หลังจากที่เคยไปเวียดนามมาแล้วครั้งนึง การจะไปอีกรอบนี่ไม่ใช่เรื่องยากเลย ครั้งนี้เราเลยอยากจะกลับไปซ้ำในจุดที่ยังไม่เคยได้ไป ไปชิมอาหารที่ยังไม่เคยได้กิน (เพราะครั้งที่แล้วกินตามมีตามเกิดแบบมั่วมากๆ ฮ่าๆๆ) เราจะไปกันแบบมีแผนนิดนึงนะฮะรอบนี้
เราจะพยายามเก็บให้ครบในเวลาที่มีอยู่อย่างจำกัด ใน blog นี้เราจะพยายามใส่รายละเอียดให้ได้มากที่สุด มากแบบว่าก๊อบทริปนี้ตามไปได้เลยยย เริ่ม !!
ช่วงเวลาที่เราเลือกเดินทาง : 25-27 พฤศจิกายน 2022 (ศ ส อา)
จุดหมายปลายทาง : ดานัง-ฮอยอัน
จำนวนสมาชิกร่วมซวย : 6 คน
รายการที่ต้องจองไปล่วงหน้า : ที่พัก และ รถส่วนตัว
ไปเวียดนามรอบนี้ เราคิดว่าเกือบจะหมดวาสนาในการไปซะแล้ว 555 เพราะว่ามีเรื่องเกิดขึ้นตลอดทริปนี้ตั้งแต่ตอนจองตั๋ว เอาเป็นว่าอุปสรรคใดๆที่เกิดขึ้นในทริปนี้เราขอป้ายให้เป็นความผิดของผู้ร่วมเดินทางวัยเบญจเพสทั้ง 3 หน่อของเราแล้วกันนะ เพราะหาเหตุผลในความซวยซ้ำซวยซ้อนมากกว่านี้ไม่ได้จริงๆ 5555
ที่มาของกาเดินทางครั้งนี้คือเราอยากไปเที่ยวต่างประเทศกับน้องสักครั้ง แต่ว่ากระเป๋าตังค์แบนๆ ของเราคงพาไปได้ไม่ไกล เลยพาน้องมาเปลี่ยนบรรยากาศที่เวียดนามแล้วกันนะ เพราะเราก็เคยไปมาแล้ว มีประสบการณ์การเดินทางพอสมควร น้องๆ ที่ไม่เคยไปจะได้ไม่ตื่นเต้นกันมากเวลาหลงทาง
[อ่านรีวิวเที่ยวเวียดนามครั้งแรก ที่นี่]
ช่วงที่จองตั๋วเครื่องบิน เรากังวลตลอดเวลาว่าเมื่อไรจะมีโปรโมชั่นดีๆ เนื่องจากเป็นช่วงที่โควิดซา ฤดูการท่องเที่ยวเริ่มกลับมาคึกคัก สายการบินทยอยแห่กันขึ้นราคาค่าตั๋วเพื่อเอากำไรคืนมา หลังจากขาดทุนย่อยยับมาตลอด 3 ปี แต่สุดท้ายแล้วตั๋วราคาดีๆ ช่วงนี้ไม่มีอยู่จริงจ้าแม่ โดนค่าเครื่องไปแบบจุกๆ เฮือกกก
เราวางแผนการเดินทางแบ่งเป็น 2 ทีม เพราะว่าได้ไฟล์ทไม่ตรงกัน (คนละโปรโมชั่น) เรากับน้องๆ รวม 4 คนเป็นทีมแรกที่จะไปถึง ส่วนอีกทีม (เพื่อนน้อง 2 คน) จะตามมาทีหลังทิ้งห่างกันประมาณ 3 ชม.
