเซียมา 2 ครั้ง ไม่เคยต้องเอาขึ้นมาโชว์ครับ
http://www.thaiembassymoscow.com/download/pdf/th-ru_visaexempt_ru.pdf
ใครอยากได้ข้อมูลของรัสเซียเพิ่มเติม ผมเคยเขียนรีวิวไว้คราวก่อนที่ไปนะครับ ตามนี้เลย http://pantip.com/topic/33621110
2.เสื้อผ้า
ถึงจะชื่อ Iceland แต่เกาะๆนี้อุ่นกว่าประเทศรอบๆนะครับ เพราะมีกระแสน้ำอุ่นไหลผ่าน เพราะฉะนั้นความหนาวไม่ใช่ศัตรูหลักเราเท่าไหร่ แต่ความ Extreme ของที่นี่คือ "ลม" ครับ ลมประเทศนี้พัดประตูรถหักได้สบายๆ ขณะเดียวกันลมจะพาความเย็นทะลุเสื้อหนาวเราเข้ามาได้ หากไปหน้าหนาวหรือปลายหนาว (ตุลา-เมษา) อากาศจะเย็นลงไปถึงติดลบเลขตัวเดียว การแต่งตัวนอกจากเสื้อผ้าปกติแล้ว เราจะเพิ่มอีก 3 ชั้นครับ คือ Base Layer / Mid Layer / Shell Layer
- Base Layer คือด้านในสุด หรือลองจอนนั่นเอง ชั้นนี้หน้าคือหลักๆคือเก็บความร้อนและความชุ่มชื้นในกับผิวครับ ง่ายสุดก็ใช้ Heat tech ของ Uniqlo ครับ หรือจะหาตามแพลตตินั่มก็ได้ ชั้นนี้ช่วยเราให้รู้สึกอุ่นขึ้นได้ประมาณ 1-2 องศาครับ
- Mid Layer คือชั้นเสื้อหนาวนี่แหละครับ ชั้นนี้สามารถเป็นได้หลายอย่างขึ้นกับความหนาวที่เราจะเจอ เช่นเสื้อฟรีซ เสื้อขนแกะ เสื้อดาวน์ (ขนเป็ด/ห่าน) ซึ่งถ้าอากาศหนาวถึงขั้นติดลบก็แนะนำให้ใช้เป็นเสื้อดาวน์ครับ เพราะจะอุ่นที่สุด ใครขี้หนาวมากก็อาจจะใส่ฟรีซแล้วเอาเสื้อดาวน์ทับอีกที
- Shell Layer ถ้าเที่ยวในเมืองทั่วไป Base & Mid ก็เพียงพอแล้ว แต่สำหรับไอซ์แลนด์ที่เที่ยวจะเป็นธรรมชาติซะส่วนใหญ่ มีลมแรง และมีความเสี่ยงที่จะเจอฝนหรือหิมะเรื่อยๆ Shell Layer จึงเป็นสิ่งที่ควรจะมีไว้ หลักๆมันคือเสื้อกันลมครับ ซึ่งถ้ามันกันลมได้มันก็จะกันฝนได้ไปด้วยโดยปริยาย เสื้อกันลมที่ดีๆเราสามารถใส่มันเดินตากฝนตกได้เป็นชั่วโมงโดยที่เสื้อด้านในไม่เปียกเลย ซึ่งผมก็ได้ทำมาแล้วในทริปนี้ เรื่องของการกันลมและกันน้ำ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อ กางเกง หรือรองเท้า จ้าวตลาดตอนนี้จะเป็น Gore Tex ครับ สังเกตเสื้อที่มีห้อยป้าย Gore Tex มั่นใจได้เลยว่ามันกันน้ำกันลม และระบายอากาศได้ดีเยี่ยมแน่นอน ทั้ง The North Face, Timberland ต่างก็ใช้ Gore Tex มาทำเสื้อและรองเท้าครับ
- กางเกง โดยทั่วไปขาเราจะทนหนาวได้มากกว่าตัว ถ้าอากาศไม่ถึงติดลบเราสามารถใส่แค่ยีนส์กับลองจอนได้ครับ ขึ้นกับแต่ละคนด้วยว่าทนหนาวได้แค่ไหน แต่ควรมีกางเกงกันลมไปอีกตัวครับ กรณีวันที่ลมแรง หรือฝนตก ใส่คู่กับเสื้อกันลม แล้วก็เดินหล่อๆตากฝนได้เหมือนวันแดดออก
- ถุงมือ ถุงเท้า รองเท้า อันนี้สำคัญครับ เพราะมือกับเท้าจะเป็นจุดที่ทรมานกับความหนาวมากที่สุด ในส่วนมือมือพยายามหาถุงมือกันลมหรือถุงมือหนังที่ขนาดไม่ใหญ่เกินไปครับ ไม่งั้นเราจะจับอะไรไม่ถนัดสุดท้ายก็ต้องถอดออกหนาวมืออีก มือเป็นส่วนที่ต้องทนหน่อยครับ เพราะถุงมือที่พอดีมือจะไม่ช่วยให้เราอุ่นได้เท่าไหร่ แต่ถ้าหนาวมากจริงๆก็ยังเอายัดเข้าไปในเสื้อหนาวได้ แต่เท้าเป็นจุดที่ต้องระวังที่สุด เพราะเอายัดไปในเสื้อไม่ได้ ถุงเท้าพยายามหาที่เป็นขนเเกะครับ เพราะมันจะอุ่นและไม่ชื้นไม่อมน้ำ ใส่คู่กับรองเท้าที่กันน้ำครับ Boot หนังทั่วไปก็ได้ ถ้าเป็น Gore Tex ก็จะดีมาก Boot ดีๆจะช่วยกันลม ความเย็น หิมะไม่ให้เข้ามาในเท้าเราครับ และดอกยางของรองเท้า Boot จะช่วยให้เราไม่ลื่นเวลาเดินบนพื้นที่เป็นน้ำแข็งด้วย
- หมวก ผ้าพันคอ หมวกจะจำเป็นมากถ้าเสื้อหนาวไม่มีฮู้ด หลักๆเอาไว้ป้องกันหูครับ เจออากาศเย็นนานๆเราจะปวดหู หรือจะหาที่ปิดหูมาใช้แทนก็ได้ครับ ผ้าพันคอจริงๆตอนผมใช้หน้าที่หลักมันคือปิดปากและแก้มครับ ไม่งั้นหน้าจะแห้งปลิวไปตามลมเลยทีเดียว ส่วนคอมันอุ่นมากอยู่แล้วเวลาใส่เสื้อหนาวทับสองชั้น
แถมให้นิดนึงเรื่องเสื้อดาวน์
เสื้อดาวน์ที่ขายตามตลาดต้องดูให้ดีนะครับว่าเป็นขนเป็ด/ห่านแท้รึป่าว เพราะเสื้อแบรนด์ส่วนใหญ่จะใช้ขนสังเคราะห์กัน ซึ่งขนพวกนี้จะไม่อุ่นเท่าและอายุการใช้งานไม่นานครับ สองสามปีก็พัง ขณะที่ขนเป็ดแท้อยู่ได้ถึงสิบปี ข้อดีอีกอย่างคือเสื้อขนแป็ดแท้ๆเวลาม้วนเก็บจะมีขนาดเล็กมากครับ
ขณะเดียวกันเสื้อดาวน์ก็จะมีเกรดความอุ่นที่แตกต่างกันเรียกว่า Fill Power/Fill Down มีตั้งแต่ 500-1000 ครับ ถ้าแบรนด์สินค้าเดินป่าอย่าง The North Face, Columbia, Patagonia จะมีระบุไว้ครับว่าเสื้อแต่ละตัว Fill Power เท่าไหร่ แต่บางแบรนด์ก้จะไม่มีระบุไว้ครับ เช่น Uniqlo ซึ่งจะยุ่งยากในการเอาไปใช้ครับ เพราะเราไม่รู้ว่าจะกันหนาวได้แค่ไหน
Fill Power 500-600 ถ้าใส่เสื้อตัวเดียวมันจะอุ่นพอประมาณสำหรับอุณหภูมิไม่ต่ำกว่า 10 องศา เช่น Ultra Light Down ของ Uniqlo
Fill Power 600-700 จะอุ่นพอสำหรับเลขหลักเดียวจนถึง 0 องศา ซึ่งเสื้อส่วนใหญ่ของพวก The North Face ก็จะเริ่มที่ระดับนี้กัน
Fill Power 800 ขึ้นไปจะพอสู้อากาศติดลบได้ครับ ซึ่งตัวที่ผมเอาไปก็เป็น Fill 800 ของ Merrell ครับ
หลายๆคนอาจจะไม่ชอบเสื้อดาวน์เพราะมันเป็นปล้องๆบวมๆเหมือนแหนมมัด อันนี้ไม่มีทางแก้ครับ 555 แต่เสื้อดาวน์ดีๆปล้องมันจะไม่ใหญ่มาก ปล้องอ้วนๆไม่ได้แปลว่าอุ่นเสมอไปนะครับ ยิ่งเสื้อดาวน์ตัวใหญ่/บวม แปลกว่าขนเป็ดที่ยัดเข้าไปมีก้านขนอยู่เยอะ ซึ่งไม่ส่งผลต่อเรื่องความอุ่นครับ แต่จะทำให้มันตัวใหญ่เท่านั้นเอง เสื้อดาวน์ดีๆจะยัดส่วนที่เป็นขนล้วนไว้เยอะ มันจะไม่บวมและม้วนเก้บจนมีขนาดเล็กๆได้ครับ ดูในป้ายก็จะมีบอกครับว่า กี่ %Feather ถ้า 90-100% ก็จะดีมาก
3.อาหาร
ปัญหาหนักสุดของ Iceland คือเรื่องอาหารการกิน นอกจากปัญหาที่ว่าระหว่างทางออกนอกเมืองแทบจะไม่มีร้านอาหารแล้ว ราคาอาหารที่นี่ยังแพงสุดติ่ง ชีสเบอเกอร์ กับโค้ก 1 ชุดราคา 400-600 บาท ซึ่งกินแบบนี้ 12 วันไม่ไหวแน่นอน ทางแก้คือหอบอาหารสำเร็จรูปบางส่วนไปจากไทย หลักๆก็จะมีข้าวกระป๋อง ปลากระป๋อง กับ Roza Prompt ที่แค่แช่ในน้ำร้อนก็สามารถทานได้เลย และมาม่าสำหรับมื้อที่รีบ อีกส่วนนึงคือไปซื้อพวกขนมปัง แฮม และซาลามี่จาก Market ที่นั่น ซึ่งราคาจะถูกกว่าซื้อกินในร้าน นานๆทีค่อยทานอาหารในร้านแก้เลี่ยนไป
**ที่สำคัญคือเราไม่ได้หาไมโครเวฟได้ในทุกที่ๆไปครับ เพราะฉะนั้นพยายามหาอาหารสำเร็จรูปที่สามารถอุ่นด้วยน้ำร้อนได้จะดีกว่า
4.การใช้จ่าย
Iceland ใช้เงินโครน่า (ISK) ตอนผมไปอัตรแลกเปลี่ยนประมาณ 0.3 ในประเทศส่วนใหญ่จะรับแต่ ISK กันยกเว้นร้านใหญ่ๆถึงจะยอมรับ Euro เพราะฉะนั้นควรเตรียมไปให้พอนะครับ สามารถแลกได้ที่สนามบิน หรือจะแลกจากประเทศในเขตเชงเก้นก็ได้ (ที่ไทยไม่มี ต้องแลก Euro ไปก่อน) ข้อดีของประเทศนี้คือแทบจะทุกที่รับบัตรเครดิตครับ
แต่จะต้องระวังเรื่องปั๊มน้ำมัน เนื่องจากปั๊มที่นี่จะต้อง Self-Service เป็นส่วนใหญ่ สามารถใช้ Credit Card ได้แต่เราต้องรู้รหัส Pin 4 หลักของบัตรครับ ซึ่งบางคนอาจจะไม่ทราบเลขสี่ตัวนี้ต้องไปทำเรื่องขอกับธนาคาร แต่ก็อีกวิธีครับ คือใช้ Pre-Paid Card ซึ่งซื้อได้ตาม Mini-mart ของปั๊ม และตาม Market ครับ มันคือบัตรเงินสดที่ใช้เติมน้ำมันและซื้อของใน Mini-mart ได้ แต่ปั๊มที่นี่จะมี 2 สีคือเขียวกับแดง ถ้าซื้อของสีไหนมาต้องใช้กับปั๊มสีนั้นนะครับ บางช่วงปั๊ม และ Mini-mart จะน้อยมากแนะนำว่าให้ซื้อตุนไว้ และเติมน้ำมันเผื่อไว้เสมอเมื่อมีโอกาสครับ ถึงใน GPS จะบอกตำแหน่งปั๊มได้ แต่มันจะไม่รู้ว่าปั๊มไหนยังเปิดให้บริการอยู่นะครับ
5.การขับรถ
Iceland จะมีถนนเส้นหลักคือ ถนนหมายเลข 1 ครับ ถนนเส้นนี้จะสิ่งวนรอบเกาะทำให้บางคนเรียกมันว่า Ring Road เป็นที่ขับง่าย ลาดยางเกือบทุกช่วง และส่วนใหญ่จะตรง ไม่คดเคี้ยวเท่าไหร่ จะมีประเด็นแค่มันค่อนข้างแคบ และไหล่ทางลึก ถ้าต้องแซงหรือสวนกันจะเสียวนิดหน่อย
**สำคัญ** Ring Road จะสภาพย่ำแย่มากในช่วงตะวันออก ถ้าใครจะวนรอบเกาะพอถึงช่วงตะวันออกให้ใช้ถนนหมายเลข 96 และ 92 ไปยังเมือง Egilsstaðir แทน สภาพดีไม่ต้องขึ้นเขา เพราะเค้าเจาะอุโมงลอดเขาไว้ให้ตรงเส้นนั้น
ที่นี่รถวิ่งพวงมาลัยซ้ายนะครับ ห้ามวิ่งเร็วเกิน 90 km/h กล้องเยอะมากก เวลาเปิดประตูต้องดูทิศลมด้วย เพราะลมสามารถพัดประตูรถหักได้ถ้าเปิดสวนทิศ และเวลาขับให้ขับค่อนไปทางกลางถนน พอมีรถสวนค่อยชะลอๆเบี่ยงขวา เพราะที่นี่ถนนแคบ ขอบทางลึก
