สำหรับเนื้อหาใน Part 2 นั้น จะเป็นเรื่องราวของการเดินทางไปสู่ "ภูชี้ฟ้า" น๊ะครับ
หมายเหตุ: เนื้อหาในบทความนี้ จะเล่าแต่ละสถานที่แบบคร่าวๆน๊ะครับ ส่วนรีวิว แบบละเอียดของแต่ละที่ จะแยกไปเป็นบทความของแต่ละที่อีกทีครับ
หลังจากที่ออกเดินทางจาก กทม. ในวันที่ 4 มกราคม และได้แว่ะตามจุดต่างๆ ตามนี้
"อุทยานแห่งชาติภูแลนคา" - > "มอหินขาว"
->
"อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า" -> "บ้านร่องกล้า"
->
"อุทยานแห่งชาติน้ำตกชาติตระการ"
->
"อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว" (ไม่ได้เดินขึ้นเขาน๊ะ)
->
"อุทยานแห่งชาติศรีน่าน" -> "ผาชู้" -> "ดอยเสมอดาว"
และสามารถเก็บสะสมแสตมป์ของอุทยาน ได้ 4 แห่ง
หมายเหตุ: แต่สำหรับ "อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว" นั้น ผมไม่ได้ขอแสตมป์น๊ะ เพราะคิดว่า ที่จุดนี้ การที่จะได้แสตมป์นั้น มันควรเดินขึ้นเขาไปจนถึงยอดภูน่ะ เอาไว้คราวหน้าแล้วกัน หึหึ
8 มกราคม 2567
หลังจากใช้สุดยอดแอป Google Map ตรวจดูระยะทาง และเวลาจาก "ดอยเสมอดาว" ไปยีง "ภูชี้ฟ้า" แล้ว ก็พบว่า มันใช้เวลาเพียง 5 ชั่วโมงกว่าๆ เท่านั้น
แต่ไหนๆก็ไหนๆ เรามาน่านแล้ว ถ้าไม่แว่ะไป "สปัน" มันก็จะเสียเที่ยวป่าวๆ
Writer: งั้นไป "สปัน" กันเล้ยๆๆๆ เย้ๆๆๆ
Reader: อ่าวๆๆๆ แล้ว "ภูชี้ฟ้า" ล่ะ ???
Writer: "ภูชี้ฟ้า" มันไม่หนีไปไหนหรอก ขับไปแป๊บเดียว เด๋วก็ถึง ฮ่าฮ่าฮ่า
.
.
.
แว่ะถ่ายรูป "ถนน เลข 3" ซักหน่อย "สวยๆ อิอิ"
คนหายไปหมดแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า (จริงๆแล้วอยู่ข้างหลังผมแย่ะมาก)
หมายเหตุ: ผมไม่ได้จำผิดใช่มั๊ย ผมจำได้ว่าเมื่อก่อนมันจะมีสายไฟข้ามถนนตรงนี้น๊ะ ผมยังเคยต้องมานั่งใช้ photoshop ลบอยู่เลย ถ้าเป็นเพราะทาง "อบต" เค้าย้ายสายไฟให้นี่ ก็ต้องขอชมเลยครับ ^^
มีรถรุ่นคุณปู่ สุดเท่ห์ จอดอยู่ด้วย
เลยถนนเลข 3 มาหน่อย ก็จะเป็นจุดชมวิว "โค้งพับผ้า"
ถึงแล้ว "เย้ๆ"
"ทุ่งนากลางหุบเขา" ไปถ่ายรูปกัน "เย้ๆ"
แว่ะกินข้าว และก็ชมวิว สวยๆของ "สปัน"
นั่งฟังเสียงน้ำไหลไปตามลำธารเล็กๆ
"อืมมม กางเต้นท์นอนริมน้ำดีมั๊ยๆๆๆ"
"อืมมม เสียงมันก็ฟังเพลินๆดีน๊ะ แต่ให้ฟังทั้งคืน คงไม่ไหว ฮ่าฮ่าฮ่า"
"ไปถ่ายรูป ทุ่งนากลางหุบเขาต่อดีกว่า อิอิ"
