(25 – 27 มิ.ย. 2559)
บันทึกการเดินทางฉบับเพ้อๆ เป็นการรวบรวมข้อมูลทั้งก่อนและระหว่างการเดินทาง ผนวกกับการบันทึกเรื่องราวกึ่งรีวิว ตั้งแต่ต้นจนจบทริปที่วางแผนเอง หากว่าคุณก็รักการท่องเที่ยว หรือกำลังหาข้อมูล"ท่องเที่ยว" มาอ่านบันทึกเพ้อๆเปลี่ยวๆไปกับเรานะคะ ^^ (บันทึกเป็นเรื่องเป็นราวครั้งแรก ถ้ามีจุดไหนผิดพลาดอย่างไรต้องขออภัย และขอคำชี้แนะที่ถูกต้องด้วยนะคะ)
ติดตามบันทึกการเดินทางต่อๆไปได้ที่ : GowithAmp
https://facebook.com/GowithAmp
"ลำปาง" มีอะไรน่าเที่ยวบ้าง?
เราเริ่มจากลิสต์สถานที่ที่ดูน่าสนใจเอาไว้ก่อน แล้วจึงไล่ดูแผนที่และหาข้อมูลอ่าน ดูว่ามีที่ไหนอยากไปและสามารถไปได้บ้าง โดยสรุปออกมาดังนี้
- วัดพระบาทปู่ผาแดง หรือ วัดเฉลิมพระเกียรติพระจอมเกล้าราชานุสรณ์
- กาดกองต้า (ตลาดจีนริมแม่น้ำวัง)
- นั่งรถม้าชมเมือง : หน้าศาลากลาง 06.00 – 18.00 น. / หน้า รร. เวียงของ หรือ รร. ทิพย์ช้าง 06.00 - 23.00 น.
- สะพานรัษฎาภิเศก หรือสะพานขาว ถ.สะพานรัษฎาภิเศก อ.เมือง
- วัดศรีชุม : วัดพม่าใหญ่สุดในไทย
- วัดศรีรองเมือง : บ้านท่าคราวน้อย ต.สบตุ๋ย เทศบาลเมือง (วัดพม่า)
- อ่างเก็บน้ำวังเฮือ (ทะเลลำปาง)
- พระธาตุลำปางหลวง
(หลายที่ถูกตัดออกจากลิสต์ที่สนใจ เนื่องด้วยเวลา ระยะทาง และสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย)
“ลำปาง ไม่ลำพัง" ในครั้งนี้เดินทางด้วยสายการบิน Bangkok Airways กับโปรโมชั่น 480 บาท (ต่อเที่ยวบิน) จองไว้ตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา ตื่นตาตื่นใจเมื่อได้เห็นโปรฯนี้ ด้วยความที่ไม่เคยเดินทางกับสายการบินนี้มาก่อน จึงเก็บข้อมูลไว้เยอะหน่อย ก่อนกดจองก็ยังลังเลว่า จะเป็น ภูเก็ต สมุย หรือลำปางดี สุดท้ายตัดสินใจมุ่งไปที่ลำปาง ทั้งที่ไม่รู้ว่าตัวเองจะไปไหนในลำปางได้บ้าง??? ^^"
Full Service กับราคาเท่านี้ต่อเที่ยวบิน ต่อให้เขียม ต่อให้แต่ละครั้งต้องรอโปรฯถูกๆยังไงก็ห้ามใจไว้ไม่ได้จริงๆ อย่างน้อยก็จะได้รับบริการที่ดีแน่นอน และเนื่องจากเป็นครั้งแรกที่เดินทางไปกับสายการบิน บางกอกแอร์เวย์ส จึงต้องศึกษาและเรียนรู้ข้อมูลต่างๆของสายการบินก่อนค่ะ สนามบินต้นทางคือ "สนามบินสุวรรณภูมิ" พักหลังมานี้เดินทางไปแต่ดอนเมืองบ่อยซะจนเกือบลืมสุวรรณภูมิกันเลยทีเดียว
สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส สามารถทำการเช็คอินล่วงหน้าผ่านอินเตอร์เน็ตได้ 24 ชั่วโมง ถึง 1 ชั่วโมงก่อนเวลาเดินทาง
จึงจัดการเช็คอินและปริ๊นท์บอร์ดดิ้งพาสต์เตรียมไว้ก่อนเพื่อประหยัดเวลา ไม่ต้องไปยืนต่อแถวเช็คอินที่สนามบิน โดยเข้าไปที่เว็บไซต์ของบางกอกแอร์เวย์ส www.bangkokair.com แล้วใส่ข้อมูลการเดินทางให้ครบถ้วน ใครเป็นสมาชิก มีรหัสฟลายเออร์โบนัส ก็อย่าลืมใส่ในขั้นตอนนี้ เพื่อสะสมคะแนนกันนะคะ
การเดินทางทริปนี้ไปแบบ “ไม่ลำบาก ไม่อันตราย" ตามคำขอของผู้ร่วมทริปค่ะ (พี่สาวเราเอง ^^") จึงเลือกเช่ารถยนต์สำหรับ 2 วัน (48 ชั่วโมง) โดยเลือกใช้บริการของ "อาลัมภางค์รถเช่า" เริ่มต้นวันละ 1,000 บาท ไม่รวมน้ำมัน แต่รวมประกันภัยพื้นฐาน เป็นประกันแบบ Deduct (คล้ายประกันชั้น 1 ผสม ประกันชั้น 3 ถ้าเกิดอุบัติเหตุจะมีการคิดค่าเสียหายส่วนแรกในกรณีการเกิดอุบัติเหตุ ไม่ว่าจะทางผู้เช่าเป็นฝ่ายผิดหรือถูก หรือไม่สามารถหาคู่กรณีได้ ผู้เช่าจะต้องเสียค่าเสียหายส่วนแรก) และส่งในตัวเมืองรวมถึงสนามบิน ฟรี
ทั้งนี้ ลำปางไม่มีรถเช่าของบริษัทดังๆ ไว้ให้บริการ จะมีเพียงบริษัทของท้องถิ่นอยู่ 2 - 3 บริษัท หลังจากเปรียบเทียบดูแล้วก็ตกลงปลงใจเลือกใช้บริการของที่นี่ค่ะ
วันที่ 1 : (25 มิ.ย. 2559 / ไฟลท์ขาไป 12.00 น.)