เรา 4 คนเลือกเดินทางไฟล์ทเช้า กะว่าไปถึงจะได้ไปเที่ยวหาอะไรกินเลย แล้วค่อยกลับมารับน้องอีก 2 คนที่สนามบิน เราจ้างรถตู้เหมาพร้อมคนขับเป็นพาหนะหลัก เพราะไปกัน 6 คนหารเท่าจะถูกกว่า (แต่ถ้าไปกัน 2-3 คน เราแนะนำเรียก Grab จะดีกว่า)
รถตู้ที่จองมาไม่ได้คาดหวังมากนะเอาจริงๆ แค่มีรถพาเที่ยวระหว่างเมืองก็พอใจแล้ว แต่ว่าผิดคาดมาก รถตู้ Private ดีมากๆ สะอาดสุดๆ บริการดี แวะไปไหนก็ได้ เพียงแค่ส่งโปรแกรมที่เราวางแผนไว้ให้คนขับ เขาก็พาเราไปไม่บ่นเลย ถ้าเราไม่มีไอเดียในการกิน เขาก็มีร้านแนะนำให้
ชี้เป้า Facebook คนขับ เขาจะติดต่อเราผ่าน Line ดีลราคากันได้เลย คุยภาษาอังกฤษได้ เจอหน้ากันก็พูดไทยได้นิดหน่อย เหมือนเน้นลูกค้าคนไทยเลยนะเอาจริง (เราส่งโปรแกรมให้เขาประมาณราคา 3 วัน 2 คืน ได้มาในราคา 3.700.000 VND รวมน้ำมันแล้ว ไม่ต้องมัดจำ จ่ายสดหลังจบทริป ก็ประมาณ 5,500 บาท โคตรคุ้ม !!) ที่สำคัญคือเขามีบริการซื้อซิมให้เราด้วย 120.000 VND/sim ความเร็ว 5GB/วัน ใช้ได้ 7 วัน ราคา 170 บาท เราต้องเปลี่ยนเองนะ แต่เราว่ามันดีกว่าซื้อจากไทยไปมันแพงกว่าเยอะเลย
สรุป คือ ดีย์ ได้ทั้งรถทั้งเน็ตในราคาที่ถูกเห้ๆ ก็พร้อมเที่ยวแล้ว
Day 1 : เที่ยวในตัวเมืองดานัง
มาถึงตอนเช้าที่สนามบินดานังตอน 9 โมง เราใช้ wifi สนามบินติดต่อคนขับ ตม.เวียดนามคนเยอะมากกกกกก แต่ผ่านง่ายมาก สถานีแรกที่เราจะไปคือ เราจะไปกินแหนมเนืองเวียดนาม !!
มารอบนี้เราทำการบ้านมาดี รู้ว่าตัวเองต้องไปโดนร้านไหนอะไรยังไง จะได้ไม่กินละถุยทิ้งเหมือนปริปก่อน ฮ่าๆๆ ร้านแหนมเนืองนี้อยู่ในหลืบ แบบหลืบบบบ รถเข้าไม่ได้ คนขับทิ้งพวกชั้น 4 คนลงปากซอย แล้วขับหนีไปเลยจ้า หนีไปพร้อมกระเป๋าเดินทางที่อยู่บนรถเขา555 ถ้าเขาโกงนี่ก็คือจะซวยกันหมดเลยนะ ยังดีที่ตัวมีตังค์กับพาสปอร์ตพกติดตัว
ร้านก็คือ บ้านๆเลยเทอ สภาพเหมือนร้านข้าวมันไก่แถวบ้านเรา 555
อย่างแรกเลยตอนเรามาถึง คือ งง ใช่ค่ะ งงจัดเลย คือดูมาว่าร้านนี้ควรมากิน แต่ไม่รู้ว่าต้องกินอะไร สั่งยังไง ละเมนูร้านบ้านๆ นึกออกใช่ปะ ก็ภาษาเวียดนามฮะแม่ 555 เดชะบุญ Google translate ช่วยไว้ เราเลยสั่งเซตแหนมเนืองที่คุ้มๆ เซตใหญ่ๆมาลอง แล้วก็มีเครื่องดื่มแปลกๆ อย่างนมดอกบัวไรงี้ด้วย (รสชาติเหมือนน้ำเต้าหู้)
ใครที่คิดว่าวิธีกินมันจะเหมือนแหนมเนืองบ้านเราที่เราเคยกิน คือ ไม่จริง ไม่เลยอิสัส แป้งมาแข็งๆ แบบไม่มีถ้วยน้ำเปล่ามาให้แช่แป้ง มีแต่น้ำจิ้มถ้วยเบ้อเริ่มยังกะน้ำแกงมาให้55 แล้วก็ผัก ผัก ผักกกแบบเป็นกะละมัง ร้านนี้อาจจะไม่ใช่สวรรค์ของคนไม่กินผักนะ
หลังจากแม่ค้าเสิร์ฟอาหารจนเต็มโต๊ะ เรา 4 คนมองตาปริบๆ เหมือนจะสื่อว่า เริ่มไงดีวะ ทุกคนมองมาที่เราเหมือนจะถาม คือเราก็อยากจะตอบได้ แต่กุก็มาครั้งแรกเหมือนๆ พวกมึงนั่นแหละ 555