ใน Iceland สภาพถนนเปลี่ยนได้เป็นรายวันตามสภาพอากาศครับ เราสามารถเชคเส้นทางที่เราจะไว่าเปิดหรือไม่ได้จากเวปไซต์ http://www.road.is/travel-info/road-conditions-and-weather/the-entire-country/island1e.html ควรจะเชคก่อนออกเดินทางทุกครั้งนะครับ เพื่อที่จะได้ไม่ไปเสียเที่ยว
6.การตามล่าแสงเหนือ
แสงเหนือมีปัจจัยในการพบ 3 อย่าง คือ Activity หรือความแรง (KP) สถานที่ และสภาพอากาศ
1. Activity หรือความแรง (KP) - ยิ่งความรุนแรงของการระเบิดมาก Aurora ก็ยิ่งเข้มข้น ซึ่งเราจะสามารถวัดออกมาเป็นค่า KP 1-9 ครับ โดยค่า KP ที่มากแปลว่ามีความเข้มข้นของ Aurora สูง แต่เราต้องดูควบคู่ไปกับสถานที่ๆเราอยู่ด้วย
2. สถานที่ - แน่นอนว่ายิ่งใกล้แกนโลกยิ่งเห็นได้ง่าย รูปด้านล่างจะเป็นแผนที่สเกลบอกสถานที่ๆจะมองเห็นแสงเหนือครับ
จะเห็นว่า Iceland อยู่ในเขต KP 3 นั่นแปลว่าที่ระดับ KP 3 เราสามารถมองเห็นได้ลางๆด้วยตาเปล่าแล้ว ถ้าเป็น KP 4-9 เราก็จะเห็นได้ชัดเจนเต็มท้องฟ้าเลย ขณะเดียวกันถ้าเราอยู่ที่เยอรมัน แล้วอยากเห็นแสงเหนือ เราต้องรอวันที่ KP 8 เราถึงจะมองเห็นได้ลางๆครับ
3. สภาพอากาศ - อันนี้เป็นอุปสรรคสำคัญที่สุดที่จะทำให้เราไม่ได้เห็นแสงเหนือครับ เนื่องจากเราอยู่ในสถานที่ๆใกล้แกนโลกมาก และโดยปกติจะมี Aurora Activity เกิดขึ้นเกือบทุกคืน เพราะฉะนั้นสาเหตุเดียวที่เราจะไม่เห็นคือฟ้าปิดครับ ซึ่งผมเจอในวันที่ KP 5 ซึ่งมันน่าจะสวยงามมาก แต่เจอเมฆเต็มฟ้า ท้องฟ้ามืดสนิท นอยสุดๆ
วิธีตรวจสอบสภาพอากาศใน Iceland นะครับ เข้าไปดูในเวปไซต์ http://en.vedur.is/weather/forecasts/aurora/ เวปนี้จะบอกทั้งค่า KP ของแต่ละวัน และความหนาแน่นของเมฆในแต่ละพื้นที่ของเกาะครับ
จากภาพด้านบน ยิ่งสีเขียวเข้มแปลว่าเมฆเยอะ สิ่งสุดท้ายที่เราต้องการคือมันเป็นสีเขียวเข้มในพื้นที่ๆเราอยู่วันที่ KP สูงๆ ที่แถบด้านล่างเราจะเลื่อนดูการ Forecast เป็นรายชั่วโมงได้ครับ อย่างในภาพจะเห็นได้ว่า Aurora Activity KP 4 แต่ฟ้าปิดเกือบทั้งเกาะเลย ช่วงชายฝั่งมีเมฆบ้าง แต่ถ้าอยากเห็นแสงเหนือชัดๆจะต้องแล่นเรือไปกลางทะเลตรงที่เป็นสีขาวครับ
แผนที่นี้จะมีประโยชน์ในการหาที่ดูแสงเหนือ ถ้าวันนั้น KP สูง แต่ตรงที่เราอยู่มีเมฆมาก เราอาจจะขับรถออกไปตรงที่ๆเมฆน้อยลง จะทำให้มีโอกาสเห็นได้มากขึ้นครับ ตอนไปผมเจอพี่คนนึงที่ยอมขับรถไปกลับ 2 ชั่วโมงเพื่อหลบเมฆไปดูแสงเหนือครับ การล่าแสงเหนือใช้โชคแค่นิดเดียว หลักๆคือการวางแผนล่วงหน้าและความพยายามครับ
▲ Iceland 01 ▲
วันแรกของทริปจะหมดไปกับการเดินทางนะครับ Route ที่เราไปจะผ่าน 3 ประเทศ และ 3 Time Zone ในตั๋วของ Aeroflot ระบุว่า BKK - Oslo (Norway) ออก 10:00 น. ถึง 19:00 น. ดูเหมือนเดินทาง 9 ช.ม. แต่ถ้านับเวลาตามจริงมันคือ 14 ชั่วโมง เนื่องจาก Oslo เวลาช้ากว่าเรา 5 ชั่วโมงครับ
โดยการบินช่วงแรก ปลายทางคือ Moscow (เวลา -4 ช.ม.) ในตั๋วจะเขียนว่าบิน 10.00 - 15.50 แต่เวลาที่ใช้บินจริงๆจะเป็น 9 ชม. 50 นาที เครื่องบินเป็น Boeing 730 ที่นั่งกว้าง เอนได้สบาย มีจอส่วนตัวมีหนังให้ดู (หนังใหม่ๆอย่าง Star war : Force Awaken ก็มี) และมี Puzzle เกมเด็กๆให้เล่น มีช่อง Usb ให้เสียบชาร์จโทรศัพท์ อาหารมีให้ 2 มื้อ คือมื้อเช้า และมื้อเที่ยง (ของ Moscow) เป็นพวกขนมปังและชีสสไตล์ยุโรป สลัด และ Main Dish ให้เลือกเป็นไก่หรือปลา เนื่องจากไม่ค่อยมีอะไรทำก็เลยนั่งดูแผนที่เล่นทำให้รู้ว่าไฟลท์นี้จะบินไปทางพม่า ผ่านทางบังกลาเทศ ภูฐาน อินเดีย อุซเบ และเข้าสู่รัสเซีย
ณ Moscow เครื่องเราดีเลย์ประมาณ 30 นาที เครื่องต่อไป Oslo ก็เลื่อนเวลาไปเช่นกัน ตอนทรานสิสจะต้องสแกนกระเป๋า Carry-on ใหม่อีกรอบ ซึ่งจะนานนิดนึงเนื่องจากมีเครื่องสแกนแค่ 2 เครื่อง แต่ต้องตรวจแบบถอดรองเท้าถอดเข็มขัดหมดทำให้เสียเวลามาก และก่อนขึ้นเครื่องจะมีเจ้าหน้าที่มาเชควีซ่าเชงเก้นอย่างละเอียดอีกทีนึง (เปิดพาสปอตเชคทุกหน้า จ้องหน้าเชงเก้นอยู่พักใหญ่ๆ และเอามือลูบๆ) เวลาทรานซิสประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง ซึ่งเมื่อผ่านขั้นตอนทั้งหมดก็พอมีเวลาพักเดินดูของอีกนิดหน่อยครับ
เครื่องไป Oslo จะเป็นเครื่องเล็ก ไม่มีจอทีวี และที่ชาร์จไฟให้แล้ว จะเสริฟอาหารเป็นแซนวิท ช่วงนี้ก็จะข้ามไทม์โซนอีกรอบไปยัง Oslo (-1 ช.ม. จาก Moscow) ใช้เวลาบินจริงๆ 3 ชม. ไฟลท์นี้อากาศดีเราทำให้เราได้เห็นวิวมุมสูงของนอเวย์ก่อนที่เครื่องจะลงด้วย
โดยประมาณสองทุ่ม เราก็มาถึงสนามบิน Oslo (Oslo Lufthavn) ใช้เวลาผ่านตม.รับกระเป๋าเข้าประเทศรวมๆไม่ถึงชม. ไปเป็นหมู่คณะจนท.จะถามรายละเอียดกับคนแรกๆ จากนั้นก็จะปล่อยผ่านเร็วๆเลย สนามบินนี้อยู่ในเขต Gardermoen เป็นสนามบินเล็กๆแต่งธีมไม้ผสมปูน สีไม้ระแนงอ่อนๆทำให้นึกถึงเรือไม้ลำใหญ่ๆ ในบรรดาสนามบินที่เคยไปทั้งหมด ผมชอบที่นี่สุดแล้วในเรื่องธีมและบรรยากาศ อาจจะเพราะไปช่วงที่คนไม่พลุกพล่านด้วย
คืนนี้พวกเราจะพักที่ Oslo คืนนึง พรุ่งนี้ตอนเที่ยงค่อยบินไป Iceland ต่อ เมื่อออกจากจุดรับกระเป๋าจะมีป้ายบอกทางไป Bus ตามป้ายไป จะเจอจอบอกสายรถ ชานชาลา และเวลาอย่างชัดเจน ข้างๆจะเป็นร้านรับแลกเงิน เราสามารถนำเงินยูโรมาแลก Nok (โครน) ของ Norway และ ISK (โครน่า) ของ Iceland ได้ที่นี่โดยเสียค่าแลกครั้งละ 50 Nok คนที่อยากจะฝากกระเป๋าให้เดินตามป้าย Lost & Found ไปที่เคาเตอร์ได้เลย ค่าฝาก 5 ชม 87 Nok
ที่พักคืนนี้ Gargermoen Hotel Bed&Breakfast จองจาก Booking.com เลือกที่นี่เพราะสามารถนั่ง Bus จากสนามบินไปได้เลย โดยขึ้น Bus 855/815 ไปได้ ค่ารถ 50 Nok ห่างจากสนามบินป้ายเดียว จากป้ายจะมองเห็นตัวที่พักชัดเจนเลย เป็นตึกสีเหลือง น่ารักมาก เราจองแบบห้อง Share Bathroom ราคาคนละ 300 Nok ต่อคนจ่อคืนครับ แต่คืนนี้คนน้อยเจ้าของเลยอัพเกรดห้องให้เป็นห้องแบบมีห้องน้ำในตัว (ให้เฉยไม่มีบอกกล่าว)
▲ Iceland 02 ▲
ในตอนเช้าที่นี่มีฟรี Breakfast ให้เป็นบุฟเฟ่สไตล์ยุโรป มีพวกขนมปัง ชีส แฮม ซาลามี่ และ Sandwich spread จำนวนมหาศาล รอบๆที่พักจะเป็นหมู่บ้านเล็กๆ กับทุ่งโล่งบรรยากาศดีมาก ผมได้ออกไปเดินเล่นอยู่พักใหญ่ๆ อากาศเลขหลักเดียว กำลังสบายเลยครับ
การต่อเครื่องจาก Oslo ไปไอซ์แลนด์ สนามบินที่นี่ค่อยข้างเคร่งในการตรวจกระเป๋า ขอเน้นย้ำว่าตอนสแกนกระเป๋า Carry On ต้องแยกพวก Notebook ipad และกล้องออกมาให้หมด ไม่งั้นจะโดนเรียกไปค้นแยกออกมาอีกรอบเสียเวลามาก รวมถึงจะมีการสุ่มตรวจดินปืนเป็นระยะๆด้วย
รอบนี้บินกับ Iceland Air เครื่องไปไอซ์แลนด์จะเป็น 777 เช่นกันแต่จะมีจอทีวี และช่องเสียบ Usb มาให้ด้วย มีคลิปนำเที่ยวไอซ์แลนด์ให้ดูด้วย ที่นั่งชั้นประหยัดจะไม่มีอาหาร และหูฟังแจกให้ แต่เสียบหูฟังไอโฟนได้เหมือนกันครับ การบินครั้งนี้ก็จะข้ามอีก 1 Time zone (-1 ช.ม.จาก Oslo ) ทำให้การบิน 14.45 - 16.45 จะใช้เวลา 3 ชม. ถ้านั่งซีกขวามือจะเห็นวิวชายฝั่งซีกใต้ของประเทศไอซ์แลนด์ยาวสุดสายตา เห็นแม้แต่ทะเลสาบ Jökulsárlón และโบสถ์ Hallgrímskirkja ครับ
สนามบินที่นี่ชื่อ Keflavik (เคียฟ-ฟา-วิค) ครับ ซื่งอยู่ในเมืองชื่อเดียวกัน เป็นสนามบินเล็กๆ ภายในมีร้านอาหาร และ Supermarket ครบครัน เวลาตั้งแต่เครื่องลง รับกระเป๋าถึงหน้าสนามบินไม่เกิน 30 นาที ไม่ต้องผ่านตม.แล้วด้วยรับกระเป๋าแล้วเดินออกประตูได้เลย เพราะเราอยู่ในเขตเชงเก้นเรียบร้อยแล้ว
พอออกมาก็โดนรับน้องเลย ลมพัดมาอย่างแรง แรงเหมือนโดนผลัก ที่นี่อะไรที่ปลิวได้ไม่ควรถือไว้ในมือ เผลอแปปเดียวออกทะเลไปละ ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดเลนส์ เตรียมไป 2 ชุดได้ก็จะดีมาก เผลอเมื่อไหร่ออกทะเลเมื่อนั้น
เราเช่ารถของ Green Motion ไว้ มีจนท.มารับที่สนามบินพาไปที่บริษัทเพื่อรับรถในเมือง Keflavik ครับ ห่างจากสนามบินประมาณ 15 นาที อย่างที่บอกในตอนแรกครับ เราได้รถ Dodge Durango ที่กินน้ำมันเหลือเกิน
รับรถเรียบร้อยก็ขับไปเมือง Reyjavik ครับ โดยจากเมือง Keflavik จะใช้เวลาประมาณ 40 นาที ออกจากเมือง Keflavik ไม่นานจะเจอปั๊มที่มี Market อยู่ จะมี 2 เจ้าใหญ่ๆคือ Bonus,Kronan ครับ ถ้านั่งไฟลท์บ่ายมาถึงแล้วแนะนำให้ตุนเสบียงไว้เลย เพราะที่นี่ร้านค้าปิดเร็ว หกโมงก็แทบจะปิดหมดแล้ว ร้านที่เปิด 24 ช.ม.ราคาก็จะแพงมาก