วัดพระบาทปู่ผาแดง – พักในเมือง – กาดกองต้า
13.30 น. : ถึงท่าอากาศยานลำปาง / ติดต่อรับรถเช่า
14.00 น. : มุ่งหน้าสู่วัดพระบาทปู่ผาแดง (62.5 กม. ใช้เวลาประมาณ 1 ชม./ เส้น 1035)
15.00 น. : ถึงวัดพระบาทปู่ผาแดง ใช้เวลาอยู่ที่นี่ประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง เผื่อการเดินทางขึ้น – ลง
17.30 น. : กลับเข้าตัวเมือง (จากวัดออกมาเส้น 1035 ประมาณ 5 กม. แล้ววิ่งตรงไป รวมระยะทางประมาณ 12 กม. 25 นาที)
18.30 น. : เช็คอินที่พัก Villa Rassada Lampang / เดินเล่นกาดกองต้า
ตั้งใจจะไปถึงสุวรรณภูมิตั้งแต่เช้า เพราะอยากเข้าไปในบูธีคเล้าจ์ของบางกอกแอร์เวย์สเร็วๆ อยากไปชิมข้าวต้มมัดในตำนาน ที่ร่ำลือกันว่าอร่อยนักอร่อยหนา ฮ่าๆๆๆๆ ก็อย่างที่ตั้งใจค่ะ ถึงสนามบินตั้งแต่ 9.30 น. เดินเข้าไปด้านในอาคารผู้โดยสารขาออกในประเทศ สวยๆ กระเป๋าก็ไม่ได้โหลด กลัวเสียเวลา ^^ ผ่านหน้าเค้าเตอร์เช็คอินไปชิลๆ กระทั่งถึงเล้าจ์
อุ๊ย..เจอพี่หมีด้วย น่ารักอ้ะ! ขอรูปคู่สักรูปเถอะค่ะ
อ่ะ อย่ามัวชักช้าเสียเวลาอยู่ไย แสดงบอร์ดดิ้งพาสต์ที่เค้าเตอร์ด้านหน้า แล้วรับรหัส Wifi เข้าไปนั่งด้านในได้เลย
ภายในห้องรับรองผู้โดยสารกว้างกว่าที่คิดไว้ค่ะ มีที่นั่งทั้งแบบเก้าอี้ โซฟา และแบบเค้าเตอร์บาร์ นอกจากที่นั่งและ Wifi ฟรี แล้วยังมีบริการ ฟรี อื่นๆอีกมากมาย ดังนี้
- คอมพิวเตอร์สำหรับเช็คข้อมูลข่าวสาร
- เครื่องดื่มและขนมต่างๆ
- เต้าเสียบปลั๊กไฟ
- จอแสดงผลบอร์ดดิ้งไทม์
เรียกได้ว่าอยู่กันอย่างสุขสบายมากเลยทีเดียวเชียวค่ะ
ขนม เครื่องดื่ม เต็มที่กันไป ณ จุดนี้
และนี่!! "ข้าวต้มมัดในตำนาน" สิ่งที่ขาดไม่ได้ ได้มากินแล้วนะค้า... ชิ้นพอดีคำ อร่อยสมคำร่ำลือแถมยังน่ารักอีกด้วย ^^
11.20 น. เป็นเวลาขึ้นเครื่อง (เวลาขึ้นเครื่อง จะเป็นเวลาก่อนเครื่องออก 40 นาที) ใกล้ถึงเวลาก็เดินไปรอแล้ว อยู่ในเล้าจ์นานไม่ดี เดี๋ยวจะสุขสบายเกินไป เผลอๆจะตกเครื่องอีก แหม่
"ขอเสียบชาร์จแบตรอสักหน่อยนะ หุๆๆๆ" ที่สนามบินสุวรรณภูมิมีเต้าเสียบไฟสำหรับชาร์จแบตเตอรี่ชั่วคราว ฟรี ให้แบบนี้ คือ ดี๊ดี ^^
พอได้เวลา เจ้าหน้าที่สายการบินประกาศให้ขึ้นเครื่องได้ ก็เป็นเวลาอันสมควรแก่การออกเดินทาง ต้องต่อรถบัสออกไปขึ้นเครื่องที่ลานจอดค่ะ
หลังจากขึ้นเครื่องมาได้ไม่นานก็มีอาหารมาเสิร์ฟอีก อะไรจะอิ่มหมีพลีมัน เลี้ยงกันดีขนาดนี้ โอย.. อร่อยด้วยจ้า ไม่ใช่เล่นๆ
เครื่องบินลำเล็กลำนี้บินต่ำกว่าสายการบินอื่นๆที่เคยใช้บริการ ทำให้เห็นมองวิวด้านล่างได้สบายๆ แม้จะเป็นช่วงที่บินสูงที่สุดก็ยังมองเห็นภาคพื้นดินได้ ดีงามไปอีกแบบ รู้สึกชอบแล้วชอบอีกจริงๆค่ะสายการบินนี้ ประทับใจหลายสิ่งอย่าง ^_^
13.30 น. ถึงท่าอากาศยานลำปาง (ใช้เวลา 1.30 ชั่วโมง) มีรถรางมารอรับเข้าอาคารผูโดยสารด้วย
ติดต่อรถเช่าให้มาส่งที่สนามบิน รถค่อนข้างเก่า แต่ไม่ซีเรียส แค่ไม่กินน้ำมันก็โอเคแล้ว รับรถเซ็นสัญญาเช่า เช็ครอยตำหนิของรถเรียบร้อย ก็ออกเดินทางค่ะ การเดินทางด้วยวิธีเช่ารถขับนั้น แผนที่ คือสิ่งสำคัญมาก สำหรับครั้งนี้ใช้ GPS จาก Google Map ในการนำทางค่ะ (แนะนำให้ศึกษาเส้นทางมาล่วงหน้า เพราะบ่อยครั้ง Google Maps อาจพาเข้าป่าได้)
จุดมุ่งหมายหลักวันนี้คือ “วัดพระบาทปู่ผาแดง" หรือ วัดเฉลิมพระเกียรติพระจอมเกล้าราชานุสรณ์ หรืออีกชื่อที่ชาวบ้านนิยมเรียกกัน คือ “ดอยปู่ยักษ์" ตั้งอยู่ อุทยานแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติพระจอมเกล้าราชานุสรณ์ หมู่ที่ 7 บ้านทุ่งทอง อ.แจ้ห่ม จากตัวเมืองลำปางใช้ทางหลวงหมายเลข 1035 ไปอำเภอแจ้ห่ม แล้วจากตัวเมืองแจ้ห่ม ไปอีกประมาณ 1 กิโลเมตร จะมีทางแยกด้านซ้ายมือ ให้สังเกตซุ้มประตูเข้าหมู่บ้านเหล่ายาว ต่อจากนั้นให้เลี้ยวเข้าไปประมาณ 200 เมตร จะเจอทางไปวัดเฉลิมพระเกียรติ อยู่บริเวณแยกซ้ายมือ
ท้องฟ้าค่อนข้างปลอดโปร่ง ดีใจสิคะ เพราะมาช่วงหน้าฝน ก่อนเดินทางก็ยังกังวลว่าอาจจะเจอฝน แต่พอมาถึงจริงๆแล้วได้เห็นฟ้าแบบนี้ ใจชื้นเลย
โอ๊ะ เดี๋ยวๆๆๆ ระหว่างทางเจอ "ตลาดสดบ้านสา" อยู่ฝั่งซ้ายมือด้วยค่ะ แวะสิคะ แวะดูอะไรไว้กินเล่นๆกันก่อน
ได้ของกินเล่นแล้วก็เดินทางกันต่อ กระทั่งได้เห็นวิวนี้ ยอดเขาและยอดเจดีย์อยู่ไกลๆ แสดงว่าใกล้จะถึงแล้วจ้า
มาถึงจุดนี้ เดิมนักท่องเที่ยวสามารถขับรถขึ้นไปได้เองในทางแยกขวามือ แต่เนื่องจากเคยเกิดอุบัติเหตุ ทำให้ทางอุทยานฯและทางวัดปิดทางนี้ โดยให้ใช้แยกซ้าย เพื่อตรงไปใช้บริการรถขับเคลื่อนสี่ล้อของอุทยานฯและวัดแทน ทั้งนี้ เพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวทุกท่านค่ะ
จากแยก เข้ามาไม่ไกลก็จะเจอลานจอดรถ กว้างขวาง
ที่นี่มีบริการรถขับเคลื่อน 4 ล้อ พาขึ้นไปด้านบนเพื่อเดินขึ้นบันไดไปจนถึงยอดเขาค่ะ ช่วงปีหรือ 2 ปีแรกที่เปิดให้เข้า สามารถนำรถส่วนตัวขึ้นไปด้านบนก่อนเดินขึ้นบันไดได้ แต่เนื่องจากทางขึ้นมีเลนส์เดียว ทางค่อนข้างขรุขระ ต้องใช้รถขับเคลื่อนสี่ล้อเท่านั้น ค่อนข้างอันตราย และเคยมีผู้ประสบอุบัติเหตุมาแล้ว ทางวัดและอุทยานฯจึงปรับมาให้บริการรถรับ-ส่งแบบนี้แทนค่ะ
มองเห็นรถขับเคลื่อนสี่ล้อจอดอยู่เยอะๆ เดินไปทางนั้นค่ะ
เดินมาซื้อตั๋วกันก่อน
คนละ 100 บาท โดย 80 บาทเป็นของวัด และอีก 20 บาทเป็นของอุทยานแห่งชาติค่ะ
โชคดีหน่อย พี่คนขับให้นั่งข้างใน แต่มีคนอื่นอยู่เบาะหน้าแล้ว เราได้นั่งเบาะหลัง ถือว่ายังดีค่ะ
แป๊บเดียวก็ถึงจุดที่ต้องเดินขึ้นไปกันต่อ
วอร์มร่างกายเล็กๆน้อยๆก่อนเดินขึ้น แล้วก็เดินตามๆกันไปนะคะ จุดนี้ สู้ๆ!!
