หลายปีก่อนเราเห็นโพสของเพื่อนบน Facebook เป็นรูปนาขั้นบันไดที่ป่าบงเปียงซึ่งสวยมาก ทันทีที่เห็นก็บอกกับตัวเองว่า เราต้องไปที่นี่ให้ได้ !!!
ป่าบงเปียง (PA BOG PIANG) เป็นหมู่บ้านชาวเขาเผ่าปกาเกอะญอ ตั้งอยู่ในเขตอุทยานดอยอินทนนท์ เป็นแหล่งทำนาขั้นบันไดบนภูเขาที่วิวสวยติดอันดับต้นๆ ของประเทศไทย ยิ่งหาข้อมูลก็ยิ่งอยากไป
ฤดูกาลการท่องเที่ยวที่ป่าบงเปียงอยู่ในช่วง ก.ค. ถึง พ.ย. แต่ละเดือนก็จะได้สัมผัสบรรยากาศของทุ่งนาที่แตกต่างกันไปตามช่วงของการทำนา
- ปลาย ก.ค. ถึง ต้น ส.ค. ช่วงเริ่มดำนา จะเห็นกอต้นข้าวในนาที่สะท้อนภาพของท้องฟ้า
- กลาง ส.ค. ถึง ต้น ต.ค. ช่วงนาข้าวสีเขียว มองเห็นแต่ทุ่งนาสีเขียวกว้างสุดลูกหูลูกตา
- กลาง ต.ค. ถึง ต้น พ.ย. ช่วงนาข้าวสีทองอร่ามเต็มทุ่งนา เป็นช่วงของการเก็บเกี่ยว
อยากไปมากแต่ที่พักก็เต็มเร็วมากเช่นกัน จองไม่ทันสักที 555 ปีนี้เลยตั้งตารอตั้งแต่เดือน พ.ค. และในที่สุดเราก็จองได้ เย้ !!!
จากการดูรีวิวที่พักต่างๆ เราตัดสินใจจองที่พักของ "มาฉิโพ โฮมสเตย์" วิวสวย ที่พักสะอาด และที่ชอบที่สุดก็คือ Rooftop สุดปัง เหมาะกับการชมวิวเป็นที่สุด
เราจองที่พักกลางเดือน ก.ย. ตั้งใจจะไปเก็บบรรยากาศของทุ่งนาสีเขียว
ตั้งตารอมากๆ เปิดเช็คในเพจที่พักแทบทุกวัน ในที่สุดก็ถึงวันออกเดินทาง
บินไม่นานก็ถึงเชียงใหม่ ใช้เวลาเดินทางน้อยกว่าไปทำงานในเช้าวันจันทร์อีก
จากตัวเมืองเชียงใหม่ เราเช่ารถเพื่อขับต่อไปยังอำเภอแม่แจ่ม เส้นทางเดียวกับอุทยานดอยอินทนนท์
พอผ่านด่านตรวจที่ 2 ให้เลี้ยวซ้ายแรกเลย แล้วขับต่อไปทางน้ำตกแม่ปาน
อัพเดท !!! ไปบ้านป่าบงเปียงต้องเสียค่าเข้าอุทยานแล้วนะครับ คนละ 60 บาท
ทางไปป่าบงเปียงดีกว่าในรีวิวเก่าๆ ถนนลาดยางอย่างดี มีหมอกเป็นบางช่วง ใครเมารถก็พกยาและถุงพลาสติกให้พร้อม 😖
แวบแรกที่รถเลี้ยวเข้าหมู่บ้าน เราแทบจะกรีดร้องแล้วกระโดดลงจากรถไปถ่ายรูป สวยมาก !!!!