เมือง Reykjavik (เร-จา-วิค) เมืองหลวงของประเทศ Iceland ได้ชื่อว่าเป็นเมืองหลวงที่อยู่เหนือที่สุดของโลก ประชากร 2/3 ของประเทศอยู่กันที่นี่ จริงๆแล้วทั้งประเทศ Iceland มีประชากรประมาณ 3 แสนคน ซึ่งเทียบกับขนาดเกาะแล้ว 1 ตารางกิโลเมตรจะมีคนอยู่แค่เพียง 3 คนเท่านั้นครับ
ที่นี่เป็นศูนย์รวมความเจริญของ Iceland ทางเหนือจะมีเมืองใหญ่เป็นอันดับสองอีกเมืองนึงชื่อ Akureyri (อะ-คู-เรย์-ริ) แต่ก็ยังเทียบไม่ได้กับ Reykjavik ทั้งร้านค้า และร้านอาหาร ในเมืองนี้ก็มีมากมาย รวมถึงที่เที่ยว ไม่ว่าจะเป็นโบถส์ทรงออแกนยักษ์ Hallgrímskirkja (ฮัค-สกิม-คิ-จา) หรือรูปสลัก Solfar (ซู-ฟา) ริมทะเล นอกจากนั้นในตอนกลางคืนวันเสาร์-อาทิตย์ ตามบาร์ในเมืองจะเต็มไปด้วยผู้คนอัดนั่นทั้งคืน
Hallgrímskirkja
ที่พักวันนี้ชื่อ Igdlo Guesthouse ครับ ข้างนอกลักษณะเป็นอพาทเมนต์ ภายในแบ่งเป็นห้องๆ 3 ชั้น มีห้องน้ำรวมชั้นละ 2 ห้อง มีตู้เย็น และครัวกลางให้ทำอาหาร สามารถซื้ออาหารเช้าเพิ่มได้ ( 7 Euro) เป็นขนมปัง แฮม ซาลามี่ นม คอนเฟลก
Guesthouse ที่นี่ส่วนใหญ่จะเป็นแบบ Self Service ครับ ที่นี่ก็เช่นกัน วันเข้าพัก Host จะส่งเมลรหัสผ่านเข้าประตูให้ พอเข้ามาก็จะมี Note บอกว่าพักห้องไหนอะไรยัง ถ้าเจอ Host ก็ค่อยจ่ายเงิน หรือรูดบัตรก็ได้ ถ้าไม่เจอเค้าก็จะตัดออนไลน์ตามที่จองในเวปไว้ ที่นี่ราคา 22 Eur ต่อคนต่อคืน (ประมาณ 900 บาท) และที่ดีที่สุดคือมันห่างจากโบสถ์ Hallgrímskirkja เพียง 700 m เท่านั้นเอง
เก็บของเรียบร้อยพวกเราก็แวะไปดูพระอาทิตย์ตกที่ Solfa หรือชื่ออังกฤษคือ Vovoger of the sea ครับ เป็นรูปสลักโครงเรือที่แสดงถึงการค้นพบ ความฝัน ความหวัง และอิสรภาพ โดย Solfa จะตั้งอยู่ริมทะเล ไม่ไกลจากใจกลางเมืองมากนัก จริงๆถ้าขยันก็พอเดินไปจากที่พักได้อยู่ แต่พอมืดอากาศเริ่มหนาวขึ้นเรื่อยๆ และวันนั้นลมแรงมาก เหมือนพายุจะเข้า ตอนไปถึงนี่เมฆเพียบ ฟ้าปิดสนิท ยืนมองตาปริบๆถ่ายรูปไปนิดหน่อยแล้วก็เลยไปดูไฟตึก Harpa (ฮา-ปา) แทนครับ ตึกนี้เป็น Concert Hall ของ Reykjavik ไฟบนตึกจะเปลี่ยนสีไปเรื่อยๆ ม่วง แดง เขียว โดยคนสร้างได้แรงบันดาลใจมาจากความผันผวนของธรรมชาติที่นี่ ยืนดูตอนดึกๆจะโรแมนติคมากถ้าอากาศไม่ Feel like ติดลบขนาดนี้ ถ่ายได้อีกไม่นานก็ต้องกลับที่พักเพราะทนความหนาวไม่ไหวครับ
คืนแรกนี้ช่วยเน้นย้ำว่าการถ่ายรูปในที่หนาวและลมแรง ถุงมือเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก ถึงจะใส่แล้วจับกล้องไม่ค่อยถนัด แต่ถ้าแช่มือไว้ข้างนอกนานไป มันจะเริ่มเเข็ง และขยับติดๆขัดๆซึ่งอาจจะทำเราทำกล้องหล่นหรือเลนส์ตกแตกได้เลย จริงๆอดทนใส่ถุงมือจับกล้องสักสองวันก็ชินแล้ว ยิ่งวันท้ายๆเลเวลอัพจนแชทผ่านถุงมือได้เลย
▲ Iceland 03 ▲
0. Hallgrímskirkja (ตอนเช้า)
1. Seljalandsfoss
2. Skogafoss
3. Sólheimajökull Glacier
4. Dyrhólaey (ตัดออกเพราะฝนตกหนัก)
5. Black Sand Beach
6. Vik
0. Hallgrímskirkja
หลังจากเดินทาง 2 วัน ก็ถึงวันเที่ยวจริงจังครับ โดยวันแรกประเดิมด้วยโบสถ์ Hallgrímskirkja (ฮัค-กริม-สคิ-จา) โบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดในไอซ์แลนด์ และเป็นหนึ่งในแบบอาคารเอ็กซ์เพรสชันนิสต์ที่หาชมได้ยากครับ
แพลนแรกคือจะไปถ่ายพระอาทิตย์ขึ้นที่โบถส์นี้เนื่องจากทิศทางแสงได้พอดี ซึ่งช่วงนี้เป็นช่วงหมดหน้าหนาวเข้าหน้าร้อนทำให้กลางวันจะยาวขึ้นเรื่อยๆ พระอาทิตย์ขึ้นเร็วตกช้า โดยในช่วงที่เราไปพระอาทิตย์จะขึ้นเวลา 6.30 ตก 20.30 แต่พระอาทิตย์จะไม่ตกเป็นแนวตรงแบบบ้านเรา แต่จะลงแบบเฉียงๆ ทำให้แสงเช้าจะมาตั้งแต่ก่อนตี 5 และกว่าจะมืดสนิทก็เกือบสี่ทุ่มครับ
พอเอาเข้าจริงฟ้าปิดจ้า ปิดสนิทแบบบอกเป็นนัยๆให้นอนต่อเหอะ แต่เราก็ไปกันอยู่ดี 555 ไปถึงก็ได้อยู่ ได้ทั้งลมได้ทั้งฝนซัดใส่ทั้งตัว ลมวันแรกว่าแรงแล้ว วันนี้แรงกว่าเยอะ (แต่ยังไม่แรงที่สุดในทริป) โบสถ์ตั้งอยู่บนเนินด้วย ทำให้ลมแรงกว่าที่อื่นๆ แรงจนตั้งขาตั้งกล้องไม่ได้ ต้องเอามือจับตลอด ย้ำอีกครั้ง ถ้าไม่มีเสื้อกันลมตะคริวกินสถานเดียวนะครับ
ถ่ายได้ไม่นานก็ยอมแพ้หนีกลับไปกินข้าวเช้าที่ Guesthouse วันนี้จะเที่ยวเลียบชายฝั่งทางใต้ของ Iceland ไปพักที่เมือง Vik (วิค-ค เน้น ค แรงๆเหมือนเวลาพูดจาจิกชาวบ้าน)
1. Seljalandsfoss
เราออกจากเมือง Reykjavik ไปยังที่เที่ยวที่แรกคือ Seljalandsfoss (เซล-เลียน–แลน–ฟอส) คือถ้าดูแต่ตัวอักษรนี่แทบจะอ่านออกเสียงไม่ถูกเลย โดย Seljalandsfoss เป็นน้ำตกที่มีจุดเด่นตรงเราสามารถเดินอ้อมเข้าไปข้างใต้ได้เป็นโพรงถ้ำเข้าไป ถ้ามาวันฟ้าดีๆจะถ่ายรูปออกมาสวยมาก น้ำตกประเทศนี้ถ้าเจอแดดดีๆจะมีสายรุ้งขึ้นแทบทุกที่
แต่วันที่เราไปฟ้าปิดแต่เช้า ฝนตกด้วย แถมลมก็ยังถล่มมาไม่หยุดหย่อน กล้องนี่ใช้จนเปียกดั่งมันกันน้ำได้ ผ้าเช็ดเลนส์อยู่ติดมือตลอดคอยเช็ดหยดน้ำบนหน้าเลนส์ เป็นอะไรที่เอกสตรีมต่อการพังสุดๆ (แต่ก็รอดมาได้นะ ยกเครดิตใน Fuji XE2)
2. Skogafoss
ที่ถัดมาคือ Skogafoss (สะ-โก-กา-ฟอส) เป็นหนึ่งในน้ำตกไซส์ XL ของประเทศนี้ ในวันที่แดดออกเราจะเห็นสายรุ้งซ้อนกัน 2 เส้นที่น้ำตกแห่งนี้ ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่วันที่เราไป 555
เดิมทีเหนือหน้าผาแห่งนี้เคยเป็นชายฝั่งมาก่อน พอน้ำทะเลลดลงไปแม่น้ำ Skoga ที่เคยไหลลงทะเลก็ร่วงลงสู่พื้นดินเบื้องล่างกลายเป็นน้ำตกขนาดใหญ่ ตามตำนานของที่นี่เล่าว่าไวกิ้งกลุ่มแรกที่มาถึงเกาะนี้ซ่อนหีบสมบัติไว้ที่ถ้ำหลังน้ำตก ซึ่งชาวบ้านบริเวณนี้ก็พบหีบนั้นจริงๆแต่สมบัติที่เอาออกมาได้มีแค่แหวนวงเดียวก่อนที่หีบใบนั้นจะจมน้ำหายไป ปัจจุบันแหวนวงนั้นอยู่ในพิพิธภัณฑ์ของ Iceland
นักท่องเที่ยวสามารถเดินขึ้นไปดูน้ำตกด้านบนได้ด้วย จะมีรังนกนางนวล แต่สภาพอากาศในวันที่เราไปย่ำแย่มาก เราเลยไม่ได้ขึ้นไปครับ
3. Sólheimajökull Glacier
Sólheimajökull Glacier (โซล-ไฮ-มา-ยู-คุต) เป็นธารน้ำแข็งเล็กๆอยู่ไม่ห่างจาก Skogafoss แยกออกมาไม่ไกลจากถนนหลัก ที่นี่จะมีทัวน์ Glacier Walk ด้วย ต้องติดต่อบริษัททัวน์ไปก่อน แต่ถ้าจะแค่ดูเฉยๆก็สามารถจอดรถที่ด้านหน้าแล้วเดินเท้าเข้ามาประมาณครึ่งชั่วโมง วิวสวยงาม ตรงลานจอดรถมีร้านกาแฟให้นั่งหลบความหนาวด้านนอกด้วย (ถ้ามาฤดูหนาว Glacier จะแทบอยู่ติดที่จอดรถเลย แต่ตอนเราไปมันละลายไปบ้างแล้ว)
ในบรรดาที่เที่ยววันนี้ทั้งหมดที่นี่หนาวที่สุดแล้ว ส่วนนึงเพราะตอนเดินไปฝนเริ่มตกหนัก แต่เรายังเดินฝ่าไปได้เพราะใส่ชุดกันลมกันน้ำทั้งตัว รวมทั้งผมเนรเทศเจ้า Fuji XE2 ไปนอนรอในรถแล้วหยิบเจ้า Xiaomi Yi ใส่เคสกันน้ำมาลุยแทน ดังนั้นภาพที่นี่ทั้งหมดก็จะมาจากกล้องตัวนี้
ขากลับฝนกลายเป็น Freezing Rain ไปเรียบร้อยแล้ว หนาวไปอีก เดินกลับออกมาก็รีบพุ่งเข้าร้านกาแฟทันที หนีหนาวมานั่งตากฮีตเตอร์ จิบลาเต้อุ่นๆนี่ฟินมาก แม้ราคามันจะแพงกว่าลาเต้สตาบัคก็เถอะ
4. Dyrhólaey
เราที่นี่ตัดออกเพราะฝนตกหนักมาก บวกกับ Dyrhólaey (เดีย-โฮ-ลา-เอ) เป็นหน้าผาที่ลมแรงมาก ดูจะเสี่ยงอันตรายเกินไปถ้าขึ้นไปตอนพายุจะมา ก็เลยตัดสินใจเลยไปที่ Balck Sand Beach แทนครับ
ภาพ Dyrhólaey ถ่ายจาก Black Sand Beach
5. Black Sand Beach
Black Sand Beach ชายหาดสีดำจากดินภูเขาไฟ หินลาวาที่โดนน้ำกันเซาะเป็นแท่งๆ ถ้าไปวันปกติมันคงเป็นหาดที่น่าสนใจ เดินเล่นดูหินหน้าตาแปลกๆได้ทั้งวัน แต่ตอนผมไปนี่คลื่นซัดเข้าหาฝั่งด้วยความสูงกว่า 2 เมตร และโคตระลมที่ซัดกระหน่ำ แรงจนน้ำฝนที่ปลิวมาเหมือนเม็ดกรวดที่ปาใส่หน้า ช่วงจังวะที่ลมแรงสุดๆคือต้องเกร็งตัวไม่ให้ล้ม เดินสวนลมนี่เหมือนกำลังปีนเขา ขาแต่ละข้างช่างหนักหน่วง
ที่นี่เป็นที่สุดท้ายที่เราแวะมาในวันนั้นครับ หลังจากดู Glacier เสร็จฝนยังเทลงมาไม่หยุด เเราจึงเดินทางไปที่พักเลย อีกที่ๆข้ามไปนอกจาก Dyrhólaey คือ Plane Crash Site ซากเครื่องบินตก ที่บรรดาช่างภาพชอบไปถ่ายรูปกัน ซึ่งต่อมาสอบถามที่พักมาพบว่าเจ้าของที่ดินเค้าปิดถนนไปแล้ว จะไปต้องจอดริมทางแล้วเดินเท้าไปอีก 4 ก.ม.