"เย้ๆ ภาพทุ่งนา กลางหุบเขา ที่มีกระท่อมหลังน้อย และรีสอร์ทที่สร้างเสร็จแล้ว และกำลังจะสร้าง และมีกองไม้แก่ะกะวางอยู่ ช่างเป็นรูปที่สวยงามยิ่งนัก ฮ่าฮ่าฮ่า"
"อิหยั๋งว๊ะ"
"ไอ้ทุ่งนา ที่เกี่ยวข้าวไปแล้วน่ะ ก็พอรู้อยู่แล้ว เพราะว่า นี่มันไม่ใช่ฤดูทำนา แต่เอาจริงดิ เค้าสร้างรีสอร์ทในทุ่งนา ที่เป็นจุด Landmark ของที่นี่เลยเหรอ ฮ่าฮ่าฮ่า"
"สงสัย อีก 3 - 5 ปี ตรงนี้มันจะกลายเป็นรีสอร์ททั้งหมดแล้วมั้ง"
"นี่ใจคอ จะให้ผมขับรถมาจากกรุงเทพ เพื่อมาถ่ายรูปรีสอร์ทจริงๆเหรอๆๆๆ เฮ้อๆๆๆ"
แล้วไอ้รอยแผลบนภูเขานั่นมันอะไรหว่าๆๆๆ
"เฮ้อๆๆๆ สปัน กับความ มินิมอลของทุ่งนากลางหุบเขา ที่หายไป"
นั่นจึงทำให้แผนการกางเต้นท์นอนที่ลานวัดตรงนี้ เพื่อรอชมบรรยากาศของท้องทุ่งยามเช้า ถูกยกเลิกไปทันที
Writer: อ่าๆๆๆ เมื่อกี้พึ่งขับผ่าน "อุทยานแห่งชาติขุนน่าน" มานี่หว่า เปิด Google ดูรีวิวดีกว่า ว่ามันเป็นยังงัย
และหลังจากที่ผมใช้ keyword "อุทยานแห่งชาติขุนน่าน" Search ใน Google เว็บไซต์สุดอัจฉริยะ
Writer: เฮ้ยๆๆๆ สวยๆ ไปๆ
ผมจึงขับรถมุ่งตรงไปทันที เพราะว่ามันอยู่ก่อนถึง "สปัน" นิดเดียวเอง
เวลาประมาณ 15:00
ถึงแล้วๆๆๆ ใกล้นิดเดียวเอง เรานี่ฉลาดจริงๆ ไม่เห็นต้องวางพงวางแผนเที่ยวอะไรเลย แค่มี Google จะไปไหนก็ได้ หึหึ
และหลังพูดคุยกับเจ้าหน้าที่อย่างยิ้มแย้ม และจ่ายเงินค่าเข้า และค่ากางเต้นท์แล้ว
"แต่นแต๊นๆๆๆ" ได้มาอีก 1 แสตมป์
และหลังจากนั้น ผมก็ขับรถเข้าไป เพื่อวนหาที่เหมาะๆเพื่อกางเต้นท์ แล้วก็พบว่า ที่นี่นั้นมีลานกางเต้นท์ที่กว้างขวาง และมีหลายลาน ให้เลือกกาง
และผมก็รู้สึกถูกใจลานที่มีชื่อว่า "ลานนับดาว" โดยมันเป็นลาน ที่อยู่ค่อนข้างตรงกลางของหุบเขาตรงนั้น และพื้นที่เปิดโล่ง ไม่มีต้นไม้สูงใหญ่บดบังท้องฟ้า คิดว่าตอนกลางคืนน่าจะสวยอยู่ (ขออภัย ที่ไม่ได้ถ่ายรูปมาเลย)
แต่เนื่องจากว่า ในตอนนั้นยังไม่มีนักท่องเที่ยวมากางเต้นท์เลย ผมจึงยังไม่กาง และผมก็ยังหามุมตามรีวิวไม่เจอ ผมก็เลยตัดสินใจเดินไปถามเจ้าหน้าที่ และเอารูปในรีวิวให้ดู
Writer: ขอโทษครับ ไอ้มุมนี้มันอยู่ตรงไหนเหรอครับ (ผมนั้น ส่งภาพเนินเขาที่มีเต้นท์กางอยู่บนหญ้าสีเขียวๆ และมีทะเลหมอกอยู่ข้างหน้าให้เจ้าหน้าที่ดู)
เจ้าหน้าที่: อืมมม ไม่คุ้นเลย (เจ้าหน้าที่บ่นออกมาเบาๆ และหันไปถามเพื่อนอีกคน)
เจ้าหน้าที่: อืมมม ไม่มีน๊ะ วิวแบบนี้ที่นี่อ่ะ
Writer: เอ๊ะ!!!