ระยะทางในการเดินขึ้นภูเขารวม 800 เมตร จากลานจอดรถ เป็นทางลาดเรียบสลับกับบันไดขึ้นไป ถึงจะไม่ไกลมาก แต่ด้วยความชัน ทำให้หลายๆคนหอบ เหงื่อไหลไคลย้อย บางคนขึ้นไปไม่ถึง บางคนเป็นลม บางคนปวดขา แนะนำให้เตรีมวอร์มร่างกายมาก่อน พกยาดมยาลมมาด้วยจะดีค่ะ เห็นมีผูสูงอายุรุ่น 60 กว่าปีเดินขึ้นมาได้เหมือนกันนะคะ คิดว่าคงเป็นเพราะแรงศรัทธานั่นแหละค่ะ
ระหว่างทาง ชมวิว ชมต้นไม้ใบหญ้าไปเรื่อยๆ
กระทั่งได้เห็นวิวนี้ อ๊า...!! ถึงแล้ว!! มาถึงแล้ว มาถึงจนได้!!!
ว่ากันว่าสถานที่แห่งนี้เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เนื่องจากมีชาวบ้านค้นพบรอยพระพุทธบาทจารึกไว้บนแผ่นหินขนาดใหญ่ แต่ในปัจจุบันบริเวณที่ค้นพบรอยพระพุทธบาทดังกล่าวนั้น ได้ถูกปิด ห้ามนักท่องเที่ยวเข้าชม เหตุเพราะเคยมีวัยรุ่นบางกลุ่มเข้าไปแล้วสร้างความเสียหายต่อธรรมชาติบริเวณรอบๆ (ได้รับข้อมูลมาจากเจ้าหน้าที่อุทยานฯ) จึงจำเป็นต้องปิดเพื่อรักษาความงดงามทางธรรมชาติเอาไว้นั่นเอง และเนื่องในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 พระบรมราชสมภพครบ 200 ปี ในวันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2547 ทางคณะสงฆ์จึงได้มีมติให้สร้างวัดเฉลิมพระเกียรติ แด่พระองค์ท่าน 2 แห่ง เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน ที่มีต่อปวงชนชาวไทย คือ วัดพระมหาธาตุ กรุงเทพมหานคร และวัดเฉลิมพระเกียรติพระจอมเกล้าราชานุสรณ์ แห่งนี้ นอกจากนี้ ในบริเวณใกล้เคียงยังมีถ้ำหลายแห่ง เช่น ถ้ำผาสวรรค์ ปล่องลมมหัศจรรย์ มีลายหินงาม เตาหินปูนแบบโบราณ และบริเวณเดียวกันยังมีเมืองโบราณ เรียกว่า “เมืองวิเชตนคร" แต่เราไม่ได้เดินไปเพราะกลัวไม่ทันเวลา
เราเดินไปทางนี้กันก่อนค่ะ ที่เห็นยอดเจดีย์สีทองนั่น คือ เจดีย์อธิษฐาน ใครใคร่จะอธิษฐานสิ่งใดให้มา ณ จุดนี้ (อธิษฐานแล้วตั้งใจปฏิบัติด้วยเนอะ)
เมื่อขึ้นมาด้านบนแล้ว ไหว้ อธิษฐาน ที่เจดีย์ และจะได้พบกับเก้าอี้ตัวนี้ นั่งถ่ายรูปมุมนี้ก็สวยดีนะคะ
และวิวที่ได้เห็นถัดไปจากเก้าอี้ตัวเมื่อสักครู่นั้นก็คือ!!!! ... สวยมาก...ค่ะ!
หันมาอีกทางในทิศทางฝั่งตรงข้าม ก็จะได้พบวิวนี้ เราเริ่มมองเห็นยอดเจดีย์เล็กๆ สีขาวๆนั่นแล้วค่ะ
แต่เราอยากเห็นให้ใกล้กว่านี้ เดินลงมาทางเดิม แล้วตามทางไปอีกนะคะ ตรงนี้คือหอพระ เดินเข้าไปกราบพระกันก่อนค่ะ
หลังจากนั้นเดินไปทางที่มีป้ายบอก "ไปศาลาสวดมนต์" กันต่อ
"กรุณาถอดรองเท้า" ใส่ใจกันสักนิดเถอะค่ะ เนอะ ^^
เมื่อเดินขึ้นไปบนศาลา จะได้พบกับบรรยากาศที่ดีมากของวัน เป็นศาลาสวดมนต์ที่มีบรรยากาศรอบๆดีที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาเลยล่ะค่ะ
สถานที่แห่งนี้ถูกจัดอันดับให้เป็น 1 ใน 10 สถานที่ที่เป็น Unseen Thailand โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ปี 2557 บริเวณด้านบนของวัดพระบาทปู่ผาแดง สูงจากระดับน้ำทะเล 815 เมตร มีเจดีย์สีขาวตั้งอยู่บนยอดเขาหลายองค์ ซึ่งเกิดจากแรงศรัทธาของชาวบ้านที่ได้ร่วมแรงร่วมใจกันสร้างขึ้นได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ สามารถชมวิวบ้านเมืองของจังหวัดลำปางได้ในมุมกว้างและสวยงามมาก
จากจุดนี้เราสามารถมองกลับไปยังเจดีย์อธิษฐานได้ในมุมที่กว้างขึ้น และได้มองเห็นว่านั่นเป็นมุมนี่สวยสดงดงามมาก ตอนนั้นขนลุกเพราะรู้สึกอิ่มเอมกับภาพที่ได้เห็นอย่างบอกไม่ถูกจริงๆค่ะ จะใช้คำว่า "ฟิน" ก็คงไม่ผิดนะ
เมื่อหันมาอีกทาง ก็จะได้เห็นภาพไฮไลท์ของที่นี่ นั่นก็คือ เจดีย์องค์เล็กๆที่ตั้งเรียงรายกันอยู่บนยอดเขาหลายองค์
รู้สึกโชคดีมากที่ไม่เจอฝน ฟ้าก็สวยกำลังดี บรรยากาศดีมาก ไม่เสียแรงที่ขึ้นมาจริงๆค่ะ อยากอยู่รอดูแสงสุดท้ายของวัน แต่กลัวลงมาช้า เพราะต้องเข้าเมืองต่อ เดี๋ยวจะมืดเกินไป รูปสุดท้ายที่ได้ลั่นชัตเตอร์เก็บบรรยากาศด้านบนนี้ อิ่มเอมเปรมปรีดิ์แล้ว ฟินสุดแล้วว่างั้นเถอะค่ะ