เราขับไป Check-in Hostel ที่เมือง Vik ก่อน รอฝนซาจึงกลับไปที่ Black Sand Beach อีกครั้งในตอนเย็น ซึ่งก็พบประสบการณ์ตามที่บรรยายไปด้านบน วันนั้นพายุเข้าทางซีกใต้ของ Iceland ลมพัดแรงถึง 40 km/hr อารมณ์เหมือนยืนอยู่บนหลังรถกะบะตอนกำลังวิ่งตลอดเวลา ที่น่ากลัวกว่าลมก็คือคลื่น ถ้าโดนซัดเข้าไปทีเดียวคงลอยหายออกทะเลไปเลย
ถ้าชอบบรรยากาศแบบนี้ ริมชายหาดมีร้านอาหารอยู่นะ มาแวะกินข้าวดูคลื่นซัดเข้าฝั่งเพลินๆได้
6. Vik
Vik เป็นเมืองเล็กๆ ไซส์เท่าหมู่บ้านๆนึงเท่านั้นเอง มีปั๊ม N1 อยู่ปั๊มนึง มีร้านอาหารและร้านขายเสื้อหนาวอยู่ในนั้น เราพักกันที่ Guesthouse Carina ครับ เป็นห้องพักห้องน้ำรวมเหมือนเดิม Carina เจ้าของน่ารักเป็นกันเอง ห้องพักก็วิวดีมากๆ มองเห็นชายหาดและหินสามก้อนที่เป็นตำนานของเมือง Vik และโบสถ์ Vik อันโด่งดังได้จากห้องนอนเลยทีเดียว ราคา 7500 ISK ต่อคนค่อคืนครับ ตกประมาณคนละ 2,200 บาท ที่ราคาแพงกว่าที่อื่นส่วนนึงเพราะวันนั้นเป็นวันเสาร์ครับ
▲ Iceland 04 ▲
0. Vik Church (ตอนเช้า)
1. Mossy Lava Rock
2. Fjaðrárgljúfur canyon (ไม่ได้ไปเพราะทางปิด)
3. Svartifoss waterfall
4. Jökulsárlón
0. Vik Church
Vik Church เป็นโบสถ์เล็กๆที่ตั้งอยู่บนเนินเขา นับเป็นหนึ่ง Landmark ของเมืองนี้เลย เราสามารถมองเห็นวิวทั่วทั้งเมือง Vik ได้จากเนินนี้ครับ รวมถึง Reynisdrangar หรือ The Troll Rocks (เร-นิส-ดรัน-กาส) หินสามก้อนกลางทะเลตำนานเล่าว่ามันคือตัว Troll ที่อยู่นอกถ้ำนานไป พอโดนแสงอาทิตย์จึงแข็งกลายเป็นหิน (คล้ายๆใน LOTR)
ตอนเช้าพวกเราตื่นแต่เช้ามารอแสงเช้าที่นี่ ซึ่งจริงๆแล้วภูเขามันจะบังพระอาทิตย์ แต่ไม่เป็นไรได้ท้องฟ้าตอนเช้ามาแทน
Vik Church สามารถเดินเท้าขึ้นไปได้ไม่ว่าจะอยู่ส่วนไหนของเมืองครับ แต่ถ้าขี้เกียจหน่อยก็ขับรถขึ้นไปได้มีที่จอดเหลือเฟือครับ
1. Mossy Lava Rock
Mossy lava rock คือที่แรกที่เราแวะหลังจากออกจากเมือง Vik ครับ ซึ่งสังเกตไม่ยาก ภูมิประเทศแถบนี้จะปกคลุมไปด้วยมอสสีเขียวกว้างสุดตา เราสามารถจอดรถลงไปเดินเล่นได้ ก่อนจะออกจากเขตนี้ก็จะมีจุดจอกรถ Rest Area และทางเดินให้เดินเข้าไปดูด้วย แต่แนะนำว่าถ้าอยากใกล้ชิดกับต้นมอสก็รีบจอกรถช่วงแรกๆ มอสจะเยอะ และคนจะน้อยกว่า
2. Fjaðrárgljúfur canyon (ปิด)
วันที่พวกเราไปเค้ามีป้ายตั้งปิดทางไว้ ไม่รู้เพราะกำลังซ่อมอะไรอยู่รึป่าว เสียดายมากกกก
3. Svartifoss waterfall
Svartifoss (สวา-ติ-ฟอส) น้ำตกหินลาวา อยู่ภายใน Vatnajökull National Park (วัก-นา-ยู-คุต) การจะเข้าไปถึงน้ำตกนี้ จะต้องเดินเท้าเข้าไปครับ สามารถเลือกเดินได้หลายทาง แต่ทางที่เดินง่ายที่สุดจะต้องเดินเท้าไปกลับประมาณ ชั่วโมงนึงจากที่ทำการอุทยาน ทางมีขึ้นเนินบ้างแต่ไม่ชัน พื้นเป็นดินอันอย่างดีไม่ต้องปีนป่ายแต่อย่างใด แต่ช่วงใกล้ๆน้ำตกจะมีดินลื่นบ้าง และต้องพกน้ำกับหมวกไปด้วยนะครับ เพราะระหว่างทางแทบไม่มีต้นไม้เลย มันจึงเริ่มร้อนเมื่อแดดออก แต่แดดออกก็มีข้อดีตรงเราจะได้เห็นสายรุ้งจากน้ำตกครับ
ถ้าขับรถตามทางเข้ามาให้เลี้ยวเข้าไปที่ที่ทำการอุทยานเลยนะครับ ถ้าไปตาม Google Map / GPS มันจะพาไปทางขึ้นอีกทางนึงที่ค่อนข้างชันและลื่น สังเกตง่ายๆตรงนั้นจะมีแต่ลานจอดรถ แต่ถ้าเข้าไปที่ทำการจะมีห้องน้ำ และร้านอาหารครับ เราสามารถไปทัวน์ Glacier Walk ที่นี่ได้ด้วย จากลานจอดรถเราจะมองเห็น Glacier อยู่ไกลๆครับ
4. Jökulsárlón
Jokulsarlon (โจ-คูล-ซา-ลอน) เป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ และมีความลึกที่สุดใน Iceland ซึ่งความโดดเด่นของทะเลสาบนี้คือมันเกิดจากธารน้ำแข็งที่ละลายและไหลมารวมกัน โดยทะเลสาบแห่งนี้จะใหญ่ขึ้นเรื่อยๆทุกปีตามปริมาณน้ำแข็งที่ละลายมากขึ้น(เพราะภาวะโลกร้อน)
ทะเลสาบนี้จะมีจุดให้ถ่ายรูป 3 จุด คือช่วงกลางทะเลสาบถ้าขับมาจาก Vik จะอยู่ทางซ้ายมือก่อนถึงสะพาน จะมีที่ให้จอดรถ จุดนี้จะมีโอกาสเจอพวกแมวน้ำใกล้ๆ แนะนำให้มาตอนเช้าๆครับ ฝั่งตรงข้ามที่เราจอดรถจะเป็นชายฝั่งทะเลจะมีน้ำแข็งโดนคลื่นซัดมาเกยหาด พระอาทิตย์ขึ้นที่นี่สวยที่สุดในประเทศนี้แล้ววววววว สุดท้ายคือตรงหน้าทะเลสาบ ขับรถข้ามสะพานไปแล้วเลี้ยวซ้ายจะเจอที่จอดรถ และบ้านหลังเล็กๆ จุดนี้เหมาะถ่ายพระอาทิตย์ตก และมารอแสงเหนือครับ เพราะที่จอดรถหันไปทางทะเลสาบพอดี เรานอนชิลๆดูท้องฟ้าในรถรอได้เลย
ซึ่งจุดที่ผมแวะคือช่วงกลางทะเลสาบครับ วิวจะไม่ค่อยสวยเทียบกับจุดอื่นๆ แต่ตอนนั้นไม่รู้ว่ามีด้านหน้าด้วย 555
หลังจากเเวะที่นี่เสร็จพวกเราก็ขับรถต่อไปอีกนิดนึงก็จะถึงที่พักชื่อว่า Hali Hotel เป็นโรงแรมอยู่ข้างๆโรงนา วิวสวยแต่ราคาก็แพงตามครับประมาณ 8,300 ISK / 2,500 บาทต่อคนต่อคืน ที่เราจองที่นี่เพื่อที่ตอนดึกจะได้ขับไปยังทะเลสาบง่ายๆ เพื่อดูแสงเหนือ เพราะมันห่างจาก Jokulsarlon แค่ 15 นาทีเท่านั้นครับ
หลังจากกลับที่พักแล้ว เราออกมาที่ทะเลสาบอีกครั้งเพื่อเก็บแสงเย็น แต่กะเวลาผิดไปหน่อย มาไม่ทัน Golden Hour จริงๆก็ทันแหละครับ แสงสวยมากๆตอนขับรถอยู่ ถือว่าได้มองด้วยตา แต่ไม่ได้เก็บมาด้วยกล้อง
ถึงจะมาตอนตลาดวายแล้ว แต่ก็ยังพอมีแสงสวยๆให้เก็บมาบ้าง รวมถึงเราจะเห็นฝูงนก/ห่าน/เป็ด จำนวนมากบินกลับรังเป็นสายสีดำ
คืนนั้นเราออกจากที่พักตอนกลางคืน ขับกลับมาบริเวณหน้าทะเลสาบ Jorkulsalon เป็นครั้งที่ 3 เพื่อรอแสงเหนือครับ มีนักท่องเที่ยวจำนวนหนึ่งมาจอดรถรอเป็นเพื่อน เราจอดรอไม่นานสักพักนึงก็เห็นริ้วจางๆบนท้องฟ้า และเริ่มมีเสียงคนตะโกนโหวกเหวก เป็นสัญญาณว่าแสงเหนือมาแล้ว เสียดายวันนั้น KP อ่อนมาก KP2 (จาก 9 ) มองด้วยตาเปล่าจะเห็นสีเขียวรางๆ แต่กล้องถ่ายรูปจะเก็บมาได้ชัดกว่า ถือว่าโชคดีมากครบวันนั้น เพราะหลังจากนี้เราจะไม่มีสถานที่ๆ Foreground สวยๆให้ถ่ายแบบนี้อีกแล้ว
*แถมให้
Landscape of South Coast
ในช่วงทางใต้ของ Iceland ผมขอยกให้ถนนระหว่างเมือง Vik กับ Hofn เป็นช่วงที่สวยที่สุดในแถบนี้แล้ว เราจะได้วิวทั้งทะเล ภูเขา ภูเขาหิมะ ธารน้ำแข็ง สลับกันไปทุกหัวโค้ง และยังมีจุดพักที่มีวิวสวยๆให้แวะเต็มไปหมด
น้ำตกระหว่างทาง เป็นอีกหนึ่งในความน่าอิจฉาของประเทศนี้ ในระหว่างที่เราขับรถไปเรื่อยๆเราจะพบเจอน้ำตกเป็นระยะๆ ซึ่งเป็นน้ำจากธารน้ำแข็งบน Highland ละลายตกลงมา ประเด็นคือมันสวยทุกอันครับ แต่เนื่องจากมันมีเยอะมากจนเค้าขี้เกียจตั้งชื่อให้ (อาจจะมีแต่ไม่มีป้ายบอก) หรือจัดเป็น Landmark ใหญ่ๆทำให้มันเป็นแค่ "น้ำตกระหว่างทาง" ทางมันมาโผล่ที่ไทย เชื่อว่าคงได้รับการดูแลไม่แพ้พวกน้ำตกเหวนรกแน่นอน
▲ Iceland 05 ▲
0. Jökulsárlón (ตอนเช้า)
1. Stokksnes
2. Djúpivogur (แวะจอดพักกินข้าว)
3. Egilsstaðir
วันนี้เราจะเดินทางเข้าสู่เขตตะวันออกของ Iceland ครับ อย่างที่กล่าวไปในตอนแรก Ring Road จะสภาพย่ำแย่มากในช่วงตะวันออก ช่วงนี้ให้ใช้ถนนหมายเลข 96 และ 92 ไปยังเมือง Egilsstaðir แทนครับ โดยทางแยกจะอยู่ใกล้ๆเมือง Breiðdalsvík ครับ
0. Jökulsárlón รอบที่4
ตอนเช้าเรากลับมาที่ชายหาดฝั่งตรงข้ามทะเลสาบ Jorkulsalon ซึ่งจะหันเข้าหาทิศตะวันออกพอดี ทำให้เป็นจุดที่เหมาะจะถ่ายพระอาทิตย์ขึ้นมาก น้ำแข็งที่ไหลออกทะเลส่วนหนึ่งจะถูกคลื่นพัดมาเกยที่หาดนี้ ซึ่งจะมีตั้งแต่ก้อนเท่ารองเท้าไปถึงก้อนเท่ารถยนต์ คละปะปนกันไป
หาดนี้ใครไม่ได้มาตอนพระอาทิตย์ขึ้นนี่ถือว่าพลาดมาก ให้รีบกลับไปเปิดเพจอาแปะหาโปรถูกๆบินกลับมาซ่อมให้ไว ยกให้จุดนี้สวยที่สุดใน Iceland แล้ว