เจ้าหน้าที่: อ่อๆๆๆ ไอ้น้อง นี่มัน "ขุนสถาน จังหวัด น่าน" ส่วนที่นี่มัน "ขุนน่าน"
Writer: ห๋าๆๆๆ
อี Google เล่นกรูอีกแล้วๆๆๆ
ผมนั้นที่รู้ความจริง และก็ตกใจทันที และก็ต้องรีบตัดสินใจ เพราะว่ามันยังไม่เย็นมาก และยังพอมีเวลาอยู่
ผมหันไปมองลานกางเต้นท์ ที่ยังว่างเปล่า และมีโอกาศกางเต้นท์คนเดียวที่นี่สูงมาก จึงรีบตัดสินใจ ออกเดินทางทันที และคิดว่าอาจจะกลับมากางเต้นท์ที่นี่ ในช่วงฤดูถ่ายทางช้างเผือกอีกครั้ง ในภายหลัง
แต่เมื่อขับออกมาแล้ว จึงฉุกคิดได้ว่า ถึงแม้ว่าจะไป "ขุนสถาน" ทัน แต่ก็น่าจะมืดค่ำแล้ว ถ้าอย่างนั้น ก็หาที่กางเต้นท์ใกล้ๆก่อนก็ได้
และผมก็นึกได้ว่า ใกล้ๆกันตรงนั้น มันมีจุดกางเต้นท์สวยๆ ตรงบริเวณ "ทางหลวง 1715" อยู่ ผมจึงขับรถตรงไปทันที
ถึงแล้ว... แต่ อืมมม ที่นี่กางเต้นท์ไม่ได้ เสียดายๆ ต้องขับลงไปอีกนิดนึง
อืมมม สถานที่ก็ดู Ok อยู่น๊ะ แต่เทียบกับขุนน่านเมื่อกี้ ขุนน่านน่ากางกว่า เพราะพื้นที่มันเปิดโล่งกว่า
แต่ อืมมม ทำไมเหมือนเคยดูในรีวิว มันสวยกว่านี้หว่าๆๆๆ ตรงนี้อ่ะ
เมื่อคิดได้ดังนั้น ก็ย้อนกลับไปเปิดดูรีวิวใหม่อีกครั้ง
Writer: เฮ้ยๆๆๆ
Reader: ทำไมๆ สวยเหรอ
Writer: ใช่ๆ สวยๆ
Reader: วิวสวยเหรอ ?
Writer: ป่าวๆ สาวในรูปรีวิวอ่ะ สวยมากๆๆๆ
"อ่าวๆๆๆ" "ฮ่าฮ่าฮ่า"
ผมนั้น ตัดสินใจย้ายสถานที่อีกครั้งทันที
แล้วก็นึกขึ้นได้ว่า ตรงใกล้ๆกับ "ถนนเลข 3" นั้น มันมีลานกางเต้นท์เอกชนติดถนน ที่อยู่บนสันเขาพอดีอยู่ ดังนั้น วิวมันน่าจะสวย ทั้งตอน พระอาทิตย์ขึ้น และพระอาทิตย์ตก
และผมก็มาทันเวลาพระอาทิตย์ตกพอดี และเนื่องจากว่า ในวันนี้ผมเป็นลูกค้ากางเต้นท์คนเดียว บรรยากาศ ก็เลยค่อนข้างเป็นกันเอง
เนื่องจากว่าที่นี่ มีดอกหญ้าแย่ะพอสมควร ก็เลยลองถ่ายรูปพระอาทิตย์ตก กับดอกหญ้าดู
ตอนกลางคืนก็สามารถถ่ายดาวได้
9 มกราคม 2567
พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว สวัสดีเช้าวันใหม่
จุดชมวิวของลานกางเต้นท์
ถนนบนสันเขาสวยๆ ยามเช้า
ชื่อลานกางเต้นท์ที่ผมพักครับ "โอเวอร์วิว @น่าน"
อีกฝั่งของถนน ก็จะมีทะเลหมอกให้ชมบ้าง (แต่เจ้าของลานบอกว่า ช่วงหน้าฝน กรือ ธันวาคม จะแย่ะกว่านี้ครับ)
อันนี้เป็นวิวของด้านหน้าของลานกางเต้นท์ครับ (ผมใช้เลนส์ระยะ 200mm ซูมเอาน๊ะครับ)
และหลังจากเก็บของเสร็จแล้ว ก็เดินทางมุ่งสู่ "ภูชี้ฟ้า" ต่อทันที "เย้ๆๆๆ"
.
