เบตง คือ 1 ในสถานที่ ที่เราอยากไปสัมผัสสักครั้ง แม้ว่าในใจจะรู้สึกกล้าๆกลัวๆอยู่บ้าง เพราะเบตงอยู่จ.ยะลา เป็น1ใน3จังหวัดชายแดนใต้ เรามักจะเห็นข่าวตลอดในช่วงสมัยเด็ก เชื่อว่าหลายๆคนพอเห็นว่าเป็น3 จังหวัดชายแดนใต้ ก็อาจจะไม่กล้าไป แต่ด้วยความที่เราอยากรู้ว่าที่เบตง จะเป็นยังไงนะ จะน่ากลัวหรือเปล่า ครั้งนี้พอมีเวลาหลายวันจึงทำเราตัดสินใจเดินทางไปเที่ยวเบตง จัดการจองตั๋วเครื่องบิน จองที่พัก แล้วไปลุยเบตงกัน 

บอกเลยว่าหลังจากที่เราได้ไปสัมผัสมา เบตงไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด ผู้คนน่ารัก ใจดี เป็นกันเอง นักท่องเที่ยวเยอะมากๆ ยิ่งช่วงวันหยุดก็จะมีชาวมาเลเซียเข้ามาเที่ยวกัน อีกอย่างนึงที่เราสัมผัสได้นั่นก็คืออากาศ อากาศเย็นสบาย ไม่คิดว่าภาคใต้ อย่างจังหวัดยะลา จะอากาศดี ยิ่งตอนเช้าคืออากาศดีมากๆ ที่เที่ยวธรรมชาติเยอะ มุมถ่ายรูปสวย 

ทริปนี้เราเดินทางไปวันที่ 27-30 ก.ค. 66 ซึ่งอยู่ในช่วงวันหยุดยาวพอดี

มาเริ่มที่การเดินทางของเรากันเลยครับ เรานั่งเครื่องจากกรุงเทพ ไฟท์บินประมาณ 07.00 น. บินไปลงหาดใหญ่ ถึงหาดใหญ่ประมาณ 08.30 น. จากนั้นเรานั่งแท็กซี่ไปที่บขส.หาดใหญ่ เพื่อที่จะต่อรถตู้ไปยังเบตง

แพลนเที่ยว

Day 1
-นั่งเครื่องไปลงหาดใหญ่ ต่อรถตู้จากหาดใหญ่ไปลงเบตง จากนั้นเช่ารถเที่ยวในเบตง
-แวะหาอะไรกินที่ร้านต้าเหยิน
-คืนแรกพักที่ใต้หมอกรีสอร์ท
Day 2
-ไปดูทะเลหมอกสกายวอล์คอัยเยอร์เวง
-สะพานโต๊ะกูแช สะพานข้ามทะเลสาบฮาลาบาลา
-สะปานแตปูซู
-สนามบินเบตง สนามบินแห่งใหม่ที่สุดที่สุดในประเทศไทย
-Betong Hello Hotel ที่พักคืนที่ 2
-ใบหยก
-ตู้ไปรษณีย์สูง-ใหญ่ที่สุดในโลก
-Street Art เบตง
-หอนาฬิกาเบตง
-อุโมงค์เบตงมงคลฤทธิ์
Day 3
-ไปดูทะเลหมอกฆูนุงซีลีปัต
-แวะถ่ายรูปที่ป้าย OK เบตง
-อาฟะ ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นแคระ
-เฉาก๊วยเบตงกม.4
-สวนดอกไม้เมืองหนาว(สวนหมื่นบุปผา)
-น้ำพุร้อนเบตง
-อุโมงค์ปิยะมิตร
-น้ำตกเฉลิมพระเกีรยติร.9
-วัดพุทธาธิวาส พระอารามหลวง
-ป้ายใต้สุดแดนสยาม
-Black&White Seafood
Day 4
-ทะเลหมอกจาเราะกางา
-เซ้งติ่มซำ
-นั่งรถตู้กลับหาดใหญ่ คิวรถตู้จะอยู่ตรงร้านต้าเหยิน เที่ยวสุดท้าย 14.00 น.

