เรื่อง/ภาพ : เสือซ่อนยิ้ม
cannon 6D + 50 STM
กล้องโทรศัพท์ MI9
Gopro6
สายสัมพันธ์
ในการออกทริปแต่ละครั้งสิ่งที่ต้องแลกมาก็คือ เวลาอันมีค่า แบงค์และเงินตราในกระเป๋า หรือมาม่ามื้อหลังกลับจากการท่องเที่ยว ฉะนั้นความสุข ความสนุกสนาน และความสบายใจเป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้ประสบการณ์ต่าง ๆ ที่จะได้รับในการเดินทาง ซึ่งเป็นผลมาจากความสัมพันธ์ของเพื่อนร่วมทริปที่เราจะเลือกไปด้วยเหมือนกัน
เช่นเดียวกันกับความสำคัญของสายใยแห่งความสัมพันธ์ สายดำและแดงที่จะเชื่อมโยงเพื่อปลุกฟื้นคืนแบตเตอรี่ของพาหนะที่หมดลง ให้ลุกตื่นขึ้นมาทำหน้าที่ในตอนเช้าอย่างสมบูรณ์
น้ำพุร้อนระหว่างทาง
350 กิโลเมตร คือความไกลของระยะทางของจุดหมายที่เราจะไป นาฬิกาตอนนี้บอกเวลาตีสามกว่าแล้ว เราเลทจากแผนเดิมประมาณนึง ซึ่งเป็นผลมาจากการพ่วงแบตก่อนหน้านี้
ที่เลือกออกเดินทางแต่เช้ามืดแบบนี้เพราะคิดว่าการจราจรของรถบนถนนน่าจะโล่ง ๆ ไม่ต้องเร่งทำเวลาอะไรมากนัก สาย ๆ หน่อยก็หาข้าวรองท้องตามข้างทาง และไปแช่น้ำร้อนที่ น้ำพุร้อนลิ่นถิ่น ให้คล้ายเส้นความตึงของการตื่นเช้า (เขาว่าตาน้ำพุร้อนเกิดจากธรรมชาติตรงกลางแม่น้ำแควน้อยตั้งแต่สมัยสร้างทางรถไฟ)
พระอาทิตย์ทอแสงอ่อน ๆ จับความฟุ้งของปุยหมอก เอ๊ะหรือกลุ่มควันที่ออกมา Say Hi กับเราในยามเช้า นับเป็นการเริ่มต้นที่ดี
สวัสดี กาญนะจ๊ะบุรี
Location : น้ำพุร้อนลิ่นถิ่น
อย่าตัดสินสถานที่จากภายนอก
กินข้าว แช่น้ำร้อน พักผ่อนกายาแล้ว ร่างกายก็ต้องการคาเฟอีนและเพิ่มกลูโคสให้ร่างกายอีกสักหน่อย ก็น่าจะครบองค์ประกอบ กินคาวแล้วต้องกินหวาน
คาเฟ่ที่หมายเมื่อเลี้ยวรถเข้ามา "โอ้วมายก๊อต" จะไปต่อหรือพอแค่นี้ ด้านนอกเหมือนร้านยังไม่เปิด หรือว่าเจ๊งแล้วนะ...เอาว๊ะตัดสินใจลงไปสำรวจไหน ๆ ก็มาแล้ว และพบว่า โว้วร้านเปิดอยู่ ด้านในก็โอเครเลยทีเดียว และหลังร้านนี้วิวดีม๊าก ก ไก่ 10 ตัว นี่สินะที่ร้านมีชื่อว่า KAWA เพราะแปลว่า แม่น้ำนี่เอง คงอย่างที่เขามักพูดกันว่า อย่าตัดสินคนจากภายนอก คาเฟ่ก็คงเช่นกัน ที่สำคัญพนักงานน่ารักดี : )
Location: KAWA 62 ตำบล ท่าขนุน อำเภอทองผาภูมิ กาญจนบุรี 71180
จุดพักรถที่เคย ๆ
แวะโน้นนี่มาเสียเยอะยังไม่ถึงที่หมายเสียที ไหนจะสายแล้วงั้นก็หยุดแวะจอดจุดพักรถกันอีกทีจะเป็นไร หลังจากที่ต้องหูอื้อบ้างตอนรถขึ้นชันตามแนวเขา หัวคลอนบ้างตามแนวโค้งเพราะทางของถนนนั้นเลี้ยวคดซีบซ้อน แล้วจะเอาอะไรกับใจมนุษย์ (อันนี้ไม่เกี่ยวกัน)