สุดท้ายเราต้องแอบมองแล้วเลียนแบบวิธีกินจากโต๊ะข้างๆ โอ้ยน้อออ ลำบากแท้
กลายเป็นว่าแป้งแข็งๆ ที่เขาให้มาพอห่อเครื่องเคียงแล้วเอาไปจุ่มกับน้ำจิ้ม มันจะนิ่มเหมือนกับที่เราเคยกินที่ไทย ส่วนตัวเนื้อสัตว์ที่เสียบไม้มาให้ เราว่าก็อร่อยดี ส่วนอันที่เหมือนเปาะเปี๊ยะกรอบสีเหลือง ก็ไม่ได้มีรสชาติ ต้องเอาไปจิ้มกับน้ำจิ้มถั่วอย่างเดียว
พิกัดร้าน Bánh Xèo Bà Dưỡng
หลังจากอิ่มท้องจากมื้อสายแล้ว สัญญาณแห่งความอับโชคได้เริ่มต้นขึ้น555 ต้องบอกก่อนว่าเราดู Weather forecast มาแล้วว่า ตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาเมืองดานังแห้งสนิท และร้อน
แต่วันนี้. . . ฝนตกจ้าาาา แต่เราก็ไม่ย่อท้อ เราวางแผนมาแล้ว เราต้องสู้วว !! ไปที่ Pink Cathedral กันเลย โบสถ์สีชมปูวววรอเราอยู่ค่ะ
ชีวิตไม่เคยทำให้เราผิดหวังจริงๆ ค่ะ สรรหาอุปสรรคมาชาเลนจ์เราเสมอ หน้าโบสถ์สีชมพูที่สวยงาม มีนั่งร้านตั้งขวาง !! (น่าจะกำลังซ่อมอะไรสักอย่าง) เซ็งมาก555 คือนอกจากฝนจะตกจนไม่ได้รูปสวยๆ แล้ว ยังมีสิ่งก่อสร้างไม่พึงประสงค์มาบดบังอีกด้วย เยี่ยมไปเลยยย
เรายังมีเวลาอีกสักพักใหญ่ๆ ก่อนไปรับน้องอีก 2 คนที่สนามบิน เลยหลบฝนไปแวะคาเฟ่ Dreamer เพราะเราดูรีวิวมาว่าคาเฟ่นี้น่ารักดี แล้วเส้นทางก็คือไม่ไกลจากสนามบิน กับที่เที่ยวแต่ละจุดมากนัก เลยขอไปหลบฝนในคาเฟ่เล็กๆ นี่แล้วกัน
น้องจะออกแนวธรรมชาตินิดๆ เกาหลีเกาใจหน่อยๆ รวมๆแล้วร่มรื่นและมีพื้นที่สีเขียวเยอะดี แต่แอบเสียใจที่ตอนไปสวนดอกไม้ยังไม่บาน ไม่งั้นมันขาวสวยพรึ่บไปทั้งสวนเลยยย
กาแฟอร่อย เราชอบกาแฟมะพร้าวมากกกกก คือเคยกินแบบ coffee juice ใส่น้ำมะพร้าวนะ แต่ร้านนี้เขาทำเป็นกาแฟมีฟองนมด้านบน สีกาแฟออกครีมๆ แล้วก็โรยด้วยมะพร้าวกรอบ (เรียกแบบนี้ปะนะ) คือหอมมะพร้าวมากกกกกก เราชอบนะ แต่คนที่ไม่ชอบทานหวานอาจจะรู้สึกไม่ชอบ แต่เรามันสายกาแฟลาเต้อยู่แล้ว ก็เลยมองว่าก็หวานกำลังดีเลย
ส่วน Drip Coffee เราอยากลองแบบ single origin ไม่ค่อยต่างจากที่ไทยเท่าไรนะ อาจจะมาจากที่เดียวกัน ก็เป็นด้ายยยย
พิกัดคาเฟ่ Dreamer
ได้เวลาที่เราต้องไปรับน้องอีก 2 คนที่สนามบิน เพื่อที่จะไปเที่ยวกันต่อแล้ว แต่พบว่า . . . น้องคนนึงตกเครื่องจ้ะแม่ !! เหตุเพราะลืมดูวันหมดอายุพาสปอร์ต เลยโดนเจ้าหน้าที่กั้นไว้ที่สนามบิน ปล่อยให้น้องอีกคนเดินทางมาแบบโดดเดี่ยวเดียวดาย 555
ส่วนน้องผู้โชคร้ายพาสปอร์ตหมดอายุกะทันหัน ก็ต้องรีบไปทำพาสปอร์ตใหม่และต้องใช้ชีวิตในสนามบินแบบ Tom Hank ใน The Terminal เพื่อรอไฟล์ทบินในวันถัดไป โอ้ยยยย วงวารมาก