สำหรับรถตู้ที่ไปเบตง จากที่เราหาข้อมูลมา จะเป็นรถตู้ของเบตงโพธิ์ทองทัวร์ จะมีรถออกตั้งแต่เวลา 07.00 น. ถึง 14.00 น. โดยรถจะออกทุกชั่วโมง ถ้าเป็นช่วงวันหยุดแนะนำให้โทรจองล่วงหน้า สามารถจองล่วงหน้าได้ก่อน 10 วัน วันที่เราไปเราไม่ได้โทรจองล่วงหน้า เราได้รถรอบ 11.00 น. ค่ารถตู้เที่ยวละ 280 บาท

**ข้อควรระวังอย่างนึงที่บขส.หาดใหญ่ ห้ามซื้อตั๋วนอกบขส.เด็ดขาด เพราะจะมีมิจฉาชีพคอยหลอกให้ซื้อตั๋วในราคาแพงกว่าปกติ โดยบริเวณรอบๆบขส.จะมีป้ายติดประกาศให้ซื้อตั๋วในบขส.เท่านั้น ใครที่เดินทางไปก็ระวังกันด้วยนะครับ ให้ซื้อตั๋วที่หน้าเคาน์เตอร์ในบขส.เท่านั้น

จริงๆเราสามารถโทรให้รถตู้มารับที่สนามบินได้นะ เค้าจะคิดเพิ่ม100บาทต่อกลุ่ม เบอร์ติดต่อจองรถตู้ 081-9632168


เราใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมงครึ่ง เราก็มาถึงยังเมืองเบตง จ.ยะลา เราลงที่ร้านต้าเหยินซึ่งตรงนี้จะเป็นคิวรถตู้พอดี

จากนั้นเราก็นัดร้านเช่ารถมอเตอร์ไซค์ให้มาส่งรถ เราเช่ารถร้าน Betong bike for rent มิ้นรถเช่าเบตง วันละ 300 บาท เราจองมาล่วงหน้านะ

นั่งรถมา4ชั่วโมงเต็ม หิวๆก็เลยหาอะไรกินร้านต้าเหยินกันเลย เป็นร้านดังในเบตง เมนูที่สั่งมาก็จะเป็นผัดผัก ต้มยำ แล้วก็เมนูไฮไลท์อย่างไก่สับเบตง

เนื้อไก่ แน่นๆนุ่มๆ รสชาติดี เป็นเมนูที่ใครๆก็แนะนำเวลาไปเที่ยวเบตง นอกจากนี้ยังมีเมนูอีกหลายเมนูเลยครับ ใครไปเบตงก็ลองไปทานกันดูฮะ


หลังจากกินข้าวเสร็จ เราก็ขับรถไปที่พักของเรากัน ในวันแรกเราพักกันที่ ใต้หมอกรีสอร์ท กม. 27 ตั้งอยู่บริเวณกม.ที่ 27 ห่างจากสกายวอล์คอัยเยอร์เวง แค่ 10 กม. อยู่ตรงทางแยกปากทางเข้าพอดี ห้องพักจะเป็นบ้าน มีทั้งห้องแอร์และห้องพัดลม เป็นที่พักอยู่บนเนินเขา มองเห็นวิวทิวเขา สวยงาม ราคาคืนละประมาณ 600-800 บาท ระยะทางจะใกล้ว่าพักในตัวเมืองเบตงค่อนข้างเยอะ


เราเลือกพักแบบห้องแอร์ คืนละ 800 บาท เป็นบ้านพักเป็นหลัง ห้องกว้างใช้ได้เลย มีทีวี มีห้องน้ำในตัว ด้านข้างมีที่จอดรถ 

จบวันแรกเราถึงที่พักเย็นพอดีเลยไม่ได้ออกไปไหน นอนพักผ่อนเอาแรงเตรียมลุยวันพรุ่งนี้

Day 2 เรารีบตื่นแต่เช้ามืด ตื่นประมาณ 04.00 น. ออกจากที่พักประมาณ 05.00 น. แล้วขับรถเดินทางมายัง สกายวอล์คอัยเยอร์เวง จุดชมวิวทะเลหมอก

สำหรับการเดินทาง สามารถขับรถไปจอดยังจุดจอดรถทางขึ้นอัยเยอร์เวง จากนั้นขึ้นวินมอเตอร์ไซค์หรือสองแถวเพื่อขึ้นไปชมทะเลหมอกบริเวณสกายวอล์ค ค่ารถอยู่ที่ประมาณเที่ยวละ 20-30 บาท เราเลือกขึ้นมอเตอร์ไซค์ เพราะว่าไม่ต้องรอคนเต็ม ระยะทาไม่ถึง 2 กม. แป๊บเดียวก็ถึง