แวะพักเข้าห้องน้ำให้พี่หัวหน้าทริปควบตำแหน่งสารถีได้พักเท้ากันก่อน อันที่จริงเราว่าบริเวณตรงนี้เป็นมันสวยมากกว่าจุดพักรถธรรมดา ๆ ทั่วไป จริง ๆ เราว่านับเป็นจุดชมวิวดี ๆ ที่นึงเลยทีเดียว เพราะหากมองทอดสายตาออกไปมันเป็นวิวที่ฮัลเลวังกาสวยสดงดงามมาก ๆ เลย
ณ บ้านอีต่อง-ทองผาภูมิ
เอาหละถึงที่หมายสักที นาฬิกาบอกเวลาประมาณ 14.00 น. กองทัพต้องเดินด้วยท้อง แต่เพราะเลยมื้อเที่ยงมาสักพักแล้วท้องเลยส่งเสียงร้องประท้วง รีบขนของเข้าที่พัก ความง่วง ความหิว และความเมื่อยล้า จะถูกเยียวยาด้วยอาหารเลิศรส ตอนนี้อะไรก็ยอมกินอะไรก็ได้ทั้งนั้น
งั้นแวะร้านในหมู่บ้านสั่งเมนูประจำอย่างปลาคัง หรือจะเป็นเมนูสิ้นคิดอย่าง ไข่เจียว อย่าเอ็ดไปรับรองได้ว่ามันจะเป็นเมนูที่หมดก่อนเมนูอื่นเสมอ และก็สั่งอะไรง่าย ๆ อีกสัก 2 - 3 อย่าง จากนั้นค่อยไปย้อนวันวานกับ บ้านอิต่อง ณ เหมืองปิล็อก ในนิทราอีกสักครา
เมื่อท้องอิ่มหนังตาหย่อน พุ่งเริ่มป่องงั้นขอแวะเข้าไปหลับพักสายตาสักหนึ่งตื่น พอฟื้นขึ้นมาแล้วเราจะพาทุกท่านไปตามจุดสำคัญต่าง ๆ ของหมู่บ้านกลางหุบเขาที่มีชื่อเสียงแห่งนี้อีกที
อ๋อลืมบอกอีกนิด บ้านพักที่เรามา มีหนึ่งในสมาชิกของเรามาตามไอดอลหนุ่มท่านหนึ่งที่เคยมาพักตอนมาเที่ยวที่แห่งนี้ และความโชคดี เราได้นอนพักห้องเดียวกับชายท่านนั้นด้วย cullen hateberry ฝันดี Zzzzzz
เหมืองปิล็อค
ว่าจะแค่หลับพักสายตาเพียงสักพัก เผลอแปบเดียวแสงสุดท้ายกำลังจะลาลับไปแล้ว แต่ก็ดีเพราะเวลาแบบนี้แดดร่มลมตกไม่ร้อนมาก
ที่แรกที่จะพาไปเป็นสถานที่ทางประวัติศาสตร์อีกหนึ่งจุด ที่ทิ้งร่องรอยหลักฐานของอาชีพไว้ให้คนรุ่นหลังได้เห็นว่าครั้งหนึ่งที่แห่งนี้น่าจะเคยเป็นยุครุ่งเรื่องของการทำเหมืองแร่ ที่นี่ เหมืองปิล๊อก เวลาผ่านไปผ่านไป จากเหมืองเก่ากลายมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวและที่เรียนรู้ ภายในมีซากอุปกรณ์ เครื่องมือ และอาคารเก่าสุดคลาสสิกที่หลงเหลือไว้ให้เราได้รับชม
บริเวณรอบ ๆ มีภูเขาโอบล้อมคงไว้ซึ่งความสวยงาม และความสดชื่นของธรรมชาติ และหากเดินต่อไปอีกหน่อยจะพบกับอีกหนึ่งจุดไฮไลท์ในไฮไลท์ บ่อน้ำและลำธารใสขนาดเล็กมีฝูงปลาคาร์ปสีสันสดใสออกมาแหวกว่ายโชว์ตัวให้เราได้รับชมกัน
ปิล็อก-ยามราตรี
หากแสงยามราตรีของเมืองที่เราจากมาถูกกล่าวขานว่าเป็นเมืองแห่งเสรีชนผู้ซึ่งมีปัญญา เมืองที่ได้ขึ้นชื่อว่ามหานครที่ไม่เคยหลับใหล สถานที่แห่งนี้ก็มีแสงสีและความสว่างที่มิได้แตกต่างกัน แต่ที่อาจจะแปลกกว่าก็คือ ที่แห่งนี้มีแสงสีที่สงบและอบอุ่น