สำหรับช่างภาพสายเอกตรีมทั้งหลาย แนะนำให้พกบู๊ทยางมาด้วยนะครับ ถ้าอยากได้ภาพน้ำแข็งสวยๆจริงๆจะต้องยอมยืนให้คลื่นซัดครับ ผมใช้วิธีวิ่งหนีเวลาคลื่นมา ก็พอได้ แต่ถ้าพลาดทีก็รองเท้าเปียกไปเป็นวัน ถึงรองเท้าจะกันน้ำ แต่ถ้าคลื่นซัดมาถึงขารองเท้าจะกันน้ำออกโดยปริยาย (ประสบการณ์ตรง 55)
1. Stokksnes
หลังจากแวะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ Jokulsarlon แล้ว เราก็เดินทางต่อไปยังภาคตะวันออกของ Iceland กัน เป้าหมายในวันนี้คือเมือง Egilsstaðir ( เอ-เยส-สตา-เดอส) โดยที่เที่ยวสุดท้ายก่อนจะเข้าสู่เขตตะวันออกนั่นคือเทือกเขา Vestrahorn (เวส-ทรา-ฮอน) โดยจุดที่เค้านิยมไปเก็บภาพกันเรียกว่า Stokknes (สะ-ตอค-นีส) ซึ่งไม่ใช่จุดในภาพ เพราะพวกเราไปผิดจุด!!! ถ้าถูกที่จะมีแนวสันทรายกับหญ้าสีเหลืองเป็น Foreground สวยงามมาก แต่จุดๆนี้มีแต่หินเท่านั้น Fail สุดๆ
แต่ข้อดีของการแวะ Stokksnes คือแถวๆนั้นมันจะมีม้าเยอะครับ แวะจอดรถถ่าย Background ก็สวย จริงๆที่ไอซ์แลนด์เราจะเจอม้าบ่อยสุดแล้ว เจอเยอะกว่าหมาอีก เป็นสัตว์ประจำถิ่นเค้า
Landscape of East Coast
จุดที่เรียกว่าตะวันออกนับตั้งแต่เข้าอุโมงที่อยู่ติดกับ Stokksnes ไปถึงเมือง Egilsstaðir ซึ่งถนนช่วงนี้จะเป็นทางคดเคียวเลาะไปตามชายฝั่ง จะไม่เป็นเส้นตรงยาวๆแบบถนนทางใต้ แต่สภาพถนนก็ไม่แตกต่างกัน โดยการขับรถจาก Jokulsarlon ไปยัง Egilsstaðir ใช้เวลานาน และช่วงนี้ของประเทศจะไม่มีที่เที่ยวสักเท่าไหร่ มากสุดก็เป็นพวกพิพิธภัณฑ์เล็กๆระหว่างเมืองที่ผ่านไป
ถ้ามาในฤดูร้อน จะมีเมืองที่มีแหล่งดูนกพัพฟินอยู่ แต่ห่างจากเส้นทางหลักพอสมควร ในช่วงหน้าหนาวบริเวณทางตะวันออกเราจะสามารถเจอ Reindeer ตัวสีขาวๆได้ทั่วไป เรียกว่าโผล่มาแทนม้าเลยก็ได้ เนื่องจากส่วนนี้เริ่มมีหิมะเยอะ อากาศเย็นกว่าทางใต้ เค้าจึงนิยมเลี้ยง Reindder กันมากกว่า แต่ทำไมหน้าตามันไม่เหมือน Reindder ที่เห็นในการ์ตูนเลย มันเหมือนวัวตัวผอมๆมีเขา X(
2. Djúpivogur
แถบนี้จะมีเมืองเล็กๆประมาณสิบเมืองซ่อนอยู่ตามฟยอร์ด แต่ละเมืองก็จะมีแหล่งท่องเที่ยวน้อยๆของตัวเอง ตั้งแต่เมืองที่มีพิพิธภัณฑ์หิน สระว่ายน้ำ แหล่งดูนก ไปยันเมืองที่เชื่อว่ามีสัตว์ประหลาดอาศัยอยู่ในถ้ำนอกเมือง โดยเมืองที่ผมแวะคือ Djúpivogur (ดู-พิ-โวค) มาแวะจอดพัก เข้าห้องน้ำและทานข้าวเที่ยงที่นี่ เนื่องจากเป็นเมืองประมง ก็เลยจะมีอ่าวและท่าเรือให้ชม แต่ลมแรงมากกก แถบนี้อากาศเย็นขึ้นด้วย เลยเดินข้างนอกได้ไม่นานเท่าไหร่
ข้อควระวังคือ ถ้ามาในวันอาทิตย์ ร้านค้ารวมถึงปั๊มน้ำมันจะแทบไม่มีคนอยู่นะครับ ควรซื้อ Pre-Paid Card เตรียมไว้ถ้าไม่มีบัตรเครดิตที่กดเงินสดได้ เพราะถึงจะขึ้นว่าเป็นเมือง แต่ไซส์มันมีขนาดเท่าๆกับหมู่บ้านตามต่างจังหวัดของไทยเท่านั้นเอง
3. Egilsstaðir
Egilsstaðir (เอ-เยส-สตา-เดอส) เมืองที่ชื่ออ่านยาก และฟังยากมาก และเป็นแรงบันดาลใจให้ผมเขียนคำอ่านชื่อที่เที่ยวเป็นภาษาไทยในรีวิวนี้ เนื่องจากมีสถานการณ์ที่ต้องบอกคนไอซ์แลนด์ว่าอยู่ที่เมืองไหน แล้วไม่สามารถบอกเค้าได้เพราะออกเสียงไม่ถูก! จนสุดท้ายต้องสะกดเป็นตัวๆให้เค้าไปครับ
Egilsstaðir เป็นจุดพักสุดท้ายก่อนจะเข้าสู่ทางเหนือของ Iceland ช่วงก่อนถึงเมืองสองข้างทางยังเป็นหิมะสีขาวโพลนอยู่ ถ้าเดินทางมาถึงเร็วสามารถวิ่งต่อไปพักที่ทะเลสาบ Myvatn (มิ-วาน) เลยก็ได้ วิวจะสวยกว่ามากก เพราะรอบๆเมืองนี้ไม่มีที่เที่ยวเท่าไหร่ มี Park ให้เดิน มี Reindeer Museum เล็กๆ และมีสัตว์ประหลาดตัวยาวๆคล้ายงูยักษ์ในทะเลสาบนอกเมือง
ที่พักของเราในคืนนี้ชื่อว่า Guesthouse Olga ครับ อยู่ไม่ไกลจากกลางเมือง.... จริงๆเมืองมันไม่ใหญ่มาก ตราบใดที่ไม่ขึ้นไปอยู่บนเขามันก็ไม่ไกลจากกลางเมืองแหละครับ 5555 Host ที่นี่อัธยาศัยดีมาก เป็นห้อง+ห้องน้ำรวม ห้องน้ำใหญ่มาก แต่ละห้องมีตู้เย็นเล็กๆให้ มีครัวส่วนกลางให้ มีอาหารเช้าให้ด้วย ราคาคืนละ 34,000 ISK ครับ ราวๆ 1,700 บาทต่อคนต่อคืน
เมืองนี้เป็นจุดเติมเสบียงได้ด้วย มีทั้ง Market และปั๊มน้ำมันร้านอาหาร เรียกว่าเป็นเมืองหลวงของทางตะวันออกก็ไม่ผิดครับ
▲ Iceland 06 ▲
1. Selfoss & Dettifoss (ทางปิด)
2. Mývatn
3. Góðafoss
4. Akureyri
1. Selfoss & Dettifoss
เนื่องจากตอนเช้าก่อนออกเดินทางมีพี่คนไทยที่พักอยู่ด้วยกันทักมาว่า Selfoss & Dettifoss ทางมันปิดนะ ทำให้เราต้องข้ามที่นี่ไป น้ำตกคู่นี้ทางปิดบ่อยมาก ผมเจอพี่ที่ไปเที่ยว Iceland แล้วเข้าน้ำตกไม่ได้มา 2 คนแล้ว คิดว่าตราบใดยังไม่ถึงหน้าร้อนการเข้าไปอาจจะทำได้ยากครับ
การเชคสภาพถนนก่อนออกเดินทางสำคัญมาก โดยเฉพาะทางตอนเหนือของประเทศ สามารถตรวจสอบสภาพถนนได้ทางเวปไซต์ http://www.road.is/travel-info/road-conditions-and-weather/the-entire-country/island1e.html ครับ รวมถึงเข้าไปดู Webcam ที่ติดอยู่ตามจุดต่างๆได้ด้วย
2. Mývatn
เส้นทางออกจากเมือง Egilsstaðir จะเป็นถนนข้ามภูเขาหิมะ จะเห็นวิวเป็นสันเขาสีขาวตลอดทางครับ จุดหมายแรกของวันนี้คือทะเลสาบ Mývatn (มิ-วาน) คนที่นี่เค้าว่ากันว่าในฤดูร้อนทะเลสาบแห่งนี้จะเขียวชะอุ่มและสวยงามที่สุดในเกาะนี้ (มีสาหร่ายมาริโมะด้วยนะ) ซึ่งรอบๆทะเลสาบจะมีที่เที่ยวมากมาย ถ้าใครทำเวลาได้ดี หรือมีเวลาเหลือๆแนะนำให้มาพักที่ทะเลสาบนี้สักคืน ถ้าเห็นแสงเหนือท่าจะสวยมาก แถมมีน้ำร้อนให้แช่ด้วย
เราได้มาสัมผัส Winter ที่แท้จริงที่ Mývatn นี่แหละครับ เนื่องจากระหว่างทางจาก Reykjavik มานั้นอากาศเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิไปแล้ว เราจะเห็นหิมะแค่เป็นกองๆที่หลงจากฤดูหนาว แต่พอข้ามขึ้นมาทางตอนเหนือพื้นที่ส่วนใหญ่ยังปกคลุมด้วยหิมะหนาแน่นอยู่ ซึ่งถ้ามาหน้าหนาวของ Iceland จริงๆ เส้นทางซีกเหนือบางเส้นรถอาจจะวิ่งไม่ได้ครับ
ในส่วนของที่เที่ยวรอบๆทะเลสาบจะมีเยอะมากครับ เข้าไปถาม Information เค้าจะมีทำ Route สำหรับเที่ยว ครึ่งวัน - 1 วัน- 2 วัน โดยผมที่นี่แค่ถึงเที่ยงเลยไปได้ไม่กี่ที่ครับ
2.1 Hverfjall (คือไม่สามารถเขียนคำอ่านเป็นไทยได้จริงๆ ใครอยากลองฟังดู >> http://forvo.com/word/hverfjall/ )
คืออดีตภูเขาไฟซึ่งเป็น Landmark ที่มีชื่อเสียงหนึ่งของทะเลสาบ Mývatn มีทางให้นักท่องเที่ยวเดินขึ้นไปบนเครเตอร์ด้านบนได้ แต่ต้องใช้เวลาค่อนข้างมาก เราจึงไม่ได้ขึ้นไปครับ แค่ขับรถผ่านมองดูอยู่ไกลๆ
2.2 ทุ่งลาวา Dimmuborgir ( ดิ-มู-บอ-เกีย ) หรืออีกชื่อคือ Dark Forest เป็นชื่อวงดนตรีด้วย 555 ที่นี่จะเป็นทุ่งหินลาวาที่มีรูปทรงแปลกตาเรียงรายอยู่ มีทางเดินให้นักท่องเที่ยวเข้าไปชมลาวารูปทรงประปลาดๆ คนท้องที่เชื่อว่าภายในโพรงหินลาวาพวกนี้มีโทรลอาศัยอยู่
การเดินรอบทุ่งลาวา Dimmuborgir จะมีหลาย Trail ให้เลือก มีระยะตั้งแต่ 1 -5 Km ระหว่างทางก็จะมีหินลาวาทรงแปลกๆให้ชม ไฮไลท์หนึ่งของ Dimmuborgir คือหินลาวาที่มีรูตรงกลางเหมือนลูกนัยตาครับ ตอนผมไปหิมะค่อนข้างหนาทำให้หินพวกนี้ดูเตี้ยๆ จริงๆคือถ้าเราเดินออกนอกเส้นทางไปเราจะจมลงไปในหิมะครับ มีตั้งแต่ระดับเข่าไปจนถึงเอวเลยทีเดียว
ถ้ามาช่วงปลายหนาวให้ใส่รองเท้าที่ดอกยางดีๆเนื่องจากพิ้นบางจุดจะเป็นน้ำแข็งที่เกิดจากหิมะละลายแล้วแข็งตัว รวมถึงแว่นกันแดดเป็นสิ่งจำเป็นมาก ไม่งั้นจะแสบตาจากหิมะสะท้อนกับแสงแดด เดินเงยหน้าก็ร้อน เดินก้มหน้าก็แสบตา มันนรกชัดๆ!!