วันที่เราไปคนเยอะมาก เราได้คิว500กว่า ซึ่งเค้าจะเรียกเข้าไปครั้งละประมาณ 50 คน

พูดถึงทะเลหมอกอัยเยอร์เวง จุดชมวิวทะเลหมอกที่ว่ากันว่ามีทะเลหมอกทั้งปี ไฮไลท์ของที่นี่คือสกายวอล์ค สะพานชมวิว180องศา บนความสูงประมาณ 621 เมตรจากระดับน้ำทะเล ที่นี่ตั้งอยู่บนยอดเขาไมโครเวฟ ที่นี่เปิดทั้งวัน แต่แนะนำว่าให้ไปแต่เช้ามืด เพื่อไปชมทะเลหมอก ทะเลหมอกวันที่เราไป ถือว่าไม่ได้ฟูเต็มที่ แต่ก็พอได้เห็นเป็นทะเลหมอกอยู่บ้าง

ระหว่างรอคิวก็ถ่ายรูปเล่นกันไปก่อน

ถึงคิวเราก็เดินขึ้นไปต่อแถวเพื่อไปชมทะเลหมอกบริเวณสกายวอล์ค บางช่วงหมอกปกคลุม ทำให้ทั้งพื้นที่หมอกฟุ้งกระจาย

หามุมถ่ายรูปค่อนข้างยาก เพราะนักท่องเที่ยวค่อนข้างเยอะ แต่ก็พอเก็บภาพมาได้บ้าง

บางช่วงฟ้าเปิด ก็จะได้เห็นวิวแบบนี้ ขนาดหมอกไม่ได้ฟูเต็มที่ ยังสวยมาก
ต้องบอกว่าที่นี่เป็นจุดที่มีทะเลหมอกทั้งปี ขึ้นอยู่กับว่าในแต่ละวันจะมากน้อยขนาดไหน

นอกจากบริเวณสกายวอล์คยังมีจุดชมวิวที่เก่าที่เราสามารถไปดูทะเลหมอกได้เช่นกัน


บริเวณจุดชมวิวเก่านี้ คนจะน้อยกว่าตรงสกายวอล์ค วิวสวยไม่แพ้กัน ถ่ายรูปได้ง่ายกว่า

ลงจากอัยเยอร์เวงมา เราขับรถไปกันที่ สะพานโต๊ะกูแช สะพานข้ามทะเลสาบฮาลาบาลา ที่สวยสะดุดตาตั้งแต่ตอนนั่งรถผ่าน นอกจากจะเห็นวิวทะเลสาบแล้วยังเห็นวิวภูเขาสลับซับซ้อนสวยงาม สามารถขับรถไปจอดถ่ายรูปบริเวณข้างสะพานได้เลย เราจะเห็นภาพวิวทิวทัศน์จากในรูปที่นี่ๆบ่อย เวลาใครขับรถผ่านก็ต้องแวะ

วิวฉากหลังของที่นี่บอกเลยว่าสวยมากๆ

ถ่ายรูปบรรยากาศมาให้ทุกคนได้ชม เราถ่ายรูปกันได้ไม่นานเราก็ขับรถกลับที่พัก ไปเช็คเอาท์แล้วก็ไปลุยกันต่อ

ที่ต่อมาเรามาแวะกันที่ สะพานแตปูซู สะพานแขวนข้ามลำน้ำปัตตานี เป็นลักษณะเหมือนสะพานโบราณ
สะพานนี้สามารถข้ามได้เฉพาะรถมอเตอร์ไซค์และคนเดินข้าม

ตัวสะพานสร้างโดยใช้ลวดสลิงยึดโยงระหว่างสะพาน พื้นเป็นไม้ระแนง

บริเวณกลางสะพานเราก็จะเห็นวิวแม่น้ำปัตตานี น้ำใสมากๆ

สะพานแปตูซู ก็เป็นอีกหนึ่งจุดเช็กอินของเบตงที่สามารถแวะไปถ่ายรูปกันได้

สนามบินเบตง
ว่ากันว่าเป็นสนามบินที่สวยที่สุดในประเทศไทย เป็นสนามบินที่พึ่งสร้างเสร็จใหม่ล่าสุด ความสวยงามของสนามบินอยู่ที่ด้านหน้าของสนามบินจะตกแต่งด้วยไม้ไผ่

ที่นี่สามารถแวะไปถ่ายรูป เช็กอินกันได้ น่าเสียดายที่ตอนนี้สนามบินไม่มีเที่ยวบินไปลง

คืนที่ 2 เรามาพักกันที่ Betong Hello Hotel เป็นที่พักที่อยู่ในเมืองเบตง อยู่ในย่านของกิน ร้านค้าเยอะและอยู่ติดกับอุโมงค์เบตงมงคลฤทธิ์ เป็นห้องพักราคาประหยัด ห้องพักโอเคเลยนะ เราจองมาในราคาคืนละ 850 บาท ห้องกว้างกำลังดี เตียงนุ่ม ห้องน้ำมีอ่างอาบน้ำด้วยนะ ที่พักมีลิฟท์ ใช้ระบบคีย์การ์ด มีwifi