เดินลงทางเดิม รู้สึกว่าตอนลงนี่จะไวกว่าตอนขึ้นเป็นเท่าตัวเลยนะ แหม.... วิวดี๊ดี
17.30 น. ลงมาจนถึงลานรอรถมารับ เดินตามทางเข้าไปอีกหน่อยจะมีรอยพระพุทธบาทคู่อีกรอยที่สามารถเข้าไปชมได้ค่ะ
เดินตามทางเข้าไปประมาณ 100 เมตรจะเจอป้ายนี้ แล้วไปต่ออีกนิดเดียวก็จะถึงแล้วค่ะ
บริเวณนี้มีบ้านพักด้วยนะคะ อยู่ภายใต้การดูแลของวัด โดยส่วนใหญ่แล้วผู้ที่มาพักจะเป็นผู้ที่มาปฏิบัติธรรมที่นี่ แต่ถ้าหากนักท่องเที่ยวสนใจจะมาพักก็สามารถโทรศัพท์ติดต่อสอบถามกันเข้าไปได้ ส่วนค่าเช่านั้น แล้วแต่จิตศรัทธา ถือเป็นการทำบุญให้ทางวัดไป
รอยพระพุทบาทคู่จะอยู่ด้านหลังศาลานี้ค่ะ
และนี่คือ"รอยพระพุทธบาทคู่" (ที่สันนิษฐานว่าพบหลังจากที่พบรอยพระพุทธบาทด้านบนแล้ว)
เดินออกมารอรถลงไปข้างล่าง นั่งชมวิวไปฝนก็ตกปรอยๆไป ฟ้าขมุกขมัวเล็กน้อยทำให้ได้ภาพนี้มาค่ะ
หลังจากที่ลงมาแล้วก็มุ่งหน้ากลับเข้าตัวเมืองกัน โดยใช้ถนนสาย 1035 ทางเดิมตอนขามา (จากที่นี่สามารถเดินทางไปยังอุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน ไปหาน้ำตกและน้ำพุร้อนได้นะคะ อยู่ห่างออกไปไม่ไกลมาก แต่เรามีเวลาไม่พอ ขอไว้มาต่อโอกาสหน้าจ้า ^___^)
18.30 น. สำหรับคืนแรกเราเลือกพักที่ " Villa Rassada Nakorn Lampang " อยู่ ถ.เจริญประเทศ ริมแม่น้ำวัง ฝั่งตรงข้ามกาดกองต้า (ถ.ตลาดเก่า) โทรจองไว้แล้วมาชำระเงินที่โรงแรมได้เลย เบอร์โทรฯติดต่อ 054-018-547 สามารถชมภาพตัวอย่างได้ในแฟนเพจเฟสบุ๊คของโรงแรมได้เลยค่ะ https://www.facebook.com/villarassadanakornlampang
ที่นี่มีห้องพักให้เลือกหลายแบบหลายราคา ส่วนเราเลือกที่ถูกที่สุด 690 บาท รวมอาหารเช้าด้วย เราขอเตียงคู่จะได้ไม่นอนเบียดกัน ห้องดีมาก สะอาดทุกซอกทุกมุม มีอุปกรณ์ครบครันตามระดับ 3 ดาว (แค่ไม่มีอ่างอาบน้ำ แต่มีไดร์เป่าผม)
นอนเล่นกันพักหนึ่งก็พากันออกมาเดินเล่น จุดมุ่งหมายคือ "กาดกองต้า" เดินข้ามสะพานรัษฎาภิเศกไปก็ถึงแล้ว
กาดกองต้า หรือแปลเป็นภาษาไทยกลางว่า ตลาดคลองท่า ในอดีตเคยเป็นศูนย์กลางการค้าทางน้ำที่รุ่งเรือง จึงมีอาคารโบราณอายุกว่าร้อยปีตั้งอยู่หลายหลังตลอดเส้น คนละแวกนี้เรียกกันว่า 'ตลาดจีน' เป็นตลาดนัดถนนคนเดิน บน ถ.ตลาดเก่า อยู่ขนานกับแม่น้ำวัง พ่อค้าแม่ค้าอัธยาศัยดี น่ารักดีค่ะ ของที่นี่ขายกันไม่แพงมาก บางอย่างก็ถูกมาก อย่างปลาหมึกปิ้ง ลูกชิ้นปิ้ง เริ่มต้นไม้ละ 5 บาท ดีงามมาก ณ จุดนี้
คืนแรกที่มาเดิน ร้านตั้งกันน้อยมาก เห็นแม่ค้าบอกกันว่าเป็นเพราะฝนตกและเพิ่งหยุดไป เลยเก็บร้านกันไปหลายร้านแล้ว เสียดายนะแต่ก็คิดว่า "ไม่เป็นไร พรุ่งนี้จะมาเดินใหม่" ฮ่าๆๆๆ
วันที่ 2 : (26 มิ.ย. 2559)
สะพานรัษฎาภิเศก - ศาลากลาง(นั่งรถม้า) – วัดศรีรองเมือง - วัดศรีชุม – อ่างเก็บน้ำวังเฮือ – กาดกองต้า
09.00 น. : เดินเล่นกาดหัวขัว (ตลาดหัวสะพาน)
11.00 น. : เช็คเอ๊าท์ / มุ่งหน้าสู่สะพานรัษฎาภิเศก
11.30 น. : นั่งรถม้า บริเวณศาลากลางจังหวัด
12.00 น. : เดินถ่ายรูป ถ.ตลาดเก่า / ร้านกาแฟ “หม่องโง่ยซิ่น"/ แวะเช็คอินที่ อาลัมภางค์
15.00 น. : มุ่งหน้าสู่วัดศรีรองเมือง (ประมาณ 2.7 กม. / 10 นาที)
15.30 น. : มุ่งหน้าสู่วัดศรีชุม (ประมาณ 2.7 กม. / 10 นาที)
16.00 น. : มุ่งหน้าสู่อ่างเก็บน้ำวังเฮือ (แพชุมชนวังเฮือทะเลลำปาง / 15.6 กม. ประมาณ 20 นาที)
17.00 น. : กลับที่พัก “อาลัมภางค์" / เดินกาดกองต้า
วันนี้จะชิลค่ะ เน้นอยู่ในเมือง เพราะก่อนเดินทางมา ตั้งใจจะไปเขื่อนกิ่วลมด้วย แต่โทรฯสอบถามแล้ว สภาพอากาศไม่เป็นใจ ถ้าหากมีฝนเทลงมาจะไม่สามารถล่องแพในเขื่อนได้ จึงตัดสินใจละเส้นทางนั้นไว้ก่อน
8.30 น. ลงมาทานอาหารเช้า มีให้เลือกระหว่างข้าวต้มหมู กับ America Breakfast เราเลือกอย่างหลัง
อิ่มแล้วก็เดินไป "กาดหัวขัว" หรือตลาดหัวสะพาน ระหว่างทางเห็นมีร้านขายข้าวหลามอยู่สองสามร้านด้วย
พอดีว่าเห็นกำแพงอิฐมอญข้างทางมันสวยดี เลยขอพื้นที่เซลฟี่นี้ด..นึง นะคะ ^^
มองเห็นสะพานรัษฎาภิเษกแล้ว!!