2.3 The Skutustadir Pseudo Craters ( สกู-ทู-สตา-ดิส ) ดูผ่านๆเหมือนเป็นปากปล่องภูเขาไฟ แต่จริงๆแล้ว Crater เหล่านี้เป็นของปลอม มันเกิดจากเจ้าภูเขาไฟ Hverfjall ปล่อยลาวาร่วงลงมาในทะเลสาบ เมื่อลาวาถึงก้นทะเลสาบ มันจะทำให้ดินด้านใต้พุ่งตัวขึ้นมาเป็นหลุม พอน้ำแห้งไปก็จะเป็นอย่างที่เห็นกัน บริเวณนี้จะมีหลุมมากมายสามารถขึ้นไปเดินเล่นตรงปากหลุมได้ครับ มีทางเดินให้อย่างดี โดยอีกด้านของThe Skutustadir จะเป็นทุ่งน้ำแข็งกว้างสุดตาครับ จะมองเห็นบ้านคนที่อยู่รอบๆทะเลได้จากมุมสูงสวยงามมากครับ
3. Góðafoss
ออกจากเขตทะเลสาบ Mývatn ประมาณ 40 นาที เราก็มาถึงน้ำตกชื่อดังอีกแห่งของ Iceland นั่นคือ Goðafoss (กอ-ดา-ฟอส)
Goðafoss ได้รับการขนานนามว่า Waterfall of the Gods เพราะน้ำตกแห่งนี้เป็นที่ๆใช้ทิ้งเทวรูปเทพเจ้านอร์ส (the Norse gods) หลังจาก Iceland รับศาสนาคริสต์เป็นศาสนาหลัก
โดยตัวน้ำตกสามารถเดินไปชมได้ทั้งสองด้านของน้ำตก แต่การจะไปอีกด้านต้องขับรถข้ามสะพานไป เนื่องจากน้ำตกมีขนาดใหญ่มาก มีที่ให้จอดรถรอชมแสงเหนือด้วย ใครเที่ยวโดยใช้ Camper Van แนะนำอย่างยิ่งให้มาจอดรอดูที่นี่ ใกล้ๆน้ำตกมีมินิมาร์ท และห้องน้ำด้วยครับ
4. Akureyri
ในที่สุดเราก็มาถึงเมืองหลักในทางเหนือของ Iceland นั่นคือ Akureyri (อะ-คู-เร-ริ) เมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสองของ Iceland มีสนามบินเล็กๆเป็นของตัวเอง เป็นเมืองน่ารักๆที่มีความอาร์ทอยู่ในตัว สังเกตจากสตรีทอาร์ท และปั้นประหลาดภายในเมือง
คืนนี้เราพักกันที่ Pearl of the North Apt. เนื่องเราไปกัน 6 คนทำให้เรายึดบ้านได้ทั้งหลังครับ มีความหรูหรา มีครัว และโต๊ะกินข้าวเต็มสตรีม มีห้องนั่งเล่น ทีวีจอแบน ชุดน้ำชา และชาอีกหลายชนิด ที่พักมาทั้งหมดที่นี่เป็นที่ๆดีสุดแล้ว รวมถึง Host ก็เป็นกันเองมา เราเข้าไปสักพัดเค้าค่อยมากดกริ่งเข้ามานั่งคุยด้วย เฮฮาปาร์ตี้มากก ราคาอยู่ที่ 3,200 ISK หรือประมาณ 1,500 บาทต่อคนต่อคืนครับ
เย็นวันนั้นเราไป Market ตุนเสบียงกันครับ และแวะเดินถนนคนเดินของเมือง เป็นซอยที่ห้ามรถเข้า มีร้านอาหารและร้านของฝาก แต่ก็มีจำนวนไม่กี่ร้านเท่านั้น ถึงจะบอกว่าเป็นเมืองที่ใหญ่รองจาก Reykjavik แต่ขนาดก็ยังต่างกันมากครับ สุดท้ายไปเดินไม่ได้ซื้ออะไรเลย แค่ลองชิม Meat Soup ที่ขายอยู่ข้างทาง เดินหนาวๆมีซุปร้อนๆซดนี่ก็ฟินใช้ได้เลยทีเดียว
คืนนั้นเราออกไปนอกเมืองเพื่อหาแสงเหนือครับ แต่ไปไม่ไกลพอ ไฟจากเมืองมันสว่างจ้าปิดท้องฟ้าไปหมดครับ ไม่เป็นไรได้วิวเมืองมาแทน
▲ Iceland 07 ▲
1. Hvitserkur (ไม่แวะ)
2. Grundarfjörður
3. Kirkjufell
วันนี้เป็นวันที่โหดร้ายที่สุดสำหรับคนขับรถครับ เนื่องจากจะเป็นการขับยาวๆ เกือบ 5 ชั่วโมงเลยไม่ได้แวะเที่ยวที่ไหน จริงๆแถบนี้มีที่เที่ยวอีกเยอะถ้าเราขึ้นไปตามฟยอร์ดทางเหนือครับ และมีหินไดโนเสาร์ Hvitserkur (วิท-ซา-คุต) ที่แวะเข้าไปได้ แต่พวกเรามองว่าไม่ค่อยมีอะไรเลยยิงยาวไปเมือง Grundarfjörður เลยดีกว่า
เส้นทางหลังจากเมือง Akureyri จะเป็นเส้นทางตรงเรียบทุ่งหญ้าไปเรื่อยๆ บางช่วงจะลัดเลาะไปตามฟยอร์ด ถ้าโชคดีจะมีโอกาสเห็นแมวน้ำ หรือปลาวาฬออก้า แต่ผมเห็นแต่เป็ด.....
2. Grundarfjörður
เมือง Grundarfjörður (http://goo.gl/eaqMF1 ชื่ออ่านยากมาก) หลังจากขับรถยาวนานกว่า 4 ชม. เราก็เข้าสู่เขตตะวันตกเฉียงเหนือของ Iceland แล้ว และเมืองนี้ถึงจะเป็นเมืองเล็กๆ เหมือนจุดแวะพักสำหรับคนเดินทาง มีปั๊มน้ำมัน กับ Market ให้เติมเสบียง และที่นี่มีหนึ่งใน Landmark ที่สำคัญมากของ Iceland เป็น Background นันคือ Kirkjufell (เคิก-จู-เฟล)
คืนนี้เราจะพักกันในเมืองนี้ครับ โดยเราแวะเข้าที่พักเก็บของก่อน จากนั้นค่อยออกไปที่ Kirkjufell
ที่พักเราชื่อว่า Grundarfjodur Apt. ครับ เป็นห้องใหญ่ มี 2 ห้องนอนย่อย มีครัว มีโซฟา มีทีวีให้ และที่สำคัญวิวหน้าที่พักดีมากกกก อยู่ติดทะเล Background เป็น Kirkjufell ครับ ราคาคิดคืนละ 38 EUR ครับ ประมาณ 1,500 บาทต่อคนต่อคืน
3. Kirkjufell
Kirkjufell (เคิก-จู-เฟล) เป็นภูเขาลูกน้อยๆทรงสี่เหลี่ยมคางหมูที่ชาวบ้านชอบไปถ่ายมันตรงสันทำให้คนดูรูปคิดว่ามันเป็นรูปทรงสามเหลี่ยม
Kirkjufell เป็น Landmark ที่มีคนถ่ายรูปมากที่สุดในประเทศ ถ้า Search คำว่า Iceland ใน Google ก็น่าจะมีภูเขาลูกนี้ติดมาเสมอๆ ข้างๆภูเขาจะมีน้ำตกเล็กๆชื่อเดียวกันอยู่ด้วยเป็น Foreground และในตอนกลางคืนจุดนี้สามารถใช้รอชม Aurora ได้สะดวกมาก เนื่องจากมันห่างจากตัวเมืองแค่ 10 นาที แต่แสงจากเมืองส่องมาไม่ถึง แถมแนววิ่งของ Aurora ก็จะพาดด้านข้างภูเขาพอดี
คืนนั้น Aurora Activity แรงมาก KP 5 แถมดูในพยาพรณ์อากาศบริเวณนี้ไม่มีเมฆเลย คิดว่าจะได้เห็น Aurora สวยๆแน่นอน ปรากฎว่าเอาเข้าจริง มีเมฆลอยต่ำๆ หรือหมอกก็ไม่รู้เต็มฟ้าเลย ปิดสนิทไม่อะไรสักอย่าง เฟลมากๆครับ คืนนั้น และคิดว่าทริปนี้คงจะไม่ได้เห็นแสงเหนืออีกแล้วด้วย เนื่องจากเหลือแค่ 3 วันก่อนจะกลับ
▲ Iceland 08 ▲
1. Hraunfossar & Barnafoss
2. Deildartunguhver
3. Reykjavik
1. Hraunfossar & Barnafoss
วันนี้เราจะมุ่งหน้ากลับ Reykjavik กันครับ โดยทางกลับเราจะแวะน้ำตกสองแห่งที่อยู่ติดๆกันคือ Hraunfossar & Barnafoss
Hraunfossar (ฮัน-ฟอ-ซา) เป็นน้ำตกที่สวยมากอันนึงของ Iceland แม้จะไม่เท่าอลังแบบ Goðafoss ความพิเศษของน้ำตกแห่งนี้คือมันเกิดจากสายน้ำสีฟ้าสดใสมากมายไหลลงมาเป็นเส้นๆ เหมือนเป็นลวดลายตัดกับหญ้าสีเหลืองอ่อน
ข้างๆ Hraunfossar คือน้ำตก Barnafoss (บา-นา-ฟอส) ชื่อน้ำตกนี้แปลได้ว่า Children's Fall ซึ่งที่มาของชื่อนั้น มาจากเรื่องเล่าโบราณเกี่ยวกับเด็กที่เดินข้ามสะพานหินแล้วตกลงมาจมน้ำตายบริเวณน้ำตกแห่งนี้ แม่ของเด็กจึงร่ายคำสาปให้คนที่ข้ามสะพานนั้นจะต้องจมน้ำทุกคน ปัจจุบันสะพานหินถูกทำลายไปแล้วจากแผ่นดินไหว
จริงๆผมมองมันก็ไม่ค่อยเหมือนน้ำตกเท่าไหร่ หรือผมยังเดินไปไม่ถึงก็ไม่รู้ 555
2. Deildartunguhver
ระหว่างทางกลับจากน้ำตก เราแวะไปที่น้ำพุร้อน Deildartunguhver (ดีล-ดาท-ทัง-กู-เฮ-เวอ) ที่นี่ได้รับการขนานามว่า Europe's most powerful hot spring สังเกตจากต้นไม้รอบๆน้ำพุร้อนแห่งนี้ล้วนเป็นสีเขียวสดใสเพราะความร้อนจากน้ำพุ ขณะที่หญ้าที่อื่นเป็นสีเหลือง
อีกความพิเศษของที่นี่คือ ท่อส่งน้ำจากน้ำพุร้อนแห่งนี้ยาวที่สุดใน Iceland ยาวถึง 65 กิโลเมตร เรียกว่าถ้าเราอาบน้ำรอบในรัศมี 65 กิโลจากที่นี่ คือเราอาบน้ำจากน้ำพุร้อนแห่งนี้อยู่
***ลืมเตือนไปตอนแรกครับ น้ำก๊อกที่ไอซ์แลนด์กินได้เฉพาะน้ำเย็นนะครับ น้ำร้อนกินไม่ได้นะครับ มันคือน้ำจากน้ำพุร้อนนี่แหละครับ วิธีกินคือเปิดน้ำเย็นสักพักจนไม่มีกลิ่นกำมะถันแล้วค่อยรินใส่แล้วครับ***
3. Reykjavik
ในวันนี้เราได้วนรอบประเทศ Iceland เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เรากลับมาถึง Reykjavik ตอนเย็นๆ แวะไปกิน Hot Dog ร้าน Bæjarins Beztu Pylsur (ยอมแพ้กับการอ่านชื่อ) ที่ได้ชื่อว่าเป็นร้าน Hot Dog ที่โด่งดังที่สุดในโลก
จริงๆมันคือ Hot Dog ธรรมดานี่แหละ ขนมปังกับไส้กรอกหาซื้อได้ตาม Market แต่ความอร่อยของมันซ่อนอยู่ที่เครื่องเคียงที่ใส่มากับไส้กรอก ไม่เคยกินหอมสับที่ไหนกรอบอร่อยเท่าที่นี่มาก่อน อยากรู้ที่นี่ดังแค่ไหน Search คำว่า most famous hot dogs in the world ใน Google ดู นอกจากความโด่งดังแล้ว The Guardian ยังยกให้ร้านนี้เป็น the best hot dog stand in Europe อีกด้วย
ปล.ร้านมีขนาดเท่าที่เห็น ไม่มีที่จอดรถด้วย ควรหาที่จอดใกล้แล้วเดินไป เวลากินก็ยืนกินมันตรงนั้นนี่แหละ
กินเสร็จแล้วเราแวะเดินเล่นที่ถนน Laugavegur (ลู-กา-แวง-เกอร์) ซึ่งจะมีร้านอาหาร และร้านของฝากเต็มไปหมด ปลายสุดของถนนเส้นนี้คือโบสถ์ทรงจรวด Hallgrímskirkja นั่นเอง
ร้านขายของฝากที่นี่มีธีมเป็นของตัวเอง มีร้านที่เน้นขายหมีก็จะมีหมีเต็มในรูปด้านบนจะเป็นร้านที่เน้นขายนก Puffin ชื่อร้านก็เป็นชื่อเกาะที่นก Puffin ชอบไปทำรัง
ตึกราบ้านช่องตกแต่งกันสวยงามมากครับ สีสันสดใสสุดๆ ที่นี่ซ่อน Street Art ไว้มากมายเช่นกัน
ผมแวะไปถ่ายโบสถ์ Hallgrímskirkja เร็วๆ และแวะซื้อของแถวนั้นก่อนกลับครับ คืนนี้เราพักที่ Igdlo Guesthouse เหมือนคืนแรกครับ ได้ห้องเดิมด้วย ราคาก็เท่าเดิมครับ แต่ครั้งนี้เราพัก 2 คืนเพราะพรุ่งนี้จะไปลุยเส้น Golden Circle แบบเช้าเย็นกลับครับ