เก็บของเข้าที่พักเสร็จหิวอีกแล้ว มื้อนี้มากินร้านใบหยก
อีก1ร้านอาหารถิ่น อาหารจีน ในเบตง เมนูที่ต้องสั่งนั่นก็คือ แกงส้มยอดมะพร้าว ผัดผักน้ำ เคาหยก และยังมีเมนูอื่นๆอีกเยอะมาก อาหารรสชาติดี ราคาไม่แพงมาก

กินข้าวเสร็จแวะถ่ายรูปกับ ตู้ไปรษณีย์สูง-ใหญ่ที่สุดในโลก
ตู้ไปรษณีย์ที่ว่ากันว่าสูงและใหญ่ที่สุดในประเทศไทย จะอยู่ติดกับแยกหอนาฬิกา มองเห็นเป็นจุดเด่น สามารถไปถ่ายรูปกับตู้ไปรษณีย์กันได้ ตั้งอยู่ริมถนน

แล้วก็ไปถ่ายรูป Street Art เบตงเราว่าเบตงมีเสน่ห์ในหลายๆจุด นอกจากจะมีอาคารบ้านเรือน เป็นลักษณะเมืองเก่า ยังมีศิลปะฝาผนัง Street Art ที่พูดถึงเมืองเบตง ของดีเมืองเบตง และบุคคลสำคัญ จุดถ่ายรูปที่เป็น Street Art มีหลายที่มาก

อันนี้น่าจะเป็นไก่เบตง

มุมนี้ก็สวย คนถ่ายรูปกันเยอะ

อันนี้น่าจะเป็นรถกระป้อ รถรับจ้างในเบตง

จุดนี้เหมือนภาพ3มิติ

เยอะมากครับ ถ้าถ่ายหมดน่าจะไม่ไหว ที่ถ่ายมาก็เป็นเพียงแค่บางส่วนเท่านั้น ใครไปเที่ยวก็ลองเดินดูหรือถามชาวบ้านก็ได้ว่ามีตรงจุดไหนบ้าง

อุโมงค์เบตงมงคลฤทธิ์ ซึ่งอยู่ติดกับที่พักเราเลย
ที่นี่อีก1สัญลักษณ์ของเมืองเบตง อุโมงค์ที่สร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก มีระยะทางยาว 273 เมตร กว้าง 9 เมตร สูง 7 เมตร โดยอุโมงค์จะผ่านสวนสาธารณะออกสู่ถนนบริเวณลานวัฒธธรรมสัมพันธ์เชื่อมต่อกับถนนมงคลประจักษ์ สองข้างทางจะมีทางเดินสามารถเดินทะลุอุโมงค์ได้ ภายในอุโมงค์จะเปิดไฟทั้งวันทั้งคืน ส่วนด้านหน้ากลางคืนจะเปิดไฟประดับ

เดินถ่ายรูปกันครับ

ด้านในอุโมงค์ก็จะสว่าง มีรถวิ่งผ่านไปผ่านมาตลอด

ถ้าถ่ายรูปแนะนำให้ถ่ายด้านข้างอุโมงค์ ถ้าถ่ายบริเวณถนนอาจจะเกิดอุบัติเหตุได้

บรรยากาศของอุโมงค์ตอนกลางคืนก็จะประมาณนี้

มุมอีกฝั่งนึงของอุโมงค์

หอนาฬิกาเบตง หอนาฬิกาสุดคลาสิก ที่ตั้งอยู่กลางวงเวียน เราว่าช่วงกลางคืนถ่ายรูปสวย

Day 3 เช่นเคย เรารีบตื่นแต่เช้ามืด เพราะวันนี้เรามีนัดไปดูทะเลหมอกกันที่ ทะเลหมอกฆูนุงซีลีปัต เป็นอีกจุดชมวิวทะเลหมอกยอดฮิตในเบตงอีกเช่นกัน บนเขาจะเป็นเขาหัวล้าน เห็นวิวแบบ 360 องศา
เราไปขึ้นที่ ภูนภาแคมป์ปิ้ง รีสอร์ท เป็นที่พักที่อยู่ใกล้กับฆูนุงซีลีปัต สำหรับคนที่ไม่ได้พักที่นี่จะมีค่าบริการ วันที่เราไปเสียคนละ 80 บาท