แต่ชีวิตต้องเดินหน้าต่อฮะ ถึงแม้ว่าเราจะสูญเสียผู้ร่วมเดินทางไปในวันแรก ฮืออออ แต่หิวแล้วเราต้องไปกินข้าวเที่ยงกันค่าา (โทษทีนะน้องหนู พี่หิวจริงๆ)
เรามากินข้าวเที่ยงที่ร้านเฝอค่ะ Hong Pho Restaurant เป็นร้านที่คนไทยรีวิวเยอะ เราเลยมาทดสอบ ความพีคคือ ชามนึงใหญ่เห้ๆ เวลาสั่งอย่าวู่วามนะคะ 5555 คือเราว่าเมนูอื่นมันก็อร่อยด้วย แนะนำว่าสั่งมาเป็นกองกลางละแบ่งๆกันดีกว่าฮะ มีทั้งหมู เนื้อ น้ำซุปเริ่ดมากอยากซดให้หมดชาม เส้นนุ่มมม เสิร์ฟพร้อมเครื่องเคียง ผัก กิมจิ (หน้าตาเหมือนแต่รสนี่คนละแบบกันเลย) แล้วก็ปาท่องโก๋ อีกเมนูนึงที่อร่อยมากๆ คือกุ้งห่อแป้งทอด ดีงามมม
พิกัดร้าน Hong Pho Restaurant
ก่อนเข้าพักคืนนี้เราให้คนขับแวะไปถ่ายรูปที่ APEC Park เป็นสวนสาธารณะริมแม่น้ำฮานเลย เพิ่งสร้างเสร็จไม่กี่ปีมานี้เอง ค่อนข้างใหม่ จากตรงนี้จะเห็น Dragon Bridge ใกล้ๆ ด้วยนะ เป็นจุดถ่ายรูปที่ดีเลย ถ้าข้ามสะพานมังกรไปจะเจอ Love Bridge ที่คนไปคล้องกุณแจรูปหัวใจ แต่เราไม่อินเราเลยไม่ได้แวะไป
พิกัด APEC Park
หลังจากถ่ายรูปเสร็จเราก็ระลึกได้ว่า เชี่ยยย ที่นี่ขับรถความเร็ว 60 km/hr จะไปเช็คอินที่ Mercure Danang French Village ทันมั้ยก่อน
เลยรีบขึ้นรถละบึ่งไปทันที ในใจคิดว่าไม่ทันแน่ๆ เพราะที่นี่ขับรถกันแบบหอยทากเรียกพ่อ แต่ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยังคงเข้าข้าง ส่งวิญญาณพ่อปู่ดอม ทอเร็ตโตประทับร่าง driver ของเราให้ขับเร็วขึ้นเป็น 80 km/hr !! เร็วสุดๆของพี่แกละจ้าาา 5555
Reception ของโรงแรมจะอยู่ตีนเขา เรามาถึง 16.30 แบบฉิวเฉียดว่าจะไม่ทัน (กระเช้ารอบสุดท้ายปิด 5 โมง) ต้องไป check-in ก่อนขึ้นกระเช้าที่ยาวที่สุดในโลกไปพักด้านบน
และปัญหาก็มา . . . เริ่มเลอ
โรงแรมที่จองมาเช็คอินไม่ได้ เพราะไม่มีบัตรเครดิตกับพาสปอร์ตของคนที่จอง (น้องที่ตกเครื่องเป็นคนจอง) ผมนี่หน้าซีดเลยครับ น้องๆ อีก 4 คน ฝากชีวิตไว้ที่เราแล้ว 555
เราเลยพยายามคุยกับพนักงานโรงแรมว่าขอเถอะ เราจองมาแล้ว มีหมายเลขและหลักฐานการจองแล้วด้วย สุดท้ายพนักงานโรงแรมช่วยต่อรองกับทาง Mercure และ Agoda จนเราได้เข้าพัก แต่ต้องจ่ายสด เท่านั้น เราเลยต้องควักทุกดองที่มีให้ไป คืนนี้กินแกลบละครับ55555 ในใจคิดว่ากลับไปคราวนี้ต้องทำ Travel card แล้ว เพราะถ้าไปเป็นแบบนี้กับระเทศอื่น ชั้นได้นอนข้างถนน ไม่ก็นอน Reception โรงแรมแน่ๆ เลย ฮาาา
กระเช้าหลักได้ปิดไปแล้ว เราได้ขึ้นกระเช้ารอบสุดท้ายไปกับพนักงานกะดึกที่ทำงานบนเขา
และพระเจ้าได้สร้างเควสใหม่มาให้ชั้นอีกครั้งเพราะข้างบนฝนตก หมอกลง นี่มันอะไรกันคะ555
มันก็ได้ฟีลลิ่งไปอีกแบบนะ อากาศเย็นๆ มีละอองฝนกับหมอกเบาๆ เรากับน้องๆ เดินเล่นไป จิบเบียร์ไปเดินจนรอบหมู่บ้าน เดินเข้าร้านกินอาหารตามซุ้มร้อนๆ ฟินนน