.
.
เวลาประมาณ 12:50
เอ๊ะ!!! "ภูลังกา" ชื่อคุ้นๆ
เอ๊ะ!!! ภูเขาเล็กๆ อะไร ดูคุ้นตามาก
Writer: เห๋ๆๆๆ นี่มัน "ภูลังกา" ที่ข้าเคยปักหมุดเอาไว้เมื่อหลายปีก่อน ว่าอยากมามาก ไม่ใช่เหรอๆๆๆ มันอยู่ในทางผ่านด้วยเหรอว๊าๆๆๆ ฮ่าฮ่าฮ่า
Reader: เฮ้ยๆๆๆ เอ็งจะไป "ภูชี้ฟ้า" ไม่ใช่เหรอๆๆๆ
Writer: เห๋ๆๆๆ นี่มัน "ภูลังกา" เลยน๊ะเว้ยๆๆๆ "ภูชี้ฟ้า" มันไม่มีขา เดินหนีไปไหนหรอกๆๆๆ ฮ่าฮ่าฮ่า
"นอนนี่ๆๆๆ" "เย้ๆๆๆ"
Reader: เฮ้อๆๆๆ
และอันนี้ไม่ได้ค่าโฆษณาน๊ะ แต่มันอร่อยจริงๆ เมนูนี้ ร้านนี้จะอยู่ตรงจุดชมวิวนั่นเหลอะ
และหลังจากตะเวนหาลานกางเต้นท์ซักพัก ผมก็เลือกกางที่นี่ เพราะตรวจสอบทิศที่พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว มันจะเยื้องไปทางขวานิดนึง
พอตอนเย็น ผมก็เดินข้ามถนนมาอีกฝั่ง เพื่อถ่ายพระอาทิตย์ตก แบบที่ชอบ
บ๊ายบาย
10 มกราคม 2567
สวัสดีเช้าวันใหม่
ถึงวันนี้หมอกจะไม่แย่ะ แต่ก็ถือว่าสวย ใช้ได้เลย
สวัสดี พระอาทิตย์
ลองซูมดูใกล้ๆ
ยิ่งดู ยิ่งสวย เหมือนกับภาพวาดเลย
และในขณะที่กำลังนั่งจิบกาแฟอยู่ในร้าน "Route 1148" ทุกคนที่อยู่ในร้าน ที่ส่วนใหญ่จะเป็นพวก Biker นั้น ต่างก็ร้อง "เฮ้ยๆๆๆ" ออกมาพร้อมกันกับผม
แล้วทุกคนต่างก็วิ่งกรูกันมาเพื่อถ่ายภาพนี้
คือมันเป็นแสง ที่ทะลุช่องว่างของก้อนเมฆมาลงตรงนั้นพอดี และผมก็นั่งรออยู่ซักพักใหญ่ๆ เพื่อรอให้แสงแบบนี้มันไปทะลุ โผล่ตรงเขาที่เป็น landmark ของที่นี่
แต่ก็น่าเสียดาย ที่มันไม่เกิดขึ้น
สุดท้ายนี้ ก็ต้องขอขอบคุณ ประชาชนในพื้นที่ รวมทั้งบรรดาเจ้าของรีสอร์ท ที่ไม่ไปสร้างอะไรไว้ที่จุดชมวิว ที่เป็น landmark แห่งนี้ และปล่อยให้มันสวยงามดุจภาพวาด เอาไว้เหมือนเมื่อหลายปีก่อน ที่ผมเห็นสถานที่แห่งนี้ครั้งแรก ^^
Writer: เก็บของๆ ออกเดินทางสู่ "ภูชี้ฟ้า" กันเถอะ เย้ๆๆๆ
Reader: เหรอๆๆๆ
.
.
.