สำหรับที่ภูนภาแคมป์ปิ้ง ที่นี่มีที่พักเป็นเต็นท์ หรือใครจะนำเต็นไปเองก็ได้ สำหรับราคาพักเต็นท์อยู่ที่คนละ 800 บาท พร้อมเครื่องนอน
ถ้าใครไม่อยากตื่นเช้าขับรถมาแนะนำให้พักที่นี่ เหตุผลที่เราไม่ได้พักที่นี่เพราะว่าเรากลัวร้อน 5555 ซึ่งวันที่เราไปอากาศไม่ร้อนเลย

สำหรับทางขึ้นหลักจะมี 2 เส้น นั่นก็คือที่

เส้นทางที่ 1 ภูนภาแคมป์ปิ้ง
จุดนี้สามารถเดินขึ้นเองได้ระยะทางประมาณ 800 เมตร ทางขึ้นช่วงปลายค่อนข้างชัน มีเชือกให้ดึงขึ้นไปบนยอดเขา เรียกได้ว่าเหนื่อยแบบได้เหงื่อ แนะนำให้พกน้ำดื่มไปสักขวด
เส้นทางที่ 2 ต้องติดต่อชุมชน จะมีคนนำทางขึ้น มีจุดให้นอนตั้งแคมป์ ติดต่อได้ที่เพจ ฅนนำทางฆูนุงซีลีปัต หรือแบเฮง

สำหรับทางขึ้นที่ภูนภาเรียกได้ว่าค่อนข้างโหดเอาเรื่องเลย ระยะทางขึ้นประมาณ 800 เมตร จับจากนาฬิกานะ ทางส่วนใหญ่เป็นทางชันขึ้นตลอดแต่จะมีเชือกให้จับพยุงตัวขึ้นไป ก่อนขึ้นแนะนำให้พกน้ำดื่มไปสักคนละขวด เราใช้เวลาเดินขึ้นประมาณ 25 นาที

ขึ้นมาถึงก็จะเจอกับทะเลหมอกปังๆแบบนี้ เรียกได้ว่าหายเหนื่อย

ทะเลหมอกรอบทิศทาง 360 องศาของจริง

วันที่เราไปคนค่อนข้างเยอะเลยครับ

ถ่ายรูปกับป้ายผู้พิชิตกันสักหน่อย

พี่เสือ แห่งฆูนุงซีลีปัต น้องแมวของแบเฮง ที่ขึ้นมาทุกวัน ใครไปก็สามารถไปถ่ายรูปกับน้องได้

วิวด้านบนบอกเลยว่าสวยจริง นอกจากวิวทะเลหมอก ยังเห็นทิวเขาบริเวณรอบๆ

เราใช้เวลาอยู่เขาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง ถ่ายรูปชมวิว จากนั้นเราก็เดินลง

ลงมาถึงข้างล่างยังเห็นทะเลหมอกอยู่เลย

ลงจากเขาขากลับเราแวะถ่ายรูปที่ป้าย OK BETONG เราจะคุ้นหูกับคำนี้มาจากหนังเรื่อง ok เบตง
เลยแวะไปถ่ายรูปกับป้ายนี้เป็นที่ระลึกสักหน่อยว่าครั้งนึงเคยมาเยือนเบตง ใกล้ๆป้ายจะมีหลักกิโลจำลองด้วยนะ แต่ว่าเราไม่ได้ถ่ายมา

แวะกินอาหารเช้ากันที่ อาฟะ ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นแคระ ร้านก๋วยเตี๋ยว ที่มีลูกชิ้นเป็นจุดเด่น ลูกชิ้นลูกใหญ่รสชาติอร่อยมาก แนะนำให้ลองสั่งเป็นเส้นหมี่เบตง มีทั้งแบบน้ำและแบบแห้งรสชาติดีมาก
กินก๋วยเตี๋ยวเสร็จเรากลับไปอาบน้ำ เช็คเอาท์ แล้วย้ายที่พักไปอีกที่นึง เพราะว่าเราจองมาได้แค่คืนเดียว เพราะที่พักเต็ม

คืนที่ 3 เรามาพักกันที่ Betong cozy guest house เป็นที่พักรีโนเวทใหม่ ห้องกว้างขวาง ตกแต่งน่ารักดี เตียงนุ่ม เราจองมาราคาคืนละ 850 บาท

ฝากของไว้ที่พักเสร็จ เราไปลุยกันต่อ แวะกิน เฉาก๊วยเบตงกม.4 ร้านเฉาก๊วยโบราณ ที่นำวุ้นดำจากจีนมาเป็นส่วนผสม ทำให้เฉาก๊วยที่นี่มีสีดำขลับ เหนียวนุ่ม รสชาติอร่อย