หลังจากเดินออกจากเหมืองแร่พระอาทิตย์ก็เป็นสีไข่แดงจับที่ริมขอบฟ้าเสียแล้ว ณ หมู่บ้านอีต่องมีตลาดคนเดินยามค่ำคืน ร้านค้าของชาวบ้านต่างเริ่มทยอยกันเปิดไฟขึ้นมาทดแทนแสงสุดท้ายของวันที่ลาลับและเป็นสัญณาณว่าพร้อมให้บริการต่าง ๆ แก่ผู้มาเยือนอย่างเต็มที่ บนถนนคอนกรีตผู้คนเริ่มเดินกันขวักไขว่ออกมาจับจ่ายเลือกซื้อสินค้า เลือกกินอาหาร และชื่นชมวิถีชีวิต
สระน้ำกลางหมู่บ้านที่กลางวันเป็นเพียงบึงน้ำธรรมดา แต่เมื่อแสงไฟสีส้มสาดสะท้อนเปื้อนผิวน้ำระยิบระยับปนเปกับเงาของตึกรามทำให้ดูสวยงามตรึงตาไปอีกแบบ นักท่องเที่ยงอย่างเรา ๆ ก็ออกเดินช็อปปิ้ง หาเสบียง เครื่องดื่มและเครื่องเคียงให้พร้อมเพียง เสียงร้องของท้องส่งสัญญาณเตือนว่าเริ่มหิวแล้วนะ บรรยากาศแบบนี้ มื้อเย็นของเราก็คงไม่พ้นอาหารต้องห้าม อย่างเมนูย่างหมา ... หมากระทุหมูกะทะ ^^ อย่างเคย
ตอนเช้าที่-ปิล็อก (สะพานป้ายไม้)
นกที่ตื่นเช้า บ้างเขาก็ว่า....นกเป็นหนี้ (อะไรว๊x งง) เอาเป็นว่าหากเวลามาเที่ยวแล้วเราตื่นเช้ากว่าคนอื่นเราจะได้เปรียบหลายประการ เช่น ได้ซึมซับธรรมชาติก่อน ได้สัมผัสธรรมชาติก่อน และได้เข้าห้องน้ำก่อน...
จุดหมายยามเช้าของเรา คือจะนั่งรถไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่เนินช้างศึก ความหวังที่จะได้สัมผัสลมหนาวและชื่นชมสายหมอกในยามเช้า เพราะที่หมู่บ้านหมอกเงียบกริ๊บผิดจากที่มาคราวก่อน
ส่วนรถที่จะพาเราไปยังจุดหมายมีให้บริการอยู่บริเวณสะพานไม้เหมืองแร่ ใกล้ๆ กับสะพานไม้แขวน ที่นักท่องเที่ยวจะนิยมไปเขียนแผ่นป้ายแล้วนำไปแขวนที่ราวสะพานที่อยู่บริเวณริมบึงน้ำกลางหมู่บ้าน (ออกนอกเรื่องอีกละกลับมาที่รถกันต่อ) ราคาค่ารถคิดต่อหัวคนละ 50 บาทเป็นตั๋วขาไปและกลับ รถเต็มรถออก แต่ถ้ารถยังไม่เต็ม...เราก็ไม่แน่ใจ เพราะเราไปแล้วรถเต็มพอดีนั่นเป็นเพราะนกที่ตื่นเช้าแบบเรามีเยอะ
หรือหากใครเอารถมาก็สามารถขับขึ้นไปเองได้ แต่เราคิดว่ารถเราจะช้ำป่าว ๆ นั่งไปแบบนี้ได้ชมวิวอย่างเต็มที่ไม่ต้องขับเอง (จริงๆ เราก็ไม่ได้ขับเองอยู่แล้ว) และอีกแง่นึงนั่งรถชาวบ้านน่าจะเป็นการกระจายรายได้ให้คนในชุมชนด้วย
เอาหละรถพร้อมคนพร้อม ตังค์จ่ายขากลับ เอ้าแล้วคนขับไปไหน อ๋ออยู่บนรถแล้ว ถ้าพร้อมกันแล้วออกเดินทางด้ายยยยย....
เดินทางต่อคลิ๊กเลย
>> เนินช้างศึกเราบุก <<
เสือซ่อนยิ้ม
วันพฤหัสที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2566 เวลา 16.09 น.