สะพานสะพานรัษฎาภิเษก ตอนกลางคืนก็สวย
"กาดหัวขัว" หรือตลาดหัวสะพาน เป็นตลาดสด มีทั้งของกินของใช้ ผักต่างๆ และของพื้นเมืองไว้ให้จับจ่ายใช้สอย ถ้าได้พักที่พักไม่มีอาหารเช้าก็สามารถเดินมาที่นี่ได้ อิ่มแน่นพุงแน่นอน
11.30 น. หลังจากเช็คเอ๊าท์ เรามุ่งหน้าไปทางหน้าศาลากลางจังหวัดเพื่อไปหาสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์อีกอย่างหนึ่งของลำปาง นั่นก็คือ "รถม้า" ฮี่ๆๆๆๆ
สมาคมรถม้าลำปางกำหนดค่าโดยสารไว้ 3 อัตรา คือ รอบเมืองเล็ก 150 บาท (20 นาที) รอบเมืองใหญ่ 200 บาทหรือเช่าชั่วโมงละ 300 บาท คิวจอดรถม้าอยู่ที่หน้าศาลากลางหลังเก่าบริการระหว่างเวลา 06.00-16.00 น. ส่วนบริเวณหน้าโรงแรมทิพย์ช้างลำปางโรงแรมเวียงลคอร และโรงแรมลำปางเวียงทอง บริการระหว่างเวลา 06.00-23.00 น. หรือติดต่อสมาคมรถม้าลำปาง 054-21 9-255
เห็นหอนาฬิกาที่ตั้งอยู่กลางเมืองด้วย
ระหว่างนั่งรถม้าชมวิวเมืองไปเรื่อยๆ ม้าก็ร้องลั่นอยู่เรื่อยๆเช่นกัน ลุงบอกว่าวันนี้ม้ามันไม่ค่อยได้เดินปกติถ้าเดินบ่อยจะไม่ร้อง พอมันห่างเพื่อนมามันก็ร้อง สักพักลุงบอกว่าม้ามันเป็นวัยรุ่นมันอาจจะได้กลิ่นตัวเมียมาเมื่อกี๊ สักพักลุงมีเหตุผลอื่นมาอีก เราก็งงว่าสรุปแล้วม้ามันเป็นอะไรคะ!! ไม่ถึงกับกลัวนะแค่สงสัยและขำด้วย
12.00 น. ชมวิวเมืองรอบๆกันไปแล้วก็มาต่อที่ ถ.ตลาดเก่า ถนนเส้นที่มาเดินกาดกองต้าเมื่อคืนที่ผ่านมานี่แหละ พอมาถึง ต่อมความหิวก็ทำงาน เจออะไรกินได้หมด!! จัดลูกชิ้นเอ็นหมูลูกไปกันคนละไม้เป็นออเดิร์ฟ
เดินไปได้อีกหน่อย เจอร้านก๋วยเตี๋ยวสุโขทัย อ้าว! หิวอีกแล้ว!! ฮ่าๆๆ
อย่าเรียกว่าหิวเลยเรียกว่าอยากกินดีกว่า กินคนเดียวด้วย ชามเบอเร่อเลย 40 บาท รสชาติก๋วยเตี๋ยวธรรมดาๆ ไม่ใช่รสชาติก๋วยเตี๋ยวสุโขทัยเลยค่ะ แค่ใส่ถั่วฝักยาวเท่านั้นเอง แต่ก็พอกินได้ กิ่นอิ่ม มีแรงแล้วก็เดินกันต่อ
ถนนสายนี้มีอะไรน่ะเหรอคะ ... มีเสน่ห์ของความคลาสสิคอยู่น่ะสิ ซึ่งความคลาสสิคที่ว่าก็อยู่ตรงที่มีตึกเก่าๆตั้งแต่สมัย รัชกาลที่ 5 ตั้งตระหง่านอยู่มากมายหลายหลัง สามารถเดินชมความงามของตึกเก่าแก่ที่ยังคงความงดงามกันได้ด้วยระยะทางไม่ถึง 1 กม. เดินกันได้สบายมาก เราลากส้นสูงไปยังไม่เจ็บไม่เมื่อยสักนิด ทั้งที่ปกติแทบไม่ได้ใส่ส้นสูง แต่อยากได้รูปสวย แหะๆๆ
อยากเดินถ่ายให้ครบทุกหลังตามแผนที่ แต่แดดค่อนข้างร้อน (อย่างน้อยก็โชคดีที่ฝนไม่ตกนะ) และเกรงใจผู้ร่วมทริป เลยถ่ายมาได้แค่ไม่กี่หลัง แต่ถึงอย่างไรก็รู้สึกชอบเสน่ห์ของถนนสายนี้อยู่ดี
เริ่มจากหลังแรก "บ้านคมสัน"
เจ้าของรุ่นแรกนั้น คนตลาดจีนรู้จักกันดีในชื่อป๋าน้อย-ย่าลางสาด คมสัน บ้านคมสันเป็นบ้านปูนหลังแรกในย่านนี้ สร้างขึ้นช่วงเวลาเดียวกับสะพานรัษฎาภิเศก คือในปี พ.ศ. ๒๔๖๐ ซึ่งป๋าน้อยได้เพื่อนฝรั่งจากบริษัททำไม้ช่วยออกแบบให้ แล้วใช้ช่างชาวเซี่ยงไฮ้ที่ขึ้นชื่อเรื่องฝีมือทางเชิงช่างมาก่อสร้าง วัสดุอุปกรณ์ก่อสร้างต่างๆนำมาจากกรุงเทพฯ บรรทุกมากับรถไฟและเรือกลไฟ เดิมทีตัวบ้านทาสีเทาอ่อน หลังคามุงกระเบื้องสีแดง แต่ทุกวันนี้เมื่อตกทอดมาถึงรุ่นหลาน คือ ขวัญพงษ์ คมสัน ได้ปรับปรุงซ่อมแซมทาสีเหลืองจนสวยสะดุดตา
ถัดมาคือ "อาคารฟองหลี"
หรือ “อาคารปัทมะเสวี" เป็นอาคารก่ออิฐผสมไม้ประดับลวดลายแบบขนมปังขิง วัสดุต่างๆที่ใช้ก่อสร้างนั้นเป็นวัสดุที่นำเข้ามาใช้เป็นครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่ 5 ถือเป็นตัวแทนสถาปัตยกรรมในยุครุ่งเรืองของจังหวัด ลำปาง ก็ว่าได้ ที่สำคัญกว่านั้น อาคารฟองหลียังได้รับประกาศเกียรติคุณ อนุรักษ์ศิลป์สถาปัตยกรรมดีเด่น ปี 2551 จากสมาคมสถาปนิกสยามฯอีกด้วย
"อาคารเยียนซีไท้ลีกี"
เป็นอาคารพาณิชย์สร้างด้วยปูนทั้งหลัง ประดับตกแต่งแบบตะวันตกชนิดเต็มรูปแบบ หลังคาทรงปั้นหยา แต่กั้นแบบดาดฟ้า ลวดลายที่ใช้มีทั้งไม้ฉลุและปูน ในอดีตห้างเยียนซีไท้ลีกี เคยเป็นห้างสรรพสินค้าใหญ่ที่สุดในย่านตลาดจีน
"อาคารกาญจนวงศ์"
เป็นอาคารทรงขนมปังขิงสองชั้น หลังคาจั่วตัดทางขวางซึ่งเป็นการวางผังแบบร้านค้าของชาวจีน เดิมเป็นของ บัวผัด กาญจนวงศ์ ชาวพม่า แต่ปัจจุบันเป็นกรรมสิทธิ์ของ เรือนระวี ตรีธรรมพินิจ แห่งร้านเตียเฮ่งฮงย่านสบตุ๋ย ผู้สร้างเรือนนี้เป็นพ่อค้าไม้ชาวพม่า สร้างเพื่ออยู่อาศัยและเป็นร้านเย็บผ้า เป็นอาคารปูนทั้งหลัง ตัวอาคารและลายฉลุไม้ทาด้วยสีขาว ส่วนที่เป็นไม้บริเวณประตูและหน้าต่างทาสีเทาอ่อน สภาพเรือนได้รับการปรับปรุงเมื่อไม่นานมานี้
และ "อาคารหม่องโง่ยซิ่น" หรือร้านหม่องโง่ยซิ่นในปัจจุบันนั่นเอง
อาคารสไตล์ชิโนโปรตุกีส เป็นเรือนขนมปังขิงหลังคาทรงมะนิลา สูงสองชั้นครึ่ง ที่เคยจัดแสดงงานศิลปะแต่เปลี่ยนมาเป็นร้านกาแฟ มีเครื่องดื่มต่างๆให้ลิ้มรสกัน รวมไปถึงฮันนี่โทสด้วย ทั้งนี้ น. ณ ปากน้ำ ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ ได้ยกย่องว่าเป็นอาคารขนมปังขิงริมถนนที่งดงามที่สุดในประเทศไทย ทั้งยังได้รับรางวัลสถาปัตยกรรมดีเด่น ประจำปี 2550 ประเภทอาคารอนุรักษ์สถาปัตยกรรมล้านนา จากกรรมาธิการล้านนา สมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์
เรามาอิ่มเอมความงดงามและละเลียดของหวานกันอยู่ที่นี่ค่ะ
ภายในจัดวางของเก่าแก่ที่เป็นมรดกตกทอดมากระทั่งรุ่นที่สี่แล้ว อีกทั้งยังมีเรื่องราวประวัติศาสตร์ให้ได้อ่านกันเพลินๆด้วย