แนะนำให้มาถึงประมาณ 14.00-15.00 อากาศจะไม่ร้อนมาก แดดไม่จ้า ถ่ายรูปออกมาสวย
หลังนี้คือ มาฉิโพ โฮมสเตย์ ที่เราจองไว้ บ้านพักพร้อม Rooftop สำหรับชมวิว
นี่คือวิวจากบน Rooftop ของบ้านมาฉิโพ ใช้คำว่า "สวย" ได้สิ้นเปลืองมาก
ถึงจะเรียกว่าบ้านพัก แต่ความจริงคือเถียงนา 😂 ไม่มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวก ไม่มีไฟฟ้า ตอนกลางคืนมีแค่หลอดไฟจากโซลาร์เซลล์แค่ 2 ดวง มีพาวเวอร์แบงค์กี่อันก็ขนมาให้หมด
พื้นบ้านเป็นไม้กระดานที่ร่องกว้างมาก ถ้าของหล่นคือต้องมุดไปเก็บเท่านั้น 555
ห้องน้ำไม่มีไฟ ต้องอาบน้ำใต้แสงเทียน ถอดเสื้อแล้วสะบัดแรงก็ไม่ได้ เดี่ยวเทียนดับ 555
น้ำที่ใช้ก็มาจากแหล่งน้ำธรรมชาติ เย็นสะใจ ทุกครั้งที่มีคนอาบน้ำก็จะตามมาด้วยเสียงโหยหวย 🙈
ที่นอนเป็นฟูกบางๆ อาจจะไม่เหมาะกับสมาชิกชมรมคนปวดหลัง
กิจกรรมส่วนใหญ่คือการนั่งชิลซึมซับบรรยากาศ หรือไม่ก็ออกไปเดินถ่ายรูปเล่นที่ทุ่งนา
ทางเดินระหว่างบ้านแต่ละหลังคือคันนาที่สูงประมาณ 1 เมตร แนะนำให้เดินเท้าเปล่าหรือใส่รองเท้าที่พื้นดีๆ
ต้องอาศัยกล้ามเนื้อขาและการทรงตัวที่ดีด้วยนะครับ 555 ยิ่งถ้ามาช่วงหน้าฝน พร้อมลื่นได้ตลอด 😂
เราไปช่วงที่ต้นข้าวโตเต็มที่แล้ว บางแปลงก็เริ่มออกรวงให้เห็น
เดินเล่นได้สักพัก ฝนก็เทลงมาไม่หยุด ใครมาช่วงหน้าฝนอย่าลืมเตรียมร่มหรือเสื้อกันฝนมาด้วยนะครับ
ฝนตกๆ หยุดๆ ตั้งแต่ช่วงบ่ายจนถึงเย็น แต่ถือเป็นสัญญาณที่ดี ถ้ามีฝนก็มีทะเลหมอกให้ดูตอนเช้า :)
เราแวะที่บ้านไม้ไผ่ ที่นี่มีมุมถ่ายรูปสะพานไม้ไผ่ที่ทอดยาวไปตามทุ่งนา
ส่วนตัวเราว่าเฉยๆ ไม่ได้สวยขนาดนั้น
ช่วงเย็นก็นั่งชมวิวพระอาทิตยตก เพราะบ้านพักจะหันหน้าไปทางทิศตะวันตก เสียดายที่เมฆเยอะไปนิดเลยเห็นคุณพระอาทิตย์ไม่ชัด
ทางที่พักเตรียมอาหารเย็นให้ มีผักต้ม-น้ำพริก ไข่เจียว ไก่ทอด ผัดผัก รับประกันว่าอิ่มและอร่อย โดยเฉพาะน้ำพริกปลากระป๋อง อร่อยมาก !!!
กิจกรรมยามค่ำคืนก็ไม่มีอะไรให้ทำ...นอกจากนอน 555
อีกไฮไลท์ของการมาพักที่ป่าบงเปียงคือ การชมทะเลหมอกยามเช้า
ไม่ต้องรีบตื่น เพราะทะเลหมอกที่นี่มาสายฮะ จะไหลผ่านหมู่บ้านประมาณ 8 โมง
ทางที่พักก็จะเตรียมมื้อเช้าให้อีกมื้อ เป็นข้าวต้มหมูสับ ไข่ต้ม
เราเตรียมอุปกรณ์ดริปกาแฟมาเอง ขอจิบกาแฟสักหน่อย พร้อมทำคอนเทนต์เก๋ๆ ลงใน Social
สิ่งที่โพสลง Social
สิ่งที่กินจริงๆ 555
เรานั่งชิลชมทะเลหมอกจนถึงช่วงสายๆ ก่อนจะเดินทางกลับเข้าตัวเมืองเชียงใหม่
💵 สรุปค่าใช้จ่ายของทริปนี้
1. ค่าตั๋วเครื่องบิน = 2,700 บาท
2. ค่าเช่ารถ + น้ำมัน = 1,600 บาท/วัน
3. ค่าที่พัก = 700 บาท/คน/คืน
4. ค่าเข้าอุทยาน = 60 บาท/คน
ภาพว่าสวยแล้วแต่ก็ไม่เท่าตาเห็น ใครอยากหลบหนีความวุ่นวายมาฮีลใจ ให้หมอกยามเช้าลอยผ่านตัว ให้เท้าสัมผัสโคลน ปล่อยใจไปกับธรรมชาติที่อยู่รอบตัว ขอแนะนำที่ #บ้านป่าบงเปียง
CALL ME KG
วันพฤหัสที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2566 เวลา 10.42 น.