ก่อนเข้านอนเราแวะไปหาเจ้าแม่กวนอิม ต้องเดินขึ้นบันไดไปอีกหน่อย บรรยากาศมืดๆเย็นๆ มีโคมแดงห้อยเป็นระยะ หลอนอยู่นะ555 แต่ก็ไปขอพรล้างซวยซะหน่อย เพราะรู้สึกทริปนี้จะสู้กลับมากเกินไปแล้ววว
Day 2 : ครบทีมแน้ว ไปฮอยอันกันนน
ตื่นเช้ามาอีกวันหมอกยังไม่จาง ฝนตกปรอยๆ เราเลยไปเดินเที่ยวสะพานมือ โรงบ่มไวน์ และสวนดอกไม้
ช่วงสายเหมือนพรที่ขอเมื่อคืนจะสัมฤทธิ์ผล เพราะอากาศสดชื่น แดดออก ถ่ายรูปออกมาฟ้าใสสวยมากกก แต่เนื่องจากวันนี้เป็นวันเสาร์คนก็จะเยอะสักหน่อย ระหว่างที่เรารอน้องที่ตกเครื่องเดินทางตามมาวันนี้ เราก็เที่ยวเก็บโซนที่ต้องนั่งกระเช้า นั่งรถราง เก็บโซนใหม่ๆ ที่เพิ่งสร้างเสร็จ ครั้งที่แล้วที่เรามายังไม่มีเลย ถือว่าสร้างเร็วมากๆ เตรียมรับนักท่องเที่ยวหลังโควิดเต็มเหนี่ยวไปเลย
10 โมง 11 โมง จนเที่ยง . . .
ไร้วี่แววน้องที่เดินทางตามมา . . . หน้าเริ่มซีดเรียงคน เพราะน้องออกจากสนามบินมาแล้ว คนขับก็แจ้งว่าน้องขึ้นกระเช้ามาแล้ว เราเลยต้องไปคุยกับ reception ว่าเกิดอะไรขึ้น !! คุยไปคุยมา พนักงานบอกว่ากระเช้าค้างจ้าาา ค้างมาครึ่งชั่วโมง บ้าบอคอแตกมาก5555 หลังจากเจอน้องสมาชิกคนสุดท้ายของทริปนี้โดยสวัสดิภาพ สิ่งแรกที่ทำกันคือเพื่อนๆน้องรุมด่า 5555 แล้วเราก็ลงมติกันว่าตลอดทางที่มีเรื่องซวยมากขนาดนี้เพราะทริปนี้มีสมาชิกวัยเบญจเพสถึง 3 คน !! หนักสุดคือน้องคนสุดท้ายที่ตามมา นางเพิ่งจะอายุ 25 ได้ไม่ถึงอาทิตย์ แถมวันนี้ก็ถูกค้างเติ่งอยู่ในกระเช้ากลางอากาศเกือบครึ่งชั่วโมง เข้าวัดเถอะลูก555
สมาชิกครบทีมซะที เราไม่อยากให้น้องมาเสียเที่ยว เลยอยู่เที่ยวถ่ายรูปให้เต็มที่ก่อนที่จะเดินทางไปอีกเมือง
จริงๆ เราจะจองไปนอน Ivy Hotel Hoi An ที่เราเคยมาพักเพราะราคาน่ารัก เดินไปเมืองโบราณใกล้กว่า แล้วก็เป็นโรงแรม 3 ดาวมีอาหารเช้าให้ แต่โรงแรมส่งเมล์มาบอกว่าไม่รับลูกค้าช่วงนั้น เพราะปิดรีโนเวท อินี่น้ำตาตกมาก เพราะเราประทับใจที่นี่ตั้งแต่ครั้งที่แล้ว แงงง
เราอยากได้ที่พักที่ถูกๆ เพราะนอน Mercure ค่อนข้างแพง (จริงๆระดับโรงแรม 4 ดาวก็พอรับได้แหละ) โผก็มาออกที่ Green Garden แทน แต่ไม่เป็นไร อย่างน้อยก็ยังอยู่ในงบที่ตั้งไว้ อิอิ
เราไปเช็คอินที่ฮอยอันช้าหน่อยที่ Green Garden House Homestay แต่เจ้าของที่พักใจดีมากๆ เราโทรไปเพื่อขอเลื่อนเวลาเช็คอิน เขาก็ไม่ได้ว่าอะไร แล้วก็พูดภาษาอังกฤษคล่องด้วย ราคาที่พักที่นี่น่ารักมาก ตกคืนละ 500 นอนได้ 2 คนหารกันเราว่าก็โอเคนะ ไม่ได้เป็นระดับโรงแรม สะอาด นอนได้ มีผ้าเช็ดตัว สบู่ ยาสระผมให้ ก็คุ้มดี แต่ไม่มีอาหารเช้า
ภารกิจของเมืองนี้คือ กินนน !!