บรรยากาศภายใน สวยงามมาก คนดูแลอาคารหรือเจ้าของร้าน เป็นรุ่นที่ 4 แล้วนะคะ สวยด้วย แอบชวนคุยถามนู่นนี่มานิดหน่อยค่ะ เห็นว่ากำลังทานข้าวอยู่เลยไม่กล้าชวนคุยมากไป ^^"
ทางเดินไปห้องน้ำ บรรยากาศแลดูวังเวงไปนี้ด... แต่ก็สวยได้อารมณ์ดีค่ะ
แล้วเราก็เดินมานั่งละเอียดของหวานกันต่อ จัดน้ำมาก่อน ที่นี่มีเครื่องดื่มหลายเมนูให้เลือกนะคะ เราจัดชาเย็นคาราเมลมาค่ะ โดยส่วนตัวชอบทานชาเย็นรสออกหวาน แต่ร้านนี้ไม่ค่อยหวานไม่ค่อยเข้มข้น และราคาก็ค่อนข้างแพง แก้วนี้ 75 บาท แต่ไม่เข้มข้นเอาซะเลย มาเจอความน่ารักก็ตรงกล่องใบลานน้อยๆใส่ข้าวแต๋น(ฟรี)มาให้ 2 ชิ้นนี่แหละค่ะ ข้าวแต๋น หรือข้าวตัง หรือนางเล็ด อร่อยดี
จัดฮันนี่โทสมาอีกจาน รสชาติก็.... ธรรมดา ไอศกรีมและผลไม้รสออกเปรี้ยวนำ มันตัดรสชาติหวานๆของฮันนี่โทสไปซะหมด ไม่ได้กลิ่นหอมของน้ำผึ้งเลย ไม่แน่ใจว่าใช้น้ำผึ้งแท้หรือเปล่า (ติแหลกเลยอ่า... ว่ากันไปตามเนื้อผ้าเนอะ ^^") นั่งในร้าน สามารถไหว้วานให้พนักงานในร้านไปสั่งขนมจีนร้านฝั่งตรงข้ามเข้ามาได้นะคะ ที่ร้านบอกมาค่ะ
พี่สาวซื้อยาหม่องกลับบ้านด้วยค่ะ มียาหม่องตามธาตุขายด้วยจ้า
สรุปรวม 294 บาทถ้วน บรรยากาศภายในร้านดูมีกิมมิคในตัวอยู่แล้ว ให้คะแนนเต็ม 10 ส่วนเรื่องรสชาติเราให้ 5 แต่อย่ากระนั้นเลย คนเราชอบรสชาติไม่เหมือนกัน หลายคนอาจจะเห็นต่างก็เป็นได้ค่ะ
13.30 น. แวะเข้าไปเช็คอินที่พักสำหรับคืนที่ 2 “อาลัมภางค์" ต้องบอกก่อนว่าตอนหาข้อมูลก่อนมา อยากพักหลายที่มาก มีสวยๆราคาหลักร้อยหลายที่มาก แต่จะเน้นที่ติดกับแม่น้ำวังเป็นหลัก สุดท้ายก็เลือกมาที่นี่ สำหรับ อาลัมภางค์ ต้องโทรฯจองและโอนเงินเต็มจำนวนมาล่วงหน้าค่ะ ช่วงไฮซีซั่นจะเต็มเร็ว หรือจะจองผ่านเว็บไซต์ต่างๆมาก่อนก็ได้ (เช็คแล้ว ราคาไม่ต่างกัน) เราโทรฯไปจองแต่ไม่สะดวกโอนเงินไปให้ก่อน อีกอย่างคิดว่าจะเข้าไปดูก่อน ถ้าไม่มีห้องว่างแล้วหรือไม่เวิร์คก็จะได้เปลี่ยนที่ ถึงเวลาก็ลองแวะเข้าไปดูค่ะ ถือว่าค่อนข้างถูกชะตาจึงตัดสินใจเช็คอินและชำระค่าห้องที่นี่เลย ที่นี่มีห้องพักหลากหลายรูปแบบหลายราคา สามารถชมแผนผังและตัวอย่างห้องพักได้จากเว็บไซต์ก่อนได้เลยค่ะ http://www.r-lampang.com
ที่นี่มีลักษณะเป็นกึ่งโฮมสเตย์กึ่งรีสอร์ทค่ะ มีบ้านหลังใหญ่ 4 หลัง แบ่งเป็นห้องพักเกือบยี่สิบห้อง ห้องที่เราเลือกเข้าพัก เป็นห้องมีแอร์ที่ราคาถูกที่สุด คือ 690 บาท (ไม่รวมอาหารเช้า) อยู่บ้านหลังสีเขียว ดูเก๋ดีอ่า...
รอบๆอาคารจะมีมุมต่างๆสำหรับถ่ายรูปด้วยจ้า
คลาสสิคมากเลย ให้อารมณ์เหมือนอยู่บ้านปู่ย่าตายาย มีมุมที่นั่ง ทีวี ตู้หนังสือ เป็นส่วนกลาง ใครจะมานั่งเล่นตรงนี้ก็ได้นะคะ ห้องพักเป็นห้องแบบระดับ 2 ดาวค่ะ ที่นี่เป็นบ้านไม้ จึงไม่ค่อยเก็บเสียง แต่ก็ถือว่านอนสบายดีค่ะ
เช็คอิน เข้าห้องวางของแล้วผู้ร่วมทริปก็หลับไป ฮ่าๆๆๆ
15.00 น. ออกเดินทางกันต่อ เริ่มจาก “วัดศรีรองเมือง" ใช้เวลาขับรถไปประมาณ 10 นาทีก็ถึงแล้ว
“วัดศรีรองเมือง" เป็นวัดพม่าที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 วิหารไม้ มีหลังคาจั่วซ้อนกันเป็นชั้นๆ มียอดแหลม 9 ยอด แบบศิลปะพม่า เพดานเป็นลายไม้แกะสลัก และเสากลมใหญ่ ประดับลวดลายด้วยกระจกสี เดิมภายในวัดมีทั้งวิหารใหญ่และวิหารน้อย สำหรับวิหารน้อยนั้นมีอยู่ 9 หลัง แต่ปัจจุบันวิหารน้อยเหล่านั้นพังไปจนหมดแล้ว จึงเหลืออยู่เพียงวิหารใหญ่ซึ่งเป็นวิหารประธานของวัดเพียงหลังเดียว
15.30 น. ไปต่อกันที่ “วัดศรีชุม" อยู่ห่างจากศรีรองเมืองไปเพียง 2.7 กม. ใช้เวลาประมาณ 10 นาทีเช่นกัน
“วัดศรีชุม" เป็นวัดพม่าที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาวัดพม่าที่มีอยู่ในประเทศไทยทั้งหมด 31 วัด จุดเด่นของวัดศรีชุม เดิมอยู่ที่พระวิหาร ซึ่งเป็นอาคารครึ่งตึกครึ่งไม้ที่มีศิลปะการตกแต่งแบบล้านนาและพม่า หลังคาเครื่องไม้ยอดแหลมแกะสลักเป็นลวดลายสวยงามมาก แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าได้เกิดเหตุเพลิงไหม้พระวิหารทั้งหลัง เมื่อตอนเช้าตรู่ของวันที่ 16 มกราคม 2535 เหลือเพียงไม้แกะสลักตรงซุ้มประตูทางขึ้นวิหารเท่านั้น เป็นลวดลายพรรณพฤกษาฉลุโปร่ง ปัจจุบันวัดได้รับการบูรณะขึ้นใหม่และยังมีชิ้นส่วนเครื่องประดับอาคารที่ถูกไฟไหม้ไปจัดแสดงไว้ด้านหลังวิหาร วัดศรีชุมได้รับการจดทะเบียนเป็นโบราณสถานเมื่อปี พ.ศ. 2524
16.00 น. มุ่งหน้าสู่ “ทะเลลำปาง" หรือ อ่างเก็บน้ำวังเฮือ เราจะไปหาธรรมชาติกันค่ะ ระยะทางจากในเมืองไปประมาณ 16 กม. ใช้เวลาประมาณ 20 นาที โดยใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 11 ไปทางเด่นชัย-แพร่ ถึงสามแยกบ้านผาลาด ขับตรงไปอีกประมาณ 1.5 กม. ยูเทิร์นกลับมาทางลำปาง ก่อนถึงสะพานจะมีทางแยกให้เลี้ยวซ้ายเข้าไปอีก 1 กม. ก็ถึงอ่างเก็บน้ำวังเฮือ
พอเข้าไปถึงแล้วจะพบกับร้านอาหารทะเลลำปาง (ร้านอาหาร-ทะเลลำปาง)
มีบริการอาหาร เครื่องดื่ม ทั้งในซุ้มบนบกและแพบนน้ำ ถ้ามีเวลามากหน่อย มาทานอาหารเย็นพร้อมชมวิวพระอาทิตย์ตกที่นี่จะดีมาก เลือกที่นั่งกันได้ตามอัธยาศัย
และจุดเด่นของที่นี่ ก็คือ... แพบนน้ำ นั่นเองค่ะ สามารถลงไปรับประทานอาหารกันบนแพได้เลย ที่มองเห็นเป็นเส้นๆในน้ำนั้นก็คือ เชือกที่สามารถดึงแพออกไปกลางบึงได้ด้วยตัวเองนะคะ เก๋สุด ณ จุดนี้ ^^
วิวดีมาก... สวยกว่าที่คิด คือจริงๆแล้วเป็นอ่างเก็บน้ำขนาดเล็กนะคะ แต่มีวิวดีพร้อมทุกอย่าง ต้นไม้ใบหญ้าป่าเขาน้ำ ครบค่ะ
ดอกหญ้าก็ช่างชี้ชวนให้หลงใหล ทำให้เราเคลิบเคลิ้มอีกแล้วกับวิวแบบนี้...