อากาศร้อนๆแวะไปกินเฉาก๊วยกับน้ำแข็งเย็นๆ ชื่นใจ

สวนดอกไม้เมืองหนาว(สวนหมื่นบุปผา)
สวนดอกไม้เมืองหนาว ที่ใหญ่ที่สุดในภาคใต้ พูดไปแล้วก็ไม่อยากจะเชื่อว่าใต้สุดแบบนี้จะมีสวนดอกไม้ บริเวณที่ตั้งของสวนหมื่นบุปผา มีอากาศที่ค่อนข้างเย็น จะสัมผัสได้ตั้งแต่ทางขึ้นเขาก่อนถึงสวนดอกไม้มีอากาศเย็นแบบชัดเจน สำหรับในสวนก็จะมีดอกไม้ เช่น แอสเตอร์ ไฮเดรนเยีย เบญจมาศ กุหลาบ พีค็อก เยอบีร่า ตอนที่เราไปอยู่ในช่วงปรับปรุง คาดว่าถ้าเสร็จก็เป็นอีกจุดที่มีมุมถ่ายรูปสวยมากๆ

มีดอกไม้ให้ถ่ายรูปเยอะเลยครับ

ถ่ายรูปกันสักหน่อย สายดอกไม้น่าจะชอบ

ภาพบางส่วนที่กำลังอยู่ในช่วงปรับปรุงอยู่ คาดว่าไม่นานน่าจะเสร็จ คงจะมีมุมถ่ายรูปเยอะเลย

ในสวนดอกไม้มีร้านอาหารร้านอาหารสวนหมื่นบุปผา
เราก็เลยไปลองเมนูปลานิลน้ำไหล เมนูชาบู ปลานิล ที่เบตงเป็นอีก 1 เมนูที่มาเบตงแล้วต้องลอง ส่วนร้านดังจะเป็นอีกร้านนึงมีชื่อร้านว่า
ร้านอาหาร บ่อปลานิลสายน้ำไหล(โกหงิ่ว) ร้านนี้เป็นร้านดังต้องจองล่วงหน้า

ครั้งแรกในการกินชาบูปลานิล บอกเลยว่าอร่อยมาก ปลาไม่คาวเลย

น้ำพุร้อนเบตง
บ่อน้ำร้อนขนาดใหญ่ กลางหุบเขา ที่มีจุดน้ำเดือดสามารถนำไข่ไปต้มให้สุกได้ใน 7 นาที และยังมีจุดแช่เท้าผ่อนคลาย บริเวณรอบๆก็จะมีร้านขายของมากมาย

มีรูปปั้นพญานาคด้วย

จุดถ่ายรูปสวยที่เราสังเกตได้บริเวณรอบๆ บ่อน้ำพุร้อน ตรงทางเดินจะมีเสาโทริอิสีแดง ได้ฟิลญี่ปุ่นๆ ถ่ายรูปสวย

มาถึงบ่อน้ำร้อนทั้งที ลองแช่เท้าผ่อนคลายกันสักหน่อย บ่อน้ำร้อนที่นี่รู้สึกว่าน้ำไม่ร้อนมาก อุ่นๆกำลังดี

บริเวณหน้าบ่อน้ำพุร้อนจะมีทุเรียนขายเยอะมาก ทุเรียนเป็นอีก1ผลไม้ดังในเบตง สายทุเรียนบอกเลยห้ามพลาด สายพันธุ์ที่คนพื้นที่อยากให้ลองชิม นั่นก็คือทุเรียนมูซาคิง หรือมูซังคิง เค้าว่าเป็นราชาแห่งทุเรียนมาเลเซีย เราไม่ใช่สายทุเรียนนะ แต่อยากลองชิม 5555 เลยลองแบบที่เค้าแกะแล้ว รสชาติหวานจริงๆ อร่อย สายพันธุ์อื่นๆก็มีนะโดยเฉพาะหมอนทอง

ที่ต่อมาเรามากันที่ อุโมงค์ปิยะมิตร
เป็นอุโมงค์ทางประวัติศาสตร์ จากประวัติเป็นอุโมงค์ที่โจรจีนคอมมิวนิสต์มาลายา สร้างเมื่อพ.ศ. 2519 ตัวอุโมงค์มีความยาวประมาณ 1 กม. มีทางออก 9 ทาง ปัจจุบันเหลือเพียง 6 ทาง เป็นอุโมงค์ดินที่ใช้หลบภัยทางอากาศและสะสมเสบียง สำหรับการเข้าชมอุโมงค์ จากจุดเริ่มเดินมีระยะทางประมาณ 300 เมตร จนถึงตัวอุโมงค์