▲ Iceland 09 ▲
Golden Circle
1. Þingvellir National Park
2. Bruarfoss Waterfall (หาทางเข้าไม่เจอ)
3. Strokkur Geyser
4. Gullfoss
5. Faxi Waterfall
6. Kerid Crater
หลังจากวนรอบเกาะแล้ว เราเผื่อเวลาไว้อีก 2 วันสำหรับเก็บที่เที่ยวรอบๆ Reykjavik นั่นคือเส้น Golden Circle และ Blue Lagoon โดยในวันแรกเราจะเที่ยววนรอบ Golden Circle ก่อน ใช้เวลาวนทั้งเส้น 1 วันเต็มครับ
ถ้าสังเกตแผนเที่ยวผมจะไม่แน่นมาก และเลือกจะเก็บที่เที่ยวใน Reykjavik ไว้วันหลังๆ เพราะเผื่อไว้สำหรับพวกเหตุไม่คาดฝันต่างๆ เช่นถ้าเกิดผมติดพายุหิมะ หรือรถเสียที่จะทำให้เสียเวลาไปวันสองวัน ผมก็ยังสามารถกลับมาขึ้นเครื่องกลับทันเวลาครับ
1. Þingvellir National Park
เป็น National Park ที่จะมีไฮไล์อยู่ที่จุดชมวิวที่มองเห็นทะเลสาบ Þingvellir (ปิง-เกวท-เลอ) และเราสามารถลงได้ทะเลสาบด้านล่างได้โดยการเดินตามทางลงไป หรือจะขับรถตามถนนด้านนอกลงไปก็ได้ครับ ทะเลสาบที่นี่น้ำใสมากเหมือนกระจกเลย
ที่นี่เราเจอเป็ด และห่านเยอะกว่าหมา ตามทะเลสาบจะเห็นเยอะมาก นอกจากนี้บางทีเราจะเจอพวกมันนอนผึ่งแดดตามไร่นาอีกด้วย
2. Bruarfoss Waterfall
เราเข้าไปไม่ถึงครับ ใช้วิธีตามแผนที่ Google Map ไป แต่ก็ยังงงทางอยู่ มันจะต้องเข้าไปในซอยเล็กๆครับ วนไปวนมาสุดท้ายเลยยอมแพ้ เห็นในภาพมันสวยมากกกกกกก เสียดายเหมือนกัน
3. Strokkur Geyser
ขับต่อมาที่ Strokkur Geyser (สตอค-คู) คล้ายๆ Old Faitful ที่ Yellow Stone แต่ Strokkur Geyser เคลมว่าน้ำพุร้อนที่นี่สามารถพุ่งได้สูงถึง 40 เมตร การพุ่งแต่ละครั้งจะมีความแรงไม่เท่ากัน และเวลาการประทุอยู่ระกว่าง 5 - 10 นาที บางครั้งจะเกิดการประทุสองครั้งติดกันก็มี ซึ่งต่างจาก Old Faitful ที่จะปะทุตรงเวลาเสมอ จนเป็นที่มาของชื่อครับ
4. Gullfoss
น้ำตกที่ได้ชื่อว่าเชี่ยวกราดที่สุดในยุโรป ความรุนแรงของมันมากจนกระทั้งมีนักลงทุนจากต่างประเทศมาขอสร้างโรงงานผลิตไฟฟ้าที่นี่ แต่สุดท้ายโปรเจคก็ถูกยุบไปเนื่องจากมันจะทำลายทัศนียภาพของน้ำตกแห่งนี้
Gullfoss (กัล-ฟอส) แปลได้ว่า Golden Fall ในวันที่แดดออก แสงแดดจะส่งกระทบน้ำตกเป็นประกายสีทอง เป็นที่มาของชื่อนี้ แต่วันที่ผมไปไม่เจอแบบนั้นนะครับ 55 เราสามารถเดินลงไปได้จนถึงริมน้ำตกเลย หรือจะเดินขึ้นไปชมวิวจากด้านบนก็ได้ ถ้าลงไปต้องเตรียมตัวเจอละอองน้ำหน่อยนะครับ ส่วนถ้าขึ้นไปด้านบนลมจะแรงมาก ควรมีเสื้อกันลมไปไม่งั้นจะหนาวมากครับ
5. Faxi Waterfall
มาถึงจุดนี้น่าจะเห็นน้ำตกจนเบื่อแล้ว Faxi (ฟัก-ซี) จึงกลายเป็นน้ำตกระหว่างทางของนักท่องเที่ยวบางคนไปโดยปริยายครับ แต่มันก็อลังอยู่เมื่อเข้าไปอยู่ใกล้ๆ ความกว้างของน้ำตกมีขนาดเท่าความกว้างแม่น้ำเลย ปกตินักท่องเที่ยวไม่ค่อยเดินลงไปกันครับ
ที่พิเศษของน้ำตกแห่งนี้คือมันมีบันไดแซลมอนครับ เป็นทางที่สร้างขึ้นมาสำหรับช่วยให้ปลาแซลมอนว่ายทวนน้ำขึ้นไปวางไข่ได้ เนื่องจากน้ำตกนี้คือแม่น้ำทั้งสายร่วงลงมา ทำให้ยากที่ปลาจะว่ายทวนขึ้นไปได้ ผมเพิ่งเคยเห็นครั้งแรก
6. Kerid Crater
Kerid (เคีย-ริด) เป็นปากปล่องภูเขาไฟอีกแห่งนึงที่อยู่ในเส้นทางขากลับไปยัง Reykjavik โดยที่นี่เราสามารถเดินวนรอบปากปล่องและลงไปยังทะเลสาบข้างในได้ ควรใส่รองเท้าที่มีดอกยางดีๆเพราะทางลงเป็นกรวดลื่นง่าย น้ำข้างล่างสีฟ้าอมเขียวสวยมาก เป็นจุดแวะสั้นๆจุดสุดท้ายของ Golden Circle ครับ
Local Food
กลับจาก Golden Circle พวกเราแวะไปลองกินอาหารพื้นเมืองของที่นี่ดูหลังจากประทังชีวิตด้วยมาม่า Rosa พร้อม และเเซนวิทมาหลายมื้อครับ
ร้าน Loki Cafe อยู่หน้าโบสถ์จรวดพอดี แนะนำโดยเพื่อนที่เคยมาว่าให้มาลองเมนูที่ชื่อ Icelandic Braveheart ซึ่งประกอบไปด้วย
- เนื้อปลาตากแห้ง ซึ่งเป็นอาหารพื้นเมืองสุดๆของที่นี่
- Brennivín เป็นเหล้าของ Iceland ที่มีฉายาว่า Black Death
- เนื้อฉลามดิบ เนื้อฉลามปกติจะมีพิษ เค้าต้องเอาไปตากแห้งจนพิษหมด แล้วจึงค่อยหั่นใส่จากมาให้เราชิม
- ขนมปัง เป็นตัวประกอบ
เนื้อปลาตากแห้งกินยากมาก ฟันไม่เเข็งแรงอาจจะฉีกไม่ออก ให้คิดว่ากินขนมปังแห้งๆเหนียวๆที่มีรสเค็มของปลาติดมา เวลากินเค้าให้ทาเนยครับ ส่วนเนื้อฉลามมีความเค็มและคาว แต่กินไปสองสามชิ้นก็รสติดลิ้นดีแกล้มกับ Brennivín นี่เข้ากันอยู่ครับ
อาหารชุดอื่นก็จะเป็นพวกปลาเป็นหลักเช่นกันครับ เป็นเนื้อปลาบดกับมันบด เนื้อปลาผามขนมปังออกมาเหมือนเค้กอะไรพวกนี้ ตกราคาจานละ 2,500 ISK หรือประมาณ 750 บาทครับ
กินเสร็จแวะถ่ายรูปโบสถ์อีกรอบ วันนี้ฟ้าใสมากครับ
Aurora Hunting
ตอนกลางคืนเรากลับไปที่ Þingvellir อีกครั้ง คืนนี้น่าจะเป็นโอกาสสุดท้ายของทริปที่จะเห็นแสงเหนือ และที่ Þingvellir เป็นจุดที่เหมาะมาก เนื่องจากไม่ไกลจากตัวเมือง มืดสนิท มีทะเลสาบและภูเขาเป็น Foreground แม้จะไม่สวยมากแต่แลกด้วยความสะดวกในเรื่องที่จอดรถ ห้องน้ำ และความปลอดภัย
และครั้งนี้เราก็ได้เห็นแสงเหนือกันเต็มๆด้วยความแรงระดับ KP4 ที่ย้อมทั้งฟ้าเป็นสีเขียว แรงขนาดที่มองเห็นได้ตั้งแต่ยังไม่หมดแสงครับ
สังเกตในรูปนะครับ ที่ขอบฟ้ามันมีแสงอาทิตย์อยู่เลย ที่จ้าๆด้านซ้ายคือดวงจันทร์ นี่แค่ KP4 จาก KP9 ยังรุนแรงได้ขนาดนี้ ไม่แปลกใจที่เค้าบอกว่า KP9 จะเห็นได้ถึงประเทศฝรั่งเศส
รูปทรงของแสงเหนือจะมีการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆบางทีก็ขดเป็นเกลียว บางที่ก็ไหลเป็นเส้นตรง บางที่ก็กระจายไปทั่วเหมือนฟ้าระเบิด ทะเลสาบด้านล่างกลายเป็นสีเขียวเพราะแสงเหนือครับ
คืนนั้นเราอยู่ด้านนอกกันนานมากตั้งแต่ห้าทุ่มปลายๆจนถึงตี 3 ที่อุณหภูมิติดลบ มือที่ใส่ถุงมือกันลมยังเอาไม่ค่อยอยู่ครับ เอาออกจากกระเป๋าไม่นานก็เริ่มปวดเพราะความเย็น ต้องสลับมือถ่ายรูปเอา มีคนเอาถุงอุ่นมือแบบที่ขายที่ญี่ปุ่นไปด้วย ช่วยได้เยอะอยู่ครับ
ตอนที่เรากลับแสงเหนือก็ยังมาไม่หยุดครับ มองเห็นมันวิ่งคู่กับรถในระหว่างทางกลับ เหมือนเป็นการบอกลาก่อนที่จะไม่ได้เจอกันอีกนานแสนนาน แสงเหนือตามมาส่งเราถึงหน้าที่พักครับ แม้จะอยู่กลางเมืองที่สว่างจ้า แต่เราก็ยังเห็นสีเขียวจางๆวิ่งอยู่บนท้องฟ้าครับ วันนี้ฟินที่สุดแล้ว ความรู้สึกเมื่อได้เห็นแสงเหนือเป็นอะไรที่อธิบายยาก แม้ว่ามองด้วยตาจะไม่สีเขียวสดแบบที่ถ่ายจากกล้อง แต่การมองมันขยับไปเรื่อยๆเป็นอะไรที่มหัศจรรย์มาก มันสวยงามคุ้มค่ากับการบินข้ามมาครึ่งโลก ฝ่าฟันความมืด และความหนาว เพื่อมาให้เห็นกับตา พวกคลิปตามยูทูป หรือท้องฟ้าจำลองเป็นเหมือนของคนละอย่างกันโดยสิ้นเชิงเมื่อเทียบกับของจริงครับ
ระหว่างที่ผมยืนถ่ายรูปก็จะได้ยินเสียง "Oh my god!" จากนักท่องเที่ยวที่มายืนดูด้วยครางออกมาเป็นระยะๆครับ 55555
▲ Iceland 10 ▲
1. Blue Lagoon
2. Seltún Geothermal Area
3. Keflavík
1. Blue Lagoon
วันเที่ยววันสุดท้ายในไอซ์แลนด์ วันนี้เป็นวันที่แพลนไว้เป็นบัฟเฟอร์กรณีเกิดปัญหาระหว่างการวนรอบเกาะ ก็ยังเหลืออีก 1 วันเผื่อไว้จะได้ไม่ตกเครื่อง ที่เที่ยวที่แรกคือ Blue Lagoon ครับ บ่อน้ำแร่อันโด่งดังของไอซ์แลนด์ เป็นบ่อที่ถูกสร้างขึ้นจากน้ำที่ถูกสูบขึ้นมาเพื่อเอาความร้อนไปทำกระแสไฟฟ้า
โดยรวมมันคือรีสอร์ทแอนสปา เข้าไปแช่น้ำร้อนพอกหน้า อากาศหนาวๆมาเจอน้ำร้อนๆมันฟินมาก ความเหนื่อยล้าจากการเที่ยวหายเป็นปลิดทิ้ง
ควรจะจองออนไลน์มาก่อนนะครับ เพราะถ้า Walk in จะถูกแยกไปอีกแถวไม่รู้ราคาแพงกว่ากันมากมั้ย แต่ที่แน่ๆคิวยาวกว่าแน่นอนครับ ตอนเข้าไปเค้าจะแจกนาฬิกาให้ เอาไว้สแกนเข้าข้างใน ล๊อคล๊อคเกอร์ และใช้ซื้อของครับ ที่นี่ไม่มีอะไรมาก เข้าไปถึงเปลี่ยนชุด อาบน้ำ แล้วก็ลงไปแช่ได้เลย ตรงกลางบ่อจะมีโคลนแจกให้พอกหน้าครับ ตอนออกไปหน้าบ่อนี่คือยืนสั่นเลย อากาศมันเลขหลักเดียว และมีลมพัด แทบจะวิ่งลงบ่อเลยทีเดียว
ถ้าอยากเดินถ่ายรูปรอบๆบ่อก็เดินได้ครับ แต่เค้าไม่ให้ใส่รองเท้าเข้าไป ต้องทนเย็นเท้าหน่อย
ด้านนอกเราก็ออกไปเดินเล่นได้นะครับ มันจะเป็นเอาน้ำด้านในออกมาทิ้ง มันก็จะไม่ฟ้าสวยเท่า และมีทุ่งมอสลาวาอยู่นิดหน่อยครับ
2. Seltún Geothermal Area