เวลาประมาณ 14:50
"ฮึ๊บ" วาร์ปมาด้วยความรวดเร็ว
เอ๊ะ!!! เจอเต้นท์ คู่แฝด !!! ฮ่าฮ่าฮ่า (จริงๆแล้ว น้องเต้นท์นี้ เค้าเป็น Biker ที่ใช้รถมอเตอร์ไซค์ทัวริ่งคันใหญ่สุดเท่ห์ ที่ออกทริป แนวกางเต้นท์เหมือนกัน)
เวลาประมาณ 15:40
"ฮึ๊บ" วาร์ปมาอยู่ยอดภูด้วยความรวดเร็ว (จริงๆแล้วนั่งหอบนานมาก กว่าจะลุกมาถ่ายรูปได้)
แนะนำว่า อย่าลืมเอาน้ำขึ้นมาดื่มระหว่างทางด้วย โดยจุดนี้จะต้องเดินมาจากจุดจอดรถประมาณ 900 เมตร
และถ้าใครที่ตั้งใจมาเดินเพื่อพิชิตยอด "ภูชี้ฟ้า" แล้วล่ะก็
อย่าลืมแว่ะถ่ายรูปที่จุดนี้ เพราะมันเป็นจุดถ่ายรูปที่วิวดีที่สุดแล้ว มันจะอยู่ก่อนถึงยอดประมาณ 100 - 200 เมตร น่ะ
เห็นอย่างนี้ เดินเหนื่อยเอาเรื่องเหมือนกันน๊ะ
และแน่นอนว่า ผมไม่ลืมที่จะไปขอแสตมป์ จากเจ้าหน้าที่ตรงจุดกางเต้นท์ ของอุทยาน
พระอาทิตย์ตก หลังหลอดไฟครับ
GoodView เซย์ GoodBye
11 มกราคม 2567
เวลาประมาณ 07:30
แน่นอนว่า การมาเที่ยว "ภูชี้ฟ้า" อย่างแท้จริงนั้น มันก็คือการมาชมตอนพระอาทิตย์ขึ้น เพื่อชมทะเลหมอก
แต่สิ่งที่ยากอย่างยิ่งนั้น ก็คือการตื่นขึ้นมาในตอนก่อนพระอาทิตย์ขึ้นนั่นเอง
ผมนั้นตั้งนาฬิกาปลุกเอาไว้ตอน ตี 5 ครึ่ง แต่เนื่องจากว่า ที่นี่มันคือ "ภูชี้ฟ้า" ที่อยู่ที่ทางตอนเหนือสุดของประเทศแล้ว อากาศมันจึงหนาวกว่าที่อื่นอย่างมาก
นั่นจึงทำให้การที่จะเอาตัวออกมาจากถุงนอน 2 ชั้น อุ่นๆนั้น มันยากมากๆนั่นเอง
และหลังจากนอนกลิ้งไปกลิ้งมาซักพักใหญ่ๆ ผมก็สามารถลุกขึ้นมา ล้างหน้า แปรงฟัน และออกมาจากลานกางเต้นท์ ที่อยู่ไม่ไกลนัก และสามารถเดินขึ้นมาในจุดชมวิว ที่ตั้งใจเอาไว้ได้ทันก่อนพระอาทิตย์ขึ้นพอสมควร
ขึ้นแล้วครับ พระอาทิตย์ ขึ้นช้ากว่ากำหนดนานพอสมควรเลย เพราะว่าที่ขอบฟ้า มันมีเมฆจำนวนมากบดบังอยู่ครับ
นั่นจึงทำให้วันนี้ ไม่ได้เห็นแสงพระอาทิตย์ ส่องมาที่ด้านบนของทะเลหมอก ที่มีอยู่เพียงเล็กน้อยครับ T_T
วันนี้มีทะเลหมอกอยู่นิดเดียวครับ
แต่วิวโดยรวม ก็ยังถือว่า สวยอยู่ครับ
บ๊ายบาย "ภูชี้ฟ้า"
Reader: โอ๋ๆๆๆ อย่าเศร้าไปเลยน๊ะ แค่ไม่เจอหมอก กับแสงสวยๆเอง
Writer: ฮือๆๆๆ T_T
Reader: แล้วนี่เอ็งจะไปไหนต่อ
Writer: ยังไม่รู้ ขอดู Map ก่อน ฮ่าฮ่าฮ่า
Reader: เฮ้อๆๆๆ
"อ่างขาง" เค้าจะไปอ่างขาง ฮ่าฮ่าฮ่า
Writer: กดไปที่หมุดแล้วก็ออกเดินทางกันเล้ยๆๆๆ
แบกกล้อง
วันศุกร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567 เวลา 18.36 น.