ก่อนเข้าชมอุโมงค์เราต้องซื้อตั๋วเข้าชมคนละ 40 บาท

ทางเดินช่วงแรกจะเป็นบันได เป็นทางขึ้นเขา สองข้างทางเป็นป่า

ด้านในยังมีพิพิธภัณฑ์ทางประวัติศาสตร์ ประวัติของอุโมงค์ ของเก่าในสมัยก่อน

ไปครับเข้าไปดูด้านในอุโมงค์กัน

เข้าไปในอุโมงค์ เราก็จะเห็นเป็นเหมือนถ้ำใต้ดิน ขนาดไม่ได้ใหญ่ พอให้คนเดินเข้าออกได้ มีไฟส่องสว่าง
จะมีป้ายหมายเลขทางออก

ถือว่าเก่งมาก ในสมัยนั้นสามารถขุดอุโมงค์ได้ขนาดนี้ ถ้าใครที่กลัวที่แคบไม่แนะนำให้เข้าไปนะ อาจจะดูอึดอัดและกลัวได้ แต่ว่าทางไม่ได้ยาวมาก เดินแป๊บเดียวก็ถึงทางออก

อีก1ไฮไลท์ของที่นี่ เมื่อเดินลอดอุโมงค์ออกมา จะมีต้นไม้1000ปี ต้นใหญ่มากๆ

พยาพยามถ่ายให้เก็บทั้งต้น ยังเก็บไม่หมด พอเราไปยืนเราดูตัวเล็กไปเลย

น้ำตกเฉลิมพระเกียรติร.9
เป็นน้ำตกที่เงียบสงบ จะมีสองจุดน้ำตกตอนบน กับ น้ำตกเฉิมพระเกีรยติ ร.9 ตอนล่าง ซึ่งในรูปจะเป็นน้ำตกตอนบน ซึ่งเราไปผิด 555 มารู้ตอนกลับมาแล้ว เอ๊ะทำไมน้ำตกเราไม่เหมือนในรูป ถ้าปัก GPSไปที่ น้ำตกเฉิมพระเกีรยติ ร.9 GPS จะพาไปที่นี่
ที่จริงน้ำตกจะมีหน้าผาสูง ประมาณ 30 เมตร ถ้าจะไปน้ำตกตอนล่างให้เข้าทางกม.ที่ 32 ปักหมุดไปที่แคมป์กลางเขา แล้วขับเลยไปอีกหน่อยจะเจอน้ำตก

วัดพุทธาธิวาส พระอารามหลวง
วัดสวยในเบตง มีพระมหาธาตุเจดีย์ พระพุทธธรรมประกาศ ที่สร้างด้วยศิลปะศรีวิชัยประยุกต์ สีทอง ทางขึ้นเป็นบันไดพญานาคสีขาว

เสียดายในตอนที่เราไปอยู่ในช่วงกำลังบูรณะ เลยไม่ได้ภาพของเจดีย์มาให้ชม

ด้านบนถ้ามองลงไปก็จะเห็นวิวเมืองเบตงด้วยนะ

ป้ายใต้สุดสยาม
มาถึงเมืองใต้สุดของประเทศทั้งทีต้องไปถ่ายรูปกับป้ายใต้สุดสยามกันสักหน่อย ป้ายใต้สุดสยามเป็นป้ายสัญลักษณ์คู่กับเมืองเบตง มีเอกลักษณ์ลายเส้นแผนที่ประเทศไทยสีทองอยู่บนป้ายหินอ่อน เป็นจุดเช็คอินที่ต้องแวะไป เราสามารถขับรถเข้าไปบริเวรด่านเบตง-มาเลเซียได้ จะมีจุดจอดรถตรงซุ้มประตูบริเวรด่าน และด้านในยังมีร้านค้าดิวตี้ฟรีด้วยนะ แต่เราไปถึงค่อนข้างเย็นเค้าปิดแล้ว

มาถึงสุดเขตขนาดนี้ ถ่ายรูปคู่กับป้ายใต้สุดสยามสักหน่อย

ถนนคนเดินเบตง พิกัดจะอยู่อีกฝั่งนึงของอุโมงค์เมบตงมงคลฤทธิ์

เป็นถนนคนเดินเล็กๆบรรยากาศน่ารักดี มีพวกเสื้อผ้า ของใช้ ของกินขาย

ตอนค่ำๆเราไปกินอาหารกันที่ Black&White Seafood ร้านอาหารยามเย็น ที่มีเมนูเด็ดอย่างอาหารซีฟู้ดให้เลือกหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นกุ้ง หอย ปู ปลา ที่สำคัญร้านนี้ราคาไม่แพง