ออกจาก Blue Lagoon ยังมีเวลาเหลืออีกครึ่งวันเต็มๆ ราถึงแวะไปที่เที่ยวอีกแห่งที่อยู่ใกล้ๆกัน นั่นคือ Seltún Geothermal Area (เซล-ตัน) ซึงจะเป็นพื้นที่ๆมีน้ำร้อนฝุดขึ้นมา แต่ความแตกต่างของที่นี่คือหินรอบๆบ่อน้ำร้อนนั้นจะมีสีและลวดลายที่แตกต่างกันครับ ที่นี่ไม่มีอะไรมาก เอาไว้เดินเล่นเพลินๆ ใครชอบปีนเขา สามารถไต่เนินขึ้นไปดูบ่อด้านบนได้นะครับ ผมมองดูไม่ไกล แต่ไต่เท่าไหร่ก็ไม่ถึงซะทีเลยยอมแพ้ไป
3. Keflavík
Keflavík (เคียฟ-ฟา-วิค) เป็นเมืองที่อยู่ติดสนามบิน ที่ผมเลือกมาพักที่นี่เพราะว่าวันรุ่งขึ้นจะต้องบินไป Oslo รอบ 7 โมงครับ มานอนที่นี่จะได้ไม่ต้องตื่นเช้า โดยสิ่งที่ต้องทำคือเคลียร์เรื่องน้ำมันรถ และบัตร Pre-Paid ที่เหลืออยู่ให้หมด สุดท้ายก็ได้ขนมมาเต็มรถครับ 555
ที่พักเราคืนนี้ชื่อว่า Kef Guesthouse ครับ เป็น Guesthouse ที่ Host เฮฮาและกวนที่สุดใน Iceland มีการหลอกให้ผมกิน Liquoriceแล้วนั่งหัวเราะกันสองคนด้วย ที่นี่ราคาคืนละ 3,000 ISK ครับ ประมาณ 900 บาท พิ่งสร้างไปสองปี ใหม่มาก ห้องน้ำดีมาก ห้องเหมือนห้องโรงแรมแค่ไม่มีห้องน้ำในตัว ที่สำคัญคือครัวมีของเพียบเลย มีทั้งน้ำผลไม้ นม คุ้กกี้ เบียร์ ซึ่งเค้าให้หยิบได้ตามสบาย ที่สำคัญคือที่นี่อยู่ใกล้สนามบิน คนที่กำลังจะกลับจึงชอบมาพัก และเค้าจะทิ้งพวกอาหารที่เหลือแล้วไว้ที่นี่ ถ้าเปิดในตู้จะเจอพวกคอนเฟลก อาหารกระป๋อง รวมถึงมาม่าด้วย อุดมสมบูรณ์มากกกก
▲ Iceland 11 ▲
วันนี้ตื่นออกมาขึ้นเครื่องแต่เช้าครับ ตอนคืนรถแจ้งเค้าว่าจะคืนที่สนามบิน ทางบริษัทให้เราขับรถเข้าไปจอดในโซนเสียเงิน แล้วทิ้งกุญแจกับบัตรจอดรถไว้ในรถครับ เดี๋ยวตอนสายเค้าเข้ามาเอาเอง ตอนบินกลับก็เหมือนตอนขามาขอวาร์ปไปลงที่ Oslo เลยนะกันนะครับ 555
Oslo
เรามาถึง Oslo ตอนเที่ยง และมีเวลาถึงหนึ่งทุ่มเพื่อกลับมาขึ้นเครื่องกลับ เลยแวะออกมาเดินดูเมือง Oslo ครึ่งวันครับ คำเตือนนะครับ บน Iceland ว่าของแพง Oslo แพงกว่าเยอะ!! น้ำดื่มที่นั่นขวดละเกือบร้อยบาท
การเดินทางเข้าเมืองทำได้ไม่ยาก เริ่มจากเราฝากกระเป๋าเดินไว้ที่สนามบิน และนั่งรถไฟจากสนามบินเข้ามาในเมืองครับ เป็น NSB Train ราคาคนละ 96 Nok ใช้เวลารวมๆประมาณชัวโมงนึงเราก็มาถึง Oslo Sentral Station ซึ่งอยู่ใจกลางเมือง Oslo ครับ
จากนั้นเราก็เดินวนรอบเมืองไปเรื่อยๆ วันนั้นเป็นวันฟ้าเปิด คนนอเวย์เดินกันเต็มถนน บรรดาแผงลอยต่างๆมาเปิดขายกันเต็มไปหมด ที่นี่ใช้รถรางในการเดินทาง ทำให้บนฟ้ามีสายไฟระโยงระยางเต็มไปหมด นอกจากนั้นยังมีจักรยานที่ปั่นกันบนถนนพอๆกับรถยนต์ เป็นเมืองที่วุ่นวายใช้ได้เลยครับ
อีกที่หนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจาก Oslo Sentral Station นั่นคือ Oslo Opera House ซึ่งจะเป็นตึกประดับกระจกตั้งอยู่ริมแม่น้ำ ออกจากสถานีมาให้ตรงไปทางแม่น้ำเลยครับ เดี๋ยวเจอเอง 555
ด้านหน้าของ Opera Houseจะเป็นลานโล่ง จะเห็นชาวบ้านที่นี่ออกมาเดิน ขี่จักรยาน เล่นสเกตบอร์ด ให้อาหารนกกัน ถ้าเดินขึ้นเนินไปด้านบนจะเจอดาดฟ้าโล่งๆที่เราจะเห็นวิวเมือง Oslo ได้อย่างชัดเจนครับ
เดินเล่นกันจนเย็นก็นั่งรถไฟกลับไปยังสนามบินรอขึ้นเครื่องกลับไทยครับ แต่ยังไม่หมดเท่านี้ เพราะเรายังต้องแวะต่อเครื่องที่ Moscow อีก 1 วันเต็มๆครับ เพราะฉะนั้นเดี๋ยวจะวาร์ปไปตอนถึง Moscow เลยนะครับ
▲ Iceland 12 ▲
เรานั่งเครื่องจาก Oslo ย้อนกลับมารัสเซียตามเส้นทางเดียวกับขามา แต่ขากลับเราจะถึงสนามบิน Moscow Sheremetyevo ตอนเที่ยงคืน และต่อเครื่องกลับไทยอีกทีหนึ่งทุ่ม ทำให้เรามีเวลาเที่ยวเกือบทั้งวัน ซึ่งมากพอจะเก็บไฮไลท์ของ Moscow ได้หมดพอดี
ตอนออกมาเราออกมาแค่เป้ติดตัวคนละใบครับ กระเป๋าเดินทางจะอยู่บนเครื่องยาวไปจนกรุงเทพเลย ตม.ไม่ถามอะไรมากมายแต่คิวจะยาวหน่อย ที่รัสเซียระบบสนามบินจะสู้ฝั่งเชงเก้นไม่ได้ครับ
เราจองที่พักเป็น Hostel ที่อยู่ใกล้กับสนามบิน มีรถตู้รับส่ง 24 ชั่วโมง ที่พักชื่อ Sky Hostel Sheremetyevo อย่าสับสนกับ Sky Hotel นะครับ เป็นคนละที่กัน แต่เราก็นั่งรถตู้ของ Sky Hotel ไปนี่แหละครับ หรือจะนั่งของ Sheraton ก็ได้ พอไปถึงแล้วก็เดินข้ามลานจอดรถมาตึกตรงข้ามจะเป็นเหมือนคอนโดเตี้ยๆครับ เข้าไปเจอยามยื่น Booking ให้เค้าดู เค้าจะให้ขึ้นลิฟท์ไปชั้นบนสุด ไม่พอต้องเดินขึ้นบันไดต่อไปอีกชั้นนึง
ที่นี่ราคาถูกมากกกก เทียบกับที่ไอซ์แลนด์คืนละพันกว่าบาท ที่นี่คืนละ 200 บาท แต่คุณภาพก็ตามราคา มีปัญหาเรื่องห้องที่ตอนจองจะนอนรวม ก็ถูกจับแยก รวมถึงเตียงแข็ง ห้องแออัด ห้องน้ำน้อย Host พูดอังกฤษไม่ได้ ต้องเรียกเพื่อนมาช่วยแปล แต่เรากะมาแค่นอนไม่นานครับ เพราะกว่าได้เข้าที่พักจริงๆก็เกือบตี 1 ตื่นออกไปก็หกโมงเช้า ก็ยังพอทนได้อยู่ ข้อดีอย่างเดียวของที่นี่คืออยู่ใกล้สนามบินและมีรถรับส่งครับ
ตอนเช้าเรานั่งรถโรงแรม(ข้างๆ) กลับมาที่สนามบิน และนั่งไฟ AeroExpress จากสนามบินเข้าสู่กรุง Moscow ครับ AeroExpress ถ้าจองผ่านเวปราคาจะถูกกว่าจองที่เครื่องขายตั๋วนะครับ ปริ้นตั๋วมาเอาสแกน QR Code เข้าไปได้เลยครับ โดยปลายทางจะเชื่อมกับระบบ Metro อันโด่งดังของ Moscow ที่ขึ้นชื่อว่ามีเส้นทางที่ครอบคลุมทั่วเมืองและมีสถานีที่ตกแต่งไว้อย่างสวยงาม
เรามาลงที่สถานีปลายทาง Belorussky Rail Terminal (Белорусская) ซึ่งจะเชื่อมกับสถานี Metro ชื่อเดียวกัน โดยเราแวะทานข้าวเช้าที่ร้านอาหารเล็กๆข้างสถานีครับ ขนมปังอบร้อนๆตอนเช้าในวันที่อากาศเย็นๆนี่มันเข้ากันมากจริงๆ
ที่แรกที่เราแวะไปคือ Cathedral of Christ the Saviour ถ้าใครเคยอ่านรีวิวรัสเซียก็จะรู้ถึงความยิ่งใหญ่ของวิหารแห่งนี้ วิหารออโธดอกซ์ที่สูงที่สุดในโลก เหตุผลที่เรามาที่นี่เป็นที่แรกเพราะ Kremlin เปิดสายทำให้ตอนเช้ายังไม่มีที่ไหนเปิดให้เข้า บวกกับวิหารแห่งนี้ไฮไลท์มันอยู่ที่สะพานด้านหลังที่จะเป็นเส้นนำสายตามายังวิหารแห่งนี้
จากนั้นเรานั่ง Metro กลับมาที่ Red Square เพื่อเข้าไปดู St. Basil's Cathedral ครับ ที่นี่เป็นวิหารที่สวยที่สุดในรัสเซีย สวยมากจนเมื่อสร้างเสร็จ คนสร้างถูกกษัตริย์ควักลูกตาออก เพื่อไม่ให้มีสิ่งปลูกสร้างที่สวยงามแบบนี้เกิดขึ้นมาในโลกอีก กษัตริย์ผู้นั้นคือ Ivan the Terrible ผู้โด่งดัง
ต่อจากนั้นเราแบ่งเป็นสองทีม ทีมนึงคือผู้ร่วมทริป 5 คนเข้าไปดูพระราชวัง Kremlin ซึ่งผมเคยเข้าไปแล้วทีนึง และค่าเข้ามันก็แพงอยู่ประมาณคนละ 1,000 Rub/600 บาท ส่วนอีกทีมมีผมคนเดียวก็เข้าไปในห้าง Gum (rym) ห้างที่ใหญ่และเก่าแก่มากของมอสโควที่คราวก่อนผมไม่ได้เข้าไปดูครับ
จุดเด่นของที่นี่คือไอติมครับ ซึ่งจะมีซุ้มขายอยู่ทุกทางเข้า เมื่อเดินเข้าไปจะเจอคนเดินกินอยู่เต็มไป มองไปทางไหนก็มีแต่คนถือไอติม ตู้ไอติมก็มีแต่คนต่อคิว จนสุดท้ายผมต้องไปซื้อมาลองกินบ้าง เป็นอุปทานหมู่ที่น่ากลัวมาก
เดินห้างเสร็จก็แวะออกมาเดินเล่นรอบๆ Red Square อากาศดีมากครับ
พวกเรากลับมารวมตัวอีกครั้งหลังจากอีกทีมเที่ยวในพระราชวัง Kremlin เสร็จ จากนั้นพวกเราก็นั่งรถไฟใต้ดินวนดูความอลังการของแต่ละสถานีอีกนิดหน่อย และนั่งรถไฟกลับไปยังสนามบิน เพื่อขึ้นเครื่องกลับประเทศไทยครับ
สำหรับคนที่อยากได้ข้อมูลของรัสเซียนะครับ ผมอาจจะเขียนในนี้ไม่ค่อยละเอียดเนื่องจากผมเคยเขียนแบบละเอียดไว้แล้วทีนึง โดยตอนนั้นที่ไป Moscow ก็เที่ยวใน 1 วันแบบนี้แหละครับ สามารถเอามาแทนกันได้เลย แค่ที่เที่ยวช่วงอาจจะต้องตัดออกไปครับ >>> http://pantip.com/topic/33632855
เราถึงไทย 8 โมงเช้าของวันถัดไป พร้อมกับอากาศที่ร้อนละอุ เป็นอันจบการเดินทาง 12 วันของพวกเราครับ ทริปนี้ได้ครบทั้งธรรมชาติ และสถาปัตยกรรม นับว่าเป็นทริปที่ยาวที่สุด และประทับใจที่สุดในชีวิตครับ
Iceland สอนให้เราได้รู้ถึงความยิ่งใหญ่และรุนแรงของธรรมชาติครับ เป็นเกาะที่มีความ Extreme ในแบบของตัวเอง เราต้องทนลมที่แรงจนก้าวขาไม่ออก อากาศเย็นที่ทำให้ปวดมือและหู ฝนและหิมะที่สลับกันที่สาดลงมา แต่ขณะเดียวกันเกาะแห่งนี้ก็มอบธรรมชาติที่สวยงามอลังการแบบที่หาไม่ได้จากที่ไหน สวยจนอยากปากล้องทิ้งเพราะไม่สามารถเก็บความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติออกมาเป้นรูปภาพได้ เป็นความสวยงามที่เกรี้ยวกราดยากแก่การทำลาย ทำให้เราได้รู้ว่าตัวเรานั้นเล็กแค่ไหนเมื่อเทียบกับโลกใบนี้
ใครมีโอกาสขอให้มาลองดูครับ เป็นประเทศที่คนใจดี เที่ยวง่าย และสวยงามมากครับ
Mountain Seal
วันอาทิตย์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2559 เวลา 17.33 น.