เรามาถึงช่วงเย็นๆ อากาศไม่ร้อนมาก ดูแล้วน่าจะไม่ทันถ่ายรูปกับอาคารสีเหลือง แต่ว่าตั้งใจไปเดินหาอาหารท้องถิ่นกิน แล้วก็อาจจะได้บรรยากาศกลางคืนแทน
สิ่งที่ต้องมากินให้ได้เวลามาเวียดนามคือบั้นหมี่ เป็นขนมปังยัดไส้ด้วยเนื้อกับผัก ตัวแป้งจะกรอบนอกนุ่มในมาก น้องได้รับอิทธิพลมาจากฝรั่งเศสสมัยที่เคยเป็นเมืองขึ้น ร้านที่เราไปกินน่าจะได้รางวัลอะไรด้วยนะ เพราะคนเยอะโคตร มีต่างชาติมานั่งทานเยอะ เราคอนเฟิร์มว่าอร่อยมากกกกก (สั่งแบบ spicy นะ โคตรเด็ด)
พิกัด Bánh Mì Phượng
ไปกินกันต่อฮะ !! เครื่องดื่มยอดฮิตของที่นี่ไม่พ้นร้าน Mot Hoi An เป็นน้ำดอกบัวแล้วก็ใส่สมุนไพรต่างๆลงไป กินแล้วหอมสดชื่นนน
ส่วนอีกเมนูที่เราอยากมาลองคือกาแฟเวียดนาม แบบของแท้เลย ของเวียดนามจะมีการตอกไข่สดใส่ลงไปในกาแฟด้วย พบว่า ตัดขาเถอะครับพี่น้องงง มันหวานมากกกกกกก หวานแบบไม่ให้อภัยบาริสต้า ชั้นขอสาปแช่งให้แกเป็นเบาหวานได้มั้ย 5555 เราว่าโอเลี้ยงบ้านเราที่ถล่มใส่นมข้นหวานลงไปครึ่งแก้วก็คือยืนหนึ่งเรื่องหวานแล้วนะ แต่กาแฟเวียดนามนี่ขอให้นางมงลงไปเลยย
ก่อนเดินทางกลับไปสนามบินแวะทานอาหารเช้าหน้าปากซอย เป็นร้านเฝอบนรถเข็นแบบบ้านๆ ทำให้รู้เลยว่าเฝอที่เราไปกินที่ดานังวันแรกอร่อยกว่าเยอะเลย55 ร้านนี้ค่อนข้างหวานนำ ตอนนี้เราเข้าใจว่าอาหารพื้นเมืองคนเวียดนามน่าจะชอบหวานแล้วล่ะ
จบทริปแล้วจ้าา ทริปนี้สู้ชีวิตและมีเรื่องพีคเยอะมาก นี่ขนาดมาแค่ 3 วันนะ 5555
แต่เป็นทริปที่ดีเลย ไว้เจอกันใหม่ทริปหน้าฮะ
ติดตามเรื่องราวการเดินทางแบบนี้ได้อีกใน Facebook Fanpage : A Y E S I G H T
หรือ กดเข้าไปที่ โปรไฟล์ของอาย เพื่อเลือกอ่านเรื่องราวดีๆได้เลยนะค้าบบบ
AYESIGHT
วันอาทิตย์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 เวลา 16.52 น.