เราสั่งกับข้าวมา3-4อย่าง อร่อยทุกอย่างเลย

Day 4
เราตื่นเช้ามืดอีกแล้ว ไปกันที่ทะเลหมอกจาเราะกางา เป็นจุดชมวิวน้องใหม่ของเบตง ยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก อยู่ใกล้ตัวเมืองเบตงมากที่สุด เดินขึ้นเขาแป๊บเดียวก็จะได้ชมวิวเมืองเบตงและวิวฝั่งมาเลเซียได้ ถ้าฟ้าเปิด วันที่เราไปอาจจะโชคไม่ดีเท่าไหร่นัก หมอกค่อนข้างฟุ้ง เลยทำให้มองไม่เห็นวิว แต่จากการสอบถามคนนำทางถ้าวันไหนมีทะเลหมอกฟูๆ จะสวยมากๆ การไปที่นี่ต้องติดต่อคนนำทางก่อนนะ เพราะว่าทางขึ้นต้องนั่งรถกระบะหรือมอเตอร์ไซค์ขึ้นไปก่อนถึงจุดเดินทางเท้า

ภาพมุมสูงก็พอได้เห็นทะเลหมอกอยู่บ้าง

ระยะทางเดินขึ้นเขาประมาณ 350 เมตร ชันนิดหน่อย

ภาพมุมสูงตอนพระอาทิตย์ขึ้นสวยมาก

ภาพบรรยากาศ หมอกค่อนข้างฟุ้ง พี่คนนำทางบอกว่าถ้าวันไหนฝนตกช่วงหัวค่ำ เช้าวันรุ่งขึ้นทะเลหมอกจะปังมากๆ

พี่ๆคนนำทางเตรียม ผัดหมี่เบตง มีกาแฟ โอวันตินให้กินกันบนเขาด้วย

สำหรับคนที่สนใจขึ้นดูทะเลหมอกทะเลหมอกจาเราะกางา ติดต่อได้ที่เพจ ทะเลหมอกจาเราะกางา & ถ้ำลับแลจาเราะอายัม จะมีค่าบริการคนนำทางเล็กน้อย

ลงจากเขาเสร็จ มากินติ่มซำกันสักหน่อย
เซ้งติ่มซำ ร้านติ่มซำที่อยู่บริเวณแยกหอนาฬิกา เป็นอีก1ร้านดังของเมืองเบตง มีติ่มซำให้เลือกหลากหลาย นอกจากนั้นยังมีเมนูบักกุ๊ดเต๋ หมี่เบตง ข้าวมันไก่ ให้เลือกรับประทานกันอีกด้วย

ติ่มซำมีให้เลือกหลากหลายหน้า

จัดไปให้จุกๆ อิ่มอร่อย

กินติ่มซำเสร็จไปอาบน้ำ เช็คเอาท์แล้วมาคืนรถมอเตอร์ไซค์เช่าที่หน้าร้านต้าเหยิน ซึ่งคิวรถตู้อยู่ตรงนั้นพอดี แล้วขึ้นรถตู้กลับหาดใหญ่

จบแล้วครับ สำหรับรีวิวเบตง 4 วัน 3 คืน จากที่เราได้ไปสัมผัสมาชายแดนใต้ไม่ได้เป็นจังหวัดที่น่ากลัวเหมือนที่เราเคยได้ยินข่าว ที่นี่นักเที่ยวเยอะมากๆ ที่เราสัมผัสได้อีกอย่างนึงคือที่นี่อากาศเย็น ฟีลคล้ายภาคเหนือบนดอยตอนฤดูฝน เพราะเป็นเมืองที่ถูกโอบล้อมด้วยภูเขา ทะเลหมอกที่นี่เค้าว่ามีทั้งปี เราไปดูทะเลหมอก3วัน เจอทั้ง3วันนะ แต่อาจจะไม่ปังสุด เอาไว้ต้องมาแก้มือใหม่

สำหรับใครที่อยากจะลองไปเที่ยวชายแดนใต้อย่างเมืองเบตงดู บอกเลยว่าควรไปสักครั้ง รับรองไม่ผิดหวัง ได้ความสนุกตื่นเต้น ได้ไปเห็นธรรมชาติที่สวยงามแน่นอน ไว้ทริปหน้ามีโอกาสเราจะต้องไป นราธิวาส ปัตตานี แล้วก็เก็บที่เที่ยวใoเมืองยะลา เก็บให้ครบ 3 จังหวัดชายแดนใต้ให้ได้ แล้วเจอกันใหม่รีวิวหน้าครับ ^^

อยากเที่ยวก็เที่ยว

 วันเสาร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2566 เวลา 11.49 น.

ความคิดเห็น