ดอกหญ้า ธรรมชาติมีความงามอยู่ในตัวเองเสมอ ผีเสื้อน้อยๆ ยังมาหลงเสน่ห์ ^^
แต่เรามีเวลาน้อยจึงชมวิวอย่างเดียว สวยกว่าที่คิดไว้มากจริงๆค่ะ แม้ไม่กว้างใหญ่ แต่ภาพที่มองเห็นได้นั้นช่างสวยงามจับใจ น้ำ เขา ดอกหญ้า ผีเสื้อ ... เงาตกสะท้อน ทุกอย่างลงตัว แต่ติดตรงที่ยุงชุมมาก ใครจะมาก็พกยากันยุงมาทากันด้วยนะจ๊ะ
17.00 น. กลับเข้าที่พัก และออกเดิน(หาของกิน)เล่นที่กาดกองต้าต่อ คืนนี้ของตั้งขายเยอะหน่อย แต่เดินไปได้แป๊บเดียวลมเริ่มมาแรง คล้ายว่าฝนจะตามมาอีก ร้านรวงก็เริ่มเก็บกันสิ เดี๋ยวๆๆๆๆ ยังไม่ทันได้เดินไปถึงไหนเลย >< แต่ไม่เป็นไร ร้านที่เหลือก็ยังถือว่าเยอะอยู่พอสมควร เดิน(กิน)ต่อ มาสะดุดอย่างจังกับร้านขายปีกไก่ทอด เจอปลายปีกไก่ทอดชิ้นละบาท คือ ไม่ซื้อไม่ได้แล้ว อร่อยด้วยนะ
เดินยาวไปจนหนำใจแล้วก็เดินกลับ พอใกล้ถึงที่พักฝนก็เริ่มลงเม็ดฝอยๆมาพอดี คืนนี้อากาศเย็นสบายไป
วันที่ 3 : (27 มิ.ย. 2559 / ไฟลท์ขากลับ 14.00 น.)
พระธาตุลำปางหลวง – พระธาตุจอมปิง – ท่าอากาศยานลำปาง
09.00 น. : เช็คเอ๊าท์ มุ่งหน้าสู่พระธาตุลำปางหลวง (ประมาณ 20 กม. ใช้เวลา 30 นาที)
09.30 น. : พระธาตุลำปางหลวง
10.00 น. : มุ่งหน้าสู่พระธาตุจอมปิง (เงาพระธาตุกลับหัว) ( 16 กม. ใช้เวลาประมาณ 20 นาที)
12.00 น. : เดินทางกลับท่าอากาศยานลำปาง
14.00 น. : เดินทางกลับ
9.30 น. เช็คเอ๊าท์กันค่อนข้างสายมากไปหน่อย ตั้งใจจะออกตั้งแต่ 8.30 น. แต่ดูเวลาอีกที.. สายแล้ว!! ดีที่ซื้อขนมจากกาดกองต้าไว้เป็นสะเบียงตอนเช้าแล้ว เช็คเอ๊าท์เสร็จ เดินไปริมน้ำขอเก็บภาพบรรยากาศไว้อีกสักหน่อยก่อนจาก
10.00 น. มุ่งหน้าสู่ “พระธาตุลำปางหลวง" พระธาตุประจำปีฉลู ตั้งอยู่ที่ ต.ลำปางหลวง อยู่ห่างจากตัวเมืองลำปางประมาณ 18 กิโลเมตร ขับตามทางหลวงสายลำปาง-เถิน กระทั่งถึงหลักกิโลเมตรที่ 586 ให้เลี้ยวเข้าไปจนถึงที่ว่าการอำเภอเกาะคา จากนั้นเลี้ยวขวาเข้าไปอีก 2 กม. พอถึงทางแยกแล้วเข้าอีก 1 กม. (กรณีไปด้วยรถโดยสาร สามารถใช้บริการรถสองแถวสีฟ้า ที่ ถ.รอบเวียง ใกล้ตลาดออมสินได้นะคะ) และอย่างที่ทราบกันว่า พระพระธาตุลำปางหลวง เป็นพระธาตุประจำปีฉลู ผู้ที่เกิดปีฉลูควรมาไหว้สักการะเพื่อเป็นศิริมงคลสักครั้งหนึ่ง แต่ผู้ที่ไม่ได้เกิดปีฉลูก็สามารถมาสักการะ เยี่ยมชมความงดงามของวัดพระธาตุแห่งนี้ได้เช่นกันค่ะ
ที่วัดพระธาตุลำปางหลวงก็มีรถม้าเช่นกันค่ะ ประดับประดาดอกไม้สีสันสวยสด งดงามกว่าในเมืองด้วยนะ
สามารถนั่งบนรถม้าเพื่อถ่ายรูปเข้ากับวิวด้านหลังเป็นวัดพระธาตุลำปางหลวงได้ ... คนละ 10 บาท ราคาน่ารัก ^_^
เราเดินไปทางนี้ก่อน แลดูจะงงๆไม่รู้จะไปทางไหนก่อนดี ก็ค่อยๆเดินไปเรื่อยๆค่ะ
แวะไหว้พระกัน ณ จุดนี้ก่อน
เจอดอกไม้ก็ไม่ลืมเก็บรูปกลับมา
เดินตามทางไปเรื่อยๆ กระทั่งถึงจุดนี้ อลังค์การงานสร้างและมีความขลังที่แสนงดงาม ภายในบริเวณวัดมีหลายส่วนให้ได้ชมกันค่ะ เริ่มจาก
1. ประตูโขง : เป็นฝีมือช่างหลวงโบราณที่สวยงามก่ออิฐถือปูนทำเป็นซุ้มยอดแหลมเป็นชั้น ๆ มีสี่ทิศ ประดับตกแต่งด้วยลวดลาย ปูนปั้น รูปดอกไม้ และสัตว์ในหิมพานต์ ประตูโขงแห่งนี้ใช้เป็นสัญลักษณ์เมืองลำปางในตราจังหวัดลำปาง
2. วิหารหลวง : ตั้งอยู่บนแนวเดียวกับประตูโขง และองค์พระธาตุเจดีย์ เป็นวิหารจั่วรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ทรงวิหารโล่งตามแบบล้านนายุคแรก หลังคาจั่วซ้อนกันเป็นชั้น ๆ ภายในวิหารบรรจุมณฑปพระเจ้าล้านทอง ด้านในของแนวคอสอง มีภาพเขียนสีโบราณเรื่องชาดก
3. องค์พระธาตุเจดีย์ : เป็นเจดีย์ล้านนาผสมเจดีย์ทรงลังกา ก่ออิฐถือปูน ประกอบด้วยฐานสี่เหลี่ยมย่อมุมด้วยบัวมาลัยสามชั้น เป็นเจดีย์ ขนาดใหญ่ หุ้มด้วยแผ่นทองเหลือง ฉลุลายหรือที่เรียกว่าทองจังโก ตามตำนานกล่าวว่า เป็นบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
4. วิหารพระพุทธ : อายุไม่ต่ำกว่า 700 ปี เดิมเป็นวิหารเปิดโล่งหน้าบัน เป็นลายดอกไม้ติดกระจกสีภายในประดิษฐานพระประธานเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดใหญ่เต็มอาคาร ก่ออิฐถือปูน ศิลปะเชียงแสน
5. วิหารน้ำแต้ม : เป็นวิหารบริวารตั้งอยู่ทางทิศเหนือขององค์พระธาตุเจดีย์ ลักษณะเป็นวิหารไม้ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ภายในมีภาพเขียนสีโบราณที่เก่าแก่ เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปสำริด ขนาดหน้าตักกว้าง ๔๕ นิ้ว
6. วิหารต้นแก้ว : สร้างขึ้นนใหม่แทนหลังเก่าเมื่อ พ.ศ. 2510 กว้างด้านละ 6.92 เมตร ยาวด้านละ 15.10 เมตร ประดิษฐานพระพุทธรูปปางไสยาสน์ ทำจากไม้ขนาดเท่าองค์จริงของหนานทิพย์ช้าง เป็นพระพุทธรูปประจำตระกูลของเจ้านายฝ่ายเหนือคือ ณ.ลำปาง ณ.ลำพูน ณ.เชียงใหม่ และเชื้อเจ็ดตน.
7. หอพระพุทธบาท : เป็นสถาปัตยกรรมก่ออิฐทรงสี่เหลี่ยม ฐานเจดีย์สร้างครอบรอยพระพุทธบาทไว้ สร้างขึ้นสมัยเจ้าหาญแต่ท้อง เมื่อปี พ.ศ. 1992 เป็นสถานที่ชมภาพเงาสะท้อนพระธาตุในมุมกลับหัว (แต่เราไม่ได้เข้าไป เพราะมัวแต่ชื่นชมความวิจิตรงดงามรอบๆจนลืมสิ่งสำคัญไปเลย น่าเสียดาย ><)
และนอกจากนี้ยังมีส่วนอื่นๆให้ทำกิจกรรมตามความเชื่ออีก เช่น "อธิษฐานยกช้างเสี่ยงทายความสำเร็จ"
ช้างเสี่ยงทายสีทอง เห็นตัวเล็กๆแบบนี้ น้ำหนักไม่ใช่เบาๆนะจ๊ะ
ผู้ชายให้ใช้นิ้วก้อยเกี่ยว ผู้หญิงให้ใช้นิ้วนางเกี่ยวแล้วยกขึ้นหลังจากอธิษฐาน ถ้ายกขึ้นทำนายว่าจะสำเร็จค่ะ
ถัดมาอีกหนึ่งอย่าง อยู่ใกล้ๆกัน "ไม้วาเสี่ยงโชคพระเจ้าทันใจ"
ตอนแรกเก้ๆกังๆ อ่านแล้วก็ยังงงๆว่าต้องทำแบบไหนถึงจะถูก สักพักมีคนใจดีเดินมาสาธิตวิธีใช้ดูด้วยค่ะ กล่าวคือ หยิบไม้วาขึ้นมาวัดความยาวจากปลายนิ้วข้างหนึ่งไปสุดที่ปลายนิ้วอีกข้างหนึ่ง โดยให้ไม้ทาบที่อก แล้วรูดหนังยางที่มัดอยู่กับไม้ไปมาร์กเอาไว้ก่อน แล้วจึงอธิษฐาน เมื่ออธิษฐานเสร็จแล้วให้ทำการวัดแบบเดิมอีกครั้ง ถ้าผลออกมาว่านิ้วเราไปทาบบนไม้ในตำแหน่งที่ยาวกว่าเดิมแสดงว่ามีโชคค่ะ ^^
เราใช้เวลากันอยู่ที่นี่นานพอสมควร แต่ก็ยังชมความงดงามได้ไม่หมด เวลากระชั้นชิด บวกกับผู้ร่วมทริปลืมของสำคัญไว้ที่อาลัมภางค์ ต้องรีบกลับไปเอาคืนก่อนเดินทางกลับสนามบิน (ลุ้นมากว่าจะทันไหม) และด้วยเหตุนี้ทำให้ไปพระธาตุจอมปิงไม่ทัน พระธาตุจอมปิงอยู่ไม่ไกลจากพระธาตุลำปางหลวง สามารถตั้งไว้เป็นทริปในวันเดียวกันได้สบายๆเลยค่ะ
ขากลับเราไม่ได้ทำการเช็คอินล่วงหน้าผ่านสายการบิน มาถึงสนามบินเที่ยงครึ่ง แต่ทางผู้เช่ารถสะดวกมารับรถ 13.00 น. จึงเช็คไปทางคอลเซ็นเตอร์ของสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส หลังจากได้รับคำตอบว่า “ทันค่ะ" ก็อุ่นใจ ... คืนรถเรียบร้อยแล้วก็รีบเดินเข้าสนามบิน เวลาเหลือเฟือ
และที่สนามบินน่ามก็มีมุมเล็กๆของบางกอกแอร์เวยส์ไว้ต้อนรับผู้โดยสารเช่นกันนะคะ เลอค่ามากค่ะ ประหยัดเวลาหาร้านอาหารและประหยัดเงินค่าอาหารไปได้เยอะเลยล่ะค่ะ มาอิ่มท้องที่นี่เลยบอกตามตรง ^^"
13.20 น. ได้เวลาขึ้นเครื่องบินโดยสารกลับแล้ว บ๊ายบายลำปาง เสน่ห์มนขลังแห่งเมืองรถม้า ไว้โอกาสหน้า จะมาแอ่วแหมเน่อ
เดี๋ยวๆๆๆ จะบอกว่ามีอาหารบนเครื่องอีกมื้อนึงด้วยแหละ ^^
เพิ่มเติม: สรุปค่าใช้จ่าย
ลงข้อมูลเพิ่มเติมอีกหน่อย สำหรับการเดินทางออกจากสนามบินสุวรรณภูมิ "ไม่ขึ้นแท็กซี่จากที่นี่ได้ไหม มันแพง" ... ได้ค่ะ ถ้าไม่ขึ้นแท็กซี่แต่อยากเดินทางออกมาแบบไม่ลำบาก ก็ต้องเป็น Airport Rail Link ไงคะ แต่สำหรับเราเป็นการใช้บริการของ แอร์พอร์ต ลิ้งค์ เป็นครั้งแรก ก็ต้องหาข้อมูลกันเดี๋ยวนั้น
เมื่อทราบข้อมูลแล้วก็เดินตามป้ายลงไปเรื่อยๆ (ไม่มีการเดินทางไหนยาก ถ้ารู้จักอ่าน สังเกต และถาม)
(ทำไมนึกถึงตอนเดินทางด้วย Tokyo Metro ที่ญี่ปุ่น พอเห็นภาพแล้วก็นึกถึงขึ้นมาเฉยเลย)
มาถึงตู้นี้ก็เลือกจุดที่จะไปลง หยอดเงินแล้วรับเหรียญมา ง้ายง่ายเนอะ ^^
ได้เหรียญมาแล้วก็เดินตามป้ายบอกทางไปเลยจ้ะ
คนไม่เยอะดีด้วย ดีจัง ดี๊ดี ดีจริงๆ
ต่อแถวขึ้นรถไฟกันอย่างเป็นระเบียบ จบทริป "ลำปาง (ไม่ลำพัง)" โดยบริบูรณ์ ขอบคุณค่ะ
GowithAmp
วันอังคารที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2559 เวลา 